สายสุขภาพมามุง! Xiaomi เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “หม้อหุงข้าวลดปริมาณน้ำตาล” ที่สามารถลดน้ำตาลได้ 44% เปิดจำหน่ายแบบระดมทุน (crowdfunding) 

Xiaomi Youpin บริษัทย่อยของ Xiaomi ที่ทำธุรกิจขายสินค้าเทคโนโลยีผ่านการระดมทุน (crowdfunding) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หม้อหุงข้าวลดน้ำตาลเพื่อสุขภาพในชื่อ Zhenmi โดยใช้สิทธิบัตรรวม 8 รายการในการออกแบบ ที่เด่นๆ คือ เทคโนโลยีแยกน้ำข้าว และ เทคโนโลยีเลียนแบบวิธีการหุงข้าวเช็ดน้ำแบบโบราณ เพื่อลดน้ำตาลออกจากข้าวที่หุงสุกแล้ว

โดยผลวิจัยพบว่าหม้อหุงข้าว Zhenmi ลดน้ำตาลได้ 44% ปริมาณน้ำตาลที่ลดลงไปยังลดได้มากกว่าสินค้าแบบเดียวกัน 33%

นอกจากฟังก์ชันลดน้ำตาลจากข้าวแล้ว Zhenmi ยังมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยลดเวลาหุงข้าวเหลือ 22 นาที เทียบกับหม้อหุงข้าวลดน้ำตาลที่เคยมีมาในตลาดจะใช้เวลาหุงข้าวประมาณ 40 นาที และหม้อหุงข้าวรุ่นนี้ของ Xiaomi ยังสามารถตั้งเวลาหุงล่วงหน้าได้ 12 ชั่วโมง รวมถึงใช้ประกอบอาหารลักษณะอื่นๆ ได้แก่ ต้ม เคี่ยว ตุ๋น ได้ด้วย

งานดีไซน์ของหม้อหุงข้าว Zhenmi ออกแบบหม้อขนาด 3 ลิตร โดยมีถาดใส่น้ำข้าวอยู่ด้านล่างที่เปิดปิดด้วยระบบแม่เหล็ก ฝาปิดด้านบนสามารถถอดล้างทำความสะอาดได้ การเปิดฝาใช้ระบบปุ่มกดเพื่อให้เปิดได้ง่าย

สินค้าชิ้นนี้จำหน่ายในลักษณะระดมทุนเพื่อผลิต สนนราคา 799 หยวน หรือประมาณ 3,481 บาทต่อเครื่อง และจะจัดส่งโดยบริษัท Xi’an Zhenmi Electronic Technology Co.,Ltd. โดยขณะนี้สามารถระดมทุนได้มากกว่าเป้าหมายไปแล้วถึง 1,074% รวมมูลค่าระดมทุนกว่า 4.3 ล้านหยวน หรือประมาณ 18.7 ล้านบาท

ในประเทศไทยนั้น มีบางแบรนด์ที่ออกสินค้าหม้อหุงข้าวลดน้ำตาลหรือลดแป้งอยู่บ้างแล้ว เช่น Tefal ซึ่งมีหม้อหุงข้าวลดแป้งด้วยการกรองน้ำซาวข้าวออกในลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยให้ข้อมูลว่าสามารถลดน้ำตาลได้สูงสุด 20% สนนราคาขายที่ 7,490 บาท

Source: Gearbest, Central

JSL ผันตัวเป็นแม่ค้า ลุยคอนซูเมอร์โปรดักต์ ผุดแบรนด์ “Ali” จับทางสินค้าเพื่อสุขภาพ วางแผนใน 3 ปี ชูเป็นธุรกิจหลัก หลังธุรกิจมีเดียนิ่ง ปีนี้มองทำรายได้เท่าปีก่อน 500 ล้านบาท

รติวัลคุ์ ธนาธรรมโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจมีเดียไม่โตแต่ก็ไม่ได้ตก ตลาดนิ่งเพราะสภาพเศรษฐกิจ และลูกค้าเองก็ระวังในการใช้เงิน ทางบริษัทจึงมุ่งหาธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเสริมเพื่อลดความเสี่ยง และสร้างการเติบโต

ล่าสุดเทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง จึงลงทุนทำธุรกิจใหม่ในกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพที่ใช้ในชีวตประจำวัน ปีนี้มีแผน 3 โครงการคือ คือ 1. ร่วมทุนกับทางพสุธารา ฟาร์มเลม่อน และพืชสมุนไพรเมืองหนาว จ.ราชบุรี จัดตั้งบริษัท อัลลี เนเชอรัล จำกัด ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท เจเอสแอลถือหุ้น 51% พสุธาราถือหุ้น 49% ทำธุรกิจสุขภาพและความงาม ภายใต้แบรนด์อัลลี (Ali) ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติด้านการดูแลผิวพรรณ และในครัวเรือน อาทิ สบู่รังไหมสด สบู่ผักเบี้ยใหญ่ สบู่โกนหนวด แชมพูสระผม ผลิตภัณฑ์ล้างจาน สเปรย์กันยุงโรสแมรี เป็นต้น

กลยุทธ์ทางการตลาด ต้องการสร้างภาพจำ คือ toxin-free solutions for unban lifestyle สร้างพันธมิตรหลากหลายธุรกิจ สร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ ให้ความรู้ จัดเวิร์กชอป ขยายสู่ผู้แทนจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ และ OEM ให้ธุรกิจโรงแรมสปา หรือโรงพยาบาลที่ต้องการสินค้าปลอดสารเคมี และมุ่งจำหน่ายไปที่ อีคอมเมิร์ซ โดยมีหน้าร้านที่ ศูนย์การค้ามิกซ์ จตุจักร เพื่อจับกลุ่มนักท่องเที่ยว สิ้นปีนี้มองว่าจำรายได้ราว 2-3 ล้านบาท ปีต่อไปน่าจะมีรายได้ที่ 5% ของรายได้รวมบริษัท

2. ขยายธุรกิจสู่เรื่องของอาหารและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ภายใต้ชื่อ Sukina ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้ความรู้เรื่องอาหารบำบัดโรคที่ถูกต้อง 3.ร่วมทุนกันพาร์ทเนอร์ นำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพเข้ามาขายในไทย ซึ่งอยู่ขั้นตอนการเจรจา

“ธุรกิจคอนซูเมอร์โปรดักต์จะเป็นธุรกิจใหม่ที่ทางบริษัทมองว่าหากทำได้ดี ในอีก 3 ปีข้างหน้าอาจจะกลายมาเป็นธุรกิจหลักแทนที่ธุรกิจมีเดียได้ ซึ่งตอนนี้ขอโฟกัสที่ 3 โปรเจกต์ก่อน อนาคตอาจมีการต่อยอดธุรกิจนี้ในรูปแบบคอนเทนต์ต่อไป ขณะที่ธุรกิจมีเดียยังคงให้ความสำคัญอยู่ แต่จะมุ่งเป็นเรื่องของการรับจ้างผลิตเป็นหลัก เพื่อลดความเสี่ยง”

ธุรกิจมีเดีย ปัจจุบันแบ่งออกเป็น (1. รายการที่เป็นเจ้าของเอง คือ เจาะใจ ออกอากาศทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์, เปอร์–สเปกทีฟ ออกอากาศทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ และยุทธการขยับเหงือก 5.0 ออกอากาศทางช่องวัน 31 (2. รับจ้างผลิต 2 รายการ คือ กิ๊กดู๋ สงครามเพลง และ ตามสัญญา ออกอากาศทางช่อง PPTV ทั้งสองรายการ (3. ผลิตละคร/ซีรีส์ ปีหน้าจะมี 2 เรื่อง คือ หว่ออ้ายหนี่ ทางช่อง PPTV และรักแรกพบ ทางช่องวัน

ภาพรวมรายได้ของบริษัทฯ ปีนี้คาดว่าจะปิดที่ 500 ล้านบาทเท่าปีก่อน เกิด จากการปรับองค์กรณ์ภายใน กลยุทธ๋และแผนการดำเนินงาน รวมถึงสภาพเศรษฐกิจ และการที่ลูกค้าประหยัดงบการใช้สื่อโฆษณาก็มีส่วน ขณะที่สัดส่วนรายได้หลักกว่า 60% มาจากรายการทีวี/รับจ้างผลิต และอีก 30% มาจาก อีเว้นท์ โฆษณาทีวี และแคมเปญ สุดท้ายอีก 10% มาจาออนไลน์และอื่นๆ รวมกัน.

Source