อีคอมเมิร์ซ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 17 Sep 2024 14:14:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 มีแค่ลิฟต์ที่เอาเขาลง! ‘Temu’ กวาดยอดดาวน์โหลดรวมกว่า 735 ล้านครั้ง เฉพาะแค่เดือนส.ค.ทำยอดมากกว่า ‘Amazon’ 3 เท่า https://positioningmag.com/1490619 Tue, 17 Sep 2024 12:30:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490619 ตอนนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนที่ซุ่มเข้าไทยแบบเงียบ ๆ แม้ว่าปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้รับความนิยมในไทยนัก เพราะด้วยชื่อเสีย (ง) ทั้งจากการถูกฟ้องร้อง และสำหรับประเทศไทยที่ยังไม่มีบริษัทในไทยอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า Temu เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มาแรงจริง ด้วยจุดขายในด้าน สินค้าราคาถูก เพราะเป็นการซื้อจากโรงงานผู้ผลิตโดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง แถมยังจัดส่งไวภายใน 5 วัน ยังไม่รวมถึงการอัดแคมเปญการตลาดและโฆษณาอย่างหนัก

ทำให้นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกันยายน 2022 แอปพลิเคชัน Temu สามารถทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 735 ล้านครั้ง ไปแล้ว ตามข้อมูลจาก Storklytics.com เรียกได้ว่าใช้เวลาเพียงประมาณ 2 ปี ก็สามารถแซงหน้า Amazon, eBay และ Shein เพื่อร่วมชาติอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ จากข้อมูลของ Statista และ AppMagic แสดงให้เห็นว่า หากนับเฉพาะในปี 2023 แพลตฟอร์ม Temu มียอดดาวน์โหลดทั้งหมดกว่า 337 ล้านครั้ง มากกว่า Amazon ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซสัญชาติสหรัฐฯ เกือบ 80% 

สำหรับในปี 2024 นี้ Temu ก็ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อีก และขึ้นเป็นแอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม สามารถกวาดยอดดาวน์โหลดกว่า 50 ล้านครั้งต่อเนื่อง 4 เดือนติดต่อกัน ซึ่งถือว่าโตขึ้นถึง 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา และถือว่า มากกว่าคู่แข่งอย่าง Amazon ถึง 3 เท่า นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี Temu ยังมียอดเข้าชมรวมกว่า 500 ล้านครั้ง

เมื่อแยกเป็นประเทศต่าง ๆ พบว่า ยอดดาวน์โหลดเกือบ 1 ใน 3 ของการดาวน์โหลดทั้งหมดมาจาก สหรัฐอเมริกา (27%) หรือกว่า 200 ล้านครั้ง แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันใช้ Temu มากกว่าชาวยุโรปถึง 5 เท่า เพราะประเทศอย่างสหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส และสเปนคิดสัดส่วนเพียงประเทศละ 5% ของการดาวน์โหลดทั้งหมด ส่วนตลาดที่ใหญ่เป็น อันดับสอง ของ Temu คือ เม็กซิโก สร้างยอดดาวน์โหลดทั้งหมดเพียง 10% หรือน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาถึงสามเท่า

ปัจจุบัน Temu เปิดบริการแล้วใน 49 ประเทศทั่วโลก มียอดขายกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่งปีแรก สำหรับไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ของอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่ Temu เข้ามาทำตลาด

Source

]]>
1490619
ส่อง 5 กลุ่มสินค้าไทย ที่ ‘ขายดี’ บนแพลตฟอร์ม ‘Amazon’ สำหรับ SME ไทยที่อยาก Go Inter! https://positioningmag.com/1489114 Sun, 08 Sep 2024 12:12:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489114 ในวันที่ สินค้าจีน เข้ามาถล่มตลาดไทยอย่างหนัก ทำให้ SME ไทยในปัจจุบันก็ต้องเร่งหา ตลาดใหม่ เพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะตลาดในต่างประเทศ และหนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีจุดเด่นในตลาดฝั่งตะวันตกอย่าง Amazon ก็เป็นอีกโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการ Go Inter

อีก 3 ปี ส่งออกไทยทะลุ 3 แสนล้าน

จากการสำรวจโดย Access Partnership ถึงโอกาสการ ส่งออก ของผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME ไทย พบว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา การส่งออกของไทยทั้งหมดมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท โดยสัดส่วนประมาณ 38% มาจากกลุ่ม SME และคาดว่าภายในปี 2028 มูลค่าการส่งออกของไทยจะเติบโตได้ 1.5 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท และสัดส่วนของ SME จะเพิ่มเป็น 55%

ขณะที่ SME กว่า 87% มองว่า อีคอมเมิร์ซ เป็นตัวช่วยให้สามารถ รุกตลาดต่างประเทศ และมี SME ถึง 37% ระบุว่า รายได้กว่าครึ่งมาจากการส่งออก นอกจากนี้ กว่า 56% เชื่อว่า อีคอมเมิร์ซช่วยให้ตลาดเปิดกว้างมากขึ้น โดยปัจจุบัน ประเทศที่ SME ไทยส่งออกสินค้าไปมากที่สุด ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อังกฤษ และสหภาพยุโรป

ชูจุดขายความเป็นไทย แต่ไม่ทิ้งฟังก์ชัน

หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ SME ไทยใช้ Go Inter ก็คือ Amazon ที่ให้บริการใน 23 ประเทศทั่วโลก โดย อนันต์ ปาลิต หัวหน้า อเมซอน โกลบอล เซลลิ่ง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า บนแพลตฟอร์ม Amazon มี SME ไทยกว่า 1,000 ราย โดยกลุ่มสินค้ายอดนิยม ได้แก่ 

  • ของใช้ในบ้าน 
  • เสื้อผ้า 
  • อาหารและเครื่องดื่ม 
  • ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม
  • สินค้ากีฬา

สำหรับแบรนด์ไทยที่โดดเด่น อาทิ Tuff แบรนด์ กางเกงมวย ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดสหรัฐฯ และอีกแบรนด์ก็คือ Wel-B ซึ่งเป็นผลไม้ฟรีซดราย (Freeze Drying) ขายเป็นขนม

โดย อนันต์ มองว่า สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่น่าเริ่มต้นสำหรับ SME ไทย เพราะมีกำลังซื้อสูง ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคสหรัฐฯ นั้นต้องการ สินค้าที่มีความแตกต่างจากสินค้าที่มีในประเทศ ดังนั้น ต้องมี จุดขายความเป็นไทย แต่ก็ไม่ทิ้งจุดขายด้านฟังก์ชัน

“อย่างกางเกงมวยของ Tuff ไม่ได้ขายได้เพราะเป็นกางเกงมวย แต่มีฟังก์ชันที่เหมาะสำหรับใส่ออกกำลังกาย และมีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ส่วนขนมขบเคี้ยว ก็เป็นกลุ่มที่ไทยพัฒนาได้ดี และทั้งรสชาติดีและมีประโยชน์ ซึ่งสินค้าในสหรัฐฯ ไม่ค่อยมี”

อยาก Go Inter แต่ยังติดหลายสิ่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหลายคนยังติดปัญหาเกี่ยวกับการส่งออก โดยพบว่า

  • 88% ระบุว่า ค่าใช้จ่าย เช่น การขนส่ง ค่าธรรมเนียมกรมศุล ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ 
  • 89% มองว่ายัง ขาดความรู้ โดยไม่รู้ว่าโมเดลที่เอื้อต่อการทำธุรกิจข้ามพรมแดนต้องมีอะไร
  • 93% มองว่า กฎระเบียบด้านการส่งออก ถือเป็นอุปสรรคอย่างมาก 
  • 91% ขาดผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยทำ Cross-border เช่น ด้าน Digital Marketing ด้านซัพพลายเชน

โดย อนันต์ มองว่า การจะสนับสนุนให้ SME ไทยสามารถ Go Inter ได้ ควรสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับตลาด สร้างอีโคซิสเต็มส์ให้ทำงานได้ง่าย เช่น รวมโลจิสติกส์ไว้บนแพลตฟอร์มเดียว สุดท้าย ภาครัฐควรช่วยเหลือด้านกฎระเบียบในการนำเข้าสินค้า

สำหรับ Amazon เองก็มีโปรแกรมช่วยเหลืออย่าง Amazon Global Selling อาทิ บริการ Fulfillment by Amazon (FBA) ที่เป็นบริการ Fullfillment คือ หยิบ แพ็ก ส่ง โดย Amazon จะเก็บสินค้าของลูกค้าไว้ในคลังที่มีกว่า 400 แห่ง และจะจัดส่งให้เมื่อมีคำสั่งซื้อ โดยการันตีจัดส่งถึงปลายทางได้ภายใน 2 วัน นอกจากนี้ Amazon ยังมีโครงการอื่น ๆ เช่น Amazon Brand Registry ช่วยเรื่องการตลาดให้ลูกค้าเจอแบรนด์ได้มากขึ้น หรือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น รวมถึง Shopping Event เช่น  Black Friday เป็นต้น

“ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่ใช่งาน FBA อาจเป็นเพราะกระบวนการอาจซับซ้อน รวมถึงค่าใช้จ่าย ซึ่งเราเองก็ตระหนักเรื่องนี้ โดยจะปรับกระบวนการให้ง่ายขึ้น รวมถึงสื่อสารถึงข้อดีของบริการ อย่าง ลูกค้าที่ใช้บริการ FBA ก็มียอดขายเพิ่มขึ้น 20-25% และลดต้นทุนได้ 30% เมื่อเทียบกับลูกค้าที่ไม่ใช้”

ปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยกว่า 1,000 รายบน Amazon มียอดขายสินค้ากว่า 1 ล้านชิ้น/ปี และข้อมูลจาก Statista พบว่า ในปี 2023 สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีรายได้รวมจากอีคอมเมิร์ซสูงเป็นอันดับที่สองของโลก มีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากผลสำรวจของ Amazon ที่จัดทำโดย Access Partnership ในปีเดียวกัน พบว่ามากกว่า 65% ของธุรกิจ SMEs ของไทย มองว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีความสำคัญในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้

]]>
1489114
เสร็จศึกฆ่าขุนพล! ‘วอลมาร์ท’ เตรียมเทหุ้น ‘JD.Com’ หลังธุรกิจค้าปลีกของตัวเองไปได้สวย ปิดฉากการลงทุน 8 ปี https://positioningmag.com/1487155 Thu, 22 Aug 2024 12:12:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487155 หลังจากที่ Pinduoduo ผงาดในตลาดอีคอมเมิร์ซจีน อดีตเบอร์ 1 และ 2 อย่าง Alibaba และ JD.com ต่างระส่ำกันหมด และด้วยการแข่งขันที่รุนแรงภายในประเทศ ทำให้ วอลมาร์ท (Walmart) บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ก็ได้ถอนการลงทุนจาก JD.com ทั้งหมด

Walmart เทขายหุ้น JD.com ทั้งหมดมูลค่ารวมราว 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยบริษัทได้เข้าลงทุนใน JD.com ตั้งแต่ ปี 2016 โดยขายร้านขายของชำออนไลน์ในจีนอย่าง Yihaodian ให้กับ JD.com เพื่อแลกกับหุ้น 5% ใน JD.com และในปีเดียวกันนั้น วอลมาร์ทเพิ่มการถือหุ้นใน JD.com เป็นมากกว่า 10% ดังนั้น การขายหุ้นทั้งหมดนี้ ถือเป็นการปิดฉากการลงทุน 8 ปี

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ Walmart ตัดสินใจเทขายหุ้นมาจาก ผลตอบแทนที่ลดลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงของอีคอมเมิร์ซจีน ทำให้ทั้ง Alibaba และ JD.com ต่างต้องอัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าเข้าแพลตฟอร์ม ซึ่งนั่นส่งผลให้อัตรา กำไรลดลง

ส่วนอีกสาเหตุก็คือ Walmart ต้องการจะ นำเงินทุนไปใช้กับสิ่งที่มีความสำคัญกว่า โดย Walmart ระบุว่า บริษัทจะมุ่งไปที่การดำเนินธุรกิจของตัวเองในจีน ซึ่งก็คือ Walmart China และ Sam’s Club อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมุ่งมั่นรักษาความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่องกับ JD.com ซึ่ง JD.com จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าของ Walmart บนเว็บไซต์

ด้าน JD.com ระบุในแถลงการณ์ว่า บริษัทมีความมั่นใจในความร่วมมือในอนาคตระหว่างทั้งสองบริษัท โดยภายใต้สัญญาเดิม Walmart และ JD.com จะทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับห่วงโซ่อุปทานของตน เพื่อขยายขอบเขตของผลิตภัณฑ์นำเข้าสำหรับผู้บริโภคชาวจีน

อย่างไรก็ตาม โทมัส เฮย์ส ประธานบริษัทการลงทุน Great Hill Capital ให้ความเห็นว่า “ในปี 2016 บริษัท Walmart ต้องการขยายธุรกิจในประเทศจีน และพวกเขาทำสำเร็จผ่านการเรียนรู้ตลาดจาก JD.com  และตอนนี้พวกเขาก็มีช่องทางในการขยายธุรกิจและมีผลประโยชน์ในจีนเป็นของตัวเอง และพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีส่วนได้ส่วนเสียใน JD อีกต่อไป เมื่อพวกเขามีธุรกิจที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว

ปัจจุบัน ราคาหุ้นของ JD.com ร่วงลงราว 70% จากจุดสูงสุดเมื่อต้นปี 2021 และราคาหุ้นก็ใกล้เคียงกับระดับเปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 นอกจากนี้ การเติบโตของยอดขายของ JD.com หยุดนิ่งหลังจากการระบาดใหญ่ เนื่องจากผู้ซื้อแห่กันไปที่บริษัทอีคอมเมิร์ซราคาประหยัดคู่แข่งอย่าง Pinduoduo

โดยหุ้นของ JD.com ที่จดทะเบียนในฮ่องกงปิดตลาดลดลงเกือบ -9% ในวันพุธ ส่วนหุ้นที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ลดลง -5% ในการซื้อขายช่วงเที่ยงวัน ด้านหุ้นของ Walmart เพิ่มขึ้น 0.6% ในวันพุธ หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 75.58 ดอลลาร์

โดยในไตรมาสล่าสุด Walmart รายงานว่า รายได้จากธุรกิจในประเทศจีนเพิ่มขึ้น +17.7% เมื่อเทียบเป็นรายปีที่ 4.6 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเครือข่ายคลังสินค้า Sam’s Club และช่องทางดิจิทัล โดยรายได้จากสมาชิกจากธุรกิจ Sam’s Club ในประเทศจีนเติบโตขึ้น +26% ขณะที่จำนวนสมาชิกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

]]>
1487155
ทำไม ‘Temu’ ถึงเป็นแพลตฟอร์มที่คนยกให้เป็น ‘ปลาหมอคางดำ’ ผู้มาทำลายระบบนิเวศเศรษฐกิจไทย https://positioningmag.com/1486285 Wed, 14 Aug 2024 11:02:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1486285 แม้ไทยมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนหลายราย แต่การมาของคง Temu หรือ เทมู-ทีมู อีคอมเมิร์ซจีนที่เข้าไทยมาแบบเงียบ ๆ ไปเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก็ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก เพราะด้วยราคาที่ ถูกแสนถูก จนเกิดเป็นคำถามว่า ผู้ประกอบการไทย จะอยู่รอดได้หรือไม่

ไม่มีสำนักงานในไทย = ตั้งใจเอาเปรียบ

ปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย 65% ถูกครอบครองด้วย 3 แพลตฟอร์มหลัก ได้แก่ Shopee (49%) Lazada (30%) และ TikTok Shop (21%) แต่สำหรับการมาของ Temu ไม่เหมือนกับแพลตฟอร์มไหน ๆ ก็คือ Temu ไม่มีสำนักงานในไทย ซึ่งแปลว่า ยอด ทุกบาททุกสตางค์ของลูกค้าชาวไทยถูกส่งกลับไปจีน เพราะบริษัท ไม่ได้จ่ายภาษีให้กับประเทศไทย โดย ป้อม ภาวุธ กูรูอีคอมเมิร์ซเมืองไทย ถึงกับเอ่ยปากว่า เห็นเจตนาชัดว่า ต้องการฝ่าฝืนและเอาเปรียบประเทศเรา

“เขาคงไม่เข้าประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพราะในหลายประเทศเขาก็ทำแบบนี้ คือ เปิดเว็บไซต์ให้ซื้อและส่งของจากจีนเข้ามาไทย” ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด กล่าว

ปัจจุบัน Temu เปิดบริการแล้วใน 49 ประเทศทั่วโลก โดยไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ของอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย รวม ๆ แล้ว Temu มีจำนวนแอคเคาท์กว่า 467 ล้านแอคเคาท์ เป็นแอปพลิเคชันที่มี ยอดดาวน์โหลดสูงสุดในปีนี้ และมียอดขายรวมกว่า 14,000 ล้านบาทต่อเดือน

ภาพจาก Shutterstock

ถูกจนสหรัฐฯ ยังโดนตก

เพราะแนวคิดแรกของ Temu คือการ ตั้งราคาขายให้ได้ต่ำที่สุด ดังนั้น Temu จึงทำการ ตัดคนกลางออก ทำให้ผู้บริโภคเชื่อมต่อกับผู้ผลิตโดยตรง หรือพูดง่าย ๆ สินค้าที่สั่ง ส่งตรงจากโรงงานถึงลูกค้า นอกจากนี้ Temu จะมีฟีเจอร์ให้ลูกค้า รวมกลุ่มกันซื้อสินค้า หรือ Group Buying เพื่อให้ได้สินค้าในราคาที่ถูกลงไปอีก ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่สินค้าบางชนิดราคาจะ ถูกกว่าท้องตลาด 99% ยังไม่รวมการทำโปรโมชั่นต่าง ๆ และการจัดส่งอย่างรวดเร็วภายใน 4-9 วัน เพราะต่อให้ของถูก แต่ได้ของช้า คนก็อาจไม่รอ

ด้วยกลยุทธ์ที่เล่นเรื่องราคาเป็นหลัก และการจัดส่งที่รวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกกใจที่ Temu จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว อย่างในตลาด สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ Temu ทำตลาด Temu ใช้เวลาเพียง 2 ปี ก็สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 17% โดยสิ้นปี 2023 มียอดขายสูงถึง 1.53 หมื่นล้านดอลลาร์ และในช่วงต้นปีที่ผ่านมามียอดผู้ใช้งานกว่า 80 ล้านคน

จะเห็นว่าขนาดสหรัฐฯ ที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ย 94,003 ดอลลาร์ต่อปี หรือ 3.4 ล้านบาทต่อปี ยังโดน ของถูกตก แล้วคนไทยที่มีรายได้เฉลี่ย 248,468 บาทต่อคนต่อปี จะเหลืออะไร

ข้อกังวลความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

ไม่ใช่แค่ราคา แต่เทคโนโลยีของ Temu ก็ยิ่งทำให้แพลตฟอร์มเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างถูกจุด ด้วย อัลกอริทึม ที่วิเคราะห์ customer journey ของลูกค้าอย่างละเอียด ตั้งแต่การดูสินค้า การมีส่วนร่วมในกิจกรรม ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ ทำให้ Temu สามารถปรับแต่งและเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ Temu ยัง ส่งข้อมูลเหล่านี้ไปยังผู้ขาย ทำให้ผู้ขายสามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามเทรนด์หรือความต้องการของตลาด ซึ่งก็ช่วยให้ผู้ขายไม่ต้องผลิตสินค้าเกินความต้องการ สามารถบริหารจัดการต้นทุนและสต็อกได้ดีขึ้น ซึ่งก็ยิ่งทำให้ต้นทุนสินค้าถูกลง ทำให้ทำราคาสินค้าได้ถูกลงไปอีก

อย่างไรก็ตาม ด้วยการใช้งาน Big Data ทำให้ Temu มีประเด็นเรื่อง ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ของ Pinduaduo ที่ Temu ก็อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันกับ PDD Holdings เคยถูก Google ปักธงแดงเปลี่ยนสถานะแอปฯ ให้เป็น มัลแวร์ เพราะ Pinduoduo เวอร์ชันที่ไม่ได้อยู่ใน Google Play Store มีลักษณะการทำงานที่คล้ายกับมัลแวร์ โดย ทำหน้าที่ตรวจสอบและสอดแนมผู้ใช้งาน โดยใช้วิธีการ Zero-day แฮกข้อมูลของผู้ใช้งาน เพื่อเข้าถึงและรวบรวมข้อมูลผู้ใช้

Shanghai,China-Nov.29th 2023: Pinduoduo (PDD Holdings) brand logo sign on official website. Chinese company

SME เจ็บสุด

จากทั้งสินค้าราคาถูก เงินทุนที่สามารถลด แลก แจก แถม และทำการตลาดได้มากกว่า เทคโนโลยีที่ดีกว่า คนที่กระทบมากสุดคงหนีไม่พ้นผู้ประกอบการรายย่อยอย่าง SME และถ้าผู้ประกอบการไทยลดกำลังผลิตหรือเลิกผลิต การจ้างงานก็ลดลง มีผลต่อเนื่องเป็นทอดๆ ต่อเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI GROUP) ยังมองว่า ทุนจีนที่เข้ามาในไทยนั้นมีลักษณะพิเศษกว่าทุนจากชาติอื่นที่เคยเข้ามา เพราะวิธีดำเนินธุรกิจสไตล์จีนคือ ใช้ระบบนิเวศของตนเองทั้งหมด จึงไม่ส่งผลดีต่อการจ้างงานคนไทยและการใช้วัตถุดิบในประเทศไทย

ปัจจุบัน ประเทศไทยยิ่ง ขาดดุลการค้ากับจีน ซึ่งตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมาโดยตลอด โดยในปี 2023 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมหาศาลถึง 1.29 ล้านล้านบาท แค่ 2 เดือนแรกของปีนี้ ไทยก็ขาดดุลแล้ว 2.82 แสนล้านล้านบาท

“รัฐบาลควรจะเข้ามาดูแลผู้ประกอบการไทย มีมาตรการปกป้องให้มากขึ้น เพราะถ้าผู้ประกอบการไทยลดกำลังผลิตหรือเลิกผลิต การจ้างงานก็ลดลง มีผลต่อเนื่องเป็นทอดๆ ต่อเศรษฐกิจ”

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI GROUP)

คนไทยตื่นตัวที่จะแบน Temu

อย่างไรก็ตาม แม้ Temu จะดูน่ากลัวเพราะทั้งการทำราคาสินค้า เทคโนโลยี และเงินทุนมหาศาล แต่จุดอ่อนสำคัญคือ คุณภาพสินค้า และการ ละเมิดลิขสิทธิ์ อย่างในสหรัฐฯ เอง ทางคณะกรรมการทบทวนเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐฯ-จีน (USCC) ก็ได้ออกมาเตือนถึงเรื่องนี้

ซึ่งในประเทศไทยก็ดูเหมือนผู้บริโภคจะตื่นตัวกับการมาของ Temu โดยชาวเน็ตไทยเองก็ตื่นตัวกับการมาของ Temu โดยพากันไปคอมเมนต์เพจ Temu Thailand ที่มีผู้ติดตามกว่า 3 หมื่นคนว่า “ให้ใช้สินค้าไทย ซื้อของคนไทยและต่อต้านสินค้าจีน เพราะมองว่า การเข้ามาของแอปฯ นี้จะทำให้ผู้ประกอบการไทยย่ำแย่ ด้าน นารากร ติยายน ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้ออกมารีวิวการสั่งของจาก TEMU ว่า ห่วย ด้วย

เก็บภาษีไม่ได้ก็บล็อกไปเลย

แม้ว่า Temu จะดูน่ากลัว แต่ไม่ใช่ว่าจะสกัดไม่ได้ โดย ภาวุธ ได้แนะนำถึงภาครัฐว่า ควรใช้กฎหมาย E-Service Tax (VES) ที่ทำให้สรรพากรมีอำนาจในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากผู้ให้บริการต่างประเทศจากการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-service) ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ อาทิ Facebook (Meta), YouTube, Netflix, Google เป็นต้น

หรือมาตรการขั้นเด็กขาดคือ บล็อกการเข้าถึงคนไทย แบบเดียวกับการบล็อกเว็บไซต์อย่าง พอร์นฮับ รวมไปถึงทำหนังสือไปยัง AppStore, PlayStore เพื่อบล็อก Temu ออกจากการเห็นของคนไทย หรือในกรณีที่ไม่สามารถบล็อก Temu ได้ก็ควร บังคับใช้กฎระเบียบเดิมให้เข้มแข็ง เช่น คุมการนำเข้าสินค้าที่เข้มงวด อย่างให้สินค้าที่ไม่มี มอก. หรือ อย. เข้ามาไทย เพราะสินค้าที่ถูก อาจไม่ได้คุณภาพตามข้อกำหนด

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด

SME หนีไม่ได้ก็เข้าร่วม

สุดท้ายแล้ว SME ที่เน้นนำเข้าของจากจีนมาขาย อาจจะอยู่ยาก ดังนั้น ควรสร้าง แบรนด์ และเน้นไปที่ คุณภาพสินค้า เพราะสินค้าของ Temu ไม่มีแบรนด์ เน้นทำราคา ไม่สนเรื่องคุณภาพ และที่สำคัญ SME ต้อง หาตลาดใหม่ ๆ เช่น กลุ่มเป้าหมายใหม่หรือการ ส่งออก สุดท้าย ต้องนำ เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้คน

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่า Temu เปิดให้ผู้ประกอบการไทยขายของบนแพลตฟอร์มได้หรือไม่ แต่ที่เห็นคือ Temu เปิดให้โรงงานและบุคคลบางประเภทสามารถสมัคร Seller Account เพื่อนำสินค้าไปจำหน่ายได้ ซึ่ง คนไทยสามารถสมัครได้ เพียงแต่แพลตฟอร์มจะอนุมัติหรือไม่ขึ้นอยู่กับทาง Temu ซึ่งข้อดีของการขายของบน Temu คือ การเปิดตลาดใหม่ ๆ ในต่างประเทศ ดังนั้น SMEs ไทยอาจจะลองดูสักตั้ง เผื่อใช้ Temu เป็นอีกแพลตฟอร์มในการขายสินค้าไปต่างประเทศ

]]>
1486285
ฉายภาพวิกฤต ‘SME’ โดย ‘ป้อม ภาวุธ’ ในวันที่กำลังถูกปล่อยให้ตาย! https://positioningmag.com/1484508 Wed, 31 Jul 2024 15:59:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484508 ถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่ออกมาเป็นปากเป็นเสียงแทน SMEs ไทย สำหรับ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด โดย ป้อม จะมาฉายภาพถึงสถานการณ์ปัจจุบันของ SMEs ในวันที่ตลาดอีคอมเมิร์ซถูกยึดครองโดย จีน

SMEs ยิ่งขายยิ่งขาดทุน

นับตั้งแต่ปี 2562 ภาพรวม ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย จนถึงปี 2566 มีการเติบโตถึง 41.5% จำนวนผู้ใช้ก็เพิ่มจาก 30.7 ล้านคน เป็น 41.5 ล้านคน ขณะที่ยอดใช้จ่ายต่อคนก็เพิ่มขึ้นจาก 2,970 บาท เป็น 8,840 บาท และในปีนี่ ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยคาดว่าจะมีมูลค่าเฉียด 7 แสนล้านบาท เลยทีเดียว 

แม้ภาพรวมอีคอมเมิร์ซจะเติบโต แต่ ป้อม ภาวุธ อธิบายว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้โตตาม เพราะมีความน่ากลัวหลายอย่างซ่อนอยู่ โดยเฉพาะการถูก ผูกขาด จากผู้เล่น 3 รายหลัก ได้แก่ Shopee, Lazada และ TikTok ซึ่งร้านค้าที่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้ก็ต้องยอมจ่าย ค่าบริการ กลายเป็นว่า ไม่ขายออนไลนก็ไม่ได้ แต่มาขายออนไลน์ยิ่งขาดทุน

“จะเห็นว่าไทยต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติหมดเลย ซึ่งมันทำให้เราเสียเปรียบ เพราะต่างชาติคุมหมดทำให้แพลตฟอร์มสามารถขึ้นราคาค่าบริการแพลตฟอร์ม โดยบางแพลตฟอร์มขึ้นราคาถึง 300% ภายในปีครึ่ง จากที่ไม่เก็บเลย ตอนนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 7-10% และเราไม่สามารถไปชะลอได้”

ท้าทายรอบด้าน

เมื่อร้านค้าออฟไลน์ ต้องขึ้นมาแข่งขันบนออนไลน์ ก็ต้องเจอกับการแข่งขันด้าน ราคา ที่รุนแรง เพราะต้องเจอกับ สินค้าจีน ที่ทำราคาได้ดีกว่า และเริ่มส่งเร็วขึ้น นอกจากนี้ อีกจุดที่เสียเปรียบก็คือ ร้านค้าไม่ได้ ข้อมูลลูกค้า เพราะแพลตฟอร์มปิดทั้งหมด เพื่อไม่ให้ร้านค้าไปทำการตลาดทีหลัง ทำให้เป็นการล็อกให้อยู่แต่บนแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ ในปีหน้าแพลตฟอร์มทั้งหมดต้องส่งข้อมูลให้ กรมสรรพากร อัตโนมัติ ทำให้ร้านค้าเล็ก ๆ ที่ไม่เคยเสียภาษีต้องเสียภาษี ดังนั้นจะเห็นว่า SMEs ที่เป็นกระดูกสันหลังกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้านและ ย่ำแย่ลง

“เฉพาะตอนนี้ มูลค่าสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในไทยคาดว่ามีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท แต่ตอนนี้อาจจะดีหน่อยที่รัฐบาลออกกฎเก็บ Vat สินค้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาท”

อยากรอดต้องเน้นคุณภาพและส่งออก

ภาวุธ มองว่า SMEs ที่เน้นนำเข้าของจากจีนมาขายอาจจะอยู่ยาก เพราะจะสู้ราคาไม่ได้ แต่ต้องแข่งด้วย แบรนด์ และ คุณภาพสินค้า เน้นที่ประสบการณ์ นอกจากนี้ อย่าไปคนเดียว ต้องหาพันธมิตรเพื่อแบ่งทรัพยากรหรือลูกค้า ที่สำคัญต้อง หาตลาดใหม่ ๆ เช่น กลุ่มเป้าหมายใหม่หรือการ ส่งออก รวมไปถึงเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ไม่ใช่อยู่แค่บนแพลตฟอร์ม สุดท้าย ต้อง นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้คน เช่น สามารถให้ลูกค้าผ่อนได้ ใช้ระบบออโตเมชั่น เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของ SMEs ที่เห็นในปัจจุบันคือยัง ไม่ตื่นตัวกับการส่งออก เพราะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ภาษา ระบบการบริหารจัดการ และ ข้อกำหนดของแต่ละประเทศ ซึ่ง SMEs อาจทำความเข้าใจและดำเนินการได้ยาก ดังนั้น อยากให้ ภาครัฐ ควรสนับสนุนการพา SMEs ไปตลาดต่างประเทศ มีคลังสินค้าในประเทศนั้น ๆ มีคนช่วยโพสต์สินค้าขายในประเทศนั้น ๆ

“ความซวยคือ SMEs เราแทบไม่มีอะไรไปขาย เพราะระบบ SMEs แทบพังหมดแล้ว สู้ต้นทุนจีนไม่ไหว อาจจะมีเรื่องของอาหาร ผลไม้ ที่อาจสู้ได้ แต่รัฐบาลต้องช่วย เพราะเขาเข้มงวดกว่าเรา ไม่เหมือนเราที่เปิดให้เข้ามาง่าย ๆ”

แค่ 3 ข้อ ขอภาครัฐ

ภาวุธ มองว่า มีเพียง 3 ข้อที่อยากให้รัฐบาลทำ ได้แก่

  • บังคับใช้กฎระเบียบเดิมให้เข้มแข็ง เช่น คุมการนำเข้าสินค้าที่เข้มงวด อย่างให้สินค้าที่ไม่มี มอก. หรือ อย. เข้ามาไทย รวมถึงเข้มงวดเรื่องการ จัดตั้งบริษัท
  • ปรับเกณฑ์ให้คุ้มครองผู้ประกอบการ
  • สนับสนุนผู้ประกอบการจริง ๆ ไม่ใช่แค่จัดงานให้ความรู้

“ไม่ต้องกีดกันสินค้าจีนหรอก เราแค่ทำตามกฎระเบียบให้ได้ก่อน เพราะตอนนี้สินค้ามันหลุด มอก. หรือ อย. หมดเลย พอไม่มีอะไรกั้นก็บ่าเข้ามา SMEs ไทยก็สู้ไม่ได้ ก็เลือกจะปิดโรงงานแล้วนำเข้ามาถูกกว่า มันก็กระทบเป็นลูกโซ่หมด ต่างจากบางประเทศ เช่น อินโดนีเซียที่ไม่ปล่อยให้แพลตฟอร์มหรือสินค้าจีนเข้ามาง่าย ๆ”

ทุกคนแทบปล่อยมือกับ SMEs หมดแล้ว

หากนับเฉพาะบริการ เพย์เมนต์เกตเวย์ ตอนนี้ เพย์ โซลูชั่น (Pay Solution) ถือเป็น ผู้เล่นไทยรายเดียวในตลาด เพราะผู้ให้บริการไทยรายอื่น ๆ ถูกต่างชาติซื้อไปหมดแล้ว และบริการเหล่านั้นจะเน้นจับลูกค้ารายใหญ่เป็นหลัก ขณะที่ SMEs ที่คิดเป็น 80% ของประเทศกลับถูก ปล่อยมือทิ้ง SMEs หมด 

อย่างไรก็ตาม เพย์โซลูชั่นจะเน้นที่กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยเป็นหลัก โดยจะเข้าไปช่วยระบบ ชำระเงิน เช่น บริการเครื่องรูดบัตร, ระบบตัดเงินอัตโนมัติ, ระบบผ่อนชำระเงิน, รับเงินจากต่างประเทศ และเชื่อมกับระบบ CRM รวมถึงช่วยออก E-Tax และ Invoid

โดยปีนี้ เพย์โซลูชั่นตั้งเป้าเพิ่มทรานแซคชั่นเป็น 7,800 ล้านบาท มีรายได้ 160 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะบุกที่ตลาด ออฟไลน์ มากขึ้น เพราะเป็นตลาดใหญ่ และธุรกิจออนไลน์หลายธุรกิจเริ่มจากออฟไลน์ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าออฟไลน์ของบริษัทมีสัดส่วนเพียง 5% แต่อนาคตต้องการเพิ่มเป็น 50% 

“SMEs มันกระจัดกระจายมาก มันเลยยุ่งยาก ทุกคนเลยคิดจะจับแต่รายใหญ่ ทำให้ตอนนี้ SMEs มันพังมากและกำลังจะตาย คนจีนมีเทคโนโลยีเพียบ แต่ไทยยังใช้กระดาษอยู่เลย เราเลยอยากจะช่วยรายย่อยพวกนี้ แต่เพย์เมนต์มันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเรามีพาร์ทเนอร์อื่น ๆ เช่น ระบบบัญชี, ระบบบริหารข้อมูลลูกค้า นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไปคนเดียวไม่ได้”

ปีหน้าจะพาผู้ประกอบการไทยไปต่างประเทศ

ภาวุธ ทิ้งท้ายว่า ปีนี้จะเป็นการดึงผู้ประกอบการออฟไลน์ขึ้นมาออฟไลน์ เพราะ SMEs ไทยยังไม่ค่อยใช้เทคโนโลยี แต่ปีหน้าตั้งใจจะช่วยพาผู้ประกอบการไทย ส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าประเทศ ซึ่งไมด์เซ็ทของบริษัทคือ การที่บริษัทจะโตได้ ต้องทำให้ลูกค้าโตก่อน

“SMEs ไทยบางรายอยู่แบบเดิมมานานและไม่อยากเปลี่ยน ดังนั้น ต้องมีโรลโมเดลก่อน ให้คนไทยเห็นว่าดีถึงจะอยากไปใช้ตาม และตอนนี้ระบบไอทีถูกลง ดังนั้น อย่างน้อยเครื่องมือก็ช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานเขาดีขึ้น ในขณะเดียวกันภาครัฐก็ต้องช่วย SME ด้วย”

]]>
1484508
เจาะลึกความน่ากลัว ‘Temu’ อีคอมเมิร์ซจากแดนมังกรที่กล้างัดกับ ‘Amazon’ และกำลังมาตีตลาดไทย https://positioningmag.com/1484419 Tue, 30 Jul 2024 10:23:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484419 แค่มี Shopee กับ Lazada และ TikTok ก็แทบจะมีแต่ผู้เล่น จีน ที่ครองตลาด อีคอมเมิร์ซไทย ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว แต่ล่าสุดยังมีผู้เล่นใหม่เพิ่มมาอีกรายคือ Temu ที่เพิ่งเข้าไทยมาแบบเงียบ ๆ โดย Positioning จะพาไปรู้จัก Temu ว่าทำไมถึงเป็นอีกผู้เล่นที่ น่ากลัว

ก่อนจะรู้จัก Temu รู้จัก Pinduoduo ก่อน

คนไทยมักจะชินกับชื่อ Alibaba, JD ว่าเป็นผู้เล่นตัวท็อปในตลาดอีคอมเมิร์ซจีน แต่จริง ๆ แล้วทั้ง 2 บริษัทถูก Pinduoduo (พินตัวตัว) อีกหนึ่งบริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีนแซงหน้าในแง่ของมูลค่าบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว และ Pinduoduo ก็ถือเป็นบริษัทพี่บริษัทน้องกับ Temu (ทีมู) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่ที่ใช้บุกตลาดโลก

จุดเริ่มต้นของ Pinduoduo นั้นเริ่มจากชายที่ชื่อ Colin Huang ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอ PDD Holdings ที่ก่อตั้ง Pinduoduo ในปี 2015 โดยเริ่มจากจากการเป็นแพลตฟอร์มสินค้าเกษตร ก่อนจะขยายไปสู่ผู้ให้บริการโซเชียลคอมเมิร์ซที่มีผู้ใช้กว่า 900 ล้านคน โดยมีคอนเซ็ปต์คือ นำความสนุกสนานมาสู่การช้อปปิ้ง ด้วยการ ซื้อเป็นกลุ่ม เพื่อให้ได้ราคาถูก

โดยผู้ซื้อสามารถแชร์ข้อมูลสินค้าที่ต้องการ เพื่อรวมคำสั่งซื้อกับเพื่อนในช่องทางต่าง ๆ หรือจะรอรวมกับผู้ซื้อรายอื่นก็ได้เพื่อสั่งซื้อไปยังร้านค้า หรือผู้ผลิตโดยตรง เพื่อให้ได้ สินค้าราคาส่ง นั่นเอง เนื่องจาก Pinduoduo สามารถจัดการคำสั่งซื้อในแบบ C2M หรือจากผู้บริโภคถึงผู้ผลิตโดยไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งช่วยให้ผู้ขายสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของผู้บริโภคและลดต้นทุนได้อีกด้วย

ใช้แบรนด์ Temu ลุยตลาดโลก

จนมาปี 2022 ในขณะที่ทั่วโลกเจอกับวิกฤต COVID-19 ส่งผลให้ 2 ยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba และ JD. เลือกจะ ยุติการขยายตลาดต่างประเทศ เพื่อคุมค่าใช้จ่าย แต่ไม่ใช่กับ Pinduoduo ที่เลือกออกไปเติบโตนอกจีน โดยเปิดตัวแพลตฟอร์มที่ชื่อ Temu ในเดือนกันยายน 2022 และใช้โมเดลซื้อเป็นกลุ่มเหมือนกับ Pinduoduo

โดย Temu เลือกที่จะบุกไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นประเทศแรก ทั้งที่มีผู้เล่นหลักอย่าง Amazon โดยในเดือนธันวาคม 2022 Temu ขึ้นเป็นแอปฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบน App Store และ Google Play ในสหรัฐอเมริกา และภายใน 1 ปี Temu สามารถโกยผู้ใช้ได้ถึง 100 ล้านคน จากนั้นก็ขยายไป 47 ประเทศทั่วโลก

แน่นอนว่าปัจจัยที่ทำให้ Temu เติบโตอย่างรวดเร็วก็คือ สินค้าที่หลากหลาย แถมยัง ราคาถูก มีโปรจุก ๆ อย่าง ลด 90% นอกจากนี้ยัง ไม่มีค่าส่ง ทำได้ให้ได้ใจลูกค้าที่ต้องการของถูกไปเต็ม ๆ แต่นอกจากจะเล่นเรื่องราคาแล้ว ฝั่งการตลาด Temu ก็ทุ่มไม่แพ้กัน เพราะถึงขั้นเคยซื้อโฆษณาในรายการ Superbowl ซึ่งถือเป็น การแข่งขันกีฬาที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ยังไม่รวมการจ้างเหล่าอินฟลูเอนเซอร์เพื่อโปรโมตแพลตฟอร์ม เรียกได้ว่าไปสุดทุกทางสำหรับ Temu

ถูกตั้งคำถามเรื่องลิขสิทธ์และการใช้แรงงาน

แน่นอนว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แถมขายของถูกแสนถูก ทำให้ในเดือนเมษายน ปี 2023 คณะกรรมการทบทวนเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐฯ-จีน (USCC) ซึ่งเป็นคณะกรรมการอิสระของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้บันทึกสรุปเกี่ยวกับความท้าทายที่เกิดจากแบรนด์ Temu และ Shein เกี่ยวกับ ความกังวลของคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และกล่าวหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์

นอกจากนี้ บริษัทแม่อย่าง PDD Holdings ก็ถูก China Labor Watch กล่าวหาว่า ใช้งานพนักงานเยี่ยงทาส โดยบังคับให้พนักงานทำงาน 380 ชั่วโมงต่อเดือน ทำให้บริษัทเผชิญการประท้วงทางออนไลน์ หลัง พนักงานเสียชีวิตหลายคน ในปี 2021

นอกจากนี้ ในเดือนเมษายน 2023 สื่อ CNN รายงานว่า ทีมรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์หลายทีมพบ มัลแวร์ในแอปมือถือของ Pinduoduo สำหรับอุปกรณ์ Google Android ซอฟต์แวร์นี้ทำให้แอป Pinduoduo เลี่ยงการอนุญาตด้านความปลอดภัยของผู้ใช้และเข้าถึงข้อความส่วนตัว หรือเปลี่ยนการตั้งค่าและป้องกันไม่ให้ถอนการติดตั้งแอป

ปัจจุบัน PDD Holdings ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Temu ได้ย้ายสำนักงานใหญ่จากเซี่ยงไฮ้ไปยัง ดับลิน เมืองหลวงของไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับบริษัทเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta และ Google เนื่องจากมีโครงสร้างภาษีที่เป็นมิตรต่อธุรกิจ

SHANGHAI, CHINA – JULY 25 2018: FILEPHOTO – Headquarters of Pinduoduo, a rising B2C e-commerce platform, in Shanghai, China Wednesday, July 25, 2018.
PHOTOGRAPH BY Feature China / Barcroft Studios / Future Publishing (Photo credit should read Feature China/Barcroft Media via Getty Images)

เข้าไทยอย่างเงียบ ๆ

Temu เริ่มเข้ามาในตลาดอาเซียนในปี 2023 โดยเริ่มบุกที่ประเทศฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย มาปี 2024 นี้ ก็ถึงคิวของ ประเทศไทย แน่นอนว่านอกจากสินค้าราคาแสนถูก ยังมาพร้อมโปรโมชั่นจัดเต็มอย่าง ส่วนลดสูงสุด 90% และที่น่าแปลกใจ (มั้ง) คือ การจัดส่งสินค้า จากมณฑลกว่างโจว ประเทศจีน มายังกรุงเทพฯ ไม่เกิน 5 วัน!

เรียกได้ว่า สมรภูมิอีคอมเมิร์ซตอนนี้ดุเดือดกว่าเดิมแน่นอน แต่ที่แน่นอนไปกว่านั้น ผู้ประกอบการไทยอาจต้อง ปาดน้ำตาแทนเหงื่อ แล้วรอบนี้

]]>
1484419
‘Priceza’ ฉายภาพ ‘อีคอมเมิร์ซ’ ไทย 2024 แนะควรมี ‘First party data’ ของตัวเอง ลดพึ่งพา ‘E-Marketplace’ https://positioningmag.com/1463828 Fri, 23 Feb 2024 09:05:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463828 หากพูดถึงตลาดอีคอมเมิร์ซเมืองไทย หลายคนก็จะนึกถึง Shopee, Lazada ที่เป็นอีมาร์เก็ตเพลส ถ้าชอบเล่นโซเชียลก็จะเห็น TikTok Shop, Facebook Live ขายของ แต่ E-Commerce Landscape ปีนี้จะเป็นอย่างไร Priceza Insights ได้มาอัปเดตให้ได้เห็นกัน

อีคอมเมิร์ซ 2023 โต 14%

มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศไทยในปี 2023 คาดการณ์ว่าจะไปแตะอยู่ที่ 932,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 14% เมื่อเทียบกับปี 2022 อยู่ที่ 818,000 ล้านบาท นับว่าประเทศไทยได้เข้าสู่การซื้อขายออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ โดยปัจจุบันคนไทยมากกว่าครึ่งเคยซื้อสินค้า/บริการผ่าน E-Commerce ด้วยการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยที่ขยายตัวและครอบคลุมมากขึ้นด้วย

ปัจจุบัน ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย มีความเปลี่ยนเเปลงทั้งในด้านเเพลตฟอร์มการให้บริการ เทคโนโลยี รวมถึงโอกาสใหม่ ๆ เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเริ่มมีการฟื้นตัว รวมถึงระบบนิเวศทั้งหลายของธุรกิจที่เข้าสู่ออนไลน์อย่างเต็มรูปเเบบหลังจากช่วงหลังโควิดที่ผ่านมา โดยตลาดอีคอมเมิร์ซในตอนนี้ครอบคลุมหลายด้านของการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น Food Delivery, Online Grocery, การท่องเที่ยว และ On-Demand Delivery

ภาพจาก Shutterstock

สำหรับปี 2024 สมรภูมิการแข่งขันอีคอมเมิร์ซ มีแนวโน้มดุเดือดยิ่งขึ้น! แม้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการประเมินถึงมูลค่าตลาดในปีนี้ แต่ทาง Google, Temasek และ Bain & Company ประเมินว่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยภายในปี 2025 จะมีมูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในความท้าทายที่สุดของร้านค้าไทย นอกจากปัจจัยเรื่องราคา และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคดิจิทัลแล้ว สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาผ่านอีมาร์เก็ตเพลส ปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทยผ่านช่องทาง E-Commerce และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งทำให้สินค้าราคาถูกรวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้

ทั้งนี้ ทางภาครัฐเองก็เริ่มตระหนักและหันมา ทบทวนนโยบายการเรียกเก็บภาษี ที่เหลื่อมล้ำเพื่อส่งเสริมและเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เติบโตได้และไม่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าจากสินนค้าประเทศจีนและมีการแข่งอย่างเสรีและเป็นธรรมซึ่งเราคงได้เห็นการปรับโครงสร้างภาษีในปีนี้

ภาพจาก Shutterstock

ต้องพึ่งพาตัวเอง และใช้เอไอช่วย

ในด้าน Retail Commerce การพึ่งพาแพลตฟอร์มอย่างอีมาร์เก็ตเพลสอาจเป็นสิ่งที่ท้าทายมากขึ้น นั่นจึงเป็นแรงผลักดันให้แบรนด์ เริ่มเห็นความสำคัญของการมี First party data เป็นของตัวเองมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดกับการใช้ Gen AI การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เพื่อ Personalization สร้างประสบการณ์ Commerce Experience ในการช่วยแบรนด์สร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้บริการ E-Commerce สามารถดึงดูดและรักษาลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ปัจจุบัน ระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ออกเป็น 4  กลุ่มได้แก่

  • Marketing & Supporting (การตลาดและการสนับสนุน) เช่น Priceza Affiliate, Pundai, ShopBack, RadarPoint, MyCashback, Access Trade, Involve Asia, Ecomobi ที่เป็นกลุ่ม Affiliate Marketing หรือ Etailligence, KaloData, Wisesight, Mandala ที่เป็นกลุ่ม Data Insights
  • E-Commerce Channels (ช่องทางอีคอมเมิร์ซ) เช่น Shopee, Lazada, Tiktok, Central, MOnline
  • Payment (การชำระเงิน) เช่น TrueMoney Wallet, LINE Pay, ShopeePay, GrabPay, LazWallet, Paotang
  • Delivery (การจัดส่ง) เช่น ปณ.ไทย, Kerry, Flash, DHL, J&T และในกลุ่ม On-Demand Delivery เช่น Grab, LINE MAN, Robinhood, Lalamove, นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Fulfillment เช่น MyCloud, SokoChan, SiamOutlet, Akita เป็นต้น
]]>
1463828
ส่องเทรนด์ ‘อีคอมเมิร์ซ’ 2024 ปีแห่งสงคราม ‘Affiliate Commerce’ การค้าผ่านตัวแทน https://positioningmag.com/1459661 Mon, 22 Jan 2024 08:14:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459661 แม้ว่าตลาด อีคอมเมิร์ซ ไทยอาจไม่ได้เติบโตก้าวกระโดดเหมือนช่วงที่ COVID-19 ระบาด แต่คาดว่าปี 2024 นี้ก็ยังเติบโตได้ 7% มีมูลค่ารวม 6.34-6.94 แสนล้านบาท แต่ที่น่าสนใจกว่าการเติบโตก็คือ เทรนด์ใหม่ ๆ ที่จะได้เห็นในปีนี้ ที่คาดการณ์โดย ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานบริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด และผู้บุกเบิกวงการอีคอมเมิร์ซไทย

Affiliate Commerce : การค้าผ่านตัวแทน 

เชื่อว่าหลายคนที่เล่นโซเชียลมีเดีย มักจะมีเพจ, คนดัง รวมถึงคนทั่วไปมาแปะลิงก์ป้ายยาสินค้าออนไลน์กัน ซึ่งก็ไม่ต้องแปลกใจไป เพราะปัจจุบันมีแพลตฟอร์มหรือผู้ให้บริการระบบนี้มากขึ้น โดยการนำสินค้าไปให้คนดังช่วยขายแบบระบบที่เรียกว่า Affiliate Commerce หรือ การค้าผ่านตัวแทน เช่น นำสินค้าไปใส่ในแพลตฟอร์ม กำหนดราคา รายละเอียด และรูปภาพ จากนั้นกำหนดค่าคอมมิชชั่น

โดยการขายประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นการขายออนไลน์ ทำให้ตัวแทนสินค้าสามารถสมัครและเลือกสินค้าไปขายได้ง่าย ด้วยวิธีนำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์ของตน และเมื่อมีคนสนใจและกดสั่งซื้อ คำสั่งซื้อจะถูกส่งไปยังเจ้าของสินค้า จากนั้นเจ้าของสินค้าจะส่งสินค้าไปให้และแพลตฟอร์มจะคำนวณค่าคอมมิชชั่นให้ตัวแทนโดยอัตโนมัติ

การค้าด้วยวิธีนี้กำลังได้รับความนิยม เพราะยิ่งมีคนช่วยโปรโมตสินค้ามากเท่าไหร่ โอกาสขายและเพิ่มยอดขายก็จะยิ่งมากขึ้น ดังนั้น ใครจะเริ่มบริการ Affiliate Commerce อาจลองกำหนดค่าคอมมิชชั่นที่ดี เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้มากขึ้น

Subscription Commerce 

การขายสินค้าและบริการแบบสมัครสมาชิก ช่วยให้ธุรกิจสร้างรายได้ต่อเนื่อง เพราะลูกค้าจ่ายเงินรายเดือน ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ครั้งเดียว และลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะราคาต่อเดือนไม่สูง ตัวอย่างธุรกิจแบบสมัครสมาชิก เช่น Netflix, Spotify, Apple Music, Amazon Prime Video

เราเรียกการเก็บเงินรูปแบบนี้ว่า การเก็บเงินแบบสมัครสมาชิก (Subscription) หรือ การหักเงินอัตโนมัติรายเดือน (Recurring Payment) ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเก็บเงินแบบสมัครสมาชิกรายเดือนมากมาย เช่น PaySolutions.asia หรือแม้ ร้านกาแฟ ก็เริ่มมีโมเดล Subscription แล้ว

สงคราม Live Commerce ปะทะ Entertainmerce

เพราะรูปแบบพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์เปลี่ยน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ

  • การซื้อแบบไม่ได้ตั้งใจ (Influence Buying) มักเกิดขึ้นจากการดูคลิปสั้นบน TikTok ที่นำเสนอสินค้าอย่างน่าสนใจและดึงดูดใจ ทำให้เกิดความรู้สึกอยากซื้อโดยไม่ได้มีการวางแผนมาก่อน เรียกว่า “Entertainmerce การค้าผ่านความบันเทิง”
  • การซื้อแบบมีแผน (Intend Buying) มักเกิดขึ้นจากการค้นหาสินค้าที่ต้องการซื้อใน e-marketplace ที่มีสินค้าหลากหลายและราคาที่เปรียบเทียบได้ง่าย เรียกว่า “Marketplace แหล่งรวมสินค้า”

โดยตั้งแต่การมาของ TikTok Shop ทำให้เทรนด์ Live Commerce หรือ Entertainmerce มาแรงซึ่ง TikTok Shop ส่งลูกค้าให้กับพ่อค้าแม่ค้าได้ง่ายกว่า และมีโปรโมชั่นมากกว่า Facebook Live อีกด้วย จึงทำให้พ่อค้าแม่ค้าหลายคนหันมาขายสินค้าผ่าน TikTok กันอย่างถล่มทลาย อย่างไรก็ตาม การนำสินค้าเข้ามาขายผ่าน Live commerce เป็นแนวทางที่ต้องทำ ต้องทดลอง และต้องเอาจริง เพราะเข้าถึงลูกค้าได้ดีและต้นทุนถูกกว่า

 

ใช้เครื่องมืออัตโนมัติและ AI 

เทคโนโลยีในการค้าออนไลน์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจออนไลน์สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ เช่น จากเดิมที่ต้องลงประกาศขายสินค้าทีละช่องทาง ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่ช่วยเชื่อมต่อช่องทางการขายต่างๆ เข้าด้วยกัน ช่วยให้ร้านค้าสามารถจัดการคำสั่งซื้อและสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือที่ช่วยในด้านการขนส่ง การบัญชี การบริการลูกค้า และการตลาดออนไลน์

เทคโนโลยี AI ที่กำลังพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์สามารถทำงานต่าง ๆ ได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสร้างรูปภาพสินค้า การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการวางกลยุทธ์การตลาด เป็นต้น ผู้ประกอบการออนไลน์จึงควรให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ นอกเหนือจากการเพิ่มยอดขายเพียงอย่างเดียว

ดังนั้น ผู้ขายควรเริ่มต้นหาเครื่องมือช่วยการขายออนไลน์ที่เหมาะสมกับธุรกิจ เช่น ระบบบริหารคำสั่งซื้อ ระบบชำระเงิน ระบบบริหารลูกค้า และระบบบัญชี เป็นต้น

เพิ่มการซื้อซ้ำด้วย CDP

เนื่องจากช่องทางการค้าออนไลน์ที่หลากหลาย ทำให้ข้อมูลลูกค้ากระจัดกระจาย ยากต่อการติดต่อและเข้าใจลูกค้า ดังนั้นจึงควรใช้ CDP (Customer Data Platform) เพื่อรวมศูนย์ข้อมูลลูกค้าไว้ที่เดียว ช่วยให้เข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น โดย CDP ช่วยเพิ่มการซื้อซ้ำได้โดยการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อส่งข้อความการตลาดที่เหมาะสม และทำการตลาดแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้คน ศึกษาและเลือกใช้ CDP ของไทย เช่น Sable.asia หรือ Pams.ai ช่วยให้บริหารจัดการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

]]>
1459661
‘ป้อม ภาวุธ’ ฉายภาพ ‘อีคอมเมิร์ซไทย’ ปี 2024 ในวันที่ถูกต่างชาติ ‘ผูกขาด’ โดยสมบูรณ์ https://positioningmag.com/1458915 Tue, 16 Jan 2024 13:30:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458915 เปิดปีใหม่มาแบบนี้ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานบริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด และผู้บุกเบิกวงการอีคอมเมิร์ซไทย ก็ออกมาพูดถึง ภาพอีคอมเมิร์ซไทย ในปี 2024 ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ป้อม ภาวุธมองก็คือ อีคอมเมิร์ซไทยถูกผูกขาดโดยต่างชาติอย่างสมบูรณ์แบบ

E-Commerce ไทยถูกผูกขาดโดยต่างชาติโดยสมบูรณ์

ปัจจุบันช่องทางการค้าขายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของไทยคือ การซื้อขายผ่านทางอีมาร์เก็ตเพลส (E-Marketplace) รองลงมาคือทางโซเชียลคอมเมิร์ซ (Social Commerce) ซึ่งปีนี้การซื้อขายผ่านทาง แอปพลิเคชันสั่งอาหาร หรือ On-Demand Commerce กลายเป็นช่องทางใหม่ที่คนไทยนิยมซื้อสินค้า ซึ่งแทบทุกช่องทางมาจากผู้ให้บริการจากต่างประเทศทั้งสิ้น

โดยหลังจากที่ขาดทุนติดต่อกันหลายปีเป็นหมื่นล้าน เหล่าผู้ให้บริการอีมาร์เก็ตเพลสต่างเริ่มทำกำไรแบบชัดเจน โดยผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศไม่ได้สร้างระบบตลาดนัดเพื่อการซื้อขายเท่านั้น แต่เน้นให้บริการครบทั้งระบบนิเวศของการค้าออนไลน์ 3 ส่วน ได้แก่

  • ซื้อ (Buy) ผ่านทาง Marketplace (Shopee, Lazada)
  • จ่าย (Pay) ผ่านบริการกระเป๋าชำระเงินของตัวเอง (Shopee Pay, LazPay)
  • ส่ง (Delivery) ผ่านบริการบริษัทส่งของๆ ตัวเอง (Shopee Express, Lazada Express)

ด้วยความที่มีระบบนิเวศครบวงจร ทำให้บริษัทเหล่านี้มีจุดแข็งเหนือกว่าบริษัทอื่น ๆ ที่มีให้บริการเฉพาะทางเท่านั้น เมื่อสามารถควบคุมตลาดซื้อขายออนไลน์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ฮั้ว’ และขึ้นราคาค่าบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้ชัดจากกรณีการขึ้นราคาค่าบริการของการขายของในอีมาร์เก็ตเพลสอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีการควบคุมจากภาครัฐ ที่ผ่านมา Shopee และ Lazada มีการขึ้นราคาค่าบริการสูงถึง 150% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 7 เดือน

ดังนั้น จะเห็นว่าผลประกอบการของบริษัทขนส่งในประเทศไทยที่ขาดทุนเกือบทุกราย อย่างไปรษณีย์ไทยขาดทุนเกือบ 20,000 ล้านบาท Kerry Express และ Flash Express ขาดทุนนับหมื่นล้านบาทเช่นกัน แต่ผู้ให้บริการขนส่งครบวงจรอย่าง Shopee, Lazada และ J&T มีกำไรมากกว่า เพราะให้บริการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มของตัวเองและขนส่งสินค้าด้วยบริษัทขนส่งของตัวเอง ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนและบริการได้ดีกว่า

สินค้าจีนยังคงเข้ามาขายในไทยอย่างต่อเนื่อง

อีกจุดที่ประเด็นที่ป้อม ภาวุธ เน้นย้ำเสมอก็คือ สินค้าจีนยังคงเข้ามาขายในไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากระบบขนส่งจากจีนมาไทยสะดวกขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังมีการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรขาเข้า โดยนำสินค้าไปวางไว้ในโกดังเขตปลอดอากร (FreeZone) ทำให้สินค้าจีนมีความได้เปรียบกว่าสินค้าในประเทศหรือผู้ที่นำเข้าเสียภาษีอย่างถูกต้อง

แม้ว่าภาครัฐไทยได้ออกมาตรการควบคุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น สินค้าที่ไม่มี มอก. อย. และมาตรฐานต่าง ๆ ออกจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทำให้สินค้าจีนที่ไม่ได้มาตรฐานบางส่วนไม่สามารถขายได้ แต่สินค้าเหล่านี้ก็ยังคงลักลอบขายในช่องทางออนไลน์อื่นที่รัฐควบคุมไม่ถึง

แนะรัฐควรมีมาตรการกำกับดูแล

สำหรับประเด็นที่อีคอมเมิร์ซถูกผูกขาดโดยต่างชาติ ป้อม ภาวุธ แนะนำว่า ภาครัฐควรมีมาตรการควบคุมและกำกับดูแลการค้าออนไลน์อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ เพราะหากปล่อยให้บริษัทต่างชาติเข้ามามีบทบาทในการค้าออนไลน์โดยไม่มีข้อจำกัด ในอนาคตอาจทำให้ผู้ประกอบการไทยถูกครอบงำและเสียเปรียบได้

ด้านการทะลักของสินค้าจีน ต่อไปในอนาคตจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นสินค้าที่มีแบรนด์ มีมาตรฐาน และถูกต้องตามกฎหมายมากขึ้น ซึ่งจะเข้ามาแข่งขันกับสินค้าไทยอย่างตรงไปตรงมา โดยสินค้าจีนจะมีความได้เปรียบในด้านราคา ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัวหรือปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น

ส่วนธุรกิจไทยไม่ควรแข่งขันด้านราคากับธุรกิจสินค้าจีน เพราะสินค้าจีนมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุน ผู้ประกอบการไทยควรปรับธุรกิจให้โดดเด่นในด้านอื่น เช่น บริการหลังการขายที่มีคุณภาพ และการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เช่น บริการซ่อมแซม รับประกัน หรือการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังมีจุดแข็งในด้านความใกล้ชิดกับลูกค้าและการให้บริการที่ครบวงจร ที่สามารถนำมาต่อยอดเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือกว่าธุรกิจสินค้าจีนได้

]]>
1458915
“TikTok Shop” วางเป้าปี 2024 ต้องการโต 10 เท่าในตลาดสหรัฐฯ ท้าชิงกับ Amazon https://positioningmag.com/1457860 Sat, 06 Jan 2024 12:43:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457860 “TikTok” วางเป้าหมายปี 2024 ผลักดัน “TikTok Shop” ให้เติบโต 10 เท่าในตลาดสหรัฐฯ ท้าชิงลูกค้าจาก Amazon

สำนักข่าว Bloomberg รายงานจากแหล่งข่าววงในของ “TikTok” ว่าบริษัทตั้งเป้าภายในเตรียมผลักดัน “TikTok Shop” ให้ขยายตัวขึ้น 10 เท่า มูลค่าแตะ 1.75 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 6.07 แสนบาท)

เป้าหมายนี้จะทำให้ TikTok Shop เป็นผู้ท้าชิงตลาดรายใหม่แข่งกับเจ้าตลาดเดิมอย่าง Amazon รวมถึงคู่แข่งใหม่ๆ จากจีนที่ฮิตในหมู่ผู้บริโภคอเมริกัน คือ Shein และ Temu โดย TikTok มีจุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งอื่นๆ อย่างชัดเจน คือ การมีโซเชียลมีเดียสุดฮิตของตนเองที่บริษัทสามารถใช้ประโยชน์และเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น

Bloomberg ยังรายงานก่อนหน้านี้ด้วยว่า เมื่อปีที่แล้ว TikTok กำลังไล่ล่ายอดขายสินค้ารวม (GMV) ประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ (6.93 แสนล้านบาท) จากทั่วโลก โดยยอดขายส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทำให้ TikTok ต้องการจะนำความสำเร็จนั้นมาสู่ตลาดสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน รวมถึง TikTok Shop จะมีการเปิดตัวในภูมิภาคละตินอเมริกาต่อในไม่กี่เดือนจากนี้

อย่างไรก็ตาม TikTok มีแถลงการณ์ออกมาปฏิเสธว่าตัวเลขยอดขายคาดการณ์ของ Bloomberg เกี่ยวกับ TikTok Shop ในสหรัฐฯ นั้นไม่ถูกต้อง

ก่อนจะไปถึงเป้าหมายปี 2024 ความเป็นไปได้ของ TikTok Shop ในสหรัฐฯ วัดได้จากเทศกาลขายสินค้า Black Friday และ Cyber Monday เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยรายงานของ Bloomberg พบว่า มีผู้บริโภคอเมริกันมากกว่า 5 ล้านคนที่ได้ซื้อสินค้าอย่างน้อยหนึ่งชิ้นผ่าน TikTok Shop ในช่วงเทศกาลดังกล่าว ถือเป็นสัดส่วนที่ยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้ TikTok กว่า 150 ล้านบัญชีในสหรัฐอเมริกา

ข่าวเป้าหมายการผลักดันธุรกิจ TikTok Shop มาพร้อมกับรายงานจากสำนักข่าว The Information ว่า TikTok จะเก็บค่าคอมมิชชันจากการขายสินค้าเพิ่มจาก 2% เป็น 8% ต่อรายการ รวมถึงจะเริ่มลดการอุดหนุนผู้ขายด้วย อย่างไรก็ตาม เทียบกับ Amazon แล้วยังถือว่าเก็บค่าคอมมิชชันน้อยกว่ามาก เพราะส่วนใหญ่แล้ว Amazon จะเก็บค่าคอมมิชชัน 15%

TikTok Shop เพิ่งเปิดตัวในตลาดสหรัฐฯ เมื่อเดือนกันยายน 2023 โดยอนุญาตให้ครีเอเตอร์แท็กสินค้าในวิดีโอคลิปและไลฟ์ของตัวเองได้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถกดซื้อสินค้าโดยตรง ฝั่งแบรนด์สามารถทำพอร์ตสินค้าของตัวเองไว้บนหน้าโปรไฟล์ รวมถึงมีแท็บให้ผู้ใช้เสิร์ชหาสินค้าต่างๆ ได้ง่าย และจัดการคำสั่งซื้อของตนเอง ทำให้ธุรกิจ TikTok Shop จะกลายเป็นคู่แข่งอีคอมเมิร์ซที่สำคัญในอนาคต

Source

]]>
1457860