อีคอมเมิร์ซไทย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 19 Dec 2024 03:12:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จับตา 12 ประเด็นสมรภูมิ ‘อีคอมเมิร์ซ’ 2025 ปีที่ต้องรับมือกับ ‘สินค้าจีนคุณภาพดี’ และ E-Commerce Tax! https://positioningmag.com/1504098 Wed, 18 Dec 2024 10:39:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504098 ปี 2025 จะเป็นอีกปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการอีคอมเมิร์ซ และเหมือนเป็นธรรมเนียมของทุกปีที่ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กูรูผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด จะมาวิเคราะห์ถึงเทรนด์ เพื่อช่วยให้ผู้ค้าออนไลน์เตรียมพร้อม ปรับตัว และไม่พลาดโอกาสในการทำธุรกิจในตลาดออนไลน์ที่ท้าทายนี้

3 ประเด็นหลักที่ผู้ประกอบการไทยต้องเจอปีหน้า

  • สินค้าจีนคุณภาพดีถูกกฎหมายเตรียมบุกไทย

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สินค้าจากจีนที่ไม่ผ่านมาตรฐานทะลักเข้าสู่ไทยเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 2025 คาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 2 เรื่อง คือ การปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายของภาครัฐเริ่มเข้มงวดขึ้น และการแข่งขันในประเทศจีนที่รุนแรงขึ้น ทำให้สินค้าจีนที่มีคุณภาพหลายรายหันมาขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายที่สำคัญของจีน ดังนั้นจะเห็นสินค้าจีนที่มีคุณภาพและนำเข้ามาแบบถูกกฎหมาย เข้ามาแข่งขันกับ ผู้ประกอบการไทยมากขึ้น

  • e-Commerce Tax มาแน่ ผู้ขายเตรียมปรับราคาสินค้า

ก่อนหน้านี้ กรมสรรพากรได้ประกาศให้อีมาร์เก็ตเพลสที่มียอดขายเกิน 1,000 ล้านบาทต่อปี เช่น Lazada, Shopee, TikTok, Grab, Foodpanda, Line Man ต้องส่งรายได้ของร้านค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มให้กับกรมสรรพากร

ในปี 2025 กรมสรรพากรจะเริ่มเห็นตัวเลขยอดขายที่ชัดเจน และจะเริ่มเก็บภาษีจากผู้ค้าเหล่านี้ ซึ่งหมายความว่า    ผู้ค้าในอีมาร์เก็ตเพลสที่เดิมไม่ได้คำนึงถึงภาษี จะต้องปรับโครงสร้างราคาและจัดการภาษีในธุรกิจออนไลน์ของตนเองด้วย

  • Vertical Commerce การค้าเฉพาะกลุ่มมาแรง

Vertical Commerce คือ การขายสินค้าในกลุ่มที่มีความสนใจเฉพาะ เช่น สินค้าเด็ก สินค้าสัตว์เลี้ยง สินค้าผู้สูงอายุ สินค้าเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า พบได้บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Line และ Facebook

การเติบโตของ Vertical Commerce เกิดจากการสร้าง Vertical Community หรือชุมชนกลุ่มเล็กที่มีความสนใจเหมือนกัน ซึ่งการรวมตัวของชุมชนเหล่านี้จะนำไปสู่การซื้อขายที่เฉพาะเจาะจง ช่วยให้ผู้ค้าปิดการขายได้ง่ายขึ้น

ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด

4 เทรนด์การค้าที่ยังมาแรง

  • TikTok Commerce ที่ขยายจากสินค้าสู่บริการ

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การขายสินค้าผ่าน TikTok เติบโตขึ้นมาก และ TikTok ก็ยังมุ่งการลงทุนและขยายตลาดในด้าน TikTok Commerce อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ TikTok Shop ซึ่งกำลังพัฒนาไปไกลกว่าการขายสินค้าที่จับต้องได้ โดยกำลังก้าวไปเข้าสู่การขายบริการต่าง ๆ เช่น บัตรกำนัลโรงแรมและร้านอาหาร

ปี 2025 TikTok จะกลายเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลเซอร์วิสที่ครบวงจร โดยผสานคอนเทนต์ คอมมูนิตี้ และคอมเมิร์ซ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ กลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับทำการตลาดและขายสินค้า ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซดุเดือดยิ่งขึ้น

  • Video Commerce ดันยอดขายออนไลน์ผ่านวิดีโอ

เมื่อ TikTok แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทรนด์ Video Commerce หรือการขายผ่านวิดีโอ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งสนามแข่งขันที่ดุเดือด โดยแพลตฟอร์มวิดีโอต่าง ๆ พยายามปรับตัวและผสานระบบการขายเข้าไปในคอนเทนต์ของตนเอง เช่น การจับมือระหว่าง YouTube กับ Shopee เพื่อให้สามารถใส่ลิงก์ร้านค้าและสินค้าในวิดีโอได้โดยตรง และ Facebook กับ Instagram ที่เริ่มรองรับการใส่สินค้าในวิดีโอ ทำให้ผู้ชมสามารถกดซื้อสินค้าได้ทันที

Video Commerce จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการผสานวิดีโอและการขายที่ทำให้เกิดประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มีความบันเทิงและดึงดูดใจมากขึ้น เทรนด์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ขายและลูกค้าผ่านคอนเทนต์วิดีโอที่น่าสนใจ

  • Affiliate Marketing ช่องทางการขายที่ไม่ควรมองข้าม

การทำตลาดแบบ Affiliate Marketing จะเป็นเทรนด์ที่มีบทบาทมากขึ้นในการทำธุรกิจออนไลน์ โดยแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, TikTok จะเปิดโอกาสให้เจ้าของสินค้านำสินค้าไปฝากไว้ พร้อมตั้งค่าคอมมิชชันให้กับผู้ที่นำสินค้าไปขายต่อ ซึ่งการทำตลาดแบบนี้จะทำให้ KOL และอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีฐานลูกค้าของตัวเอง สามารถนำสินค้าที่เจ้าของสินค้าฝากขายมาโปรโมตให้กับผู้ติดตาม เมื่อเกิดยอดขายก็จะได้รับคอมมิชชัน ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนของตลาดออนไลน์ และเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น โดยไม่ต้องจ่ายค่าทำการตลาดหรือโฆษณาแพงๆ เพียงจ่ายแค่ค่า Affiliate หรือค่า marketing fee

 5 แนวทางรับมือการผูกขาดจากมาร์เก็ตเพลส

ปี 2025 ชัดเจนมากว่าอีมาร์เก็ตเพลสในไทยถูก ผูกขาดเบ็ดเสร็จโดยยักษ์ใหญ่ต่างชาติ เพียงไม่กี่ราย ทำให้ขึ้นค่าธรรมเนียมได้อย่างตามอำเภอใจโดยไร้การควบคุมจากภาครัฐ ยิ่งไปกว่านั้น อีมาร์เก็ตเพลสเหล่านี้ยังยึดข้อมูลลูกค้า ทำให้ผู้ค้าเข้าไม่ถึงชื่อ เบอร์โทร หรือแม้แต่ที่อยู่ของลูกค้า ต้องตกอยู่ในสถานะจำยอม ไม่สามารถนำข้อมูลลูกค้าไปทำการตลาดเอง จะย้ายฐานลูกค้าข้ามไปแพลตฟอร์มอื่นก็ทำไม่ได้

ขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดอีมาร์เก็ตเพลสจะดุเดือดมากขึ้น หลายแพลตฟอร์มไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นพื้นที่ขายสินค้า แต่กำลังรุกเข้าไปในธุรกิจอื่นที่ครบวงจรมากขึ้น เช่น บางแพลตฟอร์มสร้างระบบการชำระเงินของตนเอง และมีบริการขนส่งเพื่อรองรับธุรกรรมภายในระบบ อย่างกรณีของ Shopee ได้ขยายไปสู่ฟู้ดเดลิเวอรี่ ขายประกัน และให้บริการสินเชื่อด้วย ส่วน Grab ที่เริ่มจากบริการขนส่งสินค้าและเดลิเวอรี่ก็ได้ขยายมาสู่บริการสินเชื่อสำหรับผู้ค้าบนแพลตฟอร์มและไรเดอร์

  • ช่องทางการค้าของตัวเอง (Owned Channel) ลดการพึ่งพาอีมาร์เก็ตเพลส

การผูกขาดและยึดข้อมูลลูกค้าโดยอีมาร์เก็ตเพลสรายใหญ่ ผู้ค้าควรหันมาพัฒนาช่องทางการขายของตนเอง หรือที่เรียกว่า Owned Channel การทำ Owned Channel ก็เหมือนการที่เรา “สร้างบ้าน” เอง ส่วน E-Marketplace คือคอนโดที่เรา “เช่า” เขาอยู่ ซึ่งจะทำให้เข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ สามารถสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำได้มากขึ้น

ปัจจุบัน มีผู้ให้บริการที่จะทำให้ Owned Channel เชื่อมต่อระบบชำระเงินและระบบขนส่งได้โดยตรง ซึ่งช่วยให้ธุรกรรมคล่องตัว และลดการพึ่งพาอีมาร์เก็ตเพลส เช่น บริการจาก Pay Solutions ที่เชื่อมต่อกับระบบชำระเงินของ Owned Channel ได้ทุกช่องทาง สามารถรองรับการชำระผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน บัตรเดบิต บัตรเครดิต Mobile Banking หรือ Alipay WeChat Pay และสามารถชำระที่เคาน์เตอร์ด้วยเครื่องรูดบัตร All-in-one รองรับการผ่อนชำระทุกธนาคาร

  • 3C Commerce สร้างความยั่งยืนผ่านคอนเทนต์และคอมมูนิตี้

การค้าออนไลน์ในปัจจุบันไม่ได้มุ่งแค่ขายสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่กำลังก้าวสู่เทรนด์ที่เรียกว่า 3C Commerce ซึ่งประกอบด้วย 1.Content การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ ช่วยสร้างการรับรู้และความสนใจในตัวสินค้า 2.Community เมื่อมีคอนเทนต์ที่ดี ย่อมดึงดูดผู้ติดตาม สร้างฐานแฟนคลับ และสร้างชุมชนที่มีความผูกพันกับแบรนด์ 3.Commerce คอนเทนต์และคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่งจะนำไปสู่การซื้อขายสินค้า สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ค้าและลูกค้า

3C Commerce จึงช่วยเพิ่มความผูกพันที่ทำให้ลูกค้าไม่เพียงซื้อสินค้า แต่ยังติดตามและสนับสนุนแบรนด์อย่างต่อเนื่อง การขายออนไลน์จึงไม่เป็นเพียงการทำธุรกรรมอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นการสร้างประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และเริ่มขยับไปเป็นดิจิทัลเซอร์วิสมากขึ้น

  • AI Commerce ขับเคลื่อนอนาคตอีคอมเมิร์ซ

AI หรือปัญญาประดิษฐ์ จะเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคิด วิเคราะห์ วางแผนกลยุทธ์ ออกแบบ ไปจนถึงการทำโฆษณา ทุกขั้นตอนจะมี AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการทำงาน ดังนั้น การผสาน AI เข้ากับธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงไม่ใช่แค่การเพิ่มความสะดวกสบาย แต่เป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ดียิ่งขึ้น

  • e-Commerce Automation ระบบอัตโนมัติ ยกระดับธุรกิจออนไลน์

E-Commerce Automation หรือระบบอัตโนมัติสำหรับอีคอมเมิร์ซ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่ใช่แค่การขายสินค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการบริหารจัดการธุรกิจทั้งหมดผ่านแพลตฟอร์ม เช่น การจัดการออเดอร์ การวิเคราะห์และจัดการข้อมูลลูกค้า การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ระบบบัญชีออนไลน์ การจัดการขนส่ง การบริหารโฆษณา การตอบกลับอัตโนมัติสำหรับลูกค้า ซึ่งการเชื่อมโยงระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ลดความซับซ้อนของงานที่ต้องทำด้วยตนเอง และเพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกิจ

  • e-CommerceListening ผู้ช่วยวิเคราะห์ตลาด

ปัจจุบัน ข้อมูลออนไลน์มีอยู่มากมายมหาศาล กระจัดกระจาย เข้าถึงได้ยาก ดังนั้น E-Commerce Listening จะเข้ามาเป็นเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลที่จำเป็นในการขายสินค้าออนไลน์ โดยช่วยติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าทุกชิ้นในตลาดไทย แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงราคา ข้อมูลสินค้าในหมวดหมู่เดียวกัน ยอดขายและกลยุทธ์ของคู่แข่ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง สามารถกำหนดราคาที่เหมาะสม วางแผนการตลาดได้แม่นยำ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี

]]>
1504098
โตต่อไม่รอแล้วนะ! ‘5 ปัจจัย’ อีคอมเมิร์ซไทยพุ่งแรง ปี 62 ทุบสถิติใหม่ https://positioningmag.com/1211887 Sat, 02 Feb 2019 13:27:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1211887 หากใช้แฮชแท็กฮิต #10yearschallenge กับแวดวงออนไลน์ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงไม่ต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ สะท้อนจากปี 2552 จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย อยู่ที่ 16.1 ล้านคน มาในปี 2562 ขยับไปอยู่ที่ 45.2 ล้านคน เมื่อมองไปที่สื่อโซเชียลมีเดีย 10 ปีก่อนมีเพียง Hi5 ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มยักษ์ต่างชาติเข้ามายึดตลาดไทย ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ 

ขณะที่ ผู้เล่น ในตลาดอีคอมเมิร์ซ เมื่อปีก่อนต้องบอกว่า ไม่มี รายใดทำตลาดชัดเจน แต่หากนับจำนวนผู้เล่นที่แอคทีฟในตลาดอีมาร์เก็ตเพลสปีนี้ ต้องบอกว่าเป็นระดับโลกทั้งสิ้น ที่เข้ามาทำตลาดไทยต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ลาซาด้า ช้อปปี้ เจดีเซ็นทรัล รวมทั้งแบรนด์ไทยอย่าง ตลาดดอทคอม เทพช็อป   

จากการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีคอมเมิร์ซ ของประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน ที่ราว 8-10% ต่อปี โดยมีปัจจัยหนุนการเติบโตของตลาดออนไลน์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  

B2C ไทยอันดับ 1 อาเซียน

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้าได้เริ่มจัดเก็บสถิติตั้งแต่ปี 2557 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่าอยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท เติบโต 10.4% ล่าสุดปี 2561 มูลค่าพุ่งไปที่ 3.2 ล้านล้านบาท เติบโต 14.0%

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย การพัฒนาเครื่องมือสื่อสาร และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตด้วยราคาที่ถูกลง ส่งผลประชากรออนไลน์ไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 45 ล้านคน ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเติบโต ทั้งจำนวนผู้ซื้อและผู้ขายทางออนไลน์ รวมทั้งแพลตฟอร์ม อีมาร์เก็ตเพลส ในไทยและต่างประเทศที่แห่เข้ามาขยายธุรกิจจำนวนมาก

สำหรับปี 2561 มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทย ที่ 3.2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ตลาด B2B มูลค่าสูงสุดที่ 1.71 ล้านล้านบาท เติบโต 13.55% จากการที่ธุรกิจเพิ่มช่องทางออนไลน์มากขึ้น ตลาด B2C มูลค่า 8.56 แสนล้านบาท มาจากการขยายตัวของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และ B2G (ธุรกิจกับภาครัฐ) มูลค่า 5.72 แสนล้านบาท เติบโต 15.5% ถือเป็นตลาดที่เติบโตสูงสุด เนื่องจากภาครัฐประกาศใช้นโยบายไทยแลนด์ 4.0”    

ไทยถือเป็นประเทศตลาดอีคอมเมิร์ซ B2C สูงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน จากพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตวันละ 10 ชั่วโมง เรียกได้ว่าสูงติดอันดับโลก  

หากโฟกัสที่มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซ ปี 2561 ในกลุ่มผู้ประกอบการ B2B อันดับ 1 คือ กลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกออฟไลน์ ห้างสรรพสินค้า ที่มุ่งสู่ออนไลน์ รูปแบบ O2O ปีก่อนมีมูลค่า 3.56 แสนล้านบาท เติบโต 11.3% อันดับ 2 คือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งผลิตผลทางการเกษตรและประมง มูลค่า 2.03 แสนล้านบาท เติบโต 10.3% ส่วนอันดับ 3 คือ เครื่องสำอางและอาหารเสริม มูลค่า 1.51 แสนล้านบาท เติบโต 3.8%

ปี 62 อีคอมเมิร์ซทุบสถิติโตสูงสุด

สุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเชื่อว่าปี 2562 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยยังเติบโตได้ที่ 20% มีมูลค่า 3.8 ล้านล้านบาท และถือเป็นอีกปีของการสร้างสถิติเติบโตสูงสุดต่อเนื่องจากปีก่อน 

หากมองโอกาสอีคอมเมิร์ซ” ไทยหลังจากนี้ เชื่อว่ายังไปต่อได้ จาก 5 ปัจจัย

1. ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไทยยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยจำนวนผู้ใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือ กว่า 124 ล้านเบอร์ นั่นเท่ากับกว่า 1 คนมีมากว่า 1 เบอร์ การเติบโตของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ที่ 52 ล้านราย ไลน์ 44 ล้านราย อินสตาแกรม 13 ล้านราย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนตลาด โซเชียล คอมเมิร์ซ” ในไทยให้ขยายตัวต่อ โดยคนไทยเลือกซื้อสินค้าผ่านโซเชียล คอมเมิร์ซ เป็นอันดับสองรองจากอีมาร์เก็ตเพลส 

เฟซบุ๊กและอินสตาแกรม เป็นแพลตฟอร์มที่คนไทยใช้ซื้อขายออนไลน์มากที่สุด เนื่องจากซื้อง่าย อำนาจต่อรองเป็นของลูกค้า การขายสินค้าออนไลน์และจ่ายเงินผ่านออฟไลน์ได้ ทำให้มีตัวเลือกมากขึ้น

2. การปรับตัวของผู้ประกอบการค้าปลีก เชื่อมแพลตฟอร์มออฟไลน์สู่ตลาดออนไลน์ (O2O) ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าค้าปลีกรายใหญ่วางกลยุทธ์การทำตลาดรูปแบบ ออมนิ แชนแนล เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ทุกช่องทาง รวมทั้งการเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่กลุ่มเซ็นทรัล จับมือร่วมทุนกับ JD.Com เพื่อรุกตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ที่จะเห็นการแข่งขันของอีมาร์เก็ตเพลสรายอื่นๆ ทำตลาดมากขึ้นด้วยเช่นกัน 

3. ปีที่ผ่านมาพบว่า ช่องทางการชำระเงิน” สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทย 5 อันดับแรก คือ

  • บัตรเครดิต/เดบิต 42.69%
  • อินเทอร์เน็ตแบงกิ้งและโมบายแอป 27.23%
  • คิวอาร์โค้ด 10.57%
  • จ่ายเงินผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร 10.46%  และ
  • เก็บเงินปลายทาง (COD) 7%

ช่องทางการจ่ายเงินผ่านอินเทอร์เน็ตแบงกิ้งและโมบายแอป ที่สัดส่วน 27.23% มาเป็นอันดับ 2 ถือเป็นปัจจัยสำคัญผลักดันตลาดอีคอมเมิร์ซให้เติบโต เพราะสะท้อนมาจากความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี ระบบอีเพย์เมนต์ของนักช้อปออนไลน์ที่พบว่ามีทุกวัย กลุ่มใหญ่สุด คือกลุ่มคนวัยดิจิทัลที่เติบโตมากับเทคโนโลยี แต่กลุ่มคนสูงวัยก็พร้อมจับจ่ายผ่านช่องทางนี้เช่นกัน 

4. ระบบการขนส่ง ที่รวดเร็วทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความนิยมซื้อของออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ด้วยรายได้ผลประกอบการปีที่ผ่านมา 2.7 หมื่นล้านบาท มีการปรับตัวเพิ่มเซอร์วิสใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการผู้บริโภค เช่น บริการเก็บเงินปลายทาง 

ขณะที่ในตลาดขนส่งพัสดุ มีผู้ประกอบการรายใหม่ที่ทำตลาดได้โดดเด่นด้วยบริการส่งด่วน” อย่าง เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” เข้ามาเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการออนไลน์ใช้บริการ ปี 2560 เคอรี่ทำรายได้ 6,000 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาท สะท้อนถึงการเติบโตของธุรกิจขนส่งพัสดุ ที่ปัจจุบันมีผู้ประกอบการในประเทศ กลุ่มสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาขยายบริการโลจิสติกส์ในไทยมากขึ้นและช่วยให้ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโต จากการมีตัวเลือกมากขึ้น  

5. ช่องทางการตลาดออนไลน์ ในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการ มีความหลากหลาย และผู้ประกอบการทุกรายทั้งรายเล็กและรายใหญ่ สามารถใช้งานได้ไม่แตกต่างกัน

โดย 5 อันดับเครื่องมือการทำตลาดออนไลน์ ของกลุ่มเอ็นเตอร์ไพรส์ (มีรายได้มากกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป) คือ

  • เฟซบุ๊ก 30.61%
  • กูเกิลและยูทูบ 29.93%
  • ไลน์ 14.29%
  • สื่อโฆษณาออนไลน์ไทย 13.61% และ
  • เสิร์ช 7.48%

ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นิยมใช้งบประมาณทำการตลาดออนไลน์ ผ่านเฟซบุ๊กสูงสุด 93.94% ทั้งรูปแบบของการ Boost Post และ Boost Ads เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น รองลงมาเป็นไลน์ 3.09% กูเกิล 1.48% ยูทูบ 1.34% อินสตาแกรม 0.15% และเสิร์ช 0.01%

]]>
1211887