ศิลปิน :
นพดล โชตะสิริ
ไพฑูรย์ จงทอง
อัมฤทธิ์ ชูสุวรรณ
อลงกรณ์ ศรีประเสริฐ
รณรงค์ บุตรทองแก้ว
ชัยวัช เวียนสันเทียะ
เอกลักษณ์ สระแก้ว
กัมปนาท สังข์สร
พีรนันท์ จันทมาศ
พฤกษ์ โตหมื่นไวย
ชัยรัตน์ มงคลนัฎ
วรรณพล แสนคำ
ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท
พิเชษฐ บุรพธานินทร์
จักรพันธ์ หิรัญสาลี
กฤษฎา ดุษฎีวนิช
พงพันธ์ นิ่มมา
นักรบ กระปุกทอง
เจษฎา อำภา
เสริมศาสตร์ พูลบุตร

โดย : หอศิลป์ตาดู(ในเครือไทยยานยนตร์)

จัดแสดง : วันที่ 16 – 27 ธันวาคม 2551 เปิดนิทรรศการวันอังคารที่ 16 ธันวาคม 2551 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป

ณ หอศิลป์ตาดู ชั้น 7 อาคารบาร์เซโลน่า มอเตอร์ ถ.เทียมร่วมมิตร

จากปีที่แล้วได้ริเริ่มจัดนิทรรศการส่งความสุขปิดท้ายกันไปที่หอศิลป์ตาดู โดยได้กลุ่มศิลปินรุ่นใหม่ๆจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มาส่งความสุขให้กันถ้วนหน้า และในปีนี้ก็เช่นกัน คุณอภิศักดิ์ สนจด ผู้อำนวยการหอศิลป์ตาดูได้ร่วมมือกับ อ.อำมฤทธิ์ ชูสุวรรณ ศิลปินรุ่นใหญ่ที่ใครๆก็รู้จัก มาทำหน้าที่คัดสรรผลงานและนำทีมศิลปินทั้งรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่(มาก) จำนวน 20 ชีวิตถ้วน มาสร้างศิลปะส่งความสุขให้กับทุกคนอีกครั้งในปีนี้

จากชีวิตของเราคนหนึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปีคาดว่าหลายๆชีวิตได้ประสบการณ์ที่ สด ใหม่ โลดโผน สู้ชีวิตแปลก แตกต่าง มันมาก เศร้ามาก สนุกที่สุด หรือเหมือนเดิม แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้ชีวิตคนเรามีสีสันและความคิดที่ต่างกันไป ศิลปินกลุ่มนี้ก็คงไม่ต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆเท่าไรนัก หลังจากโดนประสบการณ์จากทั้งปีมาแต่งแต้มชีวิตให้สดชื่นบ้าง โศกเศร้าบ้าง ก็ได้ละลายกลายออกมาเป็นงานศิลปะให้เราได้ดูประสบการณ์ของพวกเขาโดยทั่วกัน

จากความคิดที่เป็นนามธรรมสู่ผลงานรูปธรรมที่มีทั้งเทคนิคการจัดวาง วีดีโอ และภาพวาด ที่แฝงไปด้วยความรู้สึกและแนวคิดที่มีต่อทั้งสังคมและสิ่งรอบตัวได้อย่างน่าสนใจ เช่นในเรื่องของเวลาซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสิ่งต่างๆทั้งในธรรมชาติและชีวิตของมนุษย์ เปลี่ยนกลางวันให้เป็นกลางคืน เปลี่ยนอายุขัยจากวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่จนในที่สุดก็กลับสู่ธรรมชาติ ส่วนในเรื่องที่สะท้อนสังคมก็ยังคงมีแทรกอยู่ในทุกผลงานไม่มากก็น้อยทั้งในเรื่องของฐานะ คนชั้นบน คนชั้นล่าง และความเสื่อมถอย

ยังไงก็ตาม “ความสุข ” ที่ศิลปินแต่ละคนได้สร้างอาจจะไม่ได้ “ความสุข “ เพียวๆ แต่อาจเป็นความสุขที่อยากให้ทุกคนได้มองเห็นมุมมองหลายๆอย่างจากการสร้างงานของพวกเขา จินตนาการและประสบการณ์ที่สื่อออกมากับผลงานอาจทำให้คุณอมยิ้มและเปิดจินตนาการแห่งความสุขในตัวคุณได้ในเวลาเดียวกัน

หอศิลป์ตาดู (ในเครือยนตรกิจ กรุ๊ป)
ชั้น 7 อาคารบาร์เซโลน่า มอเตอร์ ถ.เทียมร่วมมิตร
เวลาทำการ 9.00 – 18.00 น. วันจันทร์ – เสาร์
ปิดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
โทร. 02-6452461 / 02-6452473
แฟกซ์ 02-6452460 / 02-6452473
อีเมล : [email protected] /
[email protected]/ www.tadu.net
www.myspace.com/taducontemporaryart

ศิลปิน : วงแจ๊ส Blue Band, กีต้าร์ลายไทย, วงดนตรีไทยสายศิลป์ไทย, วงกลองยาวศิลปากร, Woodoo Band และ Backpacker

จัดแสดง : วันที่ 10 – 11 พฤศจิกายน 2550 เวลา 17.00 – 21.00 น. ณ หอศิลป์ตาดู อาคารบาร์เซโลน่า มอเตอร์ ชั้น 7 ถ.เทียมร่วมมิตร

ดนตรีไทย: รากลึกของวัฒนธรรมของประเทศไทย ด้วยท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังได้รับการกล่าวถึงข้อจำกัดเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมที่ตายตัว ซึ่งนับเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ดนตรีไทยไม่สามารถมีพื้นที่ของตนเองในวงการดนตรีร่วมสมัยอย่างชัดเจนและกว้างขวางพอที่จะยืนหยัดทรงกายได้ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ในอีกด้านหนึ่งก็มีวงดนตรีนอกกระแสอีกมากกมายที่พยายามจะประยุกต์ใช้ หยิบยืม หรือแม้แต่หาแรงบันดาลใจจากสำเนียงและจังหวะดนตรีของดนตรีไทย แล้วนำมาสร้างสรรค์เป็นสิ่งใหม่ๆ คอนเสิร์ตตาดู – หูฟัง ครั้งที่1 : “Let’s world your Thai!” จึงได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเวทีการแสดงให้กับวงดนตรีนอกกระแสเหล่านั้นเพื่อที่จะแสดงศักยภาพทางดนตรีที่ได้รับมาจากการประยุกต์ ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลง “ความเป็นไทย” แบบเดิม ให้สามารถนำเสนอได้ในสังคมร่วมสมัย และในขณะเดียวกันก็เป็นเวทีทางเลือกให้กับผู้ชมซึ่งมีความสนใจในรูปแบบทางดนตรี world music ที่รวบรวมเอาความหลากหลายทางวัฒนธรรมดนตรีเอาไว้ และมีกลิ่นไอทางวัฒนธรรมอันเต็มไปด้วยลักษณะเฉพาะซึ่งพร้อมที่จะร้อยเรียงผสมผสานจนก่อกำเนิดเป็นสิ่งใหม่อยู่เสมอ ภายใต้ความเป็นดนตรีซึ่งเป็นสากลยิ่งกว่าภาษาใดในโลก

ในคอนเสิร์ตนั้นจะประกอบไปด้วยวงดนตรีแจ๊สในต้อนต้นที่จะมาช่วยเสริมสร้างบรรยากาศและ “อุ่นเครื่อง” ให้ผู้ดูพร้อมที่จะรับฟังการประชันดนตรีซึ่งจะเกิดขึ้นในห้องจัดแสดงนิทรรศการของหอศิลป์ ระหว่างวงดนตรีสายศิลป์ไทยซึ่งเป็นวงดนตรีไทยล้วนๆ กับวงดนตรีกีต้าร์ลายไทยฉบับเยาวชนซึ่งถือเป็นวงเครื่องสายตะวันตกสำเนียงไทยเลือดใหม่ โดยจะเป็นการปะทะกันด้วยสำเนียงดนตรีไทยล้วนๆ จากความแตกต่างของเครื่องดนตรีสองซีกโลก หลังจากนั้นเรามีวงกลองยาวอาชีพซึ่งย้ายพื้นที่ตนเองจากงานบวช งานมงคล มาสู่ดาดฟ้าของหอศิลป์ตาดูเพื่อสร้างสีสันด้วยจังหวะกลองแบบไทยๆ ที่เราคุ้นเคยกันดี นำท่านขึ้นไปบนดาดฟ้าของตัวอาคารเพื่อพบกับการแสดงของวงเครื่องเคาะ และเครื่องดนตรีประกอบจังหวะแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นของไทยดังเดิมและที่มาจากทั่วโลก เริ่มจาก Woodoo band วงดนตรีจังเกิ้ลสัญชาติไทยซึ่งผสมผสานจังหวะของดนตรีภาคใต้เข้ากับสำเนียงดนตรีแบบแอฟริกันของกลองเจมเป้ หรือว่าจะเป็นดิจจูรี่ดูจากทวีปออสเตรเรีย หลังจากนั้นก็พบกับวง Percussion นาม Backpacker นักดนตรีซึ่งอยู่ในชุดของนักศึกษาจากคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่รวมตัวกันสรรค์สร้างจังหวะอันสนุกสนาน และการแสดงที่ทรงพลัง จากเครื่องดนตรีเฉพาะกิจที่พวกเขาคัดสรรกันมา

ท้ายที่สุดแล้วก็จะเป็นการรวมตัวของวงดนตรีทั้งหมด การรวมตัวทางดนตรี ระหว่างวงดนตรีสัญชาติไทยที่ใช้อุปกรณ์ดนตรีโบราณจากหลากทวีป วงดนตรีที่สร้างสรรค์จังหวะจากอุปกรณ์เหลือใช้ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ และวงดนตรีที่นำเสนอสำเนียงไทยภายใต้การสร้างสรรค์ของสายตาจากตะวันตก จึงเป็นการร่วมมือและประชันทางดนตรีที่หาชมได้ยากยิ่ง บนความหลากหลายของสำเนียงและจังหวะในบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่างแต่ก็มีจุดยืนร่วมกัน นี่อาจจะเป็นการ “ปล่อยตัวเองเป็นอิสระ แล้วให้จังหวะสร้างโลกใหม่” ที่จะแสดงภาพลักษณ์ ความสามารถ ศักยภาพ และตัวตนทางวัฒนธรรมร่วมสมัยของดนตรีในลักษณะของเราอย่างแท้จริง โครงการนี้จึงเป็น การสรรค์สร้างความเป็นไปได้ทางจังหวะและสำเนียงใหม่ๆ ให้กับประเทศไทยในโลกร่วมสมัยที่พรมแดนของ วัฒนธรรม เชื้อชาติ และ ภาษาดูจะเบาบางลงไปแล้ว เปิดโอกาสให้ความแตกต่างทางวัฒนธรรมผสมได้ประชัน ร่วมมือและยอมรับกันเองมากขึ้น ช่วยเปิดมิติใหม่ให้กับท่วงทำนองดนตรีแบบไทยๆ ของเราก้าวไปสู่ความเป็นร่วมสมัยมากขึ้น และเป็นที่รับรู้ในโลกของดนตรีอันเป็นสากลมากกว่าที่เคย

นอกจากนี้ยังมีงานเสวนาดนตรี “จังหวะ เสวนา” ครั้งที่ 1 ในวันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2550 เวลา 13.00 – 17.00 น. ณ หอศิลป์ตาดู ชั้น 7 โดยจะพูดคุยกันในเรื่องแนวทางในการพัฒนาดนตรีอิสระกับพื้นที่ในสังคม ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานเสวนาในครั้งนี้ด้วย

หอศิลป์ตาดู (ในเครือยนตรกิจ กรุ๊ป)
ชั้น 7 อาคารบาเซโลนา มอเตอร์ ถ.เทียมร่วมมิตร
เวลาทำการ 9.00 – 18.00 น. วันจันทร์ – เสาร์
ปิดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
โทร. 02-6452461 / 02-6452473
แฟกซ์ 02-6452460 / 02-6452473
อีเมล : [email protected] /
[email protected]/ www.tadu.netwww.myspace.com/taducontemporaryart

หากคุณกำลังคิดหาของขวัญสุดพิเศษเพื่อคนพิเศษของคุณ สยาม ไวเนอรี่ ผู้ผลิตไวน์มอนซูน แวลลี่ย์ ไวน์ไทยชั้นนำคุณภาพเลิศ ขอแนะนำแนวคิดบริการใหม่ที่ไม่เหมือนใครกับ “บ่มรัก บ่มไวน์” ไวน์สำหรับคนสำคัญ พร้อมให้คุณเนรมิตฉลากไวน์ด้วยตนเองแล้ว เป็นอีกทางเลือกใหม่ที่คุณสามารถเลือกเป็นของขวัญสุดพิเศษสำหรับคนสำคัญในโอกาสพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วันเกิด งานเฉลิมฉลอง หรือวันครบรอบแต่งงาน โดยคุณสามารถแต่งแต้มจินตนาการไปกับข้อความและฉลากไวน์ที่ออกแบบได้ด้วยตัวคุณเอง เพื่อให้เป็นไวน์แห่งความทรงจำเฉพาะสำหรับคนพิเศษของคุณ

“บ่มรัก บ่มไวน์” แนวคิดสุดเก๋ไม่ซ้ำใคร ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกและเพิ่มความแปลกใหม่ให้แก่ผู้ที่ชื่นชอบ หลงรักในไวน์ ซึ่งกำลังมองหาความพิเศษในแบบฉบับของคุณเอง ลูกค้าสามารถตัดและคัดเลือกองุ่นพวงที่คุณต้องการได้ด้วยมือคุณเอง ณ ไร่ทับกวางอันสวยงาม ใกล้กับจังหวัดสระบุรี ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งจะเป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวและฤดูกาลแห่งรัก ในระหว่างที่รอการบ่มไวน์ให้ได้คุณภาพตามกรรมวิธี โดยจะมีทีมผู้ชำนาญของสยาม ไวเนอรี่ดูแลอย่างใกล้ชิด จึงทำให้คุณมีเวลาสรรหาข้อความซึ้งๆ หรือรูปภาพสวยๆของคุณและคนสำคัญเพื่อเตรียมใส่ไว้ที่ด้านหน้าของฉลากไวน์ และเติมเต็มอีกครั้งในฉลากด้านหลังในสำหรับขั้นตอนสุดท้าย

สำหรับลูกค้า 2 คู่แรกของแนวคิด “บ่มรัก บ่มไวน์” เป็นคู่สามีภรรยา ได้แก่ คุณปิ่นยศ พิบูลสงคราม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด สายการบินนกแอร์ และคุณภาวิณีภรรยาสุดที่รัก ได้ให้เกียรติเข้าร่วมกิจกรรมเป็นคู่แรก โดยจะใช้ไวน์จากแนวคิดดังกล่าวเป็นของที่ระลึกแห่งความทรงจำของการตั้งครรภ์ โดยเลือกใช้ “บ่มรัก บ่มไวน์” ไวน์ที่สามารถออกแบบฉลากเองได้ นอกจากนี้ ลูกค้าอีกคู่ที่ชื่นชอบไวน์เป็นพิเศษ คือ คุณปิยะกานต์ เกรียงไกร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ของ บริษัท ชูจักร ก่อสร้าง จำกัด และว่าที่ภรรยาคุณวรวิมล ซึ่งจะใช้ไวน์นี้เพื่อเฉลิมฉลองกับเพื่อนและครอบครัวสำหรับพิธีแต่งงานที่กำลังจะมาถึง

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมของ “บ่มรัก บ่มไวน์” กรุณาติดต่อที่คุณอรุโณทัย สยาม ไวเนอรี่ เบอร์โทรศัพท์ 02-533-5600

เกี่ยวกับสยาม ไวเนอรี่
สยาม ไวเนอรี่ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2529 เป็นผู้ผลิตไวน์ชั้นนำและผลิตสินค้าที่ทำมาจากองุ่นของประเทศไทย สินค้าในเครือของสยาม ไวเนอรี่ประกอบไปด้วยสปาย ไวน์คูลเลอร์ ไวน์มอนซูน แวลลี่ย์ และสบาย ทุกผลิตภัณฑ์มีอยู่แพร่หลายตามร้านค้าทั่วไปและได้รับความสนใจจากโรงแรม และร้านอาหารระดับสูงทั่วประเทศ อีกทั้งส่งออกไปยัง 20 ประเทศทั่วโลก
www.siamwinery.com www.monsoonvalleywine.com

นิทรรศการจากเทคนิค Collage Painting
ศิลปิน : เริงฤทธิ์ ตรียานุรักษ์

จัดโดย หอศิลป์ตาดู, ยนตรกิจ กรุ๊ป และ บ.วาสนาคอลเล็คชัน จก.

นิทรรศการตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม – 29 เมษายน 2550
เปิดนิทรรศการ วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2550 เวลา 18.00 น.
ณ หอศิลป์ตาดู ชั้น 7 ถ.เทียมร่วมมิตร
—————————————————————————————————————–

ท่ามกลางบรรยากาศ การเดินทางของโลกไร้ซึ่งพรมแดนที่เรามักจะชื่นชมนักชื่นชมหนา
ท่ามกลางความสะดวกสบาย ที่เราได้เสพและได้สุขกันนั้นได้เปิดเผยสิ่งที่เราประหวั่นพรั่นพรึง
นั่นคือการมาถึงซึ่งสิ่งที่เราไม่ปรารถนา

ทุกวันนี้ เรารับรู้เรื่องราวข่าวสารเยอะแยะมากมาย จนหากอาเจียนก็คงจะออกมาเป็นเรื่องราวไร้สาระที่ถูกป้อนจากสื่อทางโทรทัศน์ ทุกวันนี้เราหาโอกาสนิ่งสงบสติตนเองได้ยากเหลือเกิน และดูเหมือนว่าเราถูกทำให้เป็นมากกว่า “เรากำลังทำมันให้เป็น” เราก้าวเข้าไปสู่วงโคจรในโลกของคนอื่นเพราะเราเพียงแค่อยากปรับตัวเข้าหาสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้เป็นการผลักตัวของเราเองเข้าสู่สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นอย่างไม่ทันตั้งตัวของเราเอง เรามองเห็นอนาคตในระยะที่สั้นลง และความสำเร็จที่มีอยู่ชั่วครู่ชั่วยามเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

ผลงานนิทรรศการ ชุด Sex & War คือการนำเสนอผลงานที่พูดถึงเรื่องราวที่รุนแรงและเร่าร้อนภายในของมนุษย์และแน่นอนสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นอันเนื่องจากตัวมนุษย์เอง คือสงครามภายในและสงครามภายนอก สองสิ่งที่เกาะกุมจิตใจด้านมืดของมนุษย์มาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน การที่เราเรียนรู้และมีความรู้มากมาย ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขขึ้น การที่เราเป็นคนเก่งสามารถประกอบอาชีพการงานอยู่เหนือคนอื่น ไม่ได้ช่วยทำให้เรามีความสุขขึ้น การที่เราเป็นคนฉลาด อาจจะทำให้เรายังคงแพ้อยู่หนึ่งคน คือ ตัวเอง

ศิลปะและวัฒนธรรม คือช่องทางที่จะนำพาเราเข้าไปค้นหาสิ่งที่อย่างอื่นยังเข้าไปไม่ถึง นั่นคือการเข้าไปค้นหาตัวตนของตัวเองที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ หากแต่การดำเนินชีวิตประจำวันที่เร่งรีบทำให้เราผลัดวันประกันพรุ่งกับตัวเองมาเนิ่นนาน ฉะนั้นการทำงานศิลปะจึงมีส่วนช่วยถ่วงเวลาที่เร่งรีบของตัวเราเองให้มีโอกาสพิจารณาสิ่งที่ตนเองคิด สิ่งที่ตนเองทำ หรือกำลังจะทำนั้นให้ยืดออกไปอีกนิด เผื่อเรื่องเลวๆ จะยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้ และเผื่อเรื่องดีดีจะเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งศิลปะนั้นมีซุกซ่อนอยู่ในตัวคนทุกคนเหมือนกับอย่างอื่น และการพยายามสร้างงานศิลปะให้เกิดขึ้นอีกหนึ่งชิ้นในโลกนี้ก็เป็นความพยายามที่งดงาม การจะสื่อสารเล่าเรื่องมนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดและสิ่งที่มนุษย์เป็น ในช่วงเวลานี้นั้นเป็นเรื่องน่าสนใจ เผื่อว่าประเด็นที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนั้นจะช่วยบรรเทาเราให้ผ่อนคลายได้บ้าง

เริงฤทธิ์ ตรียานุรักษ์ คือศิลปินที่กำลังพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ในชีวิตกับผู้คนในยุคปัจจุบัน ด้วยผลงานที่สร้างสะสมไว้ถึง 20 ปี มีทั้งผลงานจิตรกรรม และแนวความคิดมากมายหลายชิ้น ในนิทรรศการครั้งแรกของเขาในครั้งนี้ ผ่านการพูดคุยกับศิลปินมาหลายต่อหลายคน และผ่านกระบวนการคิดมาหลายปี จนกว่าจะถึงนิทรรศการ ชุด Sex & War

ติดตามผลงานของ เริงฤทธิ์ ตรียานุรักษ์ ได้ที่หอศิลป์ตาดู เปิดนิทรรศการวันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2550 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป และจัดแสดงจนถึงวันที่ 29 เมษายน 2550

พระจันทร์เสี้ยวการละครร่วมกับหอศิลป์ตาดู เสนอ การกลับมาอีกครั้งของ ละครเวทีแห่งความฝันอันงดงาม เรื่อง “ความฝันกลางเดือนหนาว” ในวาระรำลึก 30 ปี 6 ตุลาคม 2519

การเดินทางผ่านช่วงเวลาเดือนตุลาคม กับความทรงจำเสี้ยวหนึ่ง และความฝันกลางเดือนหนาว วันที่ 20-22 และ 27-29 ตุลาคม 2549 เวลา 19.30 น. (เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มรอบ 14.00 น.) ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ สุขุมวิท 55 (ซอยทองหล่อ) บัตรราคา 300 บาท (นักเรียน, นักศึกษา 250 บาท)

โลกกำลังหมุนไป ขณะที่เรากำลังยืนอยู่กับที่ …

การตั้งคำถามระหว่าง…ความฝัน และอุดมคติที่มีอยู่ในตัวมนุษย์กับ ความจริง ที่ดูเหมือนจะอยู่กันคนละโลก นำเสนอมิติมุมมองแบบละครซ้อนละคร โดยประสานบางตอนจาก 4 บทละครเรื่องเยี่ยมจากหลากยุคสมัยของโลก คือ สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ ( Man of La Mancha ), หมอผีครองเมือง ( The Crucible ), ผู้บริสุทธิ์ ( The Justice ) และ ความตายและหญิงสาว ( Death and the Maiden ) ที่รวบรวมความคิด และนำมาร้อยเรียงให้ผู้ชมตกเข้าไปสู่ห้วงของความฝัน ทะลายกรอบของมิติเวลาให้ตั้งคำถามค้นหา ว่า เรายังมีความฝันอยู่ท่ามกลางความจริงที่เป็นอยู่นี่หรือ

“ ความฝันกลางเดือนหนาว ” ละครเวทีที่เกิดจากการร้อยเรียงบางตอนของบทละคร 4 เรื่องเข้าด้วยกัน ละครได้พูดถึงเหตุการณ์เดือนตุลาคม โดยไม่ได้เดินเรื่องผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด หากแต่เป็นการนำเสนอภาพของเหตุการณ์ดังกล่าวในอีกมิติหนึ่ง และก็ไม่ใช่มิติที่เปรียบเทียบกันได้โดยหน่วยต่อหน่วยอย่างตรงไปตรงมา หากแต่เป็นมิติที่เกิดจากการปะติด ( collage) ร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกันภายใต้กรอบและทิศทางของเหตุการณ์เดือนตุลาคม หรืออีกนัยหนึ่ง“ ความฝันกลางเดือนหนาว ” ก็คือเหตุการณ์เดือนตุลาคมที่เกิดจากการนำเอาเหตุการณ์อื่นๆ มาปะติดปะต่อและร้อยเรียงเข้าด้วยกัน โดยให้มีความหมายเท่าเทียมกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

ละครอาศัยบทละครเรื่อง “ สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ ” ( Man of La Mancha) ของ เดล วาสเซอร์มัน ที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของ ดอน มิเกล เด เซรมานเตส สื่อถึงความมีอุดมคติและความใฝ่ฝันของมนุษย์ สื่อถึงความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขโลกให้ดีขึ้น ไม่ใช่มีชีวิตอยู่อย่างที่มันเป็น แต่มีชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น ส่วนตอนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม ละครอาศัยบทละครเรื่อง “ ผู้บริสุทธิ์ ” ( The Justice) ของ อัลแบร์ กามูส์ ที่เนื้อเรื่องวางอยู่บนการปฏิวัติในประเทศรัสเซีย โดยนักปฏิวัติหนุ่มสาว ขณะที่ตอนอำนาจเถื่อนเข้าครอบงำนั้น ละครอาศัยบทละครเรื่อง “ หมอผีครองเมือง ” ( The Crucible) ของอาเธอร์ มิลเลอร์ ที่เป็นการสะท้อนเหตุการณ์ทางการเมืองด้วยเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ยุคหมอผีครองเมือง ที่คนถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกกระทำทารุณกรรมอย่างน่าสงสาร ส่วนบทละครเรื่อง “ ความตายของหญิงสาว ” ( Death and the Maiden) เอเรียล ดอร์ฟแมน ถูกนำมาใช้ในตอนการทวงถามของผู้ถูกกระทำต่อผู้กระทำว่าเราควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร สังคมจะอยู่ได้อย่างไร หากความจริงยังไม่ถูกทำให้ปรากฏ และคนชั่วยังไม่ได้รับการลงโทษ

กำกับการแสดงโดย คำรณ คุณะดิลก (สามารถดูประวัติผลงานการกำกับได้ในเว็บไซด์)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 081 259 6906 และ 085 842 4225
Email: [email protected]
www.CrescentMoonTheatre.com

“อัตลักษณ์คือชะตาชีวิต : Identity is Destiny”
จิตรกรรมนามธรรมของคนสองคน
ศิลปิน : ทวีศักดิ์ อุชุคตานนท์ และ อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

โดย หอศิลป์ตาดู, ยนตรกิจกรุ๊ป และ สีนิปปอนเพนต์
นิทรรศการตั้งแต่ วันที่ 4 – 31 พฤษภาคม 2549
เปิดนิทรรศการวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2549 เวลา 18.00 น. ณ หอศิลป์ตาดู

ถ้าชีวิตคือการเรียนรู้และคนเรานั้นต้องเรียนรู้ไปจนตลอดชีวิต เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรกับทางอันมืดมนข้างหน้า ที่มักจะไม่มีใครบอกกล่าวไว้เป็นสูตรสำเร็จ หากจะมีสูตรสำเร็จที่ว่านั้น มันก็มักจะเย้ยความท้าทายที่มีอยู่ในตัวเราซะจนเรามองมันแค่ปรายตา

พิจารณาผลงานในงานนิทรรศการครั้งนี้ ทวีศักดิ์ อุชุคตานนท์ นำผลงานที่แสดงถึง ศิลปะภาวะ ที่เกิดขึ้นกับศิลปินและสิ่งนั้นเป็นเรื่องสำคัญ มาจากการปฏิบัตินั่นคือการ “การคิดได้” อันเป็นการคิดได้จากการปฏิบัติตนจากการทำงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง จากการสั่งสมที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับตัวตนเอง ชุดงานของทวีศักดิ์นั้นได้อธิบายถึงการคลายตัว การหลุดออก และการไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่ต้น แต่กระนั้นงานอีกชุดของเขาดูเหมือนจะเป็นการชี้เฉพาะถึงตัวตนของตัวเองว่า ในศิลปินนั้นมีงานศิลปะและเช่นเดียวกันที่เราเห็นงานศิลปะมีศิลปินเป็นรูปร่าง เราจึงเห็น ตัวตนของรูปร่าง ตัวตนของรูปเขียน ตัวตนของความคิด ตัวตน…ของศิลปิน

ส่วน อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี นั้นมุ่งมั่นค้นหาตัวตนและมีความสุขกับการเดินทางของตนทุกๆ ก้าว แม้นว่าเขาจะเดินทางมาได้ในระยะทางหนึ่งแล้ว แต่เขากลับเงยหน้าและสายตาได้สร้าง ทาง ให้เกิดขึ้นอีก ยาวไกลขึ้นอีก เพราะเมื่อได้เริ่มเดินทาง เขาก็เริ่มมีความสุขและเริ่มค้นพบสิ่งต่างๆ และได้พบปะกับตัวตน ได้รับรู้ถึงศักยภาพตน จึงเห็นว่างานวาดภาพสีน้ำในชุดปัจจุบันมีความต่อเนื่องและเข้มข้นขึ้น แจ่มชัดขึ้น บางครั้งเราเห็นเรื่องราว บางคราวเราเห็นเพียงม่านบังตาบางๆ ไม่รู้จบ อนุพันธุ์ยังคงเดินอยู่ในม่านที่สลับซับซ้อนไปไม่สิ้นสุดตราบที่เมื่อไหร่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และใช้สายตาก่อสร้างหนทางในการเดินทางในแบบอื่นๆ เมื่อนั้น ตัวตนแห่งฝุ่นสี ตัวตนแห่งรอยเปื้อนและการเคลื่อนตัว อาจจะแปรเปลี่ยนไปตามทาง

นอกเหนือจากนิทรรศการแล้ว ในวันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม 2549 ทางหอศิลป์ตาดู, สีนิปปอนเพนท์ ได้จัดกิจกรรม “จิตรกรรมสีน้ำเพื่อความสุขสงบ (Painting for Meditation)” เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณ โดยการใช้การวาด (painting) สำหรับบุคคลผู้สนใจศิลปะ ซึ่งศิลปินทั้งสองเป็นผู้สอนด้วยตัวเอง ตั้งแต่เวลา 9.00 – 15.00 น. ณ หอศิลป์ตาดู สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หอศิลป์ตาดู รับจำนวนจำกัด!!!

“Andaman’s Life” นิทรรศการศิลปกรรม “ชีวิตอันดามัน”
โดย หอศิลป์ตาดู, ยนตรกิจกรุ๊ป และ บุญเกษม แซ่โค้ว (ศิลปิน)
วันที่ 9 มีนาคม – 20 เมษายน 2549
เปิดนิทรรศการวันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม 2549 เวลา 18.00 น. ณ หอศิลป์ตาดู

ช่วงนี้หอศิลป์ตาดู ทำอะไรก็ดูจะเป็นสีสันไปซะหมด ก็หลังจาก “อะไร…ไหวๆ” นิทรรศการศิลปกรรมครั้งแรกของปีนี้ที่เปิดไปในเดือนมกราคม ในเดือนมีนาคมนี้ หอศิลป์ตาดูขอนำเสนออีกหนึ่งสีสันในช่วงหน้าร้อนนี้ ด้วยนิทรรศการศิลปกรรม “ชีวิตอันดามัน : Andaman’s Life” โดยบุญเกษม แซ่โค้ว ศิลปินอิสระจากจังหวัดกระบี่ ที่ทำงานศิลปะมากว่า 20 ปี

“ชีวิตอันดามัน” นิทรรศการศิลปกรรมที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อในโลกวิญญาณ และประเพณีพื้นบ้านของชาวบ้านมุสลิม-ไทยพุทธ และชาวเลชนเผ่า “อุลักลาโวย” บริเวณเกาะลันตา จ.กระบี่ ผ่านภาพเขียนเครยอง และภาพเขียนสีน้ำมัน รวมกันกว่า 50 ภาพ ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บุญเกษมได้ใช้เวลาเข้าไปศึกษาวิถีชีวิต และคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านที่นั่น และได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ความตรงไปตรงมาที่จริงใจและอบอุ่น ความเชื่อโบราณเก่าแก่ เช่น ความเชื่อในเรื่องการบูชาภูตผีปีศาจ พิธีสะเดาะเคราะห์ที่จะทำกันในเดือน 4 และเดือน 11 ในทุกๆ ปี และเรื่องของวัฒนธรรมการละเล่น “รองเง็ง” ดนตรีพื้นเมืองของชาวไทยมุสลิมทางภาคใต้ที่ปัจจุบันกำลังจะเลือนหายไป ซึ่งดนตรีรองเง็งนี้เอง ที่บุญเกษมถึงกับหลงในมนต์เสน่ห์ของดนตรีประเภทนี้มาก จนเขาเองก็รู้สึกว่า มันอยู่ในตัวเขาตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปวาดภาพอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็จะมีเสียงดนตรีรองเง็งล่องลอยห้อมล้อมตัวเขาอยู่ตลอด

นอกจากนี้ รายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายภาพจะนำไปบริจาคให้กับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เพื่อเป็นการต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้มีชีวิตอยู่ และได้เห็นความมหัศจรรย์ของชีวิตต่อไปได้นานขึ้น

นิทรรศการศิลปกรรม“อะไร..ไหวๆ”
“Colorful Moments”
โดย หอศิลป์ตาดู, ยนตรกิจกรุ๊ป และกลุ่มศิลปิน
วันที่ 26 มกราคม – 4 มีนาคม 2549
เปิดนิทรรศการวันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 254 เวลา 18.00 น. ณ หอศิลป์ตาดู

ศิลปิน:
อู่แก้ว สาณะเสน
เรวัฒน์ ดาราธวัช
องอาจ มากสิน

เริ่มต้นปี พศ.2549 ด้วยการเริ่มต้นเข้าสู่ปีที่ 10 ของการเดินทางในถนนแห่งศิลปะของหอศิลป์ตาดู ซึ่งเป็นการก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของหอศิลป์ตาดูอย่างเงียบๆ ช้าๆ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ จาก2ปีที่ผ่านมา เราคุ้มค่ากับเวลาของการค้นหาความหมายของคำว่าศิลปะในรูปแบบต่างๆ มากมาย มีหลายนิทรรศการที่ผู้ชมก็มักจะมีคำตอบเฉลยอยู่ในใจตนเองว่า อันไหน ใช่ หรืออันไหนยังมีข้อสงสัย หลายนิทรรศการข้ามสิ่งที่เรียกว่าเป็นรูปแบบของงานศิลปะ ที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “นี่เป็นงานอะไรกันนี่!” เหล่านี้ล้วนแต่เป็นระยะทางให้กับหอศิลป์ตาดูที่ได้เดินทางร่วมกับศิลปินในทุกๆ แขนงตลอดทั้ง 10 ปี ในปี 2549 นี้ เราเริ่มต้นด้วยงานจิตรกรรม แบบที่เรียกกว่าเป็นภาพเขียนและงานสื่อผสมแต่ยังอยู่ในแนวทางจิตรกรรม โดยชักชวนศิลปินรุ่นใหม่ ที่ได้ใช้เวลาสะสมอยู่กับศิลปินชั้นครู มานำเสนอเรื่องราว และแนวทางที่พวกเขาทั้งหลายได้ถูกบ่มเพาะมา

นิทรรศการศิลปกรรม“อะไร..ไหวๆ”หรือ “Colorful Moments” แสดงให้เห็นถึงพลังของศิลปะที่มากมายที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งจนแพร่เข้ามาขับเคลื่อนศิลปินทั้งสามคนให้มีพลังเคลื่อนไหวและสร้างงานให้เกิดขึ้น อันได้แก่ อู่แก้ว สาณะเสน, เรวัฒน์ ดาราธวัช และ องอาจ มากสิน ให้มารวมกันแสดงพลังอันไม่หยุดนิ่งของชีวิตในธรรมชาติและสภาพแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นสัจจะอันเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยทั้งสามคนมุ่งเน้นในเรื่องของการใช้ทัศนธาตุทางศิลปะเป็นหลักในการถ่ายทอดจินตนาการ อารมณ์ ความรู้สึกต่อความงามในธรรมชาติ ซึ่งแต่ละคนมีวิถีทางในการสรรค์สร้างผลงานในแบบเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน โดยอู่แก้วทำงานโดยใช้สีน้ำมันบนผ้าใบ เรวัฒสนุกกับเทคนิคผสมที่ใช้วัสดุสังเคราะห์สมัยใหม่มาสร้างภาพปรากฏที่แปลกตาและสร้างความร่วมสมัย และองอาจ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกผ่านการใช้ผ้าและผสมผสานกันรูปทรงที่เห็นอยู่ในสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติมาขึ้นรูปร่างอย่างมีสีสัน

นิทรรศการศิลปกรรม“อะไร..ไหวๆ”
“Colorful Moments”
โดย หอศิลป์ตาดู, ยนตรกิจกรุ๊ป และกลุ่มศิลปิน
วันที่ 26 มกราคม – 4 มีนาคม 2549
เปิดนิทรรศการวันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 254 เวลา 18.00 น. ณ หอศิลป์ตาดู

ศิลปิน:
อู่แก้ว สาณะเสน
เรวัฒน์ ดาราธวัช
องอาจ มากสิน

เริ่มต้นปี พศ.2549 ด้วยการเริ่มต้นเข้าสู่ปีที่ 10 ของการเดินทางในถนนแห่งศิลปะของหอศิลป์ตาดู ซึ่งเป็นการก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของหอศิลป์ตาดูอย่างเงียบๆ ช้าๆ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ จาก2ปีที่ผ่านมา เราคุ้มค่ากับเวลาของการค้นหาความหมายของคำว่าศิลปะในรูปแบบต่างๆ มากมาย มีหลายนิทรรศการที่ผู้ชมก็มักจะมีคำตอบเฉลยอยู่ในใจตนเองว่า อันไหน ใช่ หรืออันไหนยังมีข้อสงสัย หลายนิทรรศการข้ามสิ่งที่เรียกว่าเป็นรูปแบบของงานศิลปะ ที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “นี่เป็นงานอะไรกันนี่!” เหล่านี้ล้วนแต่เป็นระยะทางให้กับหอศิลป์ตาดูที่ได้เดินทางร่วมกับศิลปินในทุกๆ แขนงตลอดทั้ง 10 ปี ในปี 2549 นี้ เราเริ่มต้นด้วยงานจิตรกรรม แบบที่เรียกกว่าเป็นภาพเขียนและงานสื่อผสมแต่ยังอยู่ในแนวทางจิตรกรรม โดยชักชวนศิลปินรุ่นใหม่ ที่ได้ใช้เวลาสะสมอยู่กับศิลปินชั้นครู มานำเสนอเรื่องราว และแนวทางที่พวกเขาทั้งหลายได้ถูกบ่มเพาะมา

นิทรรศการศิลปกรรม“อะไร..ไหวๆ”หรือ “Colorful Moments” แสดงให้เห็นถึงพลังของศิลปะที่มากมายที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งจนแพร่เข้ามาขับเคลื่อนศิลปินทั้งสามคนให้มีพลังเคลื่อนไหวและสร้างงานให้เกิดขึ้น อันได้แก่ อู่แก้ว สาณะเสน, เรวัฒน์ ดาราธวัช และ องอาจ มากสิน ให้มารวมกันแสดงพลังอันไม่หยุดนิ่งของชีวิตในธรรมชาติและสภาพแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นสัจจะอันเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยทั้งสามคนมุ่งเน้นในเรื่องของการใช้ทัศนธาตุทางศิลปะเป็นหลักในการถ่ายทอดจินตนาการ อารมณ์ ความรู้สึกต่อความงามในธรรมชาติ ซึ่งแต่ละคนมีวิถีทางในการสรรค์สร้างผลงานในแบบเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน โดยอู่แก้วทำงานโดยใช้สีน้ำมันบนผ้าใบ เรวัฒสนุกกับเทคนิคผสมที่ใช้วัสดุสังเคราะห์สมัยใหม่มาสร้างภาพปรากฏที่แปลกตาและสร้างความร่วมสมัย และองอาจ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกผ่านการใช้ผ้าและผสมผสานกันรูปทรงที่เห็นอยู่ในสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติมาขึ้นรูปร่างอย่างมีสีสัน

ละครเวทีเรื่อง “นาย-ผม ผิด !?” มีที่มาจากบทละคนชื่อดังเรื่อง “The Company Pardons a Moment of Madness” ประเทศเวเนซูเอล่า ซึ่งจัดแสดงขึ้นหลายครั้ง และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั่วทวีปอเมริกาใต้ เหตุที่บทละครเรื่องนี้ได้รับเลือก มาจัดแสดงในประเทศไทย เพราะเนื้อหามีความเกี่ยวเนื่องอย่างสูง ต่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ความมุ่งหวังหลักของละครเรื่องนี้ เพียงต้องการสะท้อนให้ทุกๆ คนซึ่งมีสถานะ หน้าที่ทางสังคมที่แตกต่างกัน ให้มีความเข้าใจ แลเท่าทันกัน เพื่อที่จะสามารถดำรงอยู่ในสังคม และหน้าที่ของตนได้ดี หลีกเลี่ยงที่จะ “ทำร้าย” ผู้อื่นให้มากที่สุด

กำหนดการแสดงละคร รอบสื่อมวลชนวันที่ 9 ธันวาคม 2547 เวลา 19.30 น.
รอบปกติ 17-19 ธันวาคม 2547 และ 24-26 ธันวาคม 2547 เวลา 19.30 (เสาร์-อาทิตย์เพิ่มรอบ 14.30 น.)
บัตรราคา 200 บาท ทุกที่น่ง ณ หอศิลป์ตาดู ชั้น 7 อาคารบาเซโลนา มอเตอร์ ถนนเทียนร่วมมิตร
สอบถามได้ที่ 02-645-2473 , 02-645-2461 หรือ 06-054-9420 (คุณกระแต)