หนัง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 29 Feb 2024 09:36:01 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 มองตลาด ‘หนังไทย’ ในช่วงขาขึ้น ที่ทำให้ ‘ช่อง 3’ กลับมาลงทุนอีกครั้งในรอบเกือบ 20 ปี https://positioningmag.com/1464441 Thu, 29 Feb 2024 05:20:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464441 ขนาดในวงการ สตาร์ทอัพ ยังเคยล้อวงการ หนัง ว่ากู้เงินมาลงทุนยากพอ ๆ กัน เพราะความเสี่ยงสูง แต่ดูเหมือนว่าหลังช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา วงการ หนังไทย หรือ ภาพยนตร์ไทย ก็เริ่มกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2023 ที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้ของหนังไทยสามารถแซงหน้าหนังฮอลลีวูดที่ 55% : 45% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในวงการ 

โรงภาพยนตร์มากขึ้น ก็ทำรายได้มากขึ้น

ในช่วง 20 ปีมานี้ จำนวนหนังไทยที่ฉายต่อปีมีอยู่ราว 50 เรื่อง ส่วนภาพยนตร์จากต่างประเทศฉายประมาณ 200-300 เรื่อง ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วหนังไทยถือว่ามีสัดส่วนน้อยมาก แม้จำนวนจะน้อยกว่าหลายเท่า แต่ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีแรกที่สัดส่วนรายได้หนังไทยสูงกว่าหนังฮอลลีวูด ด้วยสัดส่วน 55 : 45 จากในอดีตที่สัดส่วนจะหนังฮอลลีวูดจะอยู่ที่ 80 : 20

โดยหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้รายได้ของหนังไทยเติบโตมากขึ้นก็เป็นผลมาจาก จำนวนโรงภาพยนตร์ ที่มีมากขึ้น สามารถกระจายไปถึงระดับชุมชน อย่างใน เครือเมเจอร์ฯ มีโรงภาพยนตร์ทั้งหมด 180 สาขา รวม 838 โรงภาพยนตร์ ส่วนเครือ SF มีโรงภาพยนตร์อยู่ในเครือ 66 สาขา รวม 400 โรงภาพยนตร์ ด้วยจำนวนโรงภาพยนตร์ที่มากขึ้น ก็ทำให้หนังไทยมีโอกาสทำรายได้ได้มากขึ้น ดังนั้น จะเห็นว่ามีหนังไทยหลายเรื่องทำรายได้หลัก 100 ล้านบาทในวันเดียว

“เราเริ่มเห็นเทรนด์ในหลายประเทศที่รายได้จากหนังโลคอลเริ่มมีแชร์สูงขึ้น เนื่องจากคุณภาพที่สูงขึ้น และคนโลคอลก็ยังสนับสนุนหนังของตัวเอง” สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M Studio กล่าว

ผู้ชมเปิดใจกับภาพยนตร์โลคอล

การมาของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งไม่ได้เป็นคู่แข่งกับโรงภาพยนตร์ เพราะหลังจากหมด COVID-19 โรงภาพยนตร์ก็กลับมาอีกครั้ง เพราะโรงหนังเป็นการ ขายประสบการณ์ บางคนมาดูหนังกับเพื่อน กับแฟน กับครอบครัว นอกจากนี้ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งก็มีส่วนช่วยให้คนเปิดใจรับชมโลคอลคอนเทนต์ หรือคอนเทนต์จากประเทศอื่น ๆ ไม่ใช่ฮอลลีวูดมากขึ้น

“เราจะเห็นว่าคอนเทนต์อันดับ 1 ในหลายแพลตฟอร์มไม่ใช่คอนเทนต์จากฝั่งฮอลลีวูด แต่มีทั้งเกาหลีใต้, ตุรกี, อเมริกาใต้ ผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มเปิดใจกับคอนเทนต์ของประเทศอื่น ๆ มากขึ้น”

ดังนั้น ทิศทางการเติบโตของหนังไทยก็มาจากการยอมรับของคนไทยที่เปิดใจมากขึ้นด้วย อาทิ ภาพยนตร์ สัปเหร่อ หรือ ของแขก ที่ดูเป็นภาพยนตร์เฉพาะกลุ่มแต่ก็สามารถประสบความสำเร็จได้

พลังนักแสดงและมีเดียของพาร์ตเนอร์

อีกปัจจัยที่ทำให้หนังไทยมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นก็คือ การที่บริษัทผู้ผลิตหนังได้ พาร์ตเนอร์ ที่แข็งแรง อย่างเช่น ช่อง 3 ที่เป็นพาร์ตเนอร์กับ M STUDIO ทำให้ภาพยนตร์ที่สร้างนั้น ๆ ได้ ศิลปิน ระดับแม่เหล็กของช่อง 3 รวมถึงได้ มีเดียของช่อง 3 ด้วย ซึ่งในส่วนนี่ก็จะช่วยดึงดูดกลุ่มแฟนคลับของศิลปิน ช่วยโปรโมตให้ภาพยนตร์เข้าถึงวงกว้าง รวมถึงการดึงแบรนด์มาเป็นสปอนเซอร์ได้อีกด้วย

ที่น่าสนใจคือ ช่อง 3 หรือ BEC world ได้ร้างราจากการลงทุนทำหนังไปเกือบ 20 ปี นับตั้งแต่บริษัทในเครืออย่าง ฟิล์มบางกอก ที่ผลิตภาพยนตร์คุณภาพ อาทิ ฟ้าทลายโจร, บางระจัน ได้ปิดตัวไปในปี 2005 จนมาปี 2022 ที่ช่อง 3 ได้ลงทุนในการทำหนังอีกครั้ง ผ่านการเป็นพาร์ตเนอร์กับ M Pictures ผลิตภาพยนตร์ บัวผันฟันยับ และในปี 2023 เรื่อง ธี่หยด

ไม่ใช่แค่ขาขึ้น แต่ทีวีต้องหาโอกาสใหม่ ๆ

การที่ผู้ผลิตหนังจะหาพาร์ตเนอร์จากทีวีถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากประโยชน์ที่ได้รับก็มีส่วนช่วยให้หนังประสบความสำเร็จง่ายขึ้น ขณะที่สื่อทีวีเองก็ต้องพยายามหารายได้ใหม่ ๆ เข้ามา เพราะ รายได้โฆษณาของทีวี ลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากผู้บริโภคย้ายไปอยู่บนออนไลน์ ขณะที่คอนเทนต์ที่เคยเป็นจุดเด่นของทีวีอย่าง ละคร ก็ไม่ได้เป็นคอนเทนต์หลักที่ใช้ดึงดูดผู้ชม กลายเป็นรายการ ข่าว ที่เป็นคอนเทนต์ที่ขายได้ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ช่อง 3 จะกลับมาลงทุนในธุรกิจภาพยนตร์อีกครั้ง เพื่อหาโอกาสสร้างรายได้ใหม่ ๆ

สำหรับปี 2024 นี้ ช่อง 3 ได้ร่วมลงทุนกับ M STUDIO ในการผลิตภาพยนตร์ 2 เรื่อง ได้แก่ ธี่หยด 2 และ มานะแมน โดย เทรซี แอนน์ มาลีนนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่ม บมจ.บีอีซี เวิลด์ เปิดเผยว่า ช่อง 3 จะร่วมทุนแบบ 50:50 กับบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ และพร้อมจะร่วมทุนกับทุกค่ายถ้าภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ น่าสนใจ และช่อง 3 ก็มองว่า รายได้จากภาพยนตร์อาจเป็นขาสำคัญในอนาคต โดยปัจจุบันรายได้ 85% ของบริษัทมาจากโฆษณา อีก 15% มาจากอื่น ๆ รวมถึงภาพยนตร์

ปั้นจักรวาลภาพยนตร์ตามรอยฮอลลีวูด

สุรเชษฐ์ มองว่า อีกเทรนด์ที่เห็นของวงการหนังไทยก็คือ เริ่มเป็น แฟรนไชส์หรือจักรวาลภาพยนตร์ เช่น จักรวาลไทบ้าน เดอะ ซีรีส์ ดังนั้น การต่อยอดจากหนังที่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่จะทำให้หนังไทยเติบโตได้ เหมือนกับหนังฮอลลีวูดที่เมื่อหนังประสบความสำเร็จก็จะทำเป็นแฟรนไชส์หรือจักรวาลภาพยนตร์ออกมา เพราะตอนนี้หนังไทยเริ่มสร้างแฟนคลับ ดังนั้น แนวคิดการทำภาพยนตร์จากนี้ต้องต่อยอดเป็นแฟรนไชส์ได้ด้วย

“อย่างธี่หยดที่ประสบความสำเร็จไป เราเลยทำธี่หยด 2 ซึ่งเราก็คาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในระดับเดียวกันกับภาคแรกที่ทำรายได้แตะ 500 ล้านบาท ซึ่งเรามองว่ามันต่อยอดไปได้อีก เช่น สปินออฟของตัวละครในหนัง”

สุดท้ายกลับมาเรื่องคุณภาพ

สุรเชษฐ์ ทิ้งท้ายว่า ตอนนี้โอกาสของภาพยนตร์เปิดกว้างไม่ใช่แค่ฉายในไทย แต่สามารถนำไปขายในต่างประเทศรวมถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งได้ หนังบางเรื่องสามารถขายได้ทุนคืนตั้งแต่ยังไม่ฉาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณภาพต้องดี ซึ่งถ้าหนังไทยในยุคที่ประสบความสำเร็จแบบนี้ก็จะยิ่งดึงดูดคนเก่ง ๆ ให้มาทำหนัง ดังนั้น มั่นใจว่ารายได้จากหนังไทยปีนี้จะมากกว่าหนังฮอลลีวูด อย่างในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 มีภาพยนตร์ 3 เรื่องที่มีคนดูมากกว่า 20 ล้านคน ทำรายได้รวมกันกว่าพันล้านบาท ได้แก่ สัปเหร่อ, ธี่หยด และ 4 King 2

“ตอนนี้หนังไทยเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน อย่างธี่หยดก็ขึ้นอันดับ 1 ในเวียดนาม ต่างประเทศยอมรับหนังไทยเนื่องจากเนื้อหาที่สดใหม่ มีความลึกซึ้ง ดังนั้น โจทย์แรกที่จะทำให้หนังไทยประสบความสำเร็จในตลาดโลกได้คือ ต้องเป็นคอนเทนต์คุณภาพ พอประสบความสำเร็จ ต่างชาติก็จะหันมาเสพผลงานของไทย”

]]>
1464441
สะเทือนวงการ! ‘นักแสดงฮอลลีวูด’ กว่า 1.6 แสนคน หยุดงานประท้วงในรอบ 60 ปี คาดยืดเยื้อถึงสิ้นปี https://positioningmag.com/1437784 Fri, 14 Jul 2023 04:45:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1437784 ย้อนไปปี 2523 เคยมีเหตุการณ์ที่ นักแสดงฮอลลีวูดหยุดงานประท้วง 60 ปีผ่านไป เกิดการหยุดงานประท้วงอีกครั้ง ตามรอยการหยุดงานประท้วงของ นักเขียนบท เนื่องจากไม่สามารถเจรจากับสตูดิโอยักษ์ใหญ่และบริการสตรีมมิ่งได้

นักแสดงฮอลลีวูด ประมาณ 160,000 คน ที่อยู่ในสหภาพแรงงาน SAG-AFTRA ได้ประท้วง นัดหยุดงาน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ที่สมาชิกของสมาคมหยุดงานผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ประท้วงหยุดงานนับตั้งแต่ปี 2523 โดยมีสาเหตุมาจาก 4 ปัญหาหลัก

  • ความเท่าเทียมกันทางรายได้
  • ค่าตอบแทนจากการนำผลงานไปใช้ซ้ำ (residual)
  • การกำกับดูแลการใช้ปัญญาประดิษฐ์
  • ลดภาระของนักแสดงที่ต้องอัดเทปส่งไปออดิชั่นเอง

SAG-AFTRA ระบุว่า สัญญาปัจจุบันนั้นถือว่าล้าหลังเมื่อเทียบกับวิวัฒนาการของธุรกิจสื่อ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนตอนของซีรีส์ที่ลดลง, การเว้นช่วงระหว่างซีซั่นที่นานขึ้น, การมาของสตรีมมิ่งที่ทำให้คอนเทนต์ถูกฉายซ้ำ ๆ ขณะที่ส่วนแบ่งรายได้ของนักแสดงจะได้เพิ่มจากยอดขาย โฆษณา กับยอดขาย DVD ดังนั้น สมาคมจึงต้องการเรียกร้องให้เพิ่มค่าตอบแทน และสวัสดิการณ์อื่น ๆ เช่น สิทธิด้านสุขภาพ, แผนเงินบำนาญหลังเกษียณ

โดย SAG-AFTRA ประเมินว่า สมาชิกกว่าครึ่ง จากทั้งหมด 171,000 คน เคยไม่ได้รับเงินจากการแสดงเลยในบางปี และมีเพียง 5-15% เท่านั้นที่มีรายได้มากพอ ทำประกันสุขภาพ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 26,470 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ การต้องอัดเทปส่งไปออดิชั่นเองก็ต้องใช้เงินสูงถึงประมาณ 250 ดอลลาร์ เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่ายเจรจากันไม่ลงตัวในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้อง ค่าตอบแทนที่เหมาะสม โดย Fran Drescher ประธานสหภาพแรงงาน SAG-AFTRA กล่าวว่า ข้อเสนอของผู้บริหารสตูดิโอนั้น ดูหมิ่นและไม่สุภาพ ขณะที่ ตัวแทนฝ่ายสตูดิโอ ก็กล่าวหาว่า ฝ่ายสหภาพเดินออกจากการเจรจา แม้ว่าพวกเขาเสนอ เพิ่มผลตอบแทนครั้งประวัติศาสตร์ รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ให้แล้ว

“แทนที่จะเจรจากันต่อไป SAG-AFTRA ทำให้เราอยู่ในทางที่จะสร้างผลกระทบทางการเงินให้กับคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อีกหลายพันคนทำ” แถลงจาก Alliance of Motion Picture and Television Producers (AMPTP)

ไม่ใช่แค่เหล่าสมาชิก SAG-AFTRA ที่หยุดงานประท้วง แต่ช่วง 2 เดือนก่อนหน้านี้เหล่า นักเขียนบท ที่อยู่ใน  สมาคมนักเขียนแห่งอเมริกากว่า 11,000 คน ซึ่งการนัดหยุดงานดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ต้องชะงักตัวลง โดยเฉพาะในส่วนของสตูดิโอใหญ่ และยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนในการยุติการประท้วงดังกล่าว แต่มีการประมาณการว่า การหยุดงานประท้วงของนักแสดงและนักเขียนบท อาจยืดเยื้อไปตลอดไปจนถึง สิ้นปี

Source

]]>
1437784
‘Warner Bros’ ประกาศ หนังใหม่ทุกเรื่องปี 2021 จะฉายโรงและลง ‘สตรีมมิ่ง’ พร้อมกัน https://positioningmag.com/1309097 Fri, 04 Dec 2020 04:22:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1309097 หลังจาก ‘Warner Bros’ สร้างเซอร์ไพรส์ใหญ่ปลายปีโดยการฉายหนัง ‘Wonder Woman 1984’ ในช่วงสิ้นปีนี้ พร้อมกับจะลงใน ‘HBO Max’ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งไปพร้อมกันด้วย ล่าสุด Warner Bros ก็ประกาศว่าหนังใหม่ในปี 2021 ทุกเรื่องจะฉายโรงพร้อมกับลงใน HBO Max ในวันเดียวกันทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ Disney เองก็ได้นำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง ‘Mulan’ เข้าฉายใน ‘Disney+’ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่กำลังโตแบบติดจรวด ส่งผลให้ Warner Bros เองก็เดินตามรอยโดยส่ง ‘Wonder Woman 1984’ ลงฉายในช่วงสิ้นปี พร้อมกับปล่อยลง HBO Max พร้อมกัน และตามมาด้วยหนังใหม่ในปี 2021 ทั้งหมดจะทำตามโมเดลนี้

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพยนตร์จะถูกสตรีมบน HBO Max พร้อมกันกับวันที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ทั้งในรูปแบบของ 4K Ultra HD และ HDR แต่การภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ จะมีอายุเพียง 1 เดือน ส่วนภาพยนตร์ที่ฉายโรงก็จะอยู่จนกว่าจะหมดโปรแกรม ซึ่งปัจจุบันค่าแพ็กเกจของ HBO Max อยู่ที่เก็บเงิน 15 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 465 บาทต่อเดือน ในขณะที่ข้อมูลของ National Association of Theatre Owners ระบุว่า ราคาเฉลี่ยของตั๋วภาพยนตร์ 2 ใบในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 18.32 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 568 บาท ซึ่งแปลว่าการดูผ่านสตรีมมิ่งนั้นประหยัดกว่า

สำหรับรายชื่อภาพยนตร์ในปี 2021 ที่จะลง HBO Max ได้แก่ The Little Things, Judas and the Black Messiah, Tom & Jerry, Godzilla vs. Kong, Mortal Kombat, Those Who Wish Me Dead, The Conjuring: The Devil Made Me Do It, In The Heights, Space Jam: A New Legacy, The Suicide Squad, Reminiscence, Malignant, Dune, The Many Saints of Newark, King Richard, Cry Macho และ Matrix 4

“ไม่มีใครต้องการให้ภาพยนตร์กลับมาฉายบนจอใหญ่ไปมากกว่าเราอีกแล้ว และเราทราบดีว่าภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ เป็นส่วนสำคัญของธุรกิจโรงภาพยนตร์ แต่เราต้องสร้างสมดุลให้กับความเป็นจริงที่ว่าโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะให้บริการได้ไม่เต็มที่ ด้วยมาตรการการเว้นระยะห่างในปี 2021” Ann Sarnoff ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของของ Warner Bros กล่าว

The AMC theatre is pictured during the outbreak of the coronavirus disease (COVID-19), in Burbank, California, U.S., June 30, 2020. Picture taken June 30, 2020. REUTERS/Mario Anzuoni

ทั้งนี้ หลังจากที่ Warner Bros ได้เปิดเผยทิศทางนี้ออกมา หุ้นของ AMC Entertainment เจ้าของโรงภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุดของโลกลดลงเกือบ 16% ส่วนคู่แข่งอย่าง Cinemark ลดลงประมาณ 22% โดยซีอีโอของ AMC ก็ได้ออกมาแถลงการณ์ในทันทีว่า “Warner Bros กำลังสละผลกำไรจากโรงภาพยนตร์เพื่อเพิ่มยอดให้กับ HBO Max”

Source

]]>
1309097
วันขอบคุณพระเจ้าไม่ช่วย! ยอดขายตั๋วหนังจาก 250 ล้านเหรียญเหลือไม่ถึง 20 ล้านเหรียญ https://positioningmag.com/1308225 Mon, 30 Nov 2020 05:14:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1308225 โดยปกติแล้วสัปดาห์แห่งวันขอบคุณพระเจ้าเป็นช่วงเวลาที่ดีในบ็อกซ์ออฟฟิศ แต่ในปีนี้การระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์โคม่าอย่างไม่ต้องสงสัย แม้กระทั่งวันหยุดสำคัญอย่าง ‘วันขอบคุณพระเจ้า’ ในเดือนพฤศจิกายนก็จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับครึ่งปีแรก

แม้ภาพยนตร์ใหม่ ๆ ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันขอบคุณพระเจ้าปีนี้จะไม่ได้มีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉายจนได้รับการจัดอันดับให้แย่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แต่การที่รายได้ยังไม่แตะถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐก็ถือว่าน้อยเกินกว่าที่คาดไว้มาก เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปกติตลอดวันหยุด 5 วันจะมียอดขายตั๋วได้มากกว่า 250 ล้านเหรียญในแต่ละปี มีเพียงปี 2011 และ 2014 เท่านั้นที่ยอดไม่ถึงแต่สามารถทำได้ที่ 230 ล้านเหรียญสหรัฐ

“การระบาดใหญ่ส่งผลกระทบในทางลบในทุกวันหยุด ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่วันขอบคุณพระเจ้าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งปกติแล้วครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ๆ จะแห่กันไปที่โรงภาพยนตร์เพื่อฉายภาพยนตร์แอนิเมชั่น ส่วนคนอื่น ๆ จะมองหาภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่สามารถเพลิดเพลินได้ทุกเพศทุกวัย” Paul Dergarabedian นักวิเคราะห์ของ Comscore กล่าว

ปีที่แล้ว ‘Frozen 2’ ‘Knives Out’ และ ‘Ford Vs. Ferrari’ ครองตำแหน่งสูงสุดในบ็อกซ์ออฟฟิศซึ่งทำรายได้ไป 5 วันถึง 263.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพียงแค่ดูที่วันศุกร์เสาร์และอาทิตย์ของสุดสัปดาห์นั้นก็มีรายได้ถึง 181.4 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ในปีนี้ภาพยนตร์หลักเรื่องเดียวที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์คือ ‘The Croods: A New Age’ ของ Dreamwork ความคาดหวังคือภาพยนตร์เรื่องนี้จะดึงดูดผู้ชมบางส่วนเนื่องจากเป็นภาพยนตร์เรื่องใหม่ แต่จะไม่ส่งผลกระทบทางการเงินมากนักในบ็อกซ์ออฟฟิศปี 2020 บทวิจารณ์ยังไม่แจ่มชัดพอว่าจะคุ้มค่าให้ผู้บริโภคบางรายยอมออกมาดูแม้จะเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19

ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเมื่อเชนโรงหนังรายใหญ่เปิดอีกครั้งจนถึงวันที่ 22 พฤศจิกายน บ็อกซ์ออฟฟิศสามารถเก็บเงินได้เพียง 279 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วบ็อกซ์ออฟฟิศทำรายได้ถึง 2.86 พันล้านดอลลาร์ โดยเมื่อสองสัปดาห์ก่อนมีโรงภาพยนตร์ 2,800 แห่งเปิดให้บริการในสหรัฐอเมริกาสุดสัปดาห์ ล่าสุดนี้ มีโรงภาพยนตร์ประมาณ 2,100 แห่งที่เปิดให้บริการ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีโรงภาพยนตร์เปิดให้บริการในช่วงสุดสัปดาห์วันขอบคุณพระเจ้าจำนวนเท่าใด แต่หากจำนวนดังกล่าวลดลงอีก ก็เป็นไปได้ที่จำนวนโรงภาพยนตร์ก็มีส่วนกับบ็อกซ์ออฟฟิศเช่นกัน

นักวิเคราะห์ประเมินว่าอย่างดีที่สุด ‘The Croods: A New Age’ อาจสามารถทำรายได้ระหว่าง 10-15 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 5 วันแรก Doug Stone ประธานของ Box Office Analyst กล่าวว่า ยังไม่ชัดเจนว่าตัวเลขดังกล่าวถูกต้องเพียงใดเมื่อพิจารณาว่าตลาดในปีนี้แตกต่างกันมาก วิธีการทำนายแบบดั้งเดิมสำหรับการเข้าร่วมและการขายตั๋วไม่สามารถใช้ได้

Source

]]>
1308225
หมดยุคมิวสิกเฟสติวัลแบบเดิม ยุคนี้ต้องมี วิดีโอเกม หนัง ถึงจะเอาอยู่ https://positioningmag.com/1153236 Thu, 11 Jan 2018 00:15:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1153236 แกนหลักจัดงานนี้คือ เมลาณี ตันติวานิช เอ็กเซ็กคิวทีฟ โปรดิวเซอร์บริษัทดรอปโซน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด 

เมลาณี เปิดเผยว่า จากแนวโน้มงานเทศกาลดนตรี หรือมิวสิกเฟสติวัลแนวอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยเติบโตถึง 60% และไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ จึงรวมกลุ่มกับเพื่อนที่เป็นโปรดิวเซอร์ และทำงานทางด้านหนังเพลง วิดีโอเกม ทั้งต่างชาติและไทย  จัดมิวสิกเฟสติวัลแนวใหม่ ที่คนมาร่วมงานจะได้ประสบการณ์ใหม่ไม่ใช่ด้านเพลงอย่างเดียว เช่น คนมาร่วมงานได้เล่นเกมเป็นหนึ่งในตัวละครวิดีโอเกม มีเพลงป็นอาวุธ โดยฉากเสมือนในหนัง Sci-fi

ทีมงานที่มีผลงานระดับโลกเช่น Switch Audiovisuals เบื้องหลัง Sonor Barcelona ร่วมกับ Ledscontrol ผู้สร้างเวที Garuda ของ DWP และคลับดังอย่าง Zouk สิงคโปร์ Space และ Amnesia ที่อีบีซา ในสเปน และยังมีผู้ร่วมสร้าง Tomorrowland และ Primavera Sound

งานนี้ไม่ใช่จัดแค่ปีเดียว แต่วางแผนจัดต่อเนื่อง 5 ปี ปี 2561-2565 ใช้งบปีแรก 100 ล้านบาท พอมีสปอนเซอร์แล้ว คาดไม่ขาดทุน และตั้งเป้าปี 2 ขึ้นไป มีรายได้เพิ่มเท่าตัว 

เมลาณีกล่าว 

5 ปีนี้มีความหมาย เพราะธุรกิจมิวสิกเฟสติวัลต้องมีความต่อเนื่อง โดยปีแรกหวังผลเรื่องการสร้างมิวสิกเฟสติวัลแนวนี้ให้เป็นที่รู้จัก มีกลุ่มเป้าหมายเป็นทั้งที่เป็นคอเกม ชอบหนัง ทั้งไทยและต่างชาติ และจะมีแผนไปจัดในต่างประเทศด้วย

งานนี้บัตรราคาเริ่มต้น 3,500 บาท จัดขึ้น 2-3 มีนาคมนี้ ที่วันเดอร์เวิร์ล เอ็กซ์ตรีม ปาร์ค ถนนรามอินทรา คาดมีผู้ร่วมงาน 20,000 คน สำหรับสปอนเซอร์รายใหญ่ขณะนี้ คือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไทยแอร์เอเชีย ทรูวิขั่นส์ ธนาคารกรุงเทพ

เมลาณี เพิ่งจบด้านฟิล์ม จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ออสเตรเลีย เป็นบุตรสาวของ วิเชฐ ตันติวานิช อดีตรองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาองค์กรธุรกิจใหญ่หลายแห่งรวมทั้งบริษัทไทยเบฟเวอเรจ โดย วิเชฐ บอกว่าได้คำแนะนำว่าการทำงานนี้อาจเจอเรื่องไม่คาดมาก่อน ก็ให้ค่อยๆ แก้ปัญหา โดยส่วนตัวก็ช่วยให้คำปรึกษาบ้าง ในส่วนสปอนเซอร์ก็ยังต้องหาเพิ่มเติม

**หมดยุคมหกรรมดนตรีแบบเดิม 

... รุจยาภา อาภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายปฏิบัติการ บริษัทเฟรชแอร์ เฟสติวัล กล่าวว่า ถึงเวลาของเจนเนอเรชั่นใหม่ ไอเดียใหม่ ที่ตนเองและคุณวินิจอาจไม่เคยคิดมาก่อน และสมัยนี้ One Time Event ก็จบแล้ว งานมหกรรมดนตรีต้องต่อเนื่องหลายปี ในแบบที่มีเนื้อหาใหม่และต้องออกนอกประเทศ

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้รู้ได้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไร ต้องใช้เพื่อหาข้อมูลได้ถูกต้อง

วินิจ เลิศรัตนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล ผู้ร่วมจัดงานนี้ เปิดเผยว่า มิวสิกเฟสติวัลแบบเดิมหมดยุค เพราะผู้ชมไม่ว่าวัยใด กลุ่มเป้าหมายใด ก็ต้องการคอนเทนต์ใหม่จากในงาน ไม่ใช่มีลักษณะเหมือนเดิมทุกปี เพราะยุคนี้เปลี่ยนไปมาก คนมีไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คนสนใจ อย่างเฟรชแอร์ก็ไม่จัดมานาน 4-5 ปีแล้ว ส่วนงานนี้ของดรอปโซน เฟรชแอร์ร่วมช่วยทางด้านการจัดการอีเวนต์ในประเทศ เช่น โลจิสติกส์ สถานที่ เป็นต้น.

]]>
1153236
เดือดจอ “โมโน” อัดหนังลงผัง 12 ชั่วโมง ชิงเรตติ้งที่ 3 แซงเวิร์คพอยท์ https://positioningmag.com/1151340 Fri, 22 Dec 2017 04:13:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1151340 สถานการณ์ของทีวีดิจิทัลบอกเลยว่าต้องจับตาดูกันชนิดไม่กะพริบตา เมื่อช่องโมโนที่กำลังทำเรตติ้งขึ้นมาเป็นที่ 3 แซงหน้าช่องเวิร์คพอยท์มาได้เป็นระยะแล้ว

เมื่อดูจาก เรตติ้งช่องประจำสัปดาห์ช่วงวันที่ 11-17 ธันวาคม 2560 นับเป็นสัปดาห์ที่สองของเดือนนี้ที่ โมโน ยึดตำแหน่งเรตติ้งสูงเป็นที่ 3 ไว้ด้วยตัวเลข 0.806 ชนะเวิร์คพอยท์อย่างเฉียดฉิวที่มาติด ๆ ด้วยตัวเลข 0.802 แม้เป็นรองจากช่อง 3 ที่อยู่ในอันดับ 2 ด้วย ตัวเลข 1.265 โดยมีแชมป์อย่างช่องทิ้งห่างไปด้วยตัวเลข 2.072 แต่โมโนได้สัมผัสที่ 3 ในที่สุด 

นี่เป็นการสะสมผลงานที่โมโนทำได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะชั่วโมงทองไพรม์ไทม์ทุกวัน อย่างเช่นวันที่ 14 .. ขณะที่ช่องอื่นกำลังสู้กันแย่งผู้ชมละครไทย แต่โมโนเลือกยิงภาพยนตร์ฝรั่งยาวกว่า 2 ชั่วโมง เรื่องเดียวที่เริ่มก่อน 2 ทุ่ม และคั่นเวลาด้วยข่าวพระราชสำนัก และออนแอร์ต่อจนจบ ทำให้ได้ประสิทธิผลในการดันเรตติ้ง 

อย่างหนังพรีเมี่ยม บล็อกบัสเตอร์ ภาพยนตร์ฝรั่งเรื่อง Escape Plan ที่เริ่มช่วงแรกเวลา 18.20-20.12 . ได้เรตติ้งไป 2.706 พอช่วงสองเวลา 20.25-20.45 .ได้ไป 3.972 หายใจรดต้นคอจี้ติดละครไทย เรื่อง วังนางโหง ของช่อง 7 ที่มีเรตติ้ง 4.110 และชนะหนุมาน สงครามมหาเทพของช่อง 8 ที่ตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยเรตติ้ง 3.587 โดยมีเดอะแมสก์ซิงเกอร์ 3 ได้ที่ 4 ด้วยเรตติ้ง  3.320 ส่วนอันดับ 5 ของวันนั้นเป็นของช่องวัน เรื่องชายไม่จริงหญิงแท้ 2.565

หลังจาก 20.45 .โมโนยังต้องการดึงเรตติ้งต่อด้วยหนังยาว ต่อจาก Escape Plan จึงจัด Blade II มาต่อจนถึง 23.01 ได้เรตติ้งไป 1.868

หากย้อนไปสัปดาห์ก่อนหน้านั้น โมโนก็อยู่ในอันดับ 3 โดยมีการจัดความหลากหลายของหนังจากพรีเมี่ยม บล็อกบัสเตอร์ ลงผังในแต่ละวันของสัปดาห์ อย่างเช่นวันที่ 6 .จัดเรื่อง Fearless จอมคนผงาดโลก (.จีน) ที่ได้เรตติ้งในช่วง 2 เวลา 20.15-20.38 . ไป 2.929 และใช้วิธีการตรึงผู้ชมต่อด้วยหนังพรีเมี่ยม บล็อกบัสเตอร์เรื่องอื่น ๆ ที่อาจจะฮิตน้อยกว่า แต่ก็ได้เรตติ้ง

จบจากหนังจีนแล้ว จึงต่อด้วยเรื่อง Prince of Persia : The Sands of Time ช่วงเวลา 20.38 -22.55 . ทำเรตติ้งได้ 2.092

ทำให้ใช่ช่วงหลัง 6 โมงเย็นจนเกือบเกือบ 5 ทุ่ม พยุงเรตติ้งไว้ได้เฉลี่ย 2 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยเรตติ้งช่องที่ไม่ถึง 1 ในแต่ละวัน

หากดูผังทั้งวันของช่องโมโน มีหนังจากทั้งบล็อกบัสเตอร์ และหนังดัง ๆ รวม 6 เรื่อง ตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึงตี 1 กว่า บางเรื่องรีรันบ้างในช่วงกลางวัน เรียกได้ว่าครึ่งหนึ่งของผังรายการ 24 ชั่วโมง หรือหากไม่นับ 6 ชั่วโมงหลังเที่ยงคืน เท่ากับว่า 2 ใน 3 ของเวลาออนแอร์ที่ทำเรตติ้ง และขายเวลาโฆษณาได้ คือหนัง นอกจากนี้ยังมีซีรี่ส์อีกในบางช่วง

การวางจุดยืนให้เป็นช่องหนัง ประกอบกับการอัดฉีดหนังดังลงจอต่อเนื่อง ทำให้เรตติ้งของโมโนทำท่าอาจจะแซงเวิร์คพอยท์ ที่มีรายการวาไรตี้โชว์เป็นหลักในเดือนธันวาคมนี้ 

นอกจากนี้ยังสะท้อนว่าตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่โมโน มีเรตติ้งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และชนะช่อง 8 ในปี 2559 และปัจจุบัน เดินถูกทางที่ในกลุ่มผู้ชมมีความต้องการที่หลากหลาย และมีผู้ชมของช่องแน่นอน หากมีคอนเทนต์ที่ดีจริงมานำเสนอ

นั่นคือสิ่งที่แม้ว่าจะมีช่องอื่น ๆ เดินตามทั้งไทยรัฐทีวี ทรู4ยู ที่พยายามนำหนังมาเติมผังในบางเวลา แต่สำหรับโมโนแล้ว บอกได้ว่าไม่สะเทือน

ไทยรัฐทีวี เพิ่งร่วมมือกับค่ายกันตนาและเมเจอร์ปั้นรายการช่วง เอ็มเธียเตอร์ ออนแอร์ศุกร์ 4 ทุ่ม และวันอาทิตย์เที่ยง นำหนังจากทั้งฮอลลีวู้ด บอลลีวู้ด และไทยมาออนแอร์ ส่วนช่องทรู4ยู ก็มีหนังมูฟวี่เวิลด์ ทุกวัน ช่วง 9 โมงเช้า มีหนังไทยมูฟวี่ฮิต วันพุธ 3 ทุ่มครึ่ง และศุกร์อาทิตย์ 3 ทุ่ม

***สัญญาลิขสิทธิ์หนังพรีเมี่ยมยาว 7-8 ปี

นวมินทร์  ประสพเนตร  กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด กล่าวว่า โมโนมีคลังหนังพรีเมี่ยม บล็อกบัสเตอร์ที่ใหม่ที่สุด หลังออกจากโรงหนังไม่เกินปีครึ่ง ใครที่มาทีหลัง ก็ได้หนังที่โมโนเลือกไม่เอาแล้ว เรียกได้ว่าโมโนได้ของดีมาหมดแล้ว 

นี่คือบทพิสูจน์วิธีคิดที่ว่า เมื่อมีช่องทีวีมาก ก็ต้องทำ Positioning ให้แตกต่าง และมีจุดเด่น เพราะตลาดกว้างพอ จุดแข็งของโมโนคือเรานำหนังมาฉายอยู่แล้ว พอมีช่องก็ปักธง ตลาดนี้เราทำเซ็กเมนต์ใหม่ขึ้นมา คือกลุ่มที่ไม่ดูละคร ส่วนคนดูละครก็ไม่ได้ชอบดูทุกเรื่อง บางเรื่องไม่โดน ผู้ชมก็หาอย่างอื่นดูทันที” 

สำหรับงบลงทุนคอนเทนต์ทั้งหมดปีหน้ายังคงไม่ต่างจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละ 600-800 ล้านบาท โดยในผัง 65% เป็นหนัง ซีรี่ส์ 25% เป็นข่าวสารสาระ และ 10% เป็นวาไรตี้

เมื่อเรตติ้งดีขึ้นต่อเนื่อง โมโนจึงเตรียมขึ้นอัตราค่าโฆษณา ตามเรตการ์ดไพรม์ไทม์สูงสุดเฉลี่ยปัจจุบัน 1.2 แสนบาท จะเพิ่มเป็น 1.5 แสนบาท 

ความมั่นใจของโมโนคือมีพันธมิตรสตูดิโอหนังเกือบทั้งหมด ในฝั่งฮอลลีวู้ด ทั้งวอร์เนอร์ บราเธอร์ส , วอลท์ ดิสนีย์ , ยูนิเวอร์แซล , พาราเม้าท์ , โซนี่ , ซีบีเอส , มิราแม็กซ์ สัญญาผูกขาดนาน 7-8 ปี

สำหรับระดับของหนัง แบ่งเป็นพรีเมี่ยม บล็อกบัสเตอร์หนังฟอร์มใหญ่ ที่ได้รับความนิยมสูงจากฮอลลีวู้ด ฮิต มูวี่ส์หนังหลากหลายแนว  และเมกะ มูวี่ส์หนังภาคต่อ

ที่มีการผลิตออกมาหลายภาค รวมคลังหนังของโมโนมีอยู่กว่า 1,000 เรื่อง

นวมินทร์ กล่าวว่าในแต่ละสัปดาห์ที่จัดหนังลงผัง แต่ละเรื่องจะได้กลุ่มเป้าหมายที่ต่างกัน แต่โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ชมวัยทำงาน ผู้ใหญ่ และอยู่ในต่างจังหวัดมากกว่า ดังนั้นการจัดผังโดยยิงหนังยาว จึงเริ่มหลัง 6 โมงเย็นที่คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่กลับถึงบ้านแล้ว

อย่างเช่นเรื่อง พรีเมี่ยม บล็อกบัสเตอร์ ภาพยนตร์ฝรั่ง เรื่อง Iron Man 3 ที่ออนแอร์วันที่ 5 ..2560 เริ่มช่วงแรก เวลา 18.18-20.15 น. ได้เรตติ้ง 3.001 ช่วงสอง เวลา 20.20-21.03 . ได้เรตติ้ง 3.682

หนังพรีเมี่ยม บล็อกบัสเตอร์ ช่วงเย็นบางวันอาจเป็นหนังจีน หรือหนังฮอลลีวู้ด เมื่อจบแล้วอาจต่อด้วยพรีเมี่ยม บล็อกบัสเตอร์ เช่นกัน หรือ พรีเมี่ยมซีรี่ส์ เช่นวันที่ 6 ..โมโนเลือกเรื่อง Prince of Persia : The Sands of Time ออนแอร์เวลา 20.38-22.55 . ต่อจากเรื่องหนังจีน เรื่อง Fearless จอมคนผงาดโลก 

Prince of Persia : The Sands of Time ที่ชนกับเวลาละครช่องใหญ่โดยตรง แม้เรตติ้งไม่ชนะช่องใหญ่ แต่ก็ยังเก็บกลุ่มผู้ชมหลักไว้ได้ โดยเฉลี่ยเกิน 2 เรื่องนี้ได้เรตติ้ง 2.092 ในต่างจังหวัด 2.157 กทม. 1.715 กลุ่มผู้ชมชาย 2.583 หญิง 1.624 ได้เรตติ้ง 2 ขึ้นไป จากกลุ่มอายุมากกว่า 30 ปี

ผลงานของช่องโมโน ซึ่งใช้หนังเป็นอาวุธปูพรมในผังถึง 12 ชั่วโมง ทำให้เรตติ้งของช่องโมโนในปี 2558 อยู่ที่ 0.301 อยู่ในอันดับ 4  แต่ปี 2559 และ 10 เดือนแรกของปี 2560 ขยับมาที่ 0.536 และ 0.688 แซงช่อง 8 มาเป็นที่ 4 เป็นที่เรียบร้อย และในเดือน พ..ที่ผ่านมาโมโนได้เรตติ้งเฉลี่ยทั้งเดือน 0.739 ตามเบียดช่องเวิร์คพอยท์ที่ได้ที่ 3 ด้วยเรตติ้ง 0.784

การแข่งขันของธุรกิจทีวีดิจทัลมีหลายโมเดลที่ทำให้แต่ละช่องสำเร็จได้ในแง่ของเรตติ้งและรายได้ สำหรับโมโนแล้ว รู้ตัวว่าจุดแข็งที่มีของตัวเองคืออะไร เริ่ม และทำต่อเนื่องจริง ผู้ชมก็พร้อมเป็นแฟนของช่องได้ทันที.

]]>
1151340