สุขภาพและความงาม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 26 Dec 2019 08:05:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ส่องเทรนด์ตลาดความงามเอเชีย 2020 โอกาสเครื่องสำอางผู้ชาย-ลุคธรรมชาติมาเเรง  https://positioningmag.com/1258620 Thu, 26 Dec 2019 07:38:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258620 พฤติกรรมผู้บริโภคชาวเอเชียได้เปลี่ยนไป จากแต่ก่อนคำว่า “ความสุข” ผู้คนมักให้ความสำคัญกับการมีเงินที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันสิ่งที่พวกเขามองหาเเละให้ความสำคัญคือ “การมีสุขภาพที่ดี”

ขณะเดียวกันธุรกิจความงามก็ไม่ได้มุ่งไปที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะผู้หญิงอีกต่อไป เมื่อยุคนี้มีลูกค้าผู้ชายที่ใส่ใจภาพลักษณ์เเละดูเเลตัวเอง เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสดีสำหรับแบรนด์ในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ “สำหรับผู้ชาย” เเละผลิตภัณฑ์ความงามแบบ Personalization หรือ Customization ก็กำลังจะมาแรงในปี 2020

จากรายงาน Beauty Trends in Asia ของ Kantar บริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดกล่าวถึงสิ่งที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดความงามในเอเชียของปีหน้าว่า ความเป็นธรรมชาติที่ช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาพผิวที่ดี เครื่องสำอางในลุคธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้ชาย มียอดขายผลิตภัณฑ์ด้านความงามเพิ่มขึ้นถึง 8% ระหว่างปี 2017 – 2018 เทียบกับผลิตภัณฑ์ FMCG ที่เพิ่มขึ้นเพียง 4% สินค้า Personal Care ในเอเชียยังคงแซงหน้าตลาด FMCG ทั้งหมด

เทรนด์ตลาดความงามเอเชีย 

Derma-care

ผลิตภัณฑ์ Derma-care ได้รับความนิยมมากขึ้น แบรนด์ผลิตภัณฑ์ Derma-care รุกตลาดเกาหลีเกือบ 45% จากเดิม 25% ในปี 2017 ถือเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ส่วนอันดับ 2 คือไต้หวันที่ 40% เพิ่มขึ้นจาก 37.6 ในปี 2017

ผลิตภัณฑ์ Derma-care มีความสามารถในการให้ประสิทธิภาพระดับสูงสำหรับการรักษาปัญหาผิวที่เฉพาะเจาะจง เช่น ผิวหนังอักเสบ แต่ก็ถูกนำมาใช้มากขึ้นในการแก้ปัญหาผิวทั่วไปสำหรับผิวบอบบางและการป้องกันมลพิษ มีการออกผลิตภัณฑ์ Derma-care ใหม่เพิ่มขึ้น จากเดิมตลาดเป้าหมายเป็นเพียงแค่กลุ่ม Niche แต่ทุกวันนี้การค้าปลีกและช่องทางการจัดจำหน่ายสมัยใหม่ ได้ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลิตภัณฑ์ Derma-care ได้จำหน่ายนอกร้านขายยา

Natural Beauty

“ผิวโกลสุขภาพดี” เป็นลุคที่ต้องการมากที่สุดสำหรับชาวเอเชีย ความชุ่มชื่นคือความจำเป็นสำหรับลุคนี้ ทำให้ยอดขายเซรั่มที่มอบความชุ่มชื่นอย่างเข้มข้นเพิ่มขึ้น สูงถึง 61% จาก 58% ในปี 2017 ถือเป็นตัวเลขสูงที่สุดในเอเชีย  ขณะที่จีนเพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 2017 เป็นเกือบ 26% 

ในวันนี้ ลุคที่ “เป็นธรรมชาติ” ต้องใช้เครื่องสำอางที่ช่วยมอบความโปร่งแสง ได้แก่ รองพื้นแบบน้ำ บีบีครีม ไพรเมอร์ และคอนซีลเลอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก

โดย Kantar คาดว่าเครื่องสำอางที่ให้คุณประโยชน์ด้านการดูแลผิวจะมีการเติบโตในอนาคต ซึ่งผลิตภัณฑ์ “Crossover” ระหว่างผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางได้มีการวางจำหน่ายแล้ว อย่างเช่น ครีมโทนเนอร์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นทันที การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไว้ใกล้กับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในจีน แม้พวกเขารู้ว่าเม็ดสีในเครื่องสำอางอาจเป็นอันตราย

Men-only

จำนวนผู้ชายที่ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งเอเชีย โดยเฉพาะจากจีน เกาหลีใต้ และไทย พวกเขาเพิ่มการซื้อผลิตภัณฑ์ในหมวดอื่นๆ เพราะขั้นตอนการบำรุงผิวมีหลายขั้นตอนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนมากก็ยังไม่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ และกลุ่มนี้ยังเติบโตช้ากว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบบ Unisex

ผู้ชายในช่วงอายุ 20 ปี มักจะซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Men-only แต่เมื่อพวกเขาอายุมากขึ้นก็จะเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ได้ ดังนั้นมีโอกาสเติบโตอย่างมากสำหรับแบรนด์ที่จะปรับเปลี่ยนการใช้ผลิตภัณฑ์ Unisex ไปเป็น Men-only เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชายเหล่านี้ “Lapsing” เมื่อเขามีอายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันต่อต้านริ้วรอย ไวท์เทนนิ่ง และกันแดด

 

Customization

ผู้บริโภคในเอเชียเชื่อว่าหากผลิตภัณฑ์ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับเขาโดยเฉพาะ จะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและยังทำให้เขารู้สึกพิเศษ “Customization” ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็งทั้งในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง การวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีช่วยให้สามารถวิเคราะห์สภาพผิวและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มอบประโยชน์เฉพาะสำหรับผิวแต่ละบุคคลได้ เครื่องสำอางที่สามารถปรับสีและเนื้อสัมผัสได้ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

กลยุทธ์ชนะใจผู้บริโภคยุคใหม่ในเอเชีย 

จากแนวโน้มตลาดความงามเเละสุขภาพดังกล่าว สรุปได้เป็น 5 กลยุทธ์ให้ธุรกิจต่างๆ นำไปประยุกต์ใช้เพื่อเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ในเอเชียได้ ดังนี้ 

  • มีความเป็นธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การบำรุงผิวที่ล้ำลึก และมอบคุณค่าทาง Health และ Wellness
  • พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ เข้าใจไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป “ใช้ง่าย” และ “รวดเร็ว” คือสิ่งที่คนเอเชียกำลังมองหา
  • มอบประสบการณ์ใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์ Cross-over ลุคแบบธรรมชาติต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นที่ผนวกเครื่องสำอางเข้ากับผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
  • ให้ผู้บริโภครู้สึก Exclusive ผู้บริโภคในทุกวันนี้ไม่ได้ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาสำหรับทุก พวกเขาต้องการสิ่งที่เหมาะกับเขาโดยเฉพาะ หรือต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็น Personalization
  • มอบคุณประโยชน์ที่ผู้บริโภคชายกำลังมองหา พวกเขาแสวงหาประสิทธิภาพที่มีความล้ำลึกยิ่งขึ้น ต่อต้านริ้วรอยและไวท์เทนนิ่ง คือสิ่งที่ควรค่าแก่การผสนผสาน

เจาะตลาดความงามในไทยอย่างไร? 

ชีวานนท์ ปิยะพิทักษ์สกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประเทศไทยและมาเลเซีย แนะนำกลยุทธ์ในการชนะตลาดความงามในไทยโดยแบรนด์ต้องคำนึงถึง 2 มุมหลัก คือ ผลิตภัณฑ์และการสื่อสาร โดยผลิตภัณฑ์จะต้องเชื่อมโยงกับคำว่า Health และ Wellness โดยผสานความเป็นธรรมชาติเข้าไป 

“สำหรับคำว่า ความเป็นธรรมชาติ ของคนไทยไม่ใช่แค่เรื่องของส่วนประกอบจากธรรมชาติ แต่ยังคำนึงถึงความมีประสิทธิภาพที่ล้ำลึกและมีสารปรุงแต่งน้อยที่สุด ผลิตภัณฑ์ยังต้อง ‘More Customized’ ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น เช่น ป้องกันปัญหามลพิษฝุ่น PM 2.5 ที่มีต่อผิวตอบโจทย์ความต้องการถึงระดับตัวบุคคล ” 

สำหรับการสื่อสารต้องมุ่งเน้นไปที่ ‘Holistic Health Benefits’ คือการสื่อสารให้เห็นคุณประโยชน์ต่อสุขภาพแบบองค์รวม ตอบโจทย์ความต้องการทางด้าน Functional และ Emotional เพื่อสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ดังนั้นแบรนด์ต้องเข้าใจ Insight ผู้บริโภค และกำหนดกลยุทธ์โดยมี Customer Centric เพื่อเติมเต็มความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป

 

 

]]>
1258620
“วัตสัน” ลุยความงามเต็มสูบ! ยกเครื่องร้านใหม่ เติมเทคโนโลยี ตั้งเป้าเป็น “Mask Destination” https://positioningmag.com/1226256 Tue, 23 Apr 2019 14:09:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1226256 ทุกๆ 3-4 ปีวัตสันร้านเพื่อสุขภาพและความงามที่เข้ามาบุกเมืองไทยได้ 23 ปีแล้ว จะยกเครื่องรูปแบบของใหม่สักครั้งหนึ่ง หากการยกเครื่องในปี 2019 ซึ่งใช้ชื่อคอนเซ็ปต์ว่า “G8” หรือ Generation 8 พบว่า การเปลี่ยนแปลงหลักๆ มุ่งไปที่กลุ่มความงามมากกว่าสุขภาพ

การปรับตัวในครั้งนี้ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะอย่างที่รู้จักผู้หญิงไทยไม่เคยหยุดสวย ตลาดความงามจึงไม่หยุดโตข้อมูลจาก ลอรีอัล อ้างอิง ยูโรมอนิเตอร์ ระบุว่า ตลาดความงามไทยปี 2561 มีมูลค่า 1.92 แสนล้านบาท เติบโต 7.3% โดยเซ็กเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดคือสกินแคร์คิดเป็นสัดส่วนกว่า 45%

ตัวเลขนี้สอดคล้องไปกับยอดขายของวัตสันสินค้า 2 กลุ่มหลักที่ขายดีคือสกินแคร์และเวชสำอางหากการเปลี่ยนมาใช้ฟอร์แมต G8 ที่มุ่งเจาะความงาม ไม่ได้หมายความว่า แค่เพิ่มพื้นที่ของสินค้าความงามเท่านั้น แต่ได้เติมเทคโนโลยีต่างๆ เข้าไป เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคยุคดิจิทัล

ร้านแรกที่ถูกปรับปรุงอยู่ที่สยามสแควร์ ภายในมีโซนใหม่ๆ ทั้ง StyleMe เทคโนโลยีเสมือนจริง (ARที่สามารถให้บริการแต่งหน้าเสมือนจริง, TRY ME เทคโนโลยีแสดงสินค้าผ่านรูปแบบวิดีโอ รวมไปถึง Makeup Studio มุมแต่งหน้าและทดลองสินค้า กับมี Free WiFi ให้ใช้

ที่สำคัญมีการร่วมมือกับลอรีอัลในการเปิดช้อปอินช้อปภายในร้าน เบื้องต้นเป็นแบรนด์ Maybelline New York, มีจุดให้ชำระเงินด้วยต้นเอง และยังมีการปรับปรุงบริการใหม่ โดยแบ่งตะกร้าออกเป็น 2 สี เพื่อไม่ให้รบกวนลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว

สาขารูปแบบใหม่ได้เพิ่มพื้นที่เข้าไปด้วยจากเดิมเฉลี่ย 250 ตารางเมตร มาเป็น 400 – 500 ตารางเมตร โดยปี 2019 วางแผนเปิดทั้งหมด 50 สาขา แบ่งเป็นต่างจังหวัด 60% กรุงเทพฯ กับภาคกลาง 40% และจะมีการปรับโฉมทั้งหมด 75 สาขา

สำหรับสาขา G8 ได้เปิดไปแล้วที่ไอคอนสยาม, เดอะมอลล์ บางกะปิ และสยามสแควร์ ใช้งบลงทุนรวมทุกด้าน 630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%

การบุกความงามของวัตสันยังวางแผนที่จะเป็น “Mask Destination” เพราะในต่างประเทศมาสก์หน้าถือเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคใช้ทุกวัน แต่สำหรับเมืองไทยแม้ยอดขายจะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนทั่วไปก็ยังไม่ได้รู้จักมากนัก สิ่งที่วัตสันจะทำนอกเหนือจากการทำโปรโมชั่น การสื่อสารที่มากขึ้นแล้ว ยังจะให้ความรู้เรื่องมาร์คกับผู้บริโภคด้วย

ยังไม่หมดเท่านั้น วัตสันยังจะเพิ่มสินค้าตราวัตสัน (Own Brand)” มากด้วย เพราะอย่างที่รู้จักการเป็นสินค้า Own Brand ย่อมสามารถทำกับไรได้มากกว่าสินค้าที่รับมาขาย

โดยปีที่แล้วสินค้าตราวัตสันเติบโตขึ้นกว่า 20% และสำหรับปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่นวัฒนกรรมผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่นและเกาหลี คาดว่าจะเพิ่มอีก 150 SKU เมื่อถึงสิ้นปีจะทำให้มีทั้งหมด 900 SKU

นอกจากนั้นวัตสันยังให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์มากขึ้นด้วย ในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 248% มีสินค้าที่ขายในนั้นมากกว่า 10,000 SKU โดยเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษและผลิตภัณฑ์ที่เป็นยี่ห้อของวัตสันเองมากกว่า 3,000 SKU

สำหรับกลยุทธ์ในช่องทาออนไลน์ จะเพิ่มการสร้าง Engagement ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชั่น เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ การนำเสนอโปรโมชั่นพิเศษ

ในส่วนของสมาชิกวัตสันมีการเติบโตมากขึ้นถึงกว่า 5 ล้านคนในปีที่ผ่านมา โดยในปีที่แล้ววัตสันได้เปิดตัวโปรแกรมสมาชิก Watsons elite (สมาชิกระดับวีไอพีมากกว่า 14,000 บาทต่อปี

ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมาวัตสันยังได้แม่ทัพคนใหม่ชื่อว่าพสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์ซึ่งทำงานกับวัตสันมากกว่า 15 ปีแล้ว โดยเดิมอยู่ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) ซึ่ง พสิษฐ์ บอกว่าในทางปฎิบัติมีอำนาจไม่ต่างจากร็อด เร้าท์ลี่ย์ผู้จัดการทั่วไปคนเก่ามากนัก

การขึ้นเป็นผู้จัดการทั่วไป วัตสัน ประเทศไทยพสิษฐ์บอกความท้าทายไว้ว่า

วัตสันต้องพัฒนาตัวเองมากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะการสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าแบบไร้รอยต่อ (Seamless experience) ซึ่งหากเราไม่พัฒนาตัวเอง แล้วเกิดอะไรขึ้นเราไปโทษคนอื่นไม่ได้ เพราะตัวเองต้องปรับปรุงพัฒนาตลอดเวลามากกว่า

ปีที่ 2018 ที่ผ่านมาวัตสันมีเติบโต 2 ดิจิ สำหรับในปี 2019 ได้ตั้งเป้าเติบโตในระดับ 2 ดิจิเช่นเดียวกัน ซึ่งหากดูข้อมูลที่ บริษัท เซ็นทรัล วัตสัน จำกัด รายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะพบว่าเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรายได้หลักหมื่นล้าน กำไรหลักพันล้านเช่นกัน

  • ปี 2556 รายได้รวม 9,012 ล้านบาท กำไร 881 ล้านบาท
  • ปี 2557 รายได้รวม 10,278 ล้านบาท กำไร 1,057 ล้านบาท
  • ปี 2558 รายได้รวม 11,688 ล้านบาท กำไร 1,276 ล้านบาท
  • ปี 2559 รายได้รวม 12,826 ล้านบาท กำไร 1,390 ล้านบาท
  • ปี 2560 รายได้รวม 14,667 ล้านบาท กำไร 1,657 ล้านบาท

ปัจจุบันวัตสันมีสาขากว่า 7,200 ร้านค้า และร้านขายยากว่า 1,500 ร้านค้าใน 13 ตลาด ทั้งในเอเชียและยุโรป มี จีนฮ่องกงไต้หวันมาเก๊าสิงคโปร์ไทยมาเลเซียฟิลิปปินส์อินโดนีเซียเวียดนามตุรกียูเครน และรัสเซีย

]]>
1226256
3 มูฟเมนต์ดัน “แอมเวย์” ปิดยอด 19,000 ล้านบาท สูงสุดเท่าที่เคยทำมาในไทย https://positioningmag.com/1201131 Tue, 04 Dec 2018 02:59:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1201131 ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แต่ในความรู้สึกของชาวไทย เรื่องของสุขภาพและความงามต้องมาก่อนเสมอ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้แอมเวย์มั่นใจว่า ปี 2018 จะสามารถเติบโตได้ 4% หรือมียอดขายรวม 19,000 ล้านบาท

ตลอดทั้งปี 2018 แอมเวย์ มีมูฟเมนต์สำคัญถึง 3 ครั้ง ไล่มาตั้งแต่ต้นปีที่เร่งทำตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก บอดี้คีย์ บาย นิวทริไลท์” (BodyKey by Nutrilite) ที่สามารถทำยอดขาย 5,200 ล้านบาท ภายในเวลาเพียง 3 ปี

ขยับมาในช่วงไตรมาส 3 ก็หันมารุกกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัวเอ็กซ์เอส ซีโร่ (XS Zero) เอเนอร์จี้ดริ๊งค์ที่ปราศจากน้ำตาลแบรนด์แรก ที่จัดจำหน่ายทั่วโลกในรูปแบบเอกสิทธิ์เฉพาะ เสริมด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ผ่านออนไลน์คอมมูนิตี้ โดยแอมเวย์ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดเอเนอร์จี้ ดริ๊งค์ สำหรับคนรุ่นใหม่ภายในสิ้นปี 2019

ถัดมาอีกนิดก็ยังเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เป็นเครื่องสำอาง โดยฉีกลุคอาร์ทิสทรี แบรนด์ที่เดิมเน้นจับตลาดพรีเมียมให้ดูสดใสมีชีวิตชีวา โดยเปิดเป็นแบรนด์เครื่องสำอางน้องใหม่ อาร์ทิสทรี สตูดิโอ เมกอัพคอลเลกชั่นแรกคือ อาร์ทิสทรี สตูดิโอ เอ็นวายซี เอดิชั่น (Artistry Studio NYC Edition) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ขาดตลาดหลังเปิดจำหน่ายได้เพียง 2 วัน และคาดว่ายอดขายรวมของอาร์ทิสทรีสิ้นปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่ 2,200 ล้านบาท

ไม่เพียงแต่สินค้าเท่านั้นที่แอมเวย์ต้องการเจาะกลุ่มวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี แต่ในกลุ่มนักธุรกิจแอมเวย์ก็ต้องบุกมากขึ้น ซึ่งแต่เดิมเมื่อผู้คนอยากจะหางานพิเศษหรือรายได้พิเศษ ก็มองเรื่องการทำขายตรงเป็นหลักก่อน

แต่ต้องยอมรับว่า ยุคนี้ผู้บริโภคมีช่องทางเลือกมากขึ้น ทำอะไรก็ง่ายขึ้น เช่น สตาร์ทอัพ หรือเอสเอ็มอี การเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเอง อีกทั้งการเข้าสู่โลกดิจิทัลที่อะไรๆ ก็ง่าย จึงต้องปรับตัวเข้าหากลุ่มนี้ผ่านการปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น และต้องเข้าถึงให้ง่าย

ปัจจุบันแอมเวย์มีฐานกลุ่มอายุต่ำกว่า 35 ปี ประมาณ 1 ใน 3 ของฐานทั้งหมด คือ มีสมาชิกนักธุรกิจแอมเวย์ 330,000 ราย และผู้ใช้สินค้าประมาณ 720,000 ราย ที่สำคัญมีระดับมงกุฎทูตที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปีแล้วด้วย

กิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า

จากการกลยุทธ์ที่วางแผนไว้คาดว่าปี 2018 แอมเวย์จะเติบโต 4% หรือประมาณ 19,000 ล้านบาท สูงสุดเท่าที่เคยทำมาในไทย และสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3% และยังเติบโตกว่าตลาดรวมขายตรงที่คาดว่าทั้งปีนี้ที่ปีจะเติบโต 3% จากมูลค่าตลาดรวม ประมาณ 71,000 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีหน้า แอมเวย์ยังคงเน้นผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม พร้อมปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูทันสมัยและเข้าถึงง่าย เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาช่องทางการทำธุรกิจให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์แอคทีฟ และมุ่งเน้นการดำเนินกลยุทธ์หลักเพื่อสร้างการเติบโตของนักธุรกิจแอมเวย์ด้วย.

อ้างอิง : https://mgronline.com/business/detail/9610000120143

]]>
1201131