อีคอมเมิร์ซ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 23 Feb 2024 11:04:10 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Priceza’ ฉายภาพ ‘อีคอมเมิร์ซ’ ไทย 2024 แนะควรมี ‘First party data’ ของตัวเอง ลดพึ่งพา ‘E-Marketplace’ https://positioningmag.com/1463828 Fri, 23 Feb 2024 09:05:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463828 หากพูดถึงตลาดอีคอมเมิร์ซเมืองไทย หลายคนก็จะนึกถึง Shopee, Lazada ที่เป็นอีมาร์เก็ตเพลส ถ้าชอบเล่นโซเชียลก็จะเห็น TikTok Shop, Facebook Live ขายของ แต่ E-Commerce Landscape ปีนี้จะเป็นอย่างไร Priceza Insights ได้มาอัปเดตให้ได้เห็นกัน

อีคอมเมิร์ซ 2023 โต 14%

มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศไทยในปี 2023 คาดการณ์ว่าจะไปแตะอยู่ที่ 932,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 14% เมื่อเทียบกับปี 2022 อยู่ที่ 818,000 ล้านบาท นับว่าประเทศไทยได้เข้าสู่การซื้อขายออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ โดยปัจจุบันคนไทยมากกว่าครึ่งเคยซื้อสินค้า/บริการผ่าน E-Commerce ด้วยการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยที่ขยายตัวและครอบคลุมมากขึ้นด้วย

ปัจจุบัน ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย มีความเปลี่ยนเเปลงทั้งในด้านเเพลตฟอร์มการให้บริการ เทคโนโลยี รวมถึงโอกาสใหม่ ๆ เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเริ่มมีการฟื้นตัว รวมถึงระบบนิเวศทั้งหลายของธุรกิจที่เข้าสู่ออนไลน์อย่างเต็มรูปเเบบหลังจากช่วงหลังโควิดที่ผ่านมา โดยตลาดอีคอมเมิร์ซในตอนนี้ครอบคลุมหลายด้านของการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น Food Delivery, Online Grocery, การท่องเที่ยว และ On-Demand Delivery

ภาพจาก Shutterstock

สำหรับปี 2024 สมรภูมิการแข่งขันอีคอมเมิร์ซ มีแนวโน้มดุเดือดยิ่งขึ้น! แม้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการประเมินถึงมูลค่าตลาดในปีนี้ แต่ทาง Google, Temasek และ Bain & Company ประเมินว่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยภายในปี 2025 จะมีมูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในความท้าทายที่สุดของร้านค้าไทย นอกจากปัจจัยเรื่องราคา และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคดิจิทัลแล้ว สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาผ่านอีมาร์เก็ตเพลส ปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทยผ่านช่องทาง E-Commerce และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งทำให้สินค้าราคาถูกรวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้

ทั้งนี้ ทางภาครัฐเองก็เริ่มตระหนักและหันมา ทบทวนนโยบายการเรียกเก็บภาษี ที่เหลื่อมล้ำเพื่อส่งเสริมและเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เติบโตได้และไม่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าจากสินนค้าประเทศจีนและมีการแข่งอย่างเสรีและเป็นธรรมซึ่งเราคงได้เห็นการปรับโครงสร้างภาษีในปีนี้

ภาพจาก Shutterstock

ต้องพึ่งพาตัวเอง และใช้เอไอช่วย

ในด้าน Retail Commerce การพึ่งพาแพลตฟอร์มอย่างอีมาร์เก็ตเพลสอาจเป็นสิ่งที่ท้าทายมากขึ้น นั่นจึงเป็นแรงผลักดันให้แบรนด์ เริ่มเห็นความสำคัญของการมี First party data เป็นของตัวเองมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดกับการใช้ Gen AI การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เพื่อ Personalization สร้างประสบการณ์ Commerce Experience ในการช่วยแบรนด์สร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้บริการ E-Commerce สามารถดึงดูดและรักษาลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ปัจจุบัน ระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ออกเป็น 4  กลุ่มได้แก่

  • Marketing & Supporting (การตลาดและการสนับสนุน) เช่น Priceza Affiliate, Pundai, ShopBack, RadarPoint, MyCashback, Access Trade, Involve Asia, Ecomobi ที่เป็นกลุ่ม Affiliate Marketing หรือ Etailligence, KaloData, Wisesight, Mandala ที่เป็นกลุ่ม Data Insights
  • E-Commerce Channels (ช่องทางอีคอมเมิร์ซ) เช่น Shopee, Lazada, Tiktok, Central, MOnline
  • Payment (การชำระเงิน) เช่น TrueMoney Wallet, LINE Pay, ShopeePay, GrabPay, LazWallet, Paotang
  • Delivery (การจัดส่ง) เช่น ปณ.ไทย, Kerry, Flash, DHL, J&T และในกลุ่ม On-Demand Delivery เช่น Grab, LINE MAN, Robinhood, Lalamove, นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Fulfillment เช่น MyCloud, SokoChan, SiamOutlet, Akita เป็นต้น
]]>
1463828
ส่องเทรนด์ ‘อีคอมเมิร์ซ’ 2024 ปีแห่งสงคราม ‘Affiliate Commerce’ การค้าผ่านตัวแทน https://positioningmag.com/1459661 Mon, 22 Jan 2024 08:14:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459661 แม้ว่าตลาด อีคอมเมิร์ซ ไทยอาจไม่ได้เติบโตก้าวกระโดดเหมือนช่วงที่ COVID-19 ระบาด แต่คาดว่าปี 2024 นี้ก็ยังเติบโตได้ 7% มีมูลค่ารวม 6.34-6.94 แสนล้านบาท แต่ที่น่าสนใจกว่าการเติบโตก็คือ เทรนด์ใหม่ ๆ ที่จะได้เห็นในปีนี้ ที่คาดการณ์โดย ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานบริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด และผู้บุกเบิกวงการอีคอมเมิร์ซไทย

Affiliate Commerce : การค้าผ่านตัวแทน 

เชื่อว่าหลายคนที่เล่นโซเชียลมีเดีย มักจะมีเพจ, คนดัง รวมถึงคนทั่วไปมาแปะลิงก์ป้ายยาสินค้าออนไลน์กัน ซึ่งก็ไม่ต้องแปลกใจไป เพราะปัจจุบันมีแพลตฟอร์มหรือผู้ให้บริการระบบนี้มากขึ้น โดยการนำสินค้าไปให้คนดังช่วยขายแบบระบบที่เรียกว่า Affiliate Commerce หรือ การค้าผ่านตัวแทน เช่น นำสินค้าไปใส่ในแพลตฟอร์ม กำหนดราคา รายละเอียด และรูปภาพ จากนั้นกำหนดค่าคอมมิชชั่น

โดยการขายประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นการขายออนไลน์ ทำให้ตัวแทนสินค้าสามารถสมัครและเลือกสินค้าไปขายได้ง่าย ด้วยวิธีนำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์ของตน และเมื่อมีคนสนใจและกดสั่งซื้อ คำสั่งซื้อจะถูกส่งไปยังเจ้าของสินค้า จากนั้นเจ้าของสินค้าจะส่งสินค้าไปให้และแพลตฟอร์มจะคำนวณค่าคอมมิชชั่นให้ตัวแทนโดยอัตโนมัติ

การค้าด้วยวิธีนี้กำลังได้รับความนิยม เพราะยิ่งมีคนช่วยโปรโมตสินค้ามากเท่าไหร่ โอกาสขายและเพิ่มยอดขายก็จะยิ่งมากขึ้น ดังนั้น ใครจะเริ่มบริการ Affiliate Commerce อาจลองกำหนดค่าคอมมิชชั่นที่ดี เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้มากขึ้น

Subscription Commerce 

การขายสินค้าและบริการแบบสมัครสมาชิก ช่วยให้ธุรกิจสร้างรายได้ต่อเนื่อง เพราะลูกค้าจ่ายเงินรายเดือน ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ครั้งเดียว และลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะราคาต่อเดือนไม่สูง ตัวอย่างธุรกิจแบบสมัครสมาชิก เช่น Netflix, Spotify, Apple Music, Amazon Prime Video

เราเรียกการเก็บเงินรูปแบบนี้ว่า การเก็บเงินแบบสมัครสมาชิก (Subscription) หรือ การหักเงินอัตโนมัติรายเดือน (Recurring Payment) ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเก็บเงินแบบสมัครสมาชิกรายเดือนมากมาย เช่น PaySolutions.asia หรือแม้ ร้านกาแฟ ก็เริ่มมีโมเดล Subscription แล้ว

สงคราม Live Commerce ปะทะ Entertainmerce

เพราะรูปแบบพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์เปลี่ยน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ

  • การซื้อแบบไม่ได้ตั้งใจ (Influence Buying) มักเกิดขึ้นจากการดูคลิปสั้นบน TikTok ที่นำเสนอสินค้าอย่างน่าสนใจและดึงดูดใจ ทำให้เกิดความรู้สึกอยากซื้อโดยไม่ได้มีการวางแผนมาก่อน เรียกว่า “Entertainmerce การค้าผ่านความบันเทิง”
  • การซื้อแบบมีแผน (Intend Buying) มักเกิดขึ้นจากการค้นหาสินค้าที่ต้องการซื้อใน e-marketplace ที่มีสินค้าหลากหลายและราคาที่เปรียบเทียบได้ง่าย เรียกว่า “Marketplace แหล่งรวมสินค้า”

โดยตั้งแต่การมาของ TikTok Shop ทำให้เทรนด์ Live Commerce หรือ Entertainmerce มาแรงซึ่ง TikTok Shop ส่งลูกค้าให้กับพ่อค้าแม่ค้าได้ง่ายกว่า และมีโปรโมชั่นมากกว่า Facebook Live อีกด้วย จึงทำให้พ่อค้าแม่ค้าหลายคนหันมาขายสินค้าผ่าน TikTok กันอย่างถล่มทลาย อย่างไรก็ตาม การนำสินค้าเข้ามาขายผ่าน Live commerce เป็นแนวทางที่ต้องทำ ต้องทดลอง และต้องเอาจริง เพราะเข้าถึงลูกค้าได้ดีและต้นทุนถูกกว่า

 

ใช้เครื่องมืออัตโนมัติและ AI 

เทคโนโลยีในการค้าออนไลน์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจออนไลน์สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ เช่น จากเดิมที่ต้องลงประกาศขายสินค้าทีละช่องทาง ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่ช่วยเชื่อมต่อช่องทางการขายต่างๆ เข้าด้วยกัน ช่วยให้ร้านค้าสามารถจัดการคำสั่งซื้อและสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือที่ช่วยในด้านการขนส่ง การบัญชี การบริการลูกค้า และการตลาดออนไลน์

เทคโนโลยี AI ที่กำลังพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์สามารถทำงานต่าง ๆ ได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสร้างรูปภาพสินค้า การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการวางกลยุทธ์การตลาด เป็นต้น ผู้ประกอบการออนไลน์จึงควรให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ นอกเหนือจากการเพิ่มยอดขายเพียงอย่างเดียว

ดังนั้น ผู้ขายควรเริ่มต้นหาเครื่องมือช่วยการขายออนไลน์ที่เหมาะสมกับธุรกิจ เช่น ระบบบริหารคำสั่งซื้อ ระบบชำระเงิน ระบบบริหารลูกค้า และระบบบัญชี เป็นต้น

เพิ่มการซื้อซ้ำด้วย CDP

เนื่องจากช่องทางการค้าออนไลน์ที่หลากหลาย ทำให้ข้อมูลลูกค้ากระจัดกระจาย ยากต่อการติดต่อและเข้าใจลูกค้า ดังนั้นจึงควรใช้ CDP (Customer Data Platform) เพื่อรวมศูนย์ข้อมูลลูกค้าไว้ที่เดียว ช่วยให้เข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น โดย CDP ช่วยเพิ่มการซื้อซ้ำได้โดยการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อส่งข้อความการตลาดที่เหมาะสม และทำการตลาดแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้คน ศึกษาและเลือกใช้ CDP ของไทย เช่น Sable.asia หรือ Pams.ai ช่วยให้บริหารจัดการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

]]>
1459661
‘ป้อม ภาวุธ’ ฉายภาพ ‘อีคอมเมิร์ซไทย’ ปี 2024 ในวันที่ถูกต่างชาติ ‘ผูกขาด’ โดยสมบูรณ์ https://positioningmag.com/1458915 Tue, 16 Jan 2024 13:30:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458915 เปิดปีใหม่มาแบบนี้ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานบริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด และผู้บุกเบิกวงการอีคอมเมิร์ซไทย ก็ออกมาพูดถึง ภาพอีคอมเมิร์ซไทย ในปี 2024 ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ป้อม ภาวุธมองก็คือ อีคอมเมิร์ซไทยถูกผูกขาดโดยต่างชาติอย่างสมบูรณ์แบบ

E-Commerce ไทยถูกผูกขาดโดยต่างชาติโดยสมบูรณ์

ปัจจุบันช่องทางการค้าขายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของไทยคือ การซื้อขายผ่านทางอีมาร์เก็ตเพลส (E-Marketplace) รองลงมาคือทางโซเชียลคอมเมิร์ซ (Social Commerce) ซึ่งปีนี้การซื้อขายผ่านทาง แอปพลิเคชันสั่งอาหาร หรือ On-Demand Commerce กลายเป็นช่องทางใหม่ที่คนไทยนิยมซื้อสินค้า ซึ่งแทบทุกช่องทางมาจากผู้ให้บริการจากต่างประเทศทั้งสิ้น

โดยหลังจากที่ขาดทุนติดต่อกันหลายปีเป็นหมื่นล้าน เหล่าผู้ให้บริการอีมาร์เก็ตเพลสต่างเริ่มทำกำไรแบบชัดเจน โดยผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศไม่ได้สร้างระบบตลาดนัดเพื่อการซื้อขายเท่านั้น แต่เน้นให้บริการครบทั้งระบบนิเวศของการค้าออนไลน์ 3 ส่วน ได้แก่

  • ซื้อ (Buy) ผ่านทาง Marketplace (Shopee, Lazada)
  • จ่าย (Pay) ผ่านบริการกระเป๋าชำระเงินของตัวเอง (Shopee Pay, LazPay)
  • ส่ง (Delivery) ผ่านบริการบริษัทส่งของๆ ตัวเอง (Shopee Express, Lazada Express)

ด้วยความที่มีระบบนิเวศครบวงจร ทำให้บริษัทเหล่านี้มีจุดแข็งเหนือกว่าบริษัทอื่น ๆ ที่มีให้บริการเฉพาะทางเท่านั้น เมื่อสามารถควบคุมตลาดซื้อขายออนไลน์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ฮั้ว’ และขึ้นราคาค่าบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้ชัดจากกรณีการขึ้นราคาค่าบริการของการขายของในอีมาร์เก็ตเพลสอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีการควบคุมจากภาครัฐ ที่ผ่านมา Shopee และ Lazada มีการขึ้นราคาค่าบริการสูงถึง 150% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 7 เดือน

ดังนั้น จะเห็นว่าผลประกอบการของบริษัทขนส่งในประเทศไทยที่ขาดทุนเกือบทุกราย อย่างไปรษณีย์ไทยขาดทุนเกือบ 20,000 ล้านบาท Kerry Express และ Flash Express ขาดทุนนับหมื่นล้านบาทเช่นกัน แต่ผู้ให้บริการขนส่งครบวงจรอย่าง Shopee, Lazada และ J&T มีกำไรมากกว่า เพราะให้บริการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มของตัวเองและขนส่งสินค้าด้วยบริษัทขนส่งของตัวเอง ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนและบริการได้ดีกว่า

สินค้าจีนยังคงเข้ามาขายในไทยอย่างต่อเนื่อง

อีกจุดที่ประเด็นที่ป้อม ภาวุธ เน้นย้ำเสมอก็คือ สินค้าจีนยังคงเข้ามาขายในไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากระบบขนส่งจากจีนมาไทยสะดวกขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังมีการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรขาเข้า โดยนำสินค้าไปวางไว้ในโกดังเขตปลอดอากร (FreeZone) ทำให้สินค้าจีนมีความได้เปรียบกว่าสินค้าในประเทศหรือผู้ที่นำเข้าเสียภาษีอย่างถูกต้อง

แม้ว่าภาครัฐไทยได้ออกมาตรการควบคุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น สินค้าที่ไม่มี มอก. อย. และมาตรฐานต่าง ๆ ออกจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทำให้สินค้าจีนที่ไม่ได้มาตรฐานบางส่วนไม่สามารถขายได้ แต่สินค้าเหล่านี้ก็ยังคงลักลอบขายในช่องทางออนไลน์อื่นที่รัฐควบคุมไม่ถึง

แนะรัฐควรมีมาตรการกำกับดูแล

สำหรับประเด็นที่อีคอมเมิร์ซถูกผูกขาดโดยต่างชาติ ป้อม ภาวุธ แนะนำว่า ภาครัฐควรมีมาตรการควบคุมและกำกับดูแลการค้าออนไลน์อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ เพราะหากปล่อยให้บริษัทต่างชาติเข้ามามีบทบาทในการค้าออนไลน์โดยไม่มีข้อจำกัด ในอนาคตอาจทำให้ผู้ประกอบการไทยถูกครอบงำและเสียเปรียบได้

ด้านการทะลักของสินค้าจีน ต่อไปในอนาคตจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นสินค้าที่มีแบรนด์ มีมาตรฐาน และถูกต้องตามกฎหมายมากขึ้น ซึ่งจะเข้ามาแข่งขันกับสินค้าไทยอย่างตรงไปตรงมา โดยสินค้าจีนจะมีความได้เปรียบในด้านราคา ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัวหรือปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น

ส่วนธุรกิจไทยไม่ควรแข่งขันด้านราคากับธุรกิจสินค้าจีน เพราะสินค้าจีนมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุน ผู้ประกอบการไทยควรปรับธุรกิจให้โดดเด่นในด้านอื่น เช่น บริการหลังการขายที่มีคุณภาพ และการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เช่น บริการซ่อมแซม รับประกัน หรือการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังมีจุดแข็งในด้านความใกล้ชิดกับลูกค้าและการให้บริการที่ครบวงจร ที่สามารถนำมาต่อยอดเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือกว่าธุรกิจสินค้าจีนได้

]]>
1458915
“TikTok Shop” วางเป้าปี 2024 ต้องการโต 10 เท่าในตลาดสหรัฐฯ ท้าชิงกับ Amazon https://positioningmag.com/1457860 Sat, 06 Jan 2024 12:43:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457860 “TikTok” วางเป้าหมายปี 2024 ผลักดัน “TikTok Shop” ให้เติบโต 10 เท่าในตลาดสหรัฐฯ ท้าชิงลูกค้าจาก Amazon

สำนักข่าว Bloomberg รายงานจากแหล่งข่าววงในของ “TikTok” ว่าบริษัทตั้งเป้าภายในเตรียมผลักดัน “TikTok Shop” ให้ขยายตัวขึ้น 10 เท่า มูลค่าแตะ 1.75 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 6.07 แสนบาท)

เป้าหมายนี้จะทำให้ TikTok Shop เป็นผู้ท้าชิงตลาดรายใหม่แข่งกับเจ้าตลาดเดิมอย่าง Amazon รวมถึงคู่แข่งใหม่ๆ จากจีนที่ฮิตในหมู่ผู้บริโภคอเมริกัน คือ Shein และ Temu โดย TikTok มีจุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งอื่นๆ อย่างชัดเจน คือ การมีโซเชียลมีเดียสุดฮิตของตนเองที่บริษัทสามารถใช้ประโยชน์และเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น

Bloomberg ยังรายงานก่อนหน้านี้ด้วยว่า เมื่อปีที่แล้ว TikTok กำลังไล่ล่ายอดขายสินค้ารวม (GMV) ประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ (6.93 แสนล้านบาท) จากทั่วโลก โดยยอดขายส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทำให้ TikTok ต้องการจะนำความสำเร็จนั้นมาสู่ตลาดสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน รวมถึง TikTok Shop จะมีการเปิดตัวในภูมิภาคละตินอเมริกาต่อในไม่กี่เดือนจากนี้

อย่างไรก็ตาม TikTok มีแถลงการณ์ออกมาปฏิเสธว่าตัวเลขยอดขายคาดการณ์ของ Bloomberg เกี่ยวกับ TikTok Shop ในสหรัฐฯ นั้นไม่ถูกต้อง

ก่อนจะไปถึงเป้าหมายปี 2024 ความเป็นไปได้ของ TikTok Shop ในสหรัฐฯ วัดได้จากเทศกาลขายสินค้า Black Friday และ Cyber Monday เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยรายงานของ Bloomberg พบว่า มีผู้บริโภคอเมริกันมากกว่า 5 ล้านคนที่ได้ซื้อสินค้าอย่างน้อยหนึ่งชิ้นผ่าน TikTok Shop ในช่วงเทศกาลดังกล่าว ถือเป็นสัดส่วนที่ยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้ TikTok กว่า 150 ล้านบัญชีในสหรัฐอเมริกา

ข่าวเป้าหมายการผลักดันธุรกิจ TikTok Shop มาพร้อมกับรายงานจากสำนักข่าว The Information ว่า TikTok จะเก็บค่าคอมมิชชันจากการขายสินค้าเพิ่มจาก 2% เป็น 8% ต่อรายการ รวมถึงจะเริ่มลดการอุดหนุนผู้ขายด้วย อย่างไรก็ตาม เทียบกับ Amazon แล้วยังถือว่าเก็บค่าคอมมิชชันน้อยกว่ามาก เพราะส่วนใหญ่แล้ว Amazon จะเก็บค่าคอมมิชชัน 15%

TikTok Shop เพิ่งเปิดตัวในตลาดสหรัฐฯ เมื่อเดือนกันยายน 2023 โดยอนุญาตให้ครีเอเตอร์แท็กสินค้าในวิดีโอคลิปและไลฟ์ของตัวเองได้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถกดซื้อสินค้าโดยตรง ฝั่งแบรนด์สามารถทำพอร์ตสินค้าของตัวเองไว้บนหน้าโปรไฟล์ รวมถึงมีแท็บให้ผู้ใช้เสิร์ชหาสินค้าต่างๆ ได้ง่าย และจัดการคำสั่งซื้อของตนเอง ทำให้ธุรกิจ TikTok Shop จะกลายเป็นคู่แข่งอีคอมเมิร์ซที่สำคัญในอนาคต

Source

]]>
1457860
ไม่ยอมง่าย ๆ ! ‘TikTok’ ทุ่ม 5.3 หมื่นล้านซื้อ ‘Tokopedia’ เพื่อบุกตลาดอีคอมเมิร์ซหลังจากถูก ‘อินโดนีเซีย’ แบน https://positioningmag.com/1455083 Mon, 11 Dec 2023 06:57:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455083 หลังจากที่ รัฐบาลอินโดนีเซีย ได้แบนไม่ให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ขายสินค้า เนื่องจากกังวลว่าจะกระทบกับผู้ค้าขนาดกลางและขนาดเล็ก ทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายรายอย่าง Meta และ Alphabet รวมถึง ByteDance จากจีน เตรียมที่จะขอใบอนุญาตทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

แต่ดูเหมือน TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นของ ByteDance ที่มีฟีเจอร์ TikTok Shop จะไม่อยากเสียเวลา ล่าสุด แพลตฟอร์มได้ทุ่มเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 5.3 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 75.01% ใน Tokopidia แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ GoTo บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของอินโดนีเซีย เพื่อผนวกฟีเจอร์ของ Tokopedia เข้าไปในแพลตฟอร์มของ TikTok ในอินโดนีเซีย 

Facebook YouTube และ TikTok เตรียมขอใบอนุญาตทำ E-Commerce หลังรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งห้ามทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง

สำหรับดีลดังกล่าวคาดว่าจะจบลงภายในไตรมาส 1 ของปี 2024 โดย Tokopedia จะได้รับตั๋วสัญญาใช้เงินมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์จาก TikTok ซึ่งสามารถใช้เพื่อระดมทุนสําหรับความต้องการเงินทุนหมุนเวียนได้ โดย TikTok ย้ำว่า บริษัทจะร่วมกับ Tokopedia และ GoTo เพื่อพลิกโฉมธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย และจะสร้างงานเพิ่มอีกหลายล้านตำแหน่งภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า

แม้ตลาดอีคอมเมิร์ซของอินโดนีเซียจะมีผู้เล่นรายใหญ่อยู่หลายเจ้าด้วยกัน เช่น Tokopedia, Shopee และ Lazada แต่ TikTok Shop ที่เปิดตัวในปี 2021 กลับได้รับความนิยมและชิงส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะถูกปิดไปเมื่อ 2 เดือนก่อนเนื่องจากกฎหมายใหม่ที่ไม่ให้แพลตฟอร์มโซเชียลฯ ทำธุรกรรมเกี่ยวกับการค้า เพื่อปกป้องร้านค้ารายย่อย

ขณะที่ TikTok เองก็พยายามหาการเติบโตใหม่ ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้รวม 124 ล้านคน ซึ่งตลาดอินโดนีเซียถือเป็นประเทศสำคัญด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 270 ล้านคน และมีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของอินโดนีเซียจะมีมูลประมาณ 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2573 จากปัจจุบันมีมูลค่า 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามรายงานของ Google, Temasek Holdings และ Bain & Co.

Source

]]>
1455083
“Shein” ป่วนอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ! “Amazon” ยอมลดค่าธรรมเนียมร้านขาย “เสื้อผ้า” ยื้อส่วนแบ่งตลาด https://positioningmag.com/1455012 Fri, 08 Dec 2023 12:58:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455012 อีคอมเมิร์ซเสื้อผ้าจากจีน “Shein” สร้างความกังวลให้ตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ อย่างมาก ล่าสุดยักษ์ใหญ่อย่าง “Amazon” ต้องลุกมาประกาศลดค่าธรรมเนียมผู้ขายสำหรับร้าน “เสื้อผ้า” ที่ขายสินค้าราคาต่ำกว่า 20 เหรียญสหรัฐ เพื่อช่วยกดราคาสินค้าให้ต่ำลง

เมื่อวันอังคารที่ 5 ธันวาคม 2023 ยักษ์อีคอมเมิร์ซ​ “Amazon” ประกาศลดค่าธรรมเนียมผู้ขายในกลุ่มสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่นลงจากปกติ 17% หากเป็นสินค้ากลุ่มราคา 15-20 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 530-700 บาท) จะลดค่าธรรมเนียมเหลือ 10% และหากเป็นกลุ่มราคาไม่เกิน 15 เหรียญสหรัฐ จะลดค่าธรรมเนียมเหลือ 5% เท่านั้น อัตราดังกล่าวจะเริ่มใช้งานในเดือนมกราคม 2024

เห็นได้ชัดว่า Amazon ต้องสู้กับ Shein ในหมวดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย โดย Shein เป็นที่ขึ้นชื่อว่าขายเสื้อผ้าราคาถูกมาก ลูกค้าสามารถหาซื้อเสื้อยืดได้ในราคา 5 เหรียญเท่านั้น (ประมาณ 180 บาท) หรือกางเกงยีนส์ก็ราคาไม่เกิน 15 เหรียญ (ประมาณ 530 บาท)

Shein ทำราคาได้ถูกขนาดนี้จากการมีเครือข่ายโรงงานผู้ผลิตในมือถึง 6,000 แห่ง และกลายเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่แม้แต่ Amazon ก็ยังต้องกังวล

“เราลดค่าธรรมเนียมในหมวดเสื้อผ้าลงเพื่อช่วยขับเคลื่อนและกระตุ้นให้มีสินค้าหลากหลายมากขึ้นแก่ผู้บริโภค และทำราคาให้แข่งขันได้มากขึ้นด้วย” โฆษกของ Amazon กล่าวกับสำนักข่าว Business Insider “เรายังคงมุ่งมั่นในการสนับสนุนความสำเร็จและการเติบโตของพาร์ทเนอร์ผู้ขายของเราให้มากที่สุด”

shein
Photo : Shutterstock

บริษัทจากจีนอย่าง Shein เลือกจะมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะได้เปิด IPO ในปีหน้า แหล่งข่าววงในกล่าวกับสำนักข่าว Bloomberg ว่า มาร์เก็ตแคปที่ Shein คาดหวังน่าจะอยู่ในช่วง 8-9 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 2.8-3.2 ล้านล้านบาท)

เมื่อจะเข้าสู่ตลาดหุ้นทำให้ Shein ต้องมีการปรับปรุงแพลตฟอร์มให้ขยายไปขายอย่างอื่นนอกเหนือจากเครื่องแต่งกายบ้าง เช่น ของตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า

รวมถึงมีการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากเดิมมีขายเฉพาะสินค้าสั่งผลิตเองผ่านเครือข่ายโรงงานเสื้อผ้า เมื่อจะมีของอย่างอื่นขาย Shein จึงต้องมีบางส่วนที่เป็นมาร์เก็ตเพลส ให้ร้านค้าเข้ามาเปิดขายได้ ซึ่งจะไปตรงกับโมเดลธุรกิจของ Amazon มากขึ้น

ไม่แช่แค่ Amazon ที่แสดงความกังวลกับการบุกหนักของ Shein มาร์เก็ตเพลสและร้านเสื้อผ้าอื่นๆ ที่มีตลาดในกลุ่มลูกค้าเดียวกันก็แสดงความกังวลออกมา เช่น Temu, Gap, Etsy เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม Juozas Kaziukenas ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอีคอมเมิร์ซ Marketplace Pulse ให้ความเห็นว่า การลดราคาค่าธรรมเนียมให้ผู้ขายของ Amazon คงยังไม่พอสำหรับการต่อสู้กับ Shein

“Amazon ไม่มีผู้ติดตามหลักหลายสิบล้านคนบน Instagram เหมือน Shein และไม่มีคนดูคอนเทนต์ของตัวเองเป็นหลายพันล้านวิวบน TikTok เหมือน Shein” เขาวิเคราะห์ไว้ในบล็อกของตน “การไปมุ่งเน้นตอบโต้เรื่องค่าธรรมเนียมการขายก็เหมือนมองเห็นต้นไม้ไม่กี่ต้นแต่ไม่เห็นป่าทั้งป่าตรงหน้า”

Source

]]>
1455012
ไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยเกม! ‘ลาซาด้า’ ดันฟีเจอร์ ‘เกม’ แจกคอยน์ตรึงผู้ใช้ พร้อมขยายเวลา 11.11 เป็น 3 วัน https://positioningmag.com/1450517 Fri, 03 Nov 2023 03:58:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1450517 หลังจากที่ทั่วโลกเกิดการระบาดของ COVID-19 แพลตฟอร์ม ‘อีคอมเมิร์ซ’ ก็เติบโตอย่างมากหลัก 100% และแม้ว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติแล้วก็ตาม แต่ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยยังเติบโตได้ถึง 16% ขึ้นแท่น Top 5 ประเทศที่มีการเติบโตสูงสุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการช้อป ออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ใช้ Laz Game ตรึงผู้ใช้

มาริสา ยูนิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ ลาซาด้า ประเทศไทย ยอมรับว่า เพราะผู้บริโภคมีความหลากหลายและมีการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว ทำให้ความท้าทายของ ลาซาด้า คือ จะทำอย่างไรให้ลูกค้าเอนเกจและ อยู่กับแพลตฟอร์มนานขึ้น ไม่ใช่แค่เข้ามาซื้อของที่ต้องการแล้วไป

ดังนั้น ลาซาด้าจึงดันฟีเจอร์ ลาซเกม (Lazgame) ผ่านกลยุทธ์เกมมิฟิเคชัน (Gamification) มาสร้างประสบ การณ์การช้อปปิงออนไลน์ เพื่อตรึงผู้ใช้ให้อยู่กับแพลตฟอร์มนานขึ้น และมีส่วนร่วมมากขึ้น โดย มาริสา ยอมรับว่า เกมไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีมานานแล้ว และคู่แข่งก็มี แต่มั่นใจว่าจุดแตกต่างของลาซาด้าคือ สิทธิประโยชน์ที่ มากกว่า โดยการเล่นเกมจะทำให้ผู้ใช้ได้ ลาซคอยน์ (LazCoin) ซึ่งสามารถไปแลกเป็น คูปองส่วนลด ได้

มาริสา ยูนิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ ลาซาด้า ประเทศไทย

“เมื่อก่อนเรามีคูปองให้เขามาเก็บ เขาก็มาเก็บตามเวลาแล้วก็ไม่มีเอนเกจอะไร แต่หลังจากที่เรามีเกมให้เขาเล่น เราพบว่า 80% ของคนเล่นเกมกลับมาใช้งานทุกสัปดาห์ และอยู่นานขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับนักช้อปทั่วไป ดังนั้น เกมช่วยให้อยู่นานขึ้น มีเอนเกจ และมีแนวโน้มที่จะมีลอยัลตี้มากกว่า”

นอกจากนี้ ฟีเจอร์ลาซเกมยังเพิ่มโอกาสให้ลาซาด้าทำกิจกรรมร่วมกับ แบรนด์ โดยแบรนด์สามารถเข้ามา เป็นสปอนเซอร์หรือทำการตลาดกับลาซเกมได้ อย่างเช่น เกม LazLand ที่ให้รางวัลเป็น ข้าวหอมมะลิทองฟรี 1 ถุง ซึ่งก็ได้การสนับสนุนจากแบรนด์ข้าว เป็นต้น

ปัจจุบัน ลาซเกมมีทั้งหมด 3 เกม ได้แก่ GoGoMatch และ Merge Boss ซึ่งเป็นเกมที่มีเหมือนกันทั้ง 6 ประเทศได้ ส่วนเกม LazLand เป็นเกมที่พัฒนาโดยลาซาด้า ประเทศไทย

ขยายเวลา 11.11 เป็น 3 วัน

สำหรับแคมเปญ 11.11 ที่เป็นเมกะแคมเปญของลาซาด้า ปีนี้ได้ขยายเวลาเพิ่มเป็น 3 วัน เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับนักช้อป เพราะจากผลสำรวจพบว่า นักช้อปมีความตั้งใจซื้ออยู่แล้ว โดยเฉพาะ สินค้าที่มีราคาสูง เช่น หมวดบิวตี้และสินค้าไอที นอกจากนี้ ลาซาด้ายังสร้างอแวร์เนสด้วยกิจกรรม Online To Offline โดยจะมีอีเวนท์ออฟไลน์ที่สยามพารากอน โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 12 พฤศจิกายน ควบคู่ไปกับกิจกรรมออนไลน์

“เรามีแคมเปญดับเบิ้ลเดย์ใหญ่ เช่น 3.3, 6.6, 9.9 แต่ 11.11 และ 12.12 ถือเป็นแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปี และเป็นแคมเปญที่มีเม็ดเงินใหญ่สุด เพราะเป็นช่วงที่คนหาซื้อของขวัญ ทำให้สินค้าที่ขายดีในช่วงนี้เป็นสินค้าที่มีราคาสูง ส่วนสินค้าขายดีช่วงอื่น ๆ ก็จะเป็นตามเทรนด์ เช่น หม่าล่า หรือ Arts Toy”

ชยพร ลัทธิโสภณกุล ประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายการตลาด

เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ค้นด้วยรูป

ชยพร ลัทธิโสภณกุล ประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายการตลาด กล่าวว่า ปีนี้ลาซาด้ามีฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาสินค้าและช่วยให้นักช้อปตัดสินใจซื้อได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น อาทิ

  • Image Search: ฟีเจอร์ Image Search ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยค้นหา โดยนำรูปภาพไอเท็มที่ต้องการมา สแกน หรือถ่ายรูปผ่านแอปลาซาด้า ผลการค้นหาก็จะแนะนำไอเท็มที่ใกล้เคียงกันมาให้ ซึ่งผลการสำรวจ พบว่า นักช้อปไทยถึง 92% ตัดสินใจซื้อสินค้าที่พวกเขาพบจากฟังก์ชันค้นหาบนแอปลาซาด้า1
  • Put in My Home: ฟีเจอร์ใหม่บน LazHome ใช้นวัตกรรม Augmented Reality เข้ามาช่วยให้นักช้อปสามารถทดลองวางเฟอร์นิเจอร์และไอเท็มตกแต่งบ้านอื่น ๆ ในห้องบนภาพพื้นที่จริง โดยฟีเจอร์นี้จะวางภาพสินค้าซ้อนทับลงบนภาพสถานที่จริงจากกล้องบนสมาร์ทโฟน
]]>
1450517
Facebook YouTube และ TikTok เตรียมขอใบอนุญาตทำ E-Commerce หลังรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งห้ามทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง https://positioningmag.com/1449478 Fri, 27 Oct 2023 06:53:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449478 บริษัทเทคโนโลยีหลายรายอย่าง Meta และ Alphabet รวมถึง ByteDance จากจีน เตรียมที่จะขอใบอนุญาตทำธุรกิจ E-Commerce หลังรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งแบนไม่ให้เครือข่ายสังคมทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า เนื่องจากรัฐบาลกังวลถึงผู้ค้าขนาดกลางและขนาดเล็กจะเสียเปรียบแพลตฟอร์มเหล่านี้

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Facebook และ YouTube รวมถึง TikTok ได้เตรียมขอใบอนุญาตทำธุรกิจ E-Commerce หลังรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งแบนบรรดาแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคม (Social Network) ขายสินค้า รวมถึงห้ามทำธุรกรรมซื้อขายสินค้า

แหล่งข่าวของ Reuters ได้กล่าวว่า Facebook และ YouTube ได้เตรียมขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาตที่อนุญาตให้โปรโมตสินค้าบนแพลตฟอร์มของตนได้ โดยทางด้าน Meta บริษัทแม่ของ Facebook เตรียมที่จะขอใบอนุญาตเพิ่มเติมให้กับ Instagram รวมถึง WhatsApp ด้วย

ทางด้านของ TikTok วางแผนที่จะยื่นขอใบอนุญาต E-commerce นอกจากนี้แหล่งข่าวรายดังกล่าวยังได้ชี้ว่า TikTok เองกำลังพูดคุยกับเจ้าของ E-commerce ในประเทศอย่าง GoTo ที่เป็นเจ้าของ Tokopedia รวมถึงมีการพัฒนาแอปพลิเคชันแยกออกมาอย่าง TikTok Shop

โดย TikTok เองได้เตรียมที่จะหยุดให้บริการ TikTok Shop ในช่วงเดือนสิ้นเดือนนี้แล้ว เพื่อที่จะรอท่าทีของทางการอินโดนีเซีย หลังจากที่บริษัทได้รุกตลาดประเทศอินโดนีเซียอย่างหนัก

ก่อนหน้านี้รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศแบนการทำธุรกรรม E-commerce ผ่านเครือข่ายสังคม ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถที่จะจ่ายเงินซื้อสินค้าผ่านเครือข่ายสังคม (Social Network) ได้ โดยข้อระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที และต้องทำตามภายใน 7 วัน ถ้าหากยังฝ่าฝืนต่อก็อาจมีสิทธิ์ถูกระงับการใช้งานในประเทศได้

เหตุผลที่รัฐบาลอินโดนีเซียสั่งห้ามการทำธุรกรรม E-Commerce ผ่าน Social Network เมื่อเดือนที่ผ่านมา ก็คือต้องการที่จะปกป้องผู้ค้าและตลาดออฟไลน์ขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมถึงเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของผู้ใช้งานได้รับการปกป้อง

]]>
1449478
TikTok เตรียมห้ามแปะลิงก์ E-commerce คู่แข่งรายอื่น บีบให้ผู้ใช้งานหันมาใช้แพลตฟอร์มตัวเอง https://positioningmag.com/1442494 Sun, 27 Aug 2023 16:22:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1442494 บริษัทแม่ของ TikTok อย่าง ByteDance เตรียมห้ามแปะลิงก์ E-commerce คู่แข่งรายอื่น บีบให้ผู้ใช้งานหันมาใช้แพลตฟอร์มตัวเอง หลังจากเคยใช้มาตรการดังกล่าวใน Douyin มาแล้วในประเทศจีนในปี 2020

สื่อธุรกิจในประเทศจีนอย่าง Caixin รายงานข่าวว่า TikTok เตรียมห้ามแปะลิงก์ E-commerce คู่แข่งรายอื่นในช่วงเดือนกันยายน หลังจากที่ ByteDance บริษัทแม่ได้ผลักดันแพลตฟอร์มอย่าง TikTok Shop ในหลายประเทศในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงในประเทศไทยด้วย

ลิงก์จากบริการ E-commerce รายอื่นๆ เช่น ลิงก์จาก Shopify รวมถึงผู้ให้บริการรายอื่น ซึ่งถือเป็นหน้าร้านของผู้ที่ต้องการขายสินค้าจะไม่สามารถแปะลิงก์ดังกล่าวอีกต่อไปได้ นอกจากนี้ถ้าหากมีการไลฟ์ขายสินค้า หรือลงวิดีโอสั้นแล้วแปะลิงก์ไปยังร้านค้าของตนก็จะไม่สามารถทำได้เช่นกันหลังจากวันที่ 12 กันยายนเป็นต้นไป

ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของร้านจะต้องเปิดร้านบน TikTok Shop เท่านั้น และทาง TikTok ได้เร่งบอกกับเจ้าของร้านให้รีบมาใช้งานแพลตฟอร์มซื้อขายดังกล่าวเช่นกัน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ใช้มาตรการนี้ แต่ Douyin ได้ใช้มาตรการดังกล่าวในประเทศจีนมาแล้วตั้งแต่ปี 2020 ที่ห้ามไม่ให้เจ้าของร้านแปะลิงก์ของ Taobao ของ Alibaba หรือแพลตฟอร์ม E-commerce รายอื่นในประเทศจีนมาแล้ว เพื่อที่จะบังคับให้ลูกค้าใช้แพลตฟอร์มของตัวเอง

ในช่วงที่ผ่านมา TikTok เตรียมที่จะเปิดตัวธุรกิจ E-Commerce ของบริษัทในสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะแข่งขันในการแย่งชิงลูกค้ากับ Shein ที่เป็นแพลตฟอร์มคู่แข่งสำคัญที่กำลังตีตลาดแดนมะกันในตอนนี้ นอกจากนี้ยังรวมถึงขยายธุรกิจของ TikTok Shop มาในอาเซียนด้วย

แรงกดดันของบริษัทมาจากผู้ใช้งานของ TikTok นอกประเทศจีนมีมากถึง 840 ล้านรายแล้ว ทำให้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ต้องการที่จะผลักดันแพลตฟอร์มขายสินค้านอกประเทศจีนมากขึ้น เนื่องจากการเติบโตของผู้ใช้งานในแต่ละวันเติบโตไล่กับผู้ใช้งานในประเทศจีนแล้ว

มาตรการดังกล่าวยังเป็นการหารายได้เพิ่มจากต่างประเทศ เนื่องจากรายได้ของ ByteDance ในประเทศจีนเริ่มเติบโตชะลอตัวลงแล้ว แต่โอกาสหารายได้ใหม่ของบริษัทจากนอกประเทศจีนยังเปิดกว้างอยู่ จึงทำให้บริษัทต้องงัดมาตรการเดียวกับในจีนมาใช้

]]>
1442494
CEO ของ eBay เผยเตรียมให้เจ้าของร้านสามารถไลฟ์ขายสินค้าได้ นำ AI มาประยุกต์ใช้งานในเร็วๆ นี้ https://positioningmag.com/1439425 Tue, 01 Aug 2023 02:49:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439425 eBay แพลตฟอร์ม E-commerce เตรียมให้เจ้าของร้านสามารถไลฟ์ขายสินค้าได้ ขณะเดียวกันก็เตรียมนำ AI มาประยุกต์ใช้งานในเรื่องการวางขายสินค้า ซึ่งเขาชี้ว่าเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนแผนการทำธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้

Jamie Iannone ซึ่งเป็น CEO ของ eBay แพลตฟอร์ม E-commerce รายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Business Insider ถึงแผนกลยุทธ์ของบริษัทหลังจากนี้ ซึ่งผู้บริหารสูงสุดรายนี้ได้กล่าวถึงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้ทำให้บริษัทนั้นอาจต้องเปลี่ยนแผน นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้

เขาชี้ว่า เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนากลยุทธ์ โดยเฉพาะสิ่งที่บริษัทได้ทำในช่ว 2-3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ CEO ของ eBay ยังได้ชี้ถึงเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ออกมาในปัจจุบัน ซึ่งทำให้บริษัทเตรียมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการรุกธุรกิจเพื่อหารายได้เพิ่มอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้เขาเองเคยได้เป็น CEO ของบริษัทมาแล้ว ก่อนที่ในปี 2020 จะกลับเข้ามารับตำแหน่งอีกครั้ง โดยในช่วงที่ผ่านมาเขาได้เข้ามาปรับธุรกิจของ eBay ไม่ว่าจะเป็นโฟกัสในกลุ่มสินค้าในหมวดหมู่เฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าประเภท Sneaker กระเป๋า นาฬิกา หรือแม้แต่การ์ดที่เป็นของสะสม ซึ่งเขาชี้ว่าผลที่เกิดจากการเข้ามาปรับธุรกิจนั้นกำลังออกดอกออกผล

เขายังชี้ว่ามากกว่า 14 ล้านคนของผู้ซื้อสินค้าบน eBay นั้นเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าในหมวดหมู่เฉพาะ และมีลูกค้าขาประจำที่ซื้อสินค้ามากกว่า 6 ครั้งและใช้จ่ายเฉลี่ยมากกว่า 800 ดอลลาร์ต่อปี หรือยอดการซื้อขายมากกว่านั้น

ซึ่งสินค้าหลายอย่างที่ขายบน eBay ลูกค้ากลุ่มนี้ Jamie เตรียมที่จะสร้างความไว้วางใจเพิ่มเติม หนึ่งในวิธีการก็คือมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้มาตรวจสอบสินค้าที่อยู่ในโกดังของบริษัทว่าเป็นสินค้าของแท้หรือไม่ โดยเริ่มจากรองเท้าประเภท Sneaker ก่อนเป็นอย่างแรก และหมวดหมู่อื่นๆ จะตามมาในภายหลัง

ขณะเดียวกัน eBay ได้ทำงานร่วมกับแบรนด์โดยตรงผ่านโปรแกรมที่เรียกว่า Certified by Brand ซึ่งอนุญาตให้แบรนด์ต่างๆ รับรองว่าสินค้ามือสองที่ขายบนแพลตฟอร์มเป็นของแท้

ไม่เพียงเท่านี้เขายังเตรียมนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้งานบนแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นถ้าหากเจ้าของร้านหรือผู้ขายอัพโหลดรูปสินค้าขึ้นไปแล้ว ตัวระบบสามารถมีคำอธิบายสินค้าเพิ่มขึ้นมาได้ทันที CEO รายนี้ยังชี้ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยลดอุปสรรคในการลงรายละเอียดของสินค้าลงได้

นอกจากนี้ eBay เตรียมดึงดูดลูกค้าใหม่ผ่านไลฟ์ขายสินค้าซึ่งเป็นวิธีการช้อปปิ้งที่ได้รับความนิยมในจีน Jamie ชี้ว่าเจ้าของร้านค้ามากกว่า 100 รายได้ทดลองขายสินค้าด้วยวิธีดังกล่าว แต่เขาก็ชี้ว่าสำหรับตลาดในสหรัฐอเมริกานั้นยังถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น แตกต่างกับตลาดในเอเชีย แต่เขาก็ชี้ว่าการทดลองไลฟ์ขายสินค้าของเจ้าของร้านหลายร้านนั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก

ปัจจุบันคู่แข่งของ eBay นั้นไม่ใช่แค่ Amazon เท่านั้น แต่ยังมี Temu และ Shein หรือแม้แต่ TikTok ที่กำลังรุกหนักตลาดแดนมะกันเช่นกัน

แม้ว่าคู่แข่งจะเพิ่มมากขึ้น แต่ CEO รายนี้ยังกล่าวว่า “เรามุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ของเราและวิธีที่เราจะชนะ” ซึ่งปัจจุบัน 85% ของผู้ซื้อสินค้าบน eBay นั้นมาจากผู้ซื้อสินค้ามักเข้าชมเว็บไซต์โดยตรง แตกต่างกับลูกค้ารายอื่นที่ใช้เม็ดเงินในการโปรโมตหรือลดราคาสินค้าเพื่อให้ได้ลูกค้าเข้ามาในแพลตฟอร์ม

]]>
1439425