สเนลไวท์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 07 Mar 2019 08:28:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 มนต์ความงามเริ่มเจือจาง “สเนลไวท์” ยอดขายตกครั้งแรกในรอบ 6 ปี เตรียมร่ายมนต์ 3 บท “โชห่วย-สินค้าใหม่-ฟิลิปปินส์” พลิกฟื้น https://positioningmag.com/1218045 Tue, 05 Mar 2019 23:07:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1218045 ผู้หญิงไทยไม่หยุดสวย ตลาดความงามไม่หยุดโตแม้คำพูดนี้จะยังคงใช้ได้ในทุกวันนี้ แต่มนต์เสน่ห์กลับเริ่มเจือจาง ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาตลาดสกินแคร์เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักมาตลอด หากปีที่ผ่านมากลับลดลงเหลือ 4-5% ยูโรมอนิเตอร์ประเมินมีมูลค่าราว 70,000 ล้านบาท

ถึงตลาดจะเติบโตลดลงแต่สำหรับสเนลไวท์แล้ว ยอดขายหายไปมากกว่านั้น จากตัวเลขผลประกอบการที่รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุ ยอดขายปี 2018 ลดลง 25.37% จาก 1,674.44 ล้านบาท เป็น 1,249.63 ล้านบาท เช่นเดียวกับกำไรสุทธิลดลง 47.45% จาก 351.06 ล้านบาท เป็น 184.49 ล้านบาท

ศึกใน ศึกนอก

สถานการณ์ของสเนลไวท์ไม่สู้ดีทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะตลาดภายในประเทศคิดเป็นสัดส่วนหลัก 75.32% มีรายได้ 982.18 ล้านบาท ลดลง 16.69 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการที่มีการปิดตลาดใหม่ดอนเมืองและตลาดห้วยขวาง ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งที่ใหญ่สุดในเมืองไทยตั้งแต่เดือนเมษายนส่งผลกระทบโดยตรงกับบรรดาร้านในต่างจังหวัดที่เข้ามาซื้อไปขายต่อ ทำให้ช่องทางเทรดดิชั่นนัลเทรด (Traditional Trade) ยอดขายหายไปกว่า 40% และยังโดนข่าวเรื่องเมจิกสกินมากระทบความน่าเชื่อถือ

นอกจากนั้นการขายในประเทศไม่ได้มีเพียงคนไทยที่มาซื้อ รายได้หลักทางหนึ่งมาจากบรรดานักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีน” ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลัก “จีน” ที่ครองยอดขายถึง 95% -98% ได้หายไป รวมถึงการแข็งค่าเงินหยวนขึ้น 10% กำลังซื้อจึงไม่มากเหมือนเช่นเคย

การหายไปของลูกค้าชาวจีนส่งผลกระทบต่อยอดขายในต่างประเทศลดวูบอย่างหนักถึง 46.03% จาก 495.53 ล้านบาท เหลือ 267.45 ล้านบาท นอกจากกำลังเจอปัญหาชะลอการส่งสินค้าหลังได้รับใบอนุญาตต้องปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งยังเจอการเปลี่ยนแปลงเรื่องกฎเกณฑ์การนำเข้า

สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสเนลไวท์ ยอมรับว่า ยอดขายที่ลดลงไปนั้นถือเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีนับตั้งแต่ทำตลาดมา

ปีที่แล้วเจอปัญหารอบด้าน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ปลุกให้เราต้องลุกมาแก้ไขให้ถูกจุด เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยรู้เลยมีปัญหาอะไร เพราะยอดขายเติบโตมาโดยตลอด ถือเป็นบทเรียนที่ได้เรียนรู้

กลายเป็นที่มาของการร่ายมนต์ 3 บท เพื่อหวังพลิกฟื้นธุรกิจโชห่วยสินค้าใหม่ฟิลิปปินส์วางเป้ากลับมาโต 15% หรือคิดเป็นรายได้ 1,450 ล้านบาท

บุกตลาดโชห่วย

สเนลไวท์วาง Positioning เป็นพรีเมียมแมสวางขายกระปุกละ 800 – 900 บาท ที่ผ่านมาเน้นบุกโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) จนสามารถขยายครอบคลุม 85% จากจำนวนทั้งหมด 15,000 ร้านค้า โดยที่ผ่านมายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับช่องทางเทรดดิชันนัล  (Traditional Trade) หรือร้านโชห่วยที่อยู่ในต่างจังหวัดมากนัก ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงช่องทางเทรดดิชันนัลหรือร้านโชห่วยที่อยู่ในต่างจังหวัดกลับเป็นพี่ใหญ่ในตลาด ครองสัดส่วนราว 60% ด้วยมีร้านค้ารวมกันกว่า 4 แสนร้านค้า

เมื่อนักท่องเที่ยวจีนไม่มา ส่งผลให้ยอดขายผ่านโมเดิร์นเทรดซึ่งเป็นข่องทางหลักจึงหายไปด้วย ทำให้ “สราวุฒิ” จึงต้องลดความเสี่ยง ด้วยการหันมามุ่งปลุกปั้นการขายช่องทาง “เทรดดิชันนัล” ร้านโชห่วยต่างๆ เพิ่ม เพื่อขยายไปยังลูกค้าคนไทยที่เป็นกลุ่ม “แมส” แทน

ด้วยการวางแผนขยายการขายผ่านร้านค้าจาก 2% หรือ 5,000 ร้านค้า เป็น 5% ของจำนวนร้านค้าทั้งหมดภายในปีนี้ โดยเน้นเจาะภาคอีสานและภาคเหนือ นอกจากนี้ยังเตรียมทำ Shop in Shop คือมุมขายสินค้าในร้านโชห่วยขนาดใหญ่ในทำเลที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เบื้องต้นเตรียมทำ 10 จังหวัด

พร้อมกับเตรียมปรับการทำตลาดใหม่ เริ่มจากบรรจุภัณฑ์ที่จะใส่ “คุณสมบัติ ของสินค้าให้ชัดเจน จากเดิมเป็นสไตล์มินิมอล ภาษาอังกฤษล้วน บางครั้งมีภาษาเกาหลี จึงทำให้สู้คู่แข่งไม่ได้ โดยจะวางขายในราคา 39 บาท เพราะผู้บริโภคไทยยอมจ่ายมากขึ้นแล้ว

ด้านโปรโมชั่นก็จะเปลี่ยนจากที่เคยให้ส่วนลด หรือแถมสินค้าของแบรนด์ชิ้นเล็ก แต่ตลาดโชห่วยซับซ้อนมากกว่านั้น เมื่อดูจากแบรนด์ที่เคยทำแล้วประสบคามสำเร็จ จะใช้วิธีขายครีมแถมน้ำตาล น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือเครื่องดื่ม จะเห็นผลกว่า ผู้ซื้อก็สามารถนำไปขายต่อได้ สเนลไวท์ก็จะทำอย่างนั้นบ้าง

เดิมเราใช้เกมตลาดเดียวกับโมเดิร์นเทรดแล้วคิดว่าจะได้ผลเหมือนกันหมดทั่วประเทศ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ มีความซับซ้อนมากกว่านั้น เราเลยต้องปรับ

เพิ่มแบรนด์ใหม่อีก 2 แบรนด์

ปัจจุบันภายใต้แบรนด์สเนลไวท์ มีสินค้าทั้งหมด 20 โปรดักต์ 41 SKU หลักๆ อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ปีที่ผ่านมาได้มีการซื้อแบรนด์ใหม่ในเดือนมิถุนายน ตั้งใจปั้นเป็น Fighting Brand ชื่อ “Prettii Face” ปัจจุบันมีโปรดักต์ 1 ชนิดเป็นมาส์ก โคลนวางขายราคา 699 บาท ปีนี้เตรียมออกสินค้าใหม่เจาะร้านสะดวกซื้อโดยเฉพาะ

อีกแบรนด์คือ “Oxe Cure” ซื้อมาเช่นเดียวกัน มี 6 โปรดักต์ 12 SKU หลักๆ ถูกขายในร้านสุขภาพและความงาม และร้านขายยา เตรียมเพิ่มสินค้าไปขายในร้านสะดวกซื้อ

ในปี 2019 สราวุฒิบอกว่าจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ใน Brand Portfolio อีก 2 แบรนด์ ประเดิมด้วยแบรนด์ “SoS” (เอะสึ โอ เอะสึ)

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ชูผลิตที่ญี่ปุ่น ตั้งใจนำเข้ามาชนกับฮาดะลาโบะ ส่วนอีกแบรนด์จะใช้วิธีซื้อ โดยสนใจในกลุ่มร้านที่ให้บริการเรื่องความงาม เพราะสามารถต่อยอดสินค้าได้ คาดจะซื้อกิจการที่ใหญ่ขึ้นตั้งแต่ 200 ล้านบาทขึ้นไป เงินทุนยังมีอยู่จากการ IPO 1,600 ล้านบาท และเงินลงทุนระยะสั้น 2,600 ล้านบาท

ขณะเดียวกันเกมสื่อสารก็จะเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้การเปิดตัวสินค้าใหม่ของสเนลไวท์ จะต้องมาพร้อมกับพรีเซ็นเตอร์ แต่ตอนนี้ผู้บริโภคทั่วไปเริ่มรับรู้หมดแล้ว การออกสินค้าใหม่จึงอาจจะไม่มีพรีเซ็นเตอร์ จะหันไปทุ่มกับโปรโมชั่นแทน แต่ก็จะใช้เงินในจำนวนที่ลดลง โดยปีที่ผ่านมาใช้เงินกับค่าโฆษณาและส่งเสริมการขายไปถึง 455.66 ล้านบาท

ฟิลิปปินส์ความหวังใหม่ตลาดต่างประเทศ

สุดท้ายความหวังใหม่จากตลาดต่างประเทศอยู่ที่ฟิลิปปินส์ซึ่งได้บุกเข้าไปตั้งแต่เดือนกันยายนสราวุฒิอธิบายว่า เหตุที่บุกฟิลิปปินส์เพราะมีประชากรจำนวนมากถึง 100 ล้านคน แต่ตลาดสกินแคร์ยังมีมูลค่าเพียง 32,000 ล้านบาท ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากแต่สินค้าในตลาดยังมีไม่เยอะมาก นับแต่ที่เข้าไปทำยอดขายทะลุเป้าเกือบทุกเดือน บางเดือนที่ไม่ถึงเพราะกำลังผลิตไม่พอ สินค้ายอดนิยมเป็นสบู่ก้อน

ปีนี้จะลุยทำตลาดเต็มที่ทั้งสินค้าและการตลาด ตั้งเป้ายอดขาย 100 ล้านบาท ส่วนประเทศจีนคาดหวังรักษายอดขายให้คงเดิม เตรียมเพิ่มตัวแทนจำหน่ายอีก 1-2 ราย จากเดิมที่มีรายเดียว ส่วนฮ่องกงก็ตั้งเป้ารักษาฐานเดิม โดยได้ศึกษาตลาดใหม่ๆ ที่อาจจะขยายไปด้วย ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย ไต้หวัน

อย่างไรก็ตามโชห่วยสินค้าใหม่ฟิลิปปินส์ไม่ได้ถูกมองเข้ามาช่วยในปีนี้เท่านั้น แต่สเนลไวท์วางแผนระยะยาว 5 ปี ถึงปี 2023 โดยตั้งเป้ารายได้ 3,000 ล้านบาท เมื่อถึงวันนั้นต้องการเพิ่มจำนวนร้านโชห่วยเป็น 30% หรือ 100,000 ร้านค้า และมีส่วนแบ่งตลาด 5% โดยตั้งใจเข้ามาสู้กับการ์นิเย่ ซึ่งเป็นเจ้าตลาด มีส่วนแบ่ง 28% ครอบคลุมร้านโชห่วย 72%

นอกจากนี้ตั้งเป้าขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าซึ่งปัจจุบัน 3 รายที่ครองอยู่ได้แก่ ลอรีอัล พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล และไบเออร์สด๊อรฟ โดยสเนลไวท์ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งเป็น 12% จากปัจจุบันที่มี 4.3%

]]>
1218045