หุ้นร่วง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 25 Feb 2022 02:20:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ส่อง 4 ผลกระทบด้าน ‘เศรษฐกิจ’ หลัง ‘รัสเซีย’ เปิดฉากโจมตี ‘ยูเครน’ https://positioningmag.com/1375298 Thu, 24 Feb 2022 13:42:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375298 วิกฤต รัสเซีย-ยูเครน กำลังเกิดขึ้น แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่เพราะเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินเชื่อมโยงถึงกัน อย่างที่การระบาดของ COVID-19 ได้แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่ด้านหนึ่งของโลกสามารถทำให้เกิดแรงกระแทกในอีกด้านหนึ่งได้ ดังนั้นไปดูกันว่าผลกระทบที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนเกือบทั่วทั้งโลกมีอะไรบ้าง

ราคาน้ำมันก๊าซธรรมชาติพุ่ง

เนื่องจากรัสเซียเป็นมหาอำนาจด้านพลังงาน โดยผลิตได้ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งปริมาณดังกล่าวมากกว่าที่อิรักและแคนาดาผลิตได้รวมกันเสียอีก ดังนั้น เมื่อ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ส่งทหารเข้าไปในยูเครน ซึ่งโดยพฤตินัยแล้วนี่เป็นการประกาศสงคราม

ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 4.73% สู่ระดับ 96.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้น 4.69% ที่ 101.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ผ่านระดับ 100 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2014 และแม้จะยังไม่มีความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ราคาน้ำมันก็พุ่งสูงขึ้นอยู่แล้ว เนื่องจากกลุ่ม OPEC+ ยืนยันจะรักษาระดับการผลิตน้ำมันไว้ แต่พอเกิดสถานการณ์ดังกล่าวก็ยิ่งส่งผลต่อราคาน้ำมัน

ทั้งนี้ JPMorgan เตือนว่า หากกระแสน้ำมันของรัสเซียหยุดชะงักจากวิกฤตดังกล่าว ราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นไปที่ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และในกรณีที่การส่งออกน้ำมันของรัสเซียลดลงครึ่งหนึ่ง ราคาน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นเป็น 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเลยทีเดียว

เกิดภาวะเงินเฟ้อ

วิกฤตรัสเซีย-ยูเครนอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อแย่ขึ้นไปอีก เนื่องจากราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลไปถึงค่าใช้จ่ายภายในบ้านเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ก็จะมี ‘ต้นทุน’ ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอีกทอดหนึ่งที่ต้องจ่ายค่าบริการที่แพงขึ้น

นอกเหนือจากกลุ่มพลังงานแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ อาจประสบกับความผันผวนของราคา เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ผลิตโลหะรายใหญ่ อาทิ แร่แพลเลเดียม แพลตตินัม และนิกเกิล ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของการผลิตไมโครชิป ซึ่งอาจทำให้ราคารถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับราคาขึ้น อีกทั้ง รัสเซียยังเป็นผู้ส่งออก ข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดด้วย ในขณะที่ยูเครนเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีและข้าวโพดรายใหญ่ที่สุด ดังนั้น เป็นได้ที่ข้าวของจะแพงยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อน่าจะมากขึ้นสำหรับชาวยุโรป เนื่องจากอยู่ใกล้กับวิกฤตและการพึ่งพาพลังงานของรัสเซีย ขณะที่สหรัฐฯ เองปัญหาเงินเฟ้อถือเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญอยู่ โดยอัตราเงินเฟ้อแบบปีต่อปีอาจจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 10% จากปัจจุบันที่เพิ่มขึ้น 7.5% ซึ่งอัตราเงินเฟ้อของอเมริกาไม่เคยเพิ่มขึ้นถึง 10% ตั้งแต่ปี 1981

ความปั่นป่วนของตลาดหุ้น

เห็นได้ชัดว่าการบุกโจมตียูเครนอย่างเต็มรูปแบบได้กระตุ้นให้เกิดการเทขายหุ้นอย่างโกลาหล เนื่องจากนักลงทุนเห็นความเป็นไปได้ที่น้ำมันจะแพงขึ้น เงินเฟ้อที่สูงขึ้น และมาตรการการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งได้ส่งผลให้ตลาดอาจอยู่ในภาวะตกต่ำเป็นเวลานานจนอาจทำให้ความมั่งคั่งในตลาดหุ้นและในบัญชีเกษียณอายุหายไปหมดสิ้น และความไม่แน่นอนของตลาดอาจสร้างความไม่เชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและธุรกิจได้เช่นกัน

และเมื่อหลังจากมีข่าวการโจมตียูเครนของรัสเซีย ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรง โดย

  • ตลาดหุ้นไทย SET ร่วงลงแล้วกว่า 27 จุด มาอยู่ที่ 1669 จุด
  • ดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ร่วงลงกว่า 464.85 มาอยู่ที่ 33,131.76
  • ค่าเงินรูเบิลรัสเซีย (USD/RUB) อ่อนค่าลงอยู่ที่ 84.075 รูเบิลต่อดอลลาร์ ถือว่าลดลงมากสุดนับตั้งแต่ปี 2016
  • ด้านสกุลเงินดิจิทัลถูกเทขายอย่างรุนแรง Bitcoin ลดลงมาอยู่ที่ 35,034 ดอลลาร์
  • Ethereum ลดลงมาอยู่ที่ 2,350 ดอลลาร์
  • ทองคำ ซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดพุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ +1,950.10 ดอลลาร์
Photo : Shutterstock

การโจมตีทางไซเบอร์และอื่น ๆ

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เตือนเมื่อวันอังคารถึงความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะโจมตีผ่านโลกไซเบอร์ ตัวอย่างคือ การแฮกระบบโคโลเนียลไปป์ไลน์ ในปีที่แล้วแสดงให้เห็นว่าการโจมตีทางไซเบอร์สามารถก่อกวนโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างรุนแรง โดยการแฮกดังกล่าวได้ปิดท่อส่งก๊าซที่สำคัญที่สุดสายหนึ่งในอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระบบการเงินอีกด้วย

“หากรัสเซียโจมตีสหรัฐอเมริกาหรือพันธมิตรด้วยวิธีการที่ไม่สมดุล เช่น การโจมตีทางไซเบอร์กับบริษัทของเราหรือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เราก็พร้อมที่จะตอบโต้” ไบเดน กล่าว

การโจมตีทางไซเบอร์เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนสามารถลุกลามไปสู่ชีวิตประจำวันได้อย่างไร

“สงครามวิวัฒนาการไปในทางที่คาดเดาไม่ได้ ดังนั้น ไม่มีใครควรทึกทักเอาเองว่าพวกเขาสามารถเห็นผลกระทบทั้งหมดของสงครามตั้งแต่เริ่มต้น” Kelly แห่ง JPMorgan กล่าว

CNN / cbsnews

]]>
1375298
ดราม่าเป็นเหตุ “เถ้าแก่น้อย” หุ้นร่วงจาก 11.80 บาท เหลือ 10.10 บาท เจอตลาดหลักทรัพย์ขึ้น T1 ใช้บัญชีเติมเงินซื้อเท่านั้น https://positioningmag.com/1244711 Sun, 01 Sep 2019 07:57:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1244711 หลังจากวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา “เถ้าแก่น้อย” เจอดราม่ากรณีจัดกิจกรรม “Taokaenoi Exclusive ล่องเรือ กับ F4” พ่วงวันเกิดภรรยา ส่งผลให้หุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ภายใต้ชื่อ “TKN” ร่วงจาก 11.80 บาท เหลือ 10.10 บาทในสัปดาห์เดียวตลาดหลักทรัพย์ต้องขึ้นเครื่องหมาย T1 ใช้บัญชีเติมเงินซื้อเท่านั้น

เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 30 .ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศให้หลักทรัพย์ของบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชนหรือ TKN เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับ 1 (T1) Cash Balance ตั้งแต่วันที่ .ถึง 11 .. 2562 โดยสมาชิก (บริษัทหลักทรัพย์ต้องดำเนินการให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์ด้วยบัญชี Cash Balance หรือบัญชีเติมเงินเท่านั้น 

โดยลูกค้าต้องวางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์ ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย โดยใช้หลักทรัพย์เป็นหลักประกันในการคำนวณเป็นวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ในทุกประเภทบัญชี และห้าม Net settlement หักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (โดยซื้อและขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน ค่าขายคืนเป็นวงเงินในวันทำการถัดไป)

ด้านราคาหลักทรัพย์ TKN เมื่อวันที่ 30 .ที่ผ่านมา ปิดตลาดอยู่ที่ 10.10 บาท ต่ำกว่า 20 สตางค์ หรือ 1.94% จากราคาเปิดตลาด 10.30 บาท โดยพบว่าในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นสูงสุดที่ 11.80 บาท เมื่อวันที่ 23 .ที่ผ่านมา ก่อนที่ราคาจะร่วงลงในวันที่ 26 .เหลือ 10.90 บาท, 27 .เหลือ 10.40 บาท, 28 .. เหลือ 10.30 บาท และวันที่ 30 .เหลือ 10.10 บาท กระทั่งตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย T1 ดังกล่าว

อนึ่ง ผลประกอบการเถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง ไตรมาส 2/2562 พบว่ามีรายได้รวม 2,599.08 ล้านบาท กำไรสุทธิ 179.74 ล้านบาท ย้อนกลับไปที่งบการเงินปี 2561 มีรายได้รวม 5,697.41 ล้านบาท กำไรสุทธิ 459.18 ล้านบาท, งบการเงินปี 2560 มีรายได้รวม 5,283.13 ล้านบาท กำไรสุทธิ 608.44 ล้านบาทงบการเงินปี 2559 มีรายได้รวม 4,729.39 ล้านบาท กำไรสุทธิ 781.85 ล้านบาท และงบการเงินปี 2558 มีรายได้รวม 3,515.27 ล้านบาท กำไรสุทธิ 396.95 ล้านบาท

สำหรับเถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง เป็นผู้ผลิตสาหร่ายทะเลทอดกรอบตราเถ้าแก่น้อย มีนายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ หรือ ต๊อบ อายุ 34 ปี เป็นผู้ก่อตั้ง ก่อนหน้านี้เพิ่งเจอกระแสดรามาจากกิจกรรม “Taokaenoi Exclusive ล่องเรือ กับ F4” ใช้กิจกรรมทางการตลาดจัดงานวันเกิดให้ภรรยาตัวเองอย่างไม่เหมาะสม จนแฟนคลับบอยคอตสินค้า บริษัทฯ ตัดสินใจจัดกิจกรรมอีกรอบแก่ผู้โชคดี โดยยกเลิกระบบ Top Spender และยกเลิกการเชิญแขก VIP.

Source

]]>
1244711
Victoria’s Secret โคม่า หุ้นบริษัทแม่ร่วงใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 10 ปี https://positioningmag.com/1243583 Fri, 23 Aug 2019 04:50:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1243583 L Brands เป็นบริษัทแม่ของแบรนด์ชุดชั้นในหรู Victoria’s Secret และแบรนด์เครื่องประทินผิว Bath & Body works สถานการณ์วันนี้ของบริษัทไม่สู้ดีเพราะการประกาศตัวเลขยอดขาย same-store sales ของ L Brands ในช่วงไตรมาส 2 ของปีลดต่ำลงจนทำให้นักลงทุนผิดหวัง ส่งผลให้มูลค่าหุ้นดำดิ่งรวมมากกว่า 42% ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ทำให้อยู่ใกล้จุดต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี

ภาวะหุ้นตกต่อเนื่องของ L Brands สะท้อนว่าธุรกิจค้าปลีกชุดชั้นในและสินค้าสตรีของ Victoria’s Secret กำลังต้องการการฟื้นฟูจริงจังเต็มรูปแบบ เช่นเดียวกับแบรนด์ที่หลายคนรู้จักดีอย่าง Bath & Body works ก็ประกาศตัวเลข same-store sales ต่ำต้อยกว่าเป้าหมายเช่นกัน

same-store sales คือตัวเลขยอดขายจากสาขาเดิม หาก same-store sales มีอัตราเติบโตที่ดี แปลว่ายอดขายของบริษัทจะยังเติบโตได้ดีโดยไม่ต้องเปิดสาขาใหม่ ซึ่งหากตัวเลขส่วนนี้เติบโตติดลบ นักลงทุนมักจะถอดใจและทบทวนการลงทุนในธุรกิจนั้นจนอาจเกิดภาวะหุ้นตกอย่างที่บริษัทแม่ของทั้ว Victoria’s Secret และ Bath & Body works เป็นอยู่

งัดสินค้าใหม่ชุบชีวิต Victoria’s Secret 

Stuart Burgdoerfer ประธานฝ่ายการเงินของบริษัท L Brands ยืนยันว่าเสียงตอบรับสินค้าใหม่ของบริษัทอยู่ในระดับดีมาก ยังมีสินค้าบางส่วนที่กำลังอยู่ระหว่างการทดลองเพื่อเปิดตลาดให้ได้ก่อนช่วงเทศกาลจับจ่ายปลายปี แต่สินค้ากลุ่มนี้ไม่อาจต้านทานหลายปัจจัยลบในไตรมาส 2 ของปี ซึ่งเป็นไตรมาสที่เงียบเหงาอยู่แล้ว โดยยอมรับว่า same-store sales ของ Victoria’s Secret นั้นหดตัว 6% ขณะที่แบรนด์ในเครืออย่าง Bath & Body works มีตัวเลข same-store sales ลดลง 8%

การลดลงนี้ดำดิ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่า Victoria’s Secret จะมี same-store sales ลดลงแค่ 3.9% เท่านั้น และอีก 6.3% สำหรับ Bath & Body Works

เบ็ดเสร็จแล้ว L Brands ถูกบันทึกตัวเลข same-store sales ลดลง 1% จากที่มีการคาดการณ์ไว้ 0.3% ไม่นาน หุ้นของบริษัทจึงปรับลดรวดเดียว 12% ผ่านระดับ 17.61 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นซึ่งเป็นราคาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2009 ก่อนจะดีดตัวขึ้นเล็กน้อย ทำสถิติหุ้นลงเกิน 42% จากปี 2018 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์มองแก้ยาก

แผนกระตุ้นยอดขายด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่และวางแผนรุกหนักช่วงปลายปี แสดงว่าผู้บริหารมองปัญหา Victoria’s Secret ที่สินค้าเป็นหลัก แต่นักวิเคราะห์กลับไม่เห็นด้วย และมองว่าปมของ Victoria’s Secret อยู่ที่แบรนด์และการแข่งขันจากภายนอก ซึ่งเป็นจุดบอดที่แก้ไขยากมาก

นอกจากปัญหาภาพลักษณ์แบรนด์ของ Victoria’s Secret ที่ไม่โดนใจคนรุ่นใหม่ยุคดิจิทัล นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่าแบรนด์ Bath & Body Works ที่กำลังอยู่ในช่วงชะลอตัว และมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง ก็หมายความว่าธุรกิจกำลังถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งต้องจับตาดูใกล้ชิดเช่นกัน

สถานการณ์ไม่สู้ดีนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ L Brands ต้องสูญเสียบุคลากรสำคัญของบริษัทไป นั่นคือการลาออกของ Edward Razek ประธานฝ่ายการตลาดที่เป็นตัวหลักในการผลักดันภาพลักษณ์ความเซ็กซี่ร้อนแรงให้กับแบรนด์ Victoria’s Secret ตั้งแต่ยุค 80 โดยนอกจาก Edward Razek ก็ไม่มีใครนอกจาก CEO อย่าง Les Wexner ที่ร่วมงานกับบริษัทมานานมาราธอนเช่นนี้

ขณะเดียวกัน ผู้หญิงยุคดิจิทัลหลายคนพยายามหลีกเลี่ยงชุดชั้นในสีชมพูฉูดฉาด ไม่เล่นลูกไม้ และเมินชั้นในที่ประดับด้วยเพชรพลอยสไตล์ Victoria’s Secret หลายคนนิยมเลือกแบรนด์ชุดชั้นในสวมใส่สบายที่มีให้เลือกหลายไซส์ ทำให้แบรนด์ Lively หรือ Third Love ที่ใช้นางแบบสาวสวบแทนนางแบบหุ่นดีตามรันเวย์ได้รับความสนใจมากขึ้น ขณะที่ Victoria’s Secret มียอดขายรวมลดลง 7%

ในขณะที่ต้องปรับตัว Victoria’s Secret เริ่มประกาศไม่ออกอากาศรายการแฟชั่นโชว์ประจำปีอีกต่อไป แถมเมื่อเร็ว นี้ยังได้เซ็นสัญญากับนางแบบแปลงเพศเป็นครั้งแรก.

]]>
1243583
ลมเปลี่ยนทิศตลาดลดความอ้วน Oprah Winfrey สูญเงิน 58 ล้านดอลล์ในวันเดียว https://positioningmag.com/1217265 Sat, 02 Mar 2019 03:57:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1217265 เปิดรายละเอียดหนึ่งในหลายธุรกิจของ Oprah Winfrey อย่าง Weight Watchers บริการสัญชาติอเมริกันนี้คุณป้า Oprah ถือหุ้นไว้ราว 8% แต่ล่าสุดหุ้น Weight Watchers กลับร่วงลงมากจนทำป้าขาดทุน 58 ล้านดอลล์ในวันเดียว ภาวะหุ้นสวิงเกิดขึ้นเพราะสมาชิกบริการ Weight Watchers เติบโตน้อยลงชัดเจนเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลจากความนิยมของการควบคุมอาหารแบบ keto ที่เป็นเทรนด์ของอุตสาหกรรมลดความอ้วนในขณะนี้

Oprah Winfrey เป็นพิธีกร นักแสดง และนักธุรกิจหญิงชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่ร่ำรวยที่สุดในทศวรรษที่ 20 ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนผิวสีที่ขึ้นแท่นเป็นเศรษฐีพันล้านรายเดียวของโลกในปี 2004 ข่าวล่าสุดระบุว่า Oprah สูญเสียเงินมูลค่า 58 ล้านเหรียญหรือมากกว่า 1,832 ล้านบาทไปกับการลงทุน Weight Watchers เนื่องจากหุ้นที่ตกต่ำจนน่าใจหาย 36.1% เหลือ 18 เหรียญสหรัฐในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ประเด็นนี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Weight Watchers ยอมรับว่าภาวะหุ้นหล่นฮวบเป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของจำนวนสมาชิกบริการด้านอาหารและสุขภาพ Weight Watchers International ที่ไม่เติบโตเท่าที่ควร โดยไม่ปฏิเสธว่า Weight Watchers ผิดหวังกับการเริ่มต้นในปี 2019 เพราะต้นปีเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เรียกว่าเป็นช่วงเวลาทองของการรวบรวมสมาชิกใหม่ในรอบปี

อ่วมพิษ keto

Weight Watchers นั้นเป็นแบรนด์ให้บริการลดความอ้วนรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านมา Weight Watchers สร้างแอปพลิเคชั่นชื่อ Weight Watchers Mobile App เพื่อให้สมาชิกสามารถสแกนบาร์โค้ดบนห่ออาหารเพื่อคำนวณแคลอรีแบบทันใจ ต่อยอดจากเดิมที่ผู้ใช้ต้องกรอกชื่ออาหารด้วยตัวเอง จุดยืนของ Weight Watchers ในช่วงก่อนหน้านี้คือเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่มีลิขสิทธิ์และมีการเก็บค่าบริการสมาชิก ซึ่งสมาชิกจะต้องนับแต้มอาหาร (คล้ายการนับแคลอรี) แต่มีความง่ายกว่าเพราะผู้บริโภคไม่ต้องนับเลขเป็นหลักร้อยหลักพัน

Weight Watchers ตัดสินใจรีแบรนด์ตัวเองเป็น “WW” ในปี 2018 ซึ่งพ้องกับชื่อ Winfrey ไปด้วย การรีแบรนด์ทำให้บริษัทกำหนดจุดยืนของบริการไปที่การวางเป้าหมายเพื่อดึงให้สมาชิกสนใจสุขภาพและบริโภค แต่สิ่งที่ผลิตจากส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้น ไม่มุ่งเน้นเกี่ยวกับการลดน้ำหนักอย่างชัดเจนอีกต่อไป 

แต่การรีแบรนด์นี้ไม่ได้ผล เพราะรายรับในไตรมาส 4 ปี 2018 ลดลง 30.5% คิดเป็นมูลค่า 43.8 ล้านเหรียญสหรัฐ จำนวนผู้ใช้บริการ สิ้นไตรมาส 4 มีจำนวนทั้งสิ้น 3.9 ล้านรายเพิ่มขึ้น 22.4% จากปีก่อนหน้า

Mindy Grossman ประธานผู้บริหาร WW ยอมรับในแถลงการณ์ว่าบริษัทเริ่มต้นปี 2019 ได้อ่อนแอน่าผิดหวัง เมื่อเทียบกับผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปี 2018 ส่วนสำคัญคือสถิติการรับสมัครสมาชิกใหม่ช่วงต้นปีเป็นไปอย่างไม่ดีนัก ซึ่งเบื้องต้นผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง Winfrey ได้ตกลงที่จะร่วมทำแคมเปญการตลาดทั้งทางทีวีและดิจิทัล เพื่อฟื้นโมเมนตัมของ WW

ไม่ว่าความพยายามของ WW และ Winfrey จะสำเร็จหรือไม่ แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าภาวะตกต่ำของ WW มาจากการแข่งขันกับแทรนด์การรับประทานอาหารแบบ Keto ซึ่งคนกลุ่มนี้เลือกนับแคลอรีได้เอง ร่วมกับการค้นหาข้อมูลเพื่อสรรหาอาหารโปรตีนและไขมันสูง

พฤติกรรมและมุมมองการเลือกรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก ทำให้บริการสุขภาพที่เกี่ยวกับ keto นั้นอยู่ในภาวะหุ้นพุ่งพรวดเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา นำไปสู่การเปลี่ยนฝั่งของนักลงทุนซึ่งทำให้เกิดช่องว่างในโลกของธุรกิจควบคุมอาหารแบบเก่า ทั้งหมดนี้เห็นชัดเจนในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้นักลงทุนอีกมากหันมาพิจารณาการลงทุนใหม่ในอนาคต

งานเข้า Oprah?

แม้จะสูญเงินไปไม่น้อย แต่นักวิเคราะห์พบว่า Oprah ไม่ได้เจ็บตัวขั้นร้ายแรง เพราะรายงานระบุว่า Oprah Winfrey เริ่มลงทุนใน Weight Watchers ครั้งแรกเมื่อช่วงปี 2015 โดยซื้อหุ้นบริษัท 10% ในราคา 6.79 เหรียญต่อหุ้น ดังนั้น หุ้นของป้าจะยังคงมูลค่าสูงกว่าราว 3 เท่าเมื่อเทียบกับที่เธอลงทุนครั้งแรก 

ขณะเดียวกัน แม้ว่าหุ้น WW จะลดลงต่อเนื่องตลอดปี สิริรวมลดลงกว่า 82% จากระดับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่เคยทำไว้สูงสุด 105.73 เหรียญ แต่ Oprah ก็สามารถคว้ากำไรขึ้นมาได้ในเดือนมีนาคม เพราะได้ขายหุ้นบางส่วนที่ราคาระดับ 58.29 ถึง 63.94 เหรียญ ซึ่งเป็นการทำกำไรที่ดี

สำหรับ WW นักวิเคราะห์ Garrett Nelson ของบริษัทวิจัย CFRA Research มองว่าโลกอาจได้เห็นการดึงเงินกลับของนักลงทุน เนื่องจากผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ขณะเดียวกัน WW อาจต้องเผชิญแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นรายอื่น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบริการที่ตอบโจทย์พฤติกรรมคนควบคุมอาหารรูปแบบใหม่ได้ดีขึ้น.

ที่มา

]]>
1217265
Under Armour หุ้นร่วง เหตุรายได้โตช้าไม่เข้าเป้า https://positioningmag.com/1203099 Sun, 16 Dec 2018 02:59:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1203099 ภาพจาก : www.baltimoresun.com

แบรนด์แฟชั่นกีฬาดาวรุ่ง Under Armour หุ้นร่วงลงกว่า 10% ช่วงกลางสัปดาห์เนื่องจากการประกาศตัวเลขคาดการณ์รายได้ที่ต่ำกว่าเป้าเดิม นักลงทุนเซ็งเพราะ Under Armour ฟอร์มตกในตลาดหลักอย่างภูมิภาคอเมริกาเหนือ เบื้องต้นผู้บริหารยืนยันพร้อมรบเต็มที่เพื่อขยายฐานตลาด Under Armour ให้โตก้าวกระโดดในระยะยาว

ไม่ว่าอนาคตจะโตเพียงใด แต่สำหรับปีหน้า 2019 ดาวรุ่งอย่าง Under Armour ยอมรับความจริงว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นประมาณ 3 ถึง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ตัวเลขนี้น้อยกว่าการคาดการณ์ของวอลล์สตรีท ที่เชื่อว่า Under Armour จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ เบื้องต้นมีการประเมินว่า Under Armour จะเติบโตซบเซาในตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดที่ Under Armour พยายามดิ้นรนที่จะเพิ่มยอดขายมาตลอด ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งทั้ง Nike และ Adidas

Patrick T. Fallon | Bloomberg | Getty Images
Kevin Plank, founder and chief executive officer of Under Armour.

CEO Under Armour อย่าง Kevin Plank ไม่พูดถึงประเด็นนี้ แต่กล่าวในแถลงการณ์ว่าบริษัทได้วางกลยุทธ์ในระยะยาว ที่ยึดมั่นเรื่องปกป้องและการผลักดันแบรนด์ Under Armour ให้เติบโต จุดนี้ CEO พยายามเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน เพราะ Under Armour มีทีมผู้บริหารทรงประสิทธิภาพ การพัฒนานวัตกรรม ร่วมกับการดำเนินงานที่มุ่งมั่นเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ทำให้ Under Armour มั่นใจว่าบริษัทจะเติบโตต่อไปไม่หยุดในระยะยาว

ระยะสั้น อเมริกาเหนือซึมยาว

สิ่งที่นักลงทุนกังวลใน Under Armour คือการที่บริษัทยอมรับว่าตลาดอเมริกาเหนือจะมีรายได้ทรงตัวต่อไปอีกหลายปี ทำให้รายได้ในตลาดนี้ของ Under Armour อาจจะเติบโตในระดับต่ำเพียงตัวเลขหลักเดียวตั้งแต่ปี 2020 ถึงปี 2023

นอกจากนี้ Under Armour ยังแสดงจุดยืนอีกว่าจะลดปริมาณผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากจีนลงเหลือ 7 เปอร์เซ็นต์จาก 18 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2023 ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดเรื่องนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ และจีน

ภายใต้รายได้ที่ชะลอตัว Under Armour ไม่ได้นิ่งเฉยแต่เร่งมือปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อลดค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมา Under Armour ลดการจ้างงานหลายร้อยตำแหน่งโดยมุ่งเน้นลงทุนระบบการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม รวมถึงระบบจัดการสินค้าคงคลังอัจฉริยะ ทั้ง 2 มาตรการทำให้มูลค่าหุ้น Under Armour เพิ่มขึ้นเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทสามารถประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่ง แต่ล่าสุดมูลค่าหุ้นลดลงเพราะความกังวลของนักลงทุน

หวั่นใจกรณี Sports Authority เตรียมล้มละลาย

ภาวะวิกฤติของ Under Armour ยังเป็นผลมาจากการเตรียมล้มละลายของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง Sports Authority เนื่องจาก Under Armour ถูกมองว่าเป็นแบรนด์อันดับต้นๆ ที่จะได้รับความเสียหายจากการล้มละลายของ Sports Authority ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Under Armour มีฐานตลาดหลักในอเมริกาเหนือ (ราว 60%) โดย Under Armour ทำรายได้ในตลาดพื้นที่อื่นเพียง 40% เท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าคาดการณ์รายได้ของ Under Armour นั้นเป็นการคาดการณ์ที่เจียมตัวเกินไป เนื่องจาก Under Armour มีทิศทางเติบโตดีมากในตลาดจีนและเอเชียแปซิฟิก จุดนี้ทำให้น่าสังเกตว่าปี 2019 จะเป็นปีแห่งการขยายตลาดออกนอกบ้านเกิดของ Under Armour ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนอื่นในหลายภูมิภาคทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม Under Armour ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันดุเดือดกับ Nike, Adidas, Fila และอีกหลายแบรนด์ที่โกยส่วนแบ่งมากขึ้นจากนักช้อปแฟชั่น ขณะเดียวกันก็ต้องบริหารจัดการความตึงเครียดที่เกิดขึ้นท่ามกลางนโยบายทางการค้าระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และจีน ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมได้อีก ทั้งหมดนี้ทำให้ 2019 ไม่ใช่ปีที่ง่ายสำหรับ Under Armour แน่นอน.

ที่มา :

]]>
1203099
Apple หุ้นร่วง เจอพิษไอโฟน 8 คนแห่ซื้อไอโฟน 7 – รอไอโฟนเท็น https://positioningmag.com/1143993 Fri, 20 Oct 2017 06:32:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1143993 นอกจากหุ้นบ้านเราที่ถูกเทขายไม่เป็นท่าแล้ว ฟากของแอปเปิล (Apple) ก็เจอปรากฏการณ์หุ้นร่วงด้วยเช่นกัน โดยลดลงถึง 2.5 เปอร์เซ็นต์หลังพบว่าความต้องการในไอโฟน 8 (iPhone 8) นั้นมีน้อยมาก และส่วนใหญ่มุ่งไปสู่การเปิดตัวของไอโฟน เท็น (iPhone X) ในเดือนพฤศจิกายนมากกว่า

โดยแอปเปิลยังไม่มีการออกมาให้ข้อมูลยอดขายอัปเดตของไอโฟน 8 แต่บรรดาผู้จัดจำหน่ายและผู้ให้บริการโทรคมนาคม รวมถึงนักวิเคราะห์ที่ติดตามยอดการจำหน่ายไอโฟน 8 มาตลอดต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายอดขายไอโฟน 8 นั้นไม่โดดเด้งเหมือนรุ่นที่แล้วๆ มาอีกต่อไปแล้ว

นักวิเคราะห์จอห์น วิน (John Vinh) จาก KeyBanc Capital Markets เผยว่า มีการสำรวจโดยร้านของผู้ให้บริการเครือข่ายรายหนึ่งที่คาดการณ์ว่าในต้นสัปดาห์นี้ ยอดขายไอโฟน 7 ได้แซงหน้าไอโฟน 8 ไปแล้ว

ส่วนผู้บริโภคกลุ่มที่เหลือต่างก็รอคอยไอโฟนเท็น ซึ่งมีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ 

โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่าแอปเปิลโฟกัสไปที่ไอโฟนเท็นมากกว่า อีกทั้งราคาขายปลีกที่เริ่มต้น 999 เหรียญสหรัฐก็จะช่วยบูสต์มาร์จินให้บริษัทได้มากกว่าด้วย

นักวิเคราะห์ Jun Zhang จาก Rosenblatt Securities เผยมุมมองว่า เขาคิดว่าแอปเปิลจะปรับลดการผลิตไอโฟน 8 ลงและหันไปเพิ่มการผลิตไอโฟนเท็นแทน โดยมีการคาดการณ์ว่าไอโฟนเท็น จะสามารถจำหน่ายได้ 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายในเดือนธันวาคมเลยทีเดียว

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000106831

]]>
1143993