อีคอมเมิร์ซ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 13 Nov 2025 10:49:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Shopee ไม่เพียงส่งด่วน ‘ภายใน 1 ชม.’ แต่จะพาแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก รับมือยุค E-Commerce แข่งเดือด https://positioningmag.com/1546815 Thu, 13 Nov 2025 06:31:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546815 ไม่เพียงสร้างเสียงฮือฮากับการเปิดบริการส่งด่วน ‘ภายใน 1 ชม.’ แต่ในงาน  Shopee Summit Together We Grow เรายังได้เห็นทิศทางต่อไปของ Shopee ในยุคที่ E-Commerce แข่งขันกันอย่างดุเดือด ภายใต้เป้าหมายต้องการเป็น ‘สะพานดิจิทัล’ (Digital bridge) พาแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก

 

เป้าหมายดังกล่าว ก็เนื่องมาจาก Shopee มีแพลตฟอร์มอยู่ในหลายประเทศ และเห็นการเติบโตของแบรนด์ในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงเปิดตัวโครงการ Shopee Global Sales ซึ่งยกระดับมาจากโครงการ Shopee International Platform (SIP) สนับสนุนการขยายธุรกิจของผู้ขายไทยสู่ตลาดโลก ไม่เฉพาะตลาดในอาเซียนเท่านั้น

 

โดยการพาแบรน์สู่ตลาดโลก ผ่านโครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการแล้วในฟิลิปปินส์ ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ก่อนจะขยายสู่สิงคโปร์ และมาเลเซีย ช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 รวมถึงมีแผนขยายไปยังอีกหลายประเทศในปี 2569

 

‘ฮันดิกา จาห์จา’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า กว่าสิบปีที่ผ่านมา Shopee ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์การช้อปปิ้งออนไลน์ของไทย และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยหลายล้านคน โดยในส่วนของผู้ขาย Shopee เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาดสามารถแสดงศักยภาพและขยายธุรกิจได้กว้างขึ้น

 

อีกทั้งมีบทบาทในการขับเคลื่อนและยกระดับธุรกิจของผู้ขายให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถเข้าถึงลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งการก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย Shopee ประกาศเดินหน้าภายใต้วิสัยทัศน์การเป็น ‘ประตูสู่เศรษฐกิจดิจิทัล’ (Gateway to the Digital Economy) สนับสนุน      ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้อย่างเท่าเทียม ตั้งแต่ร้านค้าครอบครัว ผู้ผลิตชุมชน ไปจนถึงองค์กรและแบรนด์ระดับประเทศ โดยใช้พลังของเทคโนโลยีและเครือข่ายของช้อปปี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงสินค้าไทยสู่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ

 

“เรามุ่งเป็นสะพานดิจิทัล (Digital Bridge) ที่เชื่อมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดระดับภูมิภาค เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับบนแผนที่เศรษฐกิจดิจิทัลของโลก”

 

E-Commerce ในไทยโตน่าสนใจ

 

สำหรับตลาด E-Commerce ในไทยถือว่า มีการเติบโตน่าสนใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงในปี 2569 ซึ่งคาดการณ์ว่า

 

E-Commerce จะคิดเป็น 53% ของเศรษฐกิจดิจิทัล

มีมูลค่า 34 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.1 ล้านล้านบาทไทย

เติบโต 15-20% ใน 4-5 ปีข้างหน้า

E-Commerce จะคิดเป็น 21.5 % ของธุรกิจรีเทลทั้งหมดในไทย

สรุปทิศทาง Shopee ในไทย

 

กลยุทธ์ของ Shopee ในไทยจะไม่ใช่แค่ ‘ขายของ’ แต่เน้นสร้าง ‘ประสบการณ’ โดยได้เปิด 4 ฟีเจอร์ใหม่ ประกอบด้วย

 

Prime Seller : เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ร้านค้า เป็นการอัปเกรดโปรแกรมส่งฟรีร้านโค้ดคุ้มและส่วนลดร้านโค้ดคุ้มให้ดียิ่งขึ้น อาทิ Affiliate for Seller คืนค่าคอมมิชชั่นสูงสุด 8% ต่อออเดอร์ ฯลฯ โดยจะมีสิทธิประโยชน์แบบสแตนดาร์ดและให้ตามช่วงฤดูกาล

 

Shopee Global Sales : 2026 พาไทย SME และแบรนด์ไทย บุกอาเซียนและตลาดโลก ลดความซับซ้อนของการส่งออกเพียงแค่ลงทะเบียนคลิกเดียว และ AI Translation ช่วยแปลภาษา

 

Speed Strategy : หลังจากเปิดตัวส่งภายใน 4 ชั่วโมง ตอนนี้มีบริการใหม่ ส่งทันทีภายใน 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขายให้กับร้านค้า

 

Golden Tick Creator: รวมครีเอเตอร์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ เพื่อเลือกใช้ในการทำ Content commerce

ขณะที่การตลาด จะยกระดับการช้อปปิ้งด้วยแผน Marketing 360 ได้แก่

 

Reinvented In-App Experience : ดึง AI มาช่วยจัดการหน้าชอปสินค้าในรูปแบบ personalized ดีไซน์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากขึ้น

 

Dynamic Content Ecosystem : ยกระดับและผสมผสานคอนเทนต์ทั้งคลิปวิดีโอ ไลฟ์ ฯลฯ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการซื้อขาย

 

Seamless Social Integration : การเชื่อมต่อกับโซเชียลแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Meta และ YouTube เพิ่มช่องทางมองเห็นสินค้าและเชื่อมต่อให้เกิดการซื้อขาย

 

Holistic Brand Building : สร้าง Brand Awareness ผ่านกิจกรรมทั้งออนไลน์ และออฟไลน์

 

Borderless Assortment & Product Launch : ดันสินค้าใหม่ให้ติดเทรนด์ และเพิ่มความหลากหลายของสินค้า

 

Unbearable Value for Users: การใช้ Voucher หลายต่อ, Shopee VIP พร้อมการรันตีราคาถูกสุด

 

 

สำหรับสินค้าที่ Shopee ให้ความสำคัญจะมี 4 หมวดหมู่หลัก

 

1.หมวดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า

2.หมวดสินค้าแฟชั่น

3.หมวดสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ FMCG

4.หมวดสินค้าไลฟ์สไตล์

]]>
1546815
สรุปร่างประกาศ ‘คุมอีคอมเมิร์ซ’ เพื่อสกัด ‘ผูกขาด’ ในวันที่ตลาดถูกครองโดยมาร์เก็ตเพลสต่างชาติ https://positioningmag.com/1543839 Wed, 22 Oct 2025 07:07:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543839 สถานการณ์อีคอมเมิร์ซไทย

ปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย กว่าครึ่ง ครองโดย E-Marketplace ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada และ TikTok Shop จากประมาณการของ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Pay Solutions และในฐานะอนุกรรมาธิการการพาณิชย์ วุฒิสภา คาดว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2024 รวมยอดขายจากทั้ง 3 แพลตฟอร์มมีมูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท ได้แก่

  • Shopee: 1.6 ล้านล้านบาท (40.9%)
  • Lazada: 6.6 แสนล้านบาท (34.9%)
  • TikTok Shop: 2.8 แสนล้านบาท (24.1%)

โดย ภาวุธ ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่อีมาร์เก็ตเพลสเจ้าตลาดที่เคย ขาดทุนสะสมมานาน แต่หลังจากที่กลายเป็น ช่องทางหลัก ของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นช่วง ทำกำไร ของผู้เล่นเหล่านี้

อย่าง Shopee ที่เคย ขาดทุนสะสม 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ในปีที่ผ่านมามี รายได้เกือบ 5 หมื่นล้านบาท เติบโต +69% กำไร 4.6 พันล้านบาท +113.82% ดังนั้น ด้วยอัตราเร่งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาเพียง 2 ปี ลบการขาดทุนสะสมทั้งหมด และ Shopee ไม่ได้ทำแค่อีคอมเมิร์ซ แต่มีบริการทางการเงิน เช่น Spaylater ขายประกัน และ Food Delivery รวมแล้วมีบริษัทในกลุ่มประมาณ 9 บริษัท มีรายได้รวม 8.5 หมื่นล้านบาท

ด้าน Lazada ขาดทุนสะสม 1.3 หมื่นล้านบาท โดยปีที่ผ่านมา Lazada มี รายได้ 2.8 หมื่นล้านบาท +31.38% กำไร 836 ล้านบาท + 38.34% รวมรายได้ทั้ง 6 บริษัทในกลุ่มที่ 4.3 หมื่นล้านบาท กำไร 2.4 พันล้านบาท ด้าน TikTok Shop ปีเดียว ทำรายได้ 12,000 ล้านบาท ขาดทุน 3,600 ล้านบาท

4 ประเด็นใช้อำนาจเหนือตลาด?

ภาวุธ มองว่า E-Marketplace ต่างชาติอาจกำลัง ใช้อำนาจเหนือตลาด จาก 4 ประเด็น ได้แก่

  1. ค่าธรรมเนียม: จากที่ช่วงแรกที่แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสให้บริการฟรี แต่ปัจจุบันเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิชชั่น ซึ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดย ภาวุธ ตั้งข้อสังเกตว่า ทั้ง Shopee และ Lazada มีการขึ้นค่าธรรมเนียมถึง 300% ภายในครึ่งปี ปัจจุบันค่าธรรมเนียมรวมแล้วอยู่ที่ 15-25%
  2. เลือกขนส่งเองไม่ได้: ร้านค้าไม่สามารถเลือกขนส่งเองได้ โดย ภาวุธ กล่าวว่า อาจมี ดีลลับ ระหว่างแพลตฟอร์มกับขนส่ง เพื่อให้บริษัทนั้น ๆ เป็นขนส่งรายเดียว ซึ่งทำให้แพลตฟอร์มได้กำไรมากขึ้น
  3. ไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ซื้อกับร้านค้า: บางแพลตฟอร์มจะไม่เปิดเผยข้อมูลลูกค้าให้กับร้านค้ารู้ ดังนั้น ถือเป็นการกีดกันไม่ให้ลูกค้าซื้อตรงกับร้านค้าโดยไม่ผ่านแพลตฟอร์มหรือไม่
  4.  เปลี่ยนนโยบายหรือปิดร้าน โดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ 

นอกจากนี้ ภาวุธ มองว่า ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านการใช้อำนาจเหนือตลาด แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่กำลังทำให้ร้านค้ารายย่อยอยู่ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่คนทำธุรกิจทั่วประเทศต้องเข้า Marketplace แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังต้องเจอ ร้านจากต่างประเทศที่อาจจะทำไม่ถูกต้องถามกฎหมายไทย

“ไม่ใช่แค่ผูกขาดในตลาดอีคอมเมิร์ซ แต่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นขนส่ง ธนาคาร ประกัน และสื่อโฆษณา เพราะบางแพลตฟอร์มมีอีโคซิสเต็มส์ครบ” ภาวุธ กล่าว

ขึ้นค่าแพลตฟอร์มเพื่อส่วนลด จะทำรายย่อยตาย

เจตน์ โสภิตวิริยาภรณ์ เจ้าของเพจ Jade : เลือดสาดมาร์เกตติ้ง กล่าวเสริมว่า ตนทำธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายกล้องติดรถยนต์ ปัจจุบันยอดขายหลักมาจาก Shopee (75%), Lazada (25%) และ TikTok (5%) ขณะที่ยอกขายผ่านเว็บไซต์ตัวเองแทบไม่มี และการขายบนแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสกำลังเผชิญความท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าธรรมเนียม, การเลือกขนส่ง และการแข่งขัน

โดยเฉพาะในเรื่องของ ค่าธรรมเนียม ที่เข้าใจว่าแพลตฟอร์มเก็บไปส่วนหนึ่งเพื่อใช้เป็น ส่วนลดให้ลูกค้า แต่มองว่า แพลตฟอร์มไม่จำเป็นต้องขึ้นค่าธรรมเนียม เพื่อมาให้ส่วนลดเยอะ ๆ ก็ได้ เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการ รายย่อยตาย อยู่ได้แค่รายใหญ่ นอกจากนี้ ขนส่ง ก็เป็นอีกประเด็นที่ร้าน เลือกเองไม่ได้ อีกทั้งบางแพลตฟอร์มยัง คิดค่าส่งเป็นรายได้ของร้าน ไม่ได้แยกระหว่างยอดขายกับค่าส่ง แปลว่าฐานภาษีของร้านจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

“มันจำเป็นไหมที่ต้องให้ส่วนลดเพื่อสปอยลูกค้าขนาดนั้น ทุกครั้งที่แพลตฟอร์มให้ส่วนลดลูกค้า แล้วมาขยับค่าธรรมเนียม มันอาจจะดีกับลูกค้าในระยะสั้น แต่ตอนนี้ร้านเล็กปิดไปเยอะมาก เพราะสู้รายใหญ่ที่ลงมาขายเองไม่ไหว เพราะส่วนลดที่ลูกค้าได้ มันถูกกว่าต้นทุนราคาขายส่งที่ผมต้องเปิดบิลเป็นล้านบาท แล้วอย่างนี้รายย่อยจะอยู่อย่างไร”

สุดท้าย การ แข่งกับผู้เล่นต่างชาติ ซึ่ง เจตน์ มองว่า ผู้ประกอบการไทย สู้ไม่ได้เพราะกฎระเบียบที่ไม่เอื้อ ซึ่งส่วนนี้อาจโทษแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสไม่ได้ แต่อยากให้กฎหมายไทยมีความเข้มงวดกับสินค้าจากต่างประเทศ

“อย่างร้านที่นำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มาขาย สายไฟต้องมี มอก. ต้องโดน กสทช. ตรวจสอบ ต้องเสียภาษี แต่ร้านที่ส่งจากต่างประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี บางทีก็เอา มอก. ปลอมมาสวม กลายเป็นว่าคนที่ทำธุรกิจแบบถูกต้อง ไม่สามารถสู้ได้ เพราะกฎระเบียบไม่ได้เอื้อให้ผู้ประกอบการไทยสู้”

สรุป ร่างประกาศคุมอีคอมเมิร์ซ

จากภาพรวมของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซที่สะท้อนการยึดตลาด ส่งผลให้ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ออกร่างประกาศแนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มหลายด้าน (Multisided Platform) ประเภทธุรกิจบริการดิจิทัลแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าหรือบริการ (e-Commerce)” โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 (3) แห่ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ พฤติกรรมด้านราคา และ พฤติกรรมทางการค้าอื่น

1. พฤติกรรมด้านราคา (Price Behavior)

  • ห้ามขายต่ำกว่าทุนโดยไม่มีเหตุผล: ป้องกันการทุ่มตลาดเพื่อทำลายคู่แข่ง
  • ห้ามกำหนดราคาขายเท่ากันทุกช่องทาง (Rate Parity): ผู้ขายควรมีอิสระในการตั้งราคาที่ต่างกันตามต้นทุนแต่ละช่องทาง เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกด้านราคา
  • ห้ามกำหนดราคาขายต่อ (Resale Price Maintenance): ห้ามบังคับผู้ขายให้ตั้งราคาตามที่แพลตฟอร์มกำหนด และห้ามปฏิเสธการจำหน่ายหากไม่ทำตาม
  • ห้ามเรียกเก็บค่าธรรมเนียมโดยไม่มีเหตุผล/ไม่แจ้งล่วงหน้า: ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าคอมมิชชั่น, ค่าโฆษณา, ค่าขนส่ง, ค่าโปรโมชั่น หรือค่าบริการชำระเงิน ต้องสมเหตุสมผลและมีการแจ้งล่วงหน้า

2. พฤติกรรมทางการค้าอื่น (Nonprice Behavior)

  • ห้ามกีดกันการมองเห็นและให้สิทธิพิเศษเฉพาะตน (Self-preferencing): ห้ามใช้ระบบอัลกอริทึมปิดกั้นการมองเห็นสินค้าของผู้ขายรายอื่น และห้ามเอื้อประโยชน์ให้สินค้าของตนเองหรือผู้ขายที่ตนได้ประโยชน์มากกว่า
  • ห้ามบังคับใช้บริการบางอย่าง: ห้ามบังคับให้ผู้ขายต้องใช้บริการขนส่ง (Carrier), บริการจัดการคลังสินค้า (Fulfillment) หรือเงื่อนไขอื่น ๆ ของแพลตฟอร์มหรือที่แพลตฟอร์มกำหนดแต่เพียงผู้เดียว
  • ห้ามจำกัดสิทธิ (Exclusive Dealing) โดยไม่มีเหตุผล: เช่น การบังคับเข้าร่วมโปรโมชั่น, การบังคับใช้ระบบชำระเงิน (Payment), การบังคับซื้อโฆษณา หรือการปกปิดข้อมูลลูกค้า
  • ห้ามเลือกปฏิบัติ (Discrimination): ห้ามเลือกปฏิบัติในการจัดอันดับสินค้า, การแบ่งสัดส่วนคำสั่งซื้อ หรือการขนส่งพัสดุ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
  • ห้ามเอื้อประโยชน์แก่บริษัทในเครือ/ผู้ค้ารายอื่น: ห้ามนำข้อมูลลูกค้าหรือข้อมูลทางการค้าไปใช้ประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทในเครือ (เช่น ขายประกัน, เสนอสินเชื่อ) หรือผู้ค้ารายอื่น
  • ห้ามร่วมมือกันเพื่อลดการแข่งขัน: ห้ามแพลตฟอร์มคู่แข่งร่วมกันกระทำใด ๆ ที่มีผลเป็นการจำกัดการแข่งขัน เช่น การพร้อมใจกันขึ้นค่าธรรมเนียม
  • ห้ามกระทำที่ผิดหลักการทางธุรกิจ: ห้ามการกระทำใด ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ หรือการตลาด หรือไม่เป็นไปตามจารีตปฏิบัติธุรกิจปกติ
วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.)

คาดบังคับใช้ในปีนี้

วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เปิดเผยว่า ร่างประกาศจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 2568 และคาดว่าจะบังคับใช้ได้ทันที ดังนั้น คาดว่าประกาศจะบังคับใช้ภายในปีนี้แน่นอน และถ้าผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตาม จะมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มาตรา 50 การใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม 

โดยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในกรณีที่กระทำความผิดในปีแรกของการประกอบธุรกิจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม วิษณุ เชื่อว่า หลังจากที่ร่างได้บังคับใช้ ปัญหาเรื่องการบังคับเลือกขนส่งจะถูกแก้ไข แต่ในส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมการขาย อาจจะเข้าไปช่วยในเรื่องของการ ควบคุมไม่ให้ขึ้นค่าธรรมเนียมพร้อมกัน แต่ไม่สามารถไป กำหนดอัตราค่าธรรมเนียม เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของสำนักงาน กขค.

]]>
1543839
สรุปอินไซต์น่าสนใจตลาด ‘อีคอมเมิร์ซไทย’ และเทรนด์ใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป https://positioningmag.com/1536481 Wed, 03 Sep 2025 07:31:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1536481 สรุปอินไซต์ ‘ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย’ ที่แม้ GDP บ้านเราจะเติบโตน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และเศรษฐกิจอยู่ช่วงขาลง แต่ ‘คนไทย’ ยังครองแชมป์ ‘ขาช้อป’ ที่จับจ่ายออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก รวมถึงมีเทรนด์การใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นความคุ้มค่า ซึ่งไม่ได้มองแค่ ‘ราคาถูก’ ยังมองคุณภาพ การใช้งานในระยะยาว บริการ และความน่าเชื่อถือ

 

อี-คอมเมิร์ซไทยโตสวน GDP

 

‘วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ตอนนี้แม้เศรษฐกิจภาพรวม ดูจะชะลอตัวลง และ GDP ประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนแล้วจะมีการเติบโตน้อยกว่า แต่มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยกลับมีการเติบโตสวนกระแส และคนไทยไม่ได้ช้อปออนไลน์น้อยลงเลย

 

ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเป็นอย่างไร

 

-ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทย ปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เติบโต 21.7% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่เติบโต 12%

-67% ของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยขับเคลื่อนโดย E-Marketplace

-การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปี 2568 ยอดขายสินค้าบนอีคอมเมิร์ซคิดเป็น 1 ใน 4 ของตลาดค้าปลีกไทยแล้ว

-คาดว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย จะมีมูลค่าเติบโตรวม 2 ล้านล้านบาท ในอีก 5 ปี หรือภายในปี 2573

 

สำหรับปัจจัยการเติบโตที่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ที่ทำให้นักช้อปไทยเปิดใจและหันมาใช้บริการซื้อของออนไลน์มากขึ้น โดยนักช้อปไทยมีการซื้อของออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็น ‘อันดับ 1 ของโลก’ คิดเป็น 68.2% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 56.1%

คนไม่ได้ดูแค่ของถูกแต่หาความคุ้มค่า

 

นอกจากเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ ‘พฤติกรรม’ ขาช้อปออนไลน์ไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน

 

วาริสฐาบอกว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยมีผู้บริโภคประมาณ 43.5 ล้านคน ที่น่าสนใจ คือ คนช้อปออนไลน์มีทุกเจนเนเรชั่น แบ่งเป็น

-กลุ่ม Gen Y และ Gen Z มีสัดส่วน 62% ของตลาด

-Gen X มีสัดส่วน 33% ของตลาด

นอกจากนี้ คนไทยมองหา ‘ความคุ้มค่า’ ในทุกการช้อป ซึ่งความคุ้มค่าไม่ใช่ ‘ราคาถูก’ แต่ให้ความสำคัญกับ คุณภาพ, การใช้งานในระยะยาว, การบริการ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ สะท้อนจาก

 

-ช่วงแคมเปญมียอดสั่งซื้อเพิ่มกว่า 15%

-50% ของคำสั่งซื้อช่วงแคมเปญมีการใช้คูปองหลายต่อ ทั้งส่งฟรีและส่วนลด

-ยอดขายช่วงเมกะแคมเปญ และ Double Digits เพิ่มขึ้น 300% เมื่อเทียบกับเวลาปกติ

 

“ในอดีตพฤติกรรมนักช้อปไทยจะมองความคุ้มค่าในเรื่องราคา แต่ในปีนี้ลูกค้ามองคำว่าคุ้มค่าแบบองค์รวม ดูตั้งแต่คุณภาพ การใช้งานในระยะยาว บริการ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์มากกว่าราคาถูก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เปลี่ยนไปมาก”

 

อีกความน่าสนใจ คือ นักช้อปคนไทยหันมาซื้อแบรนด์แท้มากขึ้น เห็นชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่แม้สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ยอดขายจาก LazMall ซึ่งการันตีขายของแท้มีการเติบโตขึ้น 22% และมีการใช้จ่ายต่อบิลต่อครั้งเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,000 บาท

จากการเติบโตที่เกิดขึ้น ทางลาซาด้า ประกาศวิสัยทัศน์ Next-Level eCommerce ในการเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ ประกอบด้วย

  1. บุกเบิกและยกระดับมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง
  2. มุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์มพรีเมียมและศูนย์รวมแบรนด์ชั้นนำ
  3. สร้างการเติบโตในระยะยาวด้วยคุณภาพอย่างแท้จริง

4.เดินหน้าสร้างคุณค่าและผลกระทบเชิงบวกให้กับผู้ซื้อ, แบรนด์, ผู้ขาย และพันธมิตรอย่างยั่งยืน

 

โดยวิสัยทัศน์ดังกล่าว จะเดินหน้าผ่าน 3 แกนหลัก

1.คัดสรรสินค้าคุณภาพครบทุกหมวดหมู่ (High-Quality Assortment) : นำเสนอสินค้าแบรนด์แท้ 100% ตลอดจนสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ลาซาด้า ผ่าน LazMall และ LazMall Luxury ที่มีมากกว่า 32,000 แบรนด์ทั่วทั้งภูมิภาค ควบคู่กับเพิ่มความหลากหลายด้วยหมวดหมู่ขายดีอย่าง LazBEAUTY, LazLOOK และ Lazada Electronics

รวมถึงนำร่องโมเดลค้าส่งสำหรับลูกค้าธุรกิจ (B2B) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ประกอบการ ด้วยสินค้ากว่า 15,000 รายการ ครอบคลุมหมวดเกษตรกรรม อุปกรณ์ประปา และอุปกรณ์ไฟฟ้า

2.มอบประสบการณ์การช้อปที่เหนือกว่า (High-Quality Experience) ด้วย 4 การันตีจาก LazMall (การันตีสินค้าแบรนด์แท้ 100%-จัดส่งตรงเวลา-คืนสินค้าพร้อมเงินคืนไว-การันตีสต๊อกพร้อม), โปรแกรมส่งเร็วพิเศษ Priority Delivery 24 Hours สั่งซื้อสินค้าภายในเที่ยง ได้รับสินค้าในวันถัดไป ฯลฯ

3.ดึงอินไซต์สร้างอิมแพคผ่านแคมเปญคุณภาพ (High-Quality Campaign)

]]>
1536481
“EMS ไปรษณีย์ไทย” ย้ำภาพพี่ใหญ่วงการโลจิสติกส์ เน้นความสำคัญของ “พัสดุใจ” มากกว่าพัสดุคือใจที่ให้กัน https://positioningmag.com/1522395 Mon, 02 Jun 2025 06:39:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1522395

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ หนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งคงหนีไม่พ้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่มีการเติบโตแบบคู่ขนานมากับธุรกิจโลจิสติกส์ เพราะเป็นจักรวาลที่เกื้อกูลกันในการขายและส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค โดยเฉพาะหลังการเกิด COVID-19 ที่มีช้อปปิ้งออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ยิ่งทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์เฟื้องฟูกันเลยทีเดียว


“ไปรษณีย์ไทย” มาตรฐานที่อยู่คู่คนไทย

เราจึงได้เห็นบรรดาผู้เล่นตลาดโลจิสติกส์มากหน้าหลายตา ทั้งแบรนด์ไทย และต่างชาติ ล้วนเป็นผู้เล่นยักษ์ใหญ่ทั้งสิ้น  ซึ่งเป็นสมรภูมิที่ไม่มีใครยอมใคร งัดกลยุทธ์หมัดเด็ดต่างๆ ทั้งหั่นราคา ทำโปรโมชั่นหวังช่วงชิงเม็ดเงินจากผู้บริโภค

สำหรับคนไทยแล้วจะคุ้นเคยกับ “ไปรษณีย์ไทย” เป็นพี่ใหญ่อยู่คู่วงการมาอย่างยาวนาน ด้วยประสบการณ์มืออาชีพที่สั่งสมกว่า 141 ปี ทำให้ไปรษณีย์ไทยยังครองใจคนไทยได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ด้วยจุดแข็งหลักอย่างคีย์แมนคนสำคัญ “พี่ไปรฯ” หรือบุรุษไปรษณีย์ ทำได้มากกว่าการส่งอย่างเดียว แต่พี่ไปรฯ มีสกิลในการรู้ทุกตอกซอกซอยของเมืองไทยลงระดับตำบล และหมู่บ้าน เรียกได้ว่าถ้าเขียนที่อยู่ผิด พี่ไปรฯ ยังไปส่งให้ถูกได้ ถือเป็นจุดแข็งที่แบรนด์อื่นยากที่จะลอกเลียนแบบได้

ด้วยสภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไปรษณีย์ไทยก็ได้ปรับตัวบริการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคงความเป็นเจ้าตลาด เน้นการพัฒนาบริการ EMS ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น  และรองรับการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซที่มีการขายสินค้าที่หลากหลาย ด้วยการออกแบบระบบขนส่งให้สอดคล้องกับพัสดุ (Parcel Defined Logistics)

บริการส่งด่วน EMS ตอบโจทย์การส่งสินค้าเกือบทุกประเภทตั้งแต่ของชิ้นเล็กที่ส่ง EMS แบบปกติได้ ส่วนของใหญ่ ของน้ำหนักเยอะ ส่งผ่านบริการ EMS Jumbo ส่งด่วนของใหญ่ ของหนัก หรือจะเป็นของสด ผลไม้ ก็ส่งผ่าน EMS ส่งด่วนผลไม้ได้ ใครที่ต้องการส่งสิ่งของที่ต้องเดินทางไกลไปยังต่างประเทศก็มี EMS World ส่งด่วนทั่วโลก หรือแม้แต่ส่งต้นไม้ สิ่งมีชีวิต เช่น ปลากัด ก็สามารถส่งผ่าน EMS ได้เช่นกัน


ผู้บริโภควางใจ ดัน EMS โตพุ่ง

ในปี 2567 ที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยได้เผยยอดการเติบโตของบริการส่งด่วน EMS มีปริมาณงานเติบโตถึง 6.99% คิดเป็นสัดส่วน 42.76% ของรายได้ไปรษณีย์ไทยทั้งหมด รวมถึงเป็นกลุ่มบริการที่ผู้ใช้บริการให้ความเชื่อมั่นสูงสุด กลุ่มสินค้าที่ใช้บริการส่งEMS สูงสุด คือ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร ชิ้นส่วน ยานยนต์ อุปกรณ์แม่เละเด็ก เฟอร์นิเจอร์ เอกสาร หนังสือ และสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป

สอดรับกับการคาดการณ์เศรษฐกิจดิจิทัลไทยในปี 2568 ที่จะพุ่งทะยานมากกว่า 46,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอีคอมเมิร์ซเป็นตัวแปรสำคัญซึ่งคาดว่าจะโตถึง 19% มีมูลค่า 26,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ เชื่อมั่นว่าจะทำให้ดีมานด์การส่ง EMS ในประเทศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เรียกว่าไปรษณีย์ไทยเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ และสังคมเช่นกัน

ซึ่งบริการส่งด่วน EMS ได้รับความไว้วางใจจากทั้งกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป และผู้ประกอบการรายใหญ่ และ SME ซึ่งไปรษณีย์ไทยได้วางกลยุทธ์ในการสร้างจุดเด่น และความเชื่อมั่นให้กับตลาด ได้แก่

  • ความคุ้มค่า: โดย EMS จะคิดค่าส่งจริงตามน้ำหนัก ราคาที่เท่ากันทุกพื้นที่ อีกทั้งยังมีราคาพิเศษสำหรับภาคธุรกิจ
  • และกลุ่มค้าขายสินค้าออนไลน์ที่มีการส่งเป็นจำนวนมาก ทำให้ช่วยควบคุมด้านต้นทุนการขนส่งได้
  • ความรวดเร็วในการขนส่ง: การันตีระยะเวลาการขนส่งเพียง 1 – 2 วัน เพื่อช่วยให้สินค้าทุกประเภท ถึงทุกปลายทางในระยะเวลาที่รวดเร็ว โดยมีมาตรฐานการขนส่งแบบเดียวกันทั่วประเทศ พร้อมด้วยการควบคุมระยะเวลาในการจัดส่ง Service Level Agreement ที่สามารถระบุเวลาการส่งที่ชัดเจนซึ่งผู้ส่งและผู้รับสามารถรู้ระยะเวลาได้ตั้งแต่พัสดุเข้าสู่ระบบ
  • การรองรับสิ่งของฝากส่ง: ครอบคลุมกับทุกความต้องการ การปรับแต่งระบบขนส่งให้สอดคล้องกับพัสดุ Parcel Defined Logistics ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต เช่น ปลาสวยงาม ของชิ้นใหญ่ไซส์จัมโบ้ ที่มีพิกัดน้ำหนักมากถึง 200 กิโลกรัม เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า รถจักรยานยนต์ ต้นไม้ สินค้าที่มีมูลค่าสูง ยาและเวชภัณฑ์ งานศิลปหัตถกรรมไทย ผลไม้และพืชผลทางการเกษตรตามฤดูกาล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ทุกความต้องการได้รับความสะดวก และสร้างจุดได้เปรียบด้านการส่งที่มีความรวดเร็วให้กับหลากหลายธุรกิจ
  • ฟังก์ชันที่พร้อมดูแลทุกการส่งด่วน: ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบสถานะได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทีมแคร์ที่ช่วยดูแลบริการหลังการขาย ซึ่งมีอยู่ในทุกจังหวัด การใช้สายด่วนเบอร์พี่ไปรฯ 1505 เพื่อแจ้งให้ผู้รับได้ทราบเวลาที่จะไปนำจ่ายสิ่งของ มีระบบที่ช่วยสนับสนุนร้านค้า เช่น การช่วยจัดทำจ่าหน้า การเตรียมข้อมูลฝากส่ง คลังสำหรับจัดเก็บสินค้า บริการนัดหมายเรียกรถเข้ารับพัสดุฟรี รวมถึงรองรับการเก็บเงินปลายทาง (COD)
  • เครือข่ายทั่วไทย: ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยมีเครือข่ายเพื่อรองรับความต้องการส่งด่วนกว่า 50,000 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ทำการไปรษณีย์ ร้านไปรษณีย์ไทย ไปรษณีย์ไทย @ธงฟ้า ร้านสะดวกซื้อต่างๆ รวมถึง EMS Point ที่เปิดโอกาสให้ร้านค้าและผู้ที่มีพื้นที่ว่าง สามารถเปิดจุดรับฝากสิ่งของและนำส่งกับไปรษณีย์ไทย นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายด้านการส่งที่มีศักยภาพสูงไม่ว่าจะเป็นบุรุษไปรษณีย์ กว่า 25,000 คน ที่เชี่ยวชาญทุกเส้นทาง รวมถึงศูนย์ไปรษณีย์ทั่วประเทศ 20 แห่ง ที่มีกระบวนการคัดแยกที่ทันสมัย รองรับพัสดุได้ต่อวันรวมกว่า 6 ล้านชิ้น

“พัสดุใจ” มากกว่าพัสดุ คือใจที่ให้กัน

แคมเปญ “พัสดุใจ” เป็นสื่อที่จะสื่อสารไปยังผู้บริโภคถึงการพัฒนาบริการให้ยิ่งกว่าการส่งพัสดุธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการส่งใจ หรือความรู้สึกดีๆ ให้กันระหว่างผู้ส่ง และผู้รับ ซึ่งไปรษณีย์ไทยโดยพี่ไปรฯ หรือพนักงานที่เคาน์เตอร์บริการ พวกเขาทุกคนทำหน้าที่ด้วยความใส่ใจเป็นตัวกลางในการนำส่งอย่างทะนุถนอม เพื่อให้ความรู้สึกดีๆ นั้นส่งถึงผู้รับอย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลกันแค่ไหนก็ไปถึงได้ และให้น้ำหนักความสำคัญในเรื่องของ “คุณภาพ” และ “ความไว้วางใจ” ในบริการ เพราะ Pain Point ที่หลายคนเจอในตลาดก็คือ การส่งช้า หรือพัสดุเสียหาย สูญหายระหว่างทาง

แต่ไปรษณีย์ไทยมุ่งเน้นให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในการใช้บริการ EMS ว่าจะได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ อย่างแน่นอน

สัมผัสประสบการณ์คุณภาพได้ที่ไปรษณีย์ไทยทุกสาขา กับบริการ EMS ส่งด่วนทั่วไทย พร้อมฟีเจอร์สุดสะดวกทั้งเก็บเงินปลายทาง (COD) ชำระเงินสด หรือสแกนจ่าย QR Code ได้ทุกธนาคาร และบริการ EMS World ส่งด่วนทั่วโลก 95 ประเทศ ครอบคลุม 106 ปลายทางทั่วโลก โดยทั้งบริการ EMS และ EMS World สามารถเรียกพี่ไปรฯ เข้ารับฝากถึงที่ (Pick Up Service) ได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม พร้อมเช็กสถานะได้ทุกขั้นตอน ตลอด 24 ชั่วโมง ทางไลน์ออฟฟิเชียล @Thailandpost

]]>
1522395
รู้จัก ‘DHgate’ อีคอมเมิร์ซน้องใหม่ที่แจ้งเกิดในสหรัฐฯ จากไวรัลแฉ ‘แบรนด์เนม’ บน TikTok https://positioningmag.com/1518848 Mon, 21 Apr 2025 03:06:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518848 กำลังมาแรงในสหรัฐฯ สุด ๆ สำหรับอีคอมเมิร์ซน้องใหม่ DHgate หลังจากเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จนนักช้อปชาวอเมริกันต้องหาแพลตฟอร์มใหม่ไว้ช้อปของถูก จนทำให้ DHgate ถูกดาวน์โหลดจนติด Top 2 บน App Store ในสหรัฐฯ

ก่อตั้งโดยเจ้าของฉายา แจ็ค หม่า เวอร์ชั่นผู้หญิง

DHgate.com ถูกก่อตั้งขึ้นโดย Diane Wang (ไดแอน หวัง) ที่ถือเป็นหนึ่งในผู้หญิงคนแรก ๆ ของจีนที่ทำงานระดับสูงในบริษัทไอทีข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft และ Cisco นอกจากนี้ เธอยังเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการอีคอมเมิร์ซจีน โดยได้ก่อตั้งเว็บไซต์ Joyo.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซยุคแรกของจีน

ต่อมาในปี 2004 Joyo.com ก็ได้ถูก Amazon เข้าซื้อกิจการ และหลังจากขาย Joyo ไป ไดแอนก็ได้ก่อตั้ง DHgate โดย DH ย่อมาจากชื่อเมือง Dunhuang (ตุนหวง) ซึ่งถือเป็นเมืองสำคัญในเส้นทางสายไหม ที่จีนใช้ทำการค้ากับตะวันตก ส่วน Gate หมายถึง ประตู ดังนั้น DHgate จึงเปรียบเสมือน ประตูการค้ายุคใหม่ที่เชื่อมจีนสู่โลก ตามวิสัยทัศน์ของเธอที่ต้องการเชื่อม ผู้ผลิตจีน เข้ากับ ตลาดต่างประเทศ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล 

ด้วยความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ไดแอน หวัง เคยได้รับการขนานนามว่าเป็น แจ็ค หม่า เวอร์ชั่นผู้หญิง เลยทีเดียว 

มีผู้ใช้กว่า 40 ล้านคนทั่วโลก

แม้ว่า DHgate จะเน้นขายของแบบ B2B (Business to Business) เป็นหลัก แต่ก็มีผู้ซื้อทั่วไป (B2C) ใช้บริการจำนวนมาก เนื่องจากสินค้ามีราคาถูก และมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า, รองเท้า, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, สินค้า OEM ฯลฯ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังใช้ระบบ Escrow คือ ผู้ซื้อจ่ายเงินให้ DHgate ก่อน เมื่อผู้ซื้อได้รับสินค้า ทางแพลตฟอร์มถึงจะโอนเงินให้ผู้ขายหลัง เพื่อป้องกันการโกง

ปัจจุบัน DHgate มีผู้ขายมากกว่า 2.3 ล้านราย โดยมีการผลิตสินค้าออกสู่แพลตฟอร์มกว่า 30 ล้านชิ้นต่อปี ใน 26 หมวดหมู่ และมีผู้ใช้มากกว่า 40 ล้านราย จากกว่า 220 ประเทศทั่วโลก โดยมีคลังสินค้าต่างประเทศมากกว่า 10 แห่ง และมีเส้นทางโลจิสติกส์กว่า 100 เส้นทาง

กลายเป็นไวรัลใน TikTok สหรัฐฯ

จากสงครามการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 145% ได้กลายเป็นการจุดกระแสให้นักช้อปชาวอเมริกันเริ่มมองหาแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เพราะกลัวว่าแพลตฟอร์มเดิม ๆ ที่ใช้ จะปรับราคาสินค้า ไม่ว่าจะเป็น TikTok Shop หรือ Temu และหวยก็มาออกที่ DHgate เนื่องจากกำลังเป็นไวรัลใน TikTok สหรัฐฯ

เนื่องจากมีบรรดา อินฟลูเอนเซอร์ และเจ้าของผู้ผลิตสินค้า ได้ออกมาแฉเบื้องหลังสินค้าแบรนด์เนมว่าจริง ๆ แล้ว สินค้าเหล่านั้นถูกผลิตในจีนเกือบทั้งหมด และถ้าอยากได้ของคุณภาพแบรนด์เนม ในราคาถูกกว่า สามารถหาได้จากจีน ซึ่งก็คือ DHgate 

“จีนเป็นผู้ผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ลักชูรี่ที่ส่งให้อเมริกา ประเทศในยุโรปทั้งหมด อย่างกระเป๋า 1 ใบ จีนทำไปแล้ว 80% ที่เหลือส่งไปประเทศต่าง ๆ เช่น อิตาลี เพื่อแสตมป์โลโก้ ทำกล่อง เพื่อให้เหมือนกับว่าผลิตในอิตาลี” ข้อความจากผู้ใช้ TikTok ในชื่อ doctortangmow อ้าง

จากคลิปไวรัลดังกล่าว ส่งผลให้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน DHgate จากที่อยู่ อันดับ 200 ก็ขึ้นมาเป็นแอปฯ ฟรีที่มียอดดาวน์โหลดมาก อันดับ 2 บน App Store เป็นรองแค่ ChatGPT ตามข้อมูลจาก Sensor Tower

สู่การตั้งคำถาม มูลค่าที่แท้จริงของแบรนด์เนม

จากวิดีโอไวรัลใน TikTok ที่ได้ จุดเประเด็นให้แบรนด์เนมหรู จนก่อให้เกิดคําถามเกี่ยวกับ มูลค่าที่แท้จริง ของสินค้าจากแบรนด์เนมที่แสดงให้เห็นว่า ไม่คุ้มค่า จากผู้ใช้ที่ชื่อว่า Valbulosity ซึ่งวิดีโอได้รับยอดวิวมากกว่า 6 ล้านครั้งและ 600,000 ไลก์

เพราะผู้ซื้อสามารถเป็นเจ้าของ ของก๊อบแบรนด์เนม ในราคาถูกแสนถูก อาทิ กระเป๋าสตางค์ที่คล้ายกับ Louis Vuitton Pochette ที่มีราคา 1,490 ดอลลาร์หรือราว 50,000 บาท ถูกขายในราคาเพียง 3.24 ดอลลาร์หรือราว 100 บาท และสามารถขายได้มากกว่า 100 ชิ้น 

หรือจะเป็นกระเป๋า Goyard ในราคาประมาณ 20 ดอลลาร์สหรัฐ (640 บาท) เมื่อเทียบกับของแท้ที่ราคาเกิน 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ (136,000 บาท) หรือกางเกงโยคLululemon ที่ปกติขายในราคา 98 ดอลลาร์หรือราว 3,200 บาท ก็หาซื้อได้ในราคาเพียง 13 ดอลลาร์สหรัฐ (430 บาท) ซึ่งขายไปมากกว่า 10,000 ชิ้น ตามข้อมูลจากแอปฯ

techcrunch / bloomberg / scmp

]]>
1518848
จับกระแส ‘ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย’ ปี 2025 มีอะไรเปลี่ยนแปลงและน่าสนใจแค่ไหน? https://positioningmag.com/1507743 Thu, 23 Jan 2025 06:27:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507743 ช่วงที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีการเติบโตและความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยปีที่ผ่านมามีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่อินโดนีเซีย ส่วนในปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซในบ้านเราก็ยังเป็นสนามแข่งขันที่ดุเดือด ซึ่งทาง Priceza ได้สรุปทั้งมูลค่าและประเมินเทรนด์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ไว้อย่างน่าสนใจ

มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

ปี 2024 มูลค่า 1 ล้านล้านบาท เติบโต 9%

ปี 2025 มูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท เติบโต 7%

ปี 2030 มูลค่า 2 ล้านล้านบาท

สำหรับช่องทางออนไลน์ที่คนไทยซื้อสินค้าออนไลน์

• 50% ซื้อผ่าน Marketplace เช่น shopee, Lazada, Konvy ฯลฯ

• 20% ซื้อผ่าน Video Commerce เช่น TikTok, Facebook, IG, YouTube ซึ่งช่องทางนี้เป็นช่องทางใหม่และกำลังมาแรง

• 18% ซื้อผ่าน Social Commerce เช่น Facebook, Line, IG, X  ฯลฯ

• 8% ซื้อผ่าน Quick Commerce & Grocery เช่น Grab, Lineman, 7-Eleven delivery, Big c ฯลฯ

• 4% E-Tailers และ Brand.com เช่น Powerbuy Boots Banana ฯลฯ

5 เทรนด์อีคอมเมิร์ซ ปี 2025

เทรนด์ที่ 1 The Rise of Affiliate Commerce : อีคอมเมิร์ซพันธุ์ใหม่จะขับเคลื่อนการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในปี 2025 โดยแบรนด์ต่างๆ ได้นำกลยุทธ์ Affiliate Commerce ไปใช้กับการขายสินค้าด้วยการหลอมรวมในทุกช่องทางอีคอมเมิร์ซ โดยธุรกิจควรจับมือร่วมกับ Content creator เพื่อผลลัพธ์ทางการตลาดและยอดขายที่ดีมากขึ้น เพราะจากผลสำรวจพบว่า 83% ของคนไทย เลือกซื้อสินค้าตาม Influencer แนะนำ

สำหรับสิ่งที่จะขับเคลื่อน Affiliate Commerce เติบโต ได้แก่ 3C ประกอบด้วย Creators (ผู้สร้างสรรค์), Content (คอนเทนต์ เนื้อหาของสื่อ) และ Commerce (การค้าขาย) หมายความว่า ผู้บริโภคชอบคอนเทนต์ที่ดี และจากคอนเทนต์ที่ดี จะนำไปสู่การสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ และสามารถวัดผลได้

เทรนด์ที่ 2 Competition in Thailand E-Commerce is Heating Up : ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเปิดทางให้เกิดการแข่งขันแบบเสรีขั้นสุดจากผู้ขายทั่วโลก

ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการแข่งขันที่หนักหน่วงของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากผู้ค้าออนไลน์ หลีกเลี่ยงการแข่งขันไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งทาง Priceza ประเมินว่า ใน 3 แพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Shopee, Lazada, TikTok มีผู้ขายรวมกันมากถึง 3 ล้านราย มีสินค้ากว่า 300 ล้านรายการ

สำหรับเหตุผลที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อผ่านแพลตฟอร์มใด ขึ้นอยู่กับ

54% คูปองและส่วนลด

51.8% การจัดส่งฟรี

40.4% บริการเก็บเงินปลายทาง

30.7% คืนสินค้าง่าย

27.4% รีวิวจากลูกค้า

จากภาพดังกล่าว ทำให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ จึงพยายามทำให้เกิดการแย่งกันสร้างสินค้าและตั้งราคาถูกมาก ด้วยการดึงผู้ขายทั้งรายย่อย รายใหญ่ แบรนด์ต่าง ๆ รวมถึงโรงงานจีนและผู้ขายจากต่างประเทศให้เข้ามาเปิดช้อปบนแพลตฟอร์มของตัวเอง เพราะเมื่อมีผู้ขายเยอะ ยิ่งมีการแข่งขันและตั้งราคาให้ถูกลง ซึ่งจะดึงดูดให้ผู้บริโภคมาซื้อสินค้าบนออนไลน์มากขึ้น

วิธีนี้ แม้ผู้บริโภคจะได้ผลประโยชน์จากสินค้าราคาถูกลง ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเล็ก ๆ ในประเทศ เพราะสินค้าราคาถูกจากจีนจะไหลเข้ามามากขึ้น โดยตอนนี้สินค้าจีนราคาไม่เกิน 1,500 บาท ได้รับการยกเว้นภาษีศุลากร ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องมีการปรับตัว

เทรนด์ที่ 3 E-commerce Listening : ช่วยเปิดทางทำธุรกิจออนไลน์แบบ ‘รู้เขา รู้เรา’ เสริมแกร่งธุรกิจไทยแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซที่การแข่งขันสูง

จากการแข่งขันอย่างดุเดือดในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทำให้ปัจจุบันหลายแบรนด์ได้นำ E-commerce Listening เข้ามาใช้ เป้าหมายไม่ใช่แค่ทำความรู้จักและเข้าใจ ‘ลูกค้า’ เท่านั้น แต่ยังเป็นการเข้าใจ ‘คู่แข่ง’ ให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับ E-commerce Listening ที่หลายแบรนด์นำมาใช้ จะประกอบด้วย 3C ได้แก่ Consumer (ลูกค้า) , Company (บริษัทของเรา) และ Compactors (คู่แข่ง) โดยต้องเจาะข้อมูลเชิงลึกในการจะเข้าใจว่าลูกค้าซื้ออะไรจากคู่แข่ง วิธีการขายหรือจำนวนชิ้นที่คู่แข่งขายได้ เพื่อให้รู้จักคู่แข่งได้ดีเท่ากับรู้จักลูกค้า สำหรับนำมาวางกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมากที่สุด

เทรนด์ที่ 4 E-Commerce Business Model Evolution : จากตลาดอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันดุเดือด ทำให้ผู้เล่นต้องปรับเปลี่ยนให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ โดยธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของไทยได้ปรับโมเดลสู่การเน้นขายผ่านบ้านหลักของตัวเองมากขึ้นในปี 2025 ได้แก่

Consignment Model หรือระบบการฝากขาย ที่เน้นสินค้าราคาถูก และแพลตฟอร์มจะเป็นผู้ทำตลาดให้เอง ซึ่งในปีนี้จะเห็นหลายแพลตฟอร์มขยับมาสู่โมเดลนี้กันมากขึ้น

Vertical Marketplace แพลตฟอร์มที่ขายสินค้าเฉพาะเจาะจง เช่น Home Pro , Konvy, NocNoc เป็นต้น จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า เป็นมาร์เก็ตเพลสที่สามารถตอบโจทย์สินค้าเฉพาะกลุ่มได้มากกว่า

Refocus on Own Retail Channel ปีนี้แพลตฟอร์มอย่าง Shopee Lazada จะมีการขยับราคาค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ข้อมูลลูกค้าที่ขายผ่านทางมาร์เก็ตเพลส จะอยู่กับแพลตฟอร์ม ทำให้ให้บรรดาแบรนด์ และรีเทลต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับช่องทางขายของตัวเองมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือแอปฯ

เทรนด์ที่ 5 Fast Delivery Like a Devil : ปีแห่งการส่งของไวเป็นปีศาจ ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่อดทนรอสินค้าได้นาน หากผู้ขายรายใหม่สามารถส่งสินค้าภายในวันที่สั่งของได้ ผู้บริโภคก็พร้อมย้ายเจ้า และการส่งด่วนจากแพลตฟอร์มหรือร้านค้าต่าง ๆ นี่เองมีส่วนส่งเสริมให้ตลาด Quick Commerce เติบโตต่อเนื่องราว ๆ 20-30%  ต่อปี

 

]]>
1507743
จับตา 12 ประเด็นสมรภูมิ ‘อีคอมเมิร์ซ’ 2025 ปีที่ต้องรับมือกับ ‘สินค้าจีนคุณภาพดี’ และ E-Commerce Tax! https://positioningmag.com/1504098 Wed, 18 Dec 2024 10:39:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504098 ปี 2025 จะเป็นอีกปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการอีคอมเมิร์ซ และเหมือนเป็นธรรมเนียมของทุกปีที่ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กูรูผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด จะมาวิเคราะห์ถึงเทรนด์ เพื่อช่วยให้ผู้ค้าออนไลน์เตรียมพร้อม ปรับตัว และไม่พลาดโอกาสในการทำธุรกิจในตลาดออนไลน์ที่ท้าทายนี้

3 ประเด็นหลักที่ผู้ประกอบการไทยต้องเจอปีหน้า

  • สินค้าจีนคุณภาพดีถูกกฎหมายเตรียมบุกไทย

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สินค้าจากจีนที่ไม่ผ่านมาตรฐานทะลักเข้าสู่ไทยเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 2025 คาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 2 เรื่อง คือ การปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายของภาครัฐเริ่มเข้มงวดขึ้น และการแข่งขันในประเทศจีนที่รุนแรงขึ้น ทำให้สินค้าจีนที่มีคุณภาพหลายรายหันมาขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายที่สำคัญของจีน ดังนั้นจะเห็นสินค้าจีนที่มีคุณภาพและนำเข้ามาแบบถูกกฎหมาย เข้ามาแข่งขันกับ ผู้ประกอบการไทยมากขึ้น

  • e-Commerce Tax มาแน่ ผู้ขายเตรียมปรับราคาสินค้า

ก่อนหน้านี้ กรมสรรพากรได้ประกาศให้อีมาร์เก็ตเพลสที่มียอดขายเกิน 1,000 ล้านบาทต่อปี เช่น Lazada, Shopee, TikTok, Grab, Foodpanda, Line Man ต้องส่งรายได้ของร้านค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มให้กับกรมสรรพากร

ในปี 2025 กรมสรรพากรจะเริ่มเห็นตัวเลขยอดขายที่ชัดเจน และจะเริ่มเก็บภาษีจากผู้ค้าเหล่านี้ ซึ่งหมายความว่า    ผู้ค้าในอีมาร์เก็ตเพลสที่เดิมไม่ได้คำนึงถึงภาษี จะต้องปรับโครงสร้างราคาและจัดการภาษีในธุรกิจออนไลน์ของตนเองด้วย

  • Vertical Commerce การค้าเฉพาะกลุ่มมาแรง

Vertical Commerce คือ การขายสินค้าในกลุ่มที่มีความสนใจเฉพาะ เช่น สินค้าเด็ก สินค้าสัตว์เลี้ยง สินค้าผู้สูงอายุ สินค้าเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า พบได้บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Line และ Facebook

การเติบโตของ Vertical Commerce เกิดจากการสร้าง Vertical Community หรือชุมชนกลุ่มเล็กที่มีความสนใจเหมือนกัน ซึ่งการรวมตัวของชุมชนเหล่านี้จะนำไปสู่การซื้อขายที่เฉพาะเจาะจง ช่วยให้ผู้ค้าปิดการขายได้ง่ายขึ้น

ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด

4 เทรนด์การค้าที่ยังมาแรง

  • TikTok Commerce ที่ขยายจากสินค้าสู่บริการ

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การขายสินค้าผ่าน TikTok เติบโตขึ้นมาก และ TikTok ก็ยังมุ่งการลงทุนและขยายตลาดในด้าน TikTok Commerce อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ TikTok Shop ซึ่งกำลังพัฒนาไปไกลกว่าการขายสินค้าที่จับต้องได้ โดยกำลังก้าวไปเข้าสู่การขายบริการต่าง ๆ เช่น บัตรกำนัลโรงแรมและร้านอาหาร

ปี 2025 TikTok จะกลายเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลเซอร์วิสที่ครบวงจร โดยผสานคอนเทนต์ คอมมูนิตี้ และคอมเมิร์ซ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ กลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับทำการตลาดและขายสินค้า ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซดุเดือดยิ่งขึ้น

  • Video Commerce ดันยอดขายออนไลน์ผ่านวิดีโอ

เมื่อ TikTok แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทรนด์ Video Commerce หรือการขายผ่านวิดีโอ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งสนามแข่งขันที่ดุเดือด โดยแพลตฟอร์มวิดีโอต่าง ๆ พยายามปรับตัวและผสานระบบการขายเข้าไปในคอนเทนต์ของตนเอง เช่น การจับมือระหว่าง YouTube กับ Shopee เพื่อให้สามารถใส่ลิงก์ร้านค้าและสินค้าในวิดีโอได้โดยตรง และ Facebook กับ Instagram ที่เริ่มรองรับการใส่สินค้าในวิดีโอ ทำให้ผู้ชมสามารถกดซื้อสินค้าได้ทันที

Video Commerce จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการผสานวิดีโอและการขายที่ทำให้เกิดประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มีความบันเทิงและดึงดูดใจมากขึ้น เทรนด์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ขายและลูกค้าผ่านคอนเทนต์วิดีโอที่น่าสนใจ

  • Affiliate Marketing ช่องทางการขายที่ไม่ควรมองข้าม

การทำตลาดแบบ Affiliate Marketing จะเป็นเทรนด์ที่มีบทบาทมากขึ้นในการทำธุรกิจออนไลน์ โดยแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, TikTok จะเปิดโอกาสให้เจ้าของสินค้านำสินค้าไปฝากไว้ พร้อมตั้งค่าคอมมิชชันให้กับผู้ที่นำสินค้าไปขายต่อ ซึ่งการทำตลาดแบบนี้จะทำให้ KOL และอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีฐานลูกค้าของตัวเอง สามารถนำสินค้าที่เจ้าของสินค้าฝากขายมาโปรโมตให้กับผู้ติดตาม เมื่อเกิดยอดขายก็จะได้รับคอมมิชชัน ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนของตลาดออนไลน์ และเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น โดยไม่ต้องจ่ายค่าทำการตลาดหรือโฆษณาแพงๆ เพียงจ่ายแค่ค่า Affiliate หรือค่า marketing fee

 5 แนวทางรับมือการผูกขาดจากมาร์เก็ตเพลส

ปี 2025 ชัดเจนมากว่าอีมาร์เก็ตเพลสในไทยถูก ผูกขาดเบ็ดเสร็จโดยยักษ์ใหญ่ต่างชาติ เพียงไม่กี่ราย ทำให้ขึ้นค่าธรรมเนียมได้อย่างตามอำเภอใจโดยไร้การควบคุมจากภาครัฐ ยิ่งไปกว่านั้น อีมาร์เก็ตเพลสเหล่านี้ยังยึดข้อมูลลูกค้า ทำให้ผู้ค้าเข้าไม่ถึงชื่อ เบอร์โทร หรือแม้แต่ที่อยู่ของลูกค้า ต้องตกอยู่ในสถานะจำยอม ไม่สามารถนำข้อมูลลูกค้าไปทำการตลาดเอง จะย้ายฐานลูกค้าข้ามไปแพลตฟอร์มอื่นก็ทำไม่ได้

ขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดอีมาร์เก็ตเพลสจะดุเดือดมากขึ้น หลายแพลตฟอร์มไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นพื้นที่ขายสินค้า แต่กำลังรุกเข้าไปในธุรกิจอื่นที่ครบวงจรมากขึ้น เช่น บางแพลตฟอร์มสร้างระบบการชำระเงินของตนเอง และมีบริการขนส่งเพื่อรองรับธุรกรรมภายในระบบ อย่างกรณีของ Shopee ได้ขยายไปสู่ฟู้ดเดลิเวอรี่ ขายประกัน และให้บริการสินเชื่อด้วย ส่วน Grab ที่เริ่มจากบริการขนส่งสินค้าและเดลิเวอรี่ก็ได้ขยายมาสู่บริการสินเชื่อสำหรับผู้ค้าบนแพลตฟอร์มและไรเดอร์

  • ช่องทางการค้าของตัวเอง (Owned Channel) ลดการพึ่งพาอีมาร์เก็ตเพลส

การผูกขาดและยึดข้อมูลลูกค้าโดยอีมาร์เก็ตเพลสรายใหญ่ ผู้ค้าควรหันมาพัฒนาช่องทางการขายของตนเอง หรือที่เรียกว่า Owned Channel การทำ Owned Channel ก็เหมือนการที่เรา “สร้างบ้าน” เอง ส่วน E-Marketplace คือคอนโดที่เรา “เช่า” เขาอยู่ ซึ่งจะทำให้เข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ สามารถสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำได้มากขึ้น

ปัจจุบัน มีผู้ให้บริการที่จะทำให้ Owned Channel เชื่อมต่อระบบชำระเงินและระบบขนส่งได้โดยตรง ซึ่งช่วยให้ธุรกรรมคล่องตัว และลดการพึ่งพาอีมาร์เก็ตเพลส เช่น บริการจาก Pay Solutions ที่เชื่อมต่อกับระบบชำระเงินของ Owned Channel ได้ทุกช่องทาง สามารถรองรับการชำระผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน บัตรเดบิต บัตรเครดิต Mobile Banking หรือ Alipay WeChat Pay และสามารถชำระที่เคาน์เตอร์ด้วยเครื่องรูดบัตร All-in-one รองรับการผ่อนชำระทุกธนาคาร

  • 3C Commerce สร้างความยั่งยืนผ่านคอนเทนต์และคอมมูนิตี้

การค้าออนไลน์ในปัจจุบันไม่ได้มุ่งแค่ขายสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่กำลังก้าวสู่เทรนด์ที่เรียกว่า 3C Commerce ซึ่งประกอบด้วย 1.Content การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ ช่วยสร้างการรับรู้และความสนใจในตัวสินค้า 2.Community เมื่อมีคอนเทนต์ที่ดี ย่อมดึงดูดผู้ติดตาม สร้างฐานแฟนคลับ และสร้างชุมชนที่มีความผูกพันกับแบรนด์ 3.Commerce คอนเทนต์และคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่งจะนำไปสู่การซื้อขายสินค้า สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ค้าและลูกค้า

3C Commerce จึงช่วยเพิ่มความผูกพันที่ทำให้ลูกค้าไม่เพียงซื้อสินค้า แต่ยังติดตามและสนับสนุนแบรนด์อย่างต่อเนื่อง การขายออนไลน์จึงไม่เป็นเพียงการทำธุรกรรมอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นการสร้างประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และเริ่มขยับไปเป็นดิจิทัลเซอร์วิสมากขึ้น

  • AI Commerce ขับเคลื่อนอนาคตอีคอมเมิร์ซ

AI หรือปัญญาประดิษฐ์ จะเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคิด วิเคราะห์ วางแผนกลยุทธ์ ออกแบบ ไปจนถึงการทำโฆษณา ทุกขั้นตอนจะมี AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการทำงาน ดังนั้น การผสาน AI เข้ากับธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงไม่ใช่แค่การเพิ่มความสะดวกสบาย แต่เป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ดียิ่งขึ้น

  • e-Commerce Automation ระบบอัตโนมัติ ยกระดับธุรกิจออนไลน์

E-Commerce Automation หรือระบบอัตโนมัติสำหรับอีคอมเมิร์ซ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่ใช่แค่การขายสินค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการบริหารจัดการธุรกิจทั้งหมดผ่านแพลตฟอร์ม เช่น การจัดการออเดอร์ การวิเคราะห์และจัดการข้อมูลลูกค้า การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ระบบบัญชีออนไลน์ การจัดการขนส่ง การบริหารโฆษณา การตอบกลับอัตโนมัติสำหรับลูกค้า ซึ่งการเชื่อมโยงระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ลดความซับซ้อนของงานที่ต้องทำด้วยตนเอง และเพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกิจ

  • e-CommerceListening ผู้ช่วยวิเคราะห์ตลาด

ปัจจุบัน ข้อมูลออนไลน์มีอยู่มากมายมหาศาล กระจัดกระจาย เข้าถึงได้ยาก ดังนั้น E-Commerce Listening จะเข้ามาเป็นเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลที่จำเป็นในการขายสินค้าออนไลน์ โดยช่วยติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าทุกชิ้นในตลาดไทย แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงราคา ข้อมูลสินค้าในหมวดหมู่เดียวกัน ยอดขายและกลยุทธ์ของคู่แข่ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง สามารถกำหนดราคาที่เหมาะสม วางแผนการตลาดได้แม่นยำ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี

]]>
1504098
มีแค่ลิฟต์ที่เอาเขาลง! ‘Temu’ กวาดยอดดาวน์โหลดรวมกว่า 735 ล้านครั้ง เฉพาะแค่เดือนส.ค.ทำยอดมากกว่า ‘Amazon’ 3 เท่า https://positioningmag.com/1490619 Tue, 17 Sep 2024 12:30:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490619 ตอนนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนที่ซุ่มเข้าไทยแบบเงียบ ๆ แม้ว่าปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้รับความนิยมในไทยนัก เพราะด้วยชื่อเสีย (ง) ทั้งจากการถูกฟ้องร้อง และสำหรับประเทศไทยที่ยังไม่มีบริษัทในไทยอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า Temu เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มาแรงจริง ด้วยจุดขายในด้าน สินค้าราคาถูก เพราะเป็นการซื้อจากโรงงานผู้ผลิตโดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง แถมยังจัดส่งไวภายใน 5 วัน ยังไม่รวมถึงการอัดแคมเปญการตลาดและโฆษณาอย่างหนัก

ทำให้นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกันยายน 2022 แอปพลิเคชัน Temu สามารถทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 735 ล้านครั้ง ไปแล้ว ตามข้อมูลจาก Storklytics.com เรียกได้ว่าใช้เวลาเพียงประมาณ 2 ปี ก็สามารถแซงหน้า Amazon, eBay และ Shein เพื่อร่วมชาติอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ จากข้อมูลของ Statista และ AppMagic แสดงให้เห็นว่า หากนับเฉพาะในปี 2023 แพลตฟอร์ม Temu มียอดดาวน์โหลดทั้งหมดกว่า 337 ล้านครั้ง มากกว่า Amazon ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซสัญชาติสหรัฐฯ เกือบ 80% 

สำหรับในปี 2024 นี้ Temu ก็ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อีก และขึ้นเป็นแอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม สามารถกวาดยอดดาวน์โหลดกว่า 50 ล้านครั้งต่อเนื่อง 4 เดือนติดต่อกัน ซึ่งถือว่าโตขึ้นถึง 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา และถือว่า มากกว่าคู่แข่งอย่าง Amazon ถึง 3 เท่า นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี Temu ยังมียอดเข้าชมรวมกว่า 500 ล้านครั้ง

เมื่อแยกเป็นประเทศต่าง ๆ พบว่า ยอดดาวน์โหลดเกือบ 1 ใน 3 ของการดาวน์โหลดทั้งหมดมาจาก สหรัฐอเมริกา (27%) หรือกว่า 200 ล้านครั้ง แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันใช้ Temu มากกว่าชาวยุโรปถึง 5 เท่า เพราะประเทศอย่างสหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส และสเปนคิดสัดส่วนเพียงประเทศละ 5% ของการดาวน์โหลดทั้งหมด ส่วนตลาดที่ใหญ่เป็น อันดับสอง ของ Temu คือ เม็กซิโก สร้างยอดดาวน์โหลดทั้งหมดเพียง 10% หรือน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาถึงสามเท่า

ปัจจุบัน Temu เปิดบริการแล้วใน 49 ประเทศทั่วโลก มียอดขายกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่งปีแรก สำหรับไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ของอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่ Temu เข้ามาทำตลาด

Source

]]>
1490619
ส่อง 5 กลุ่มสินค้าไทย ที่ ‘ขายดี’ บนแพลตฟอร์ม ‘Amazon’ สำหรับ SME ไทยที่อยาก Go Inter! https://positioningmag.com/1489114 Sun, 08 Sep 2024 12:12:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489114 ในวันที่ สินค้าจีน เข้ามาถล่มตลาดไทยอย่างหนัก ทำให้ SME ไทยในปัจจุบันก็ต้องเร่งหา ตลาดใหม่ เพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะตลาดในต่างประเทศ และหนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีจุดเด่นในตลาดฝั่งตะวันตกอย่าง Amazon ก็เป็นอีกโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการ Go Inter

อีก 3 ปี ส่งออกไทยทะลุ 3 แสนล้าน

จากการสำรวจโดย Access Partnership ถึงโอกาสการ ส่งออก ของผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME ไทย พบว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา การส่งออกของไทยทั้งหมดมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท โดยสัดส่วนประมาณ 38% มาจากกลุ่ม SME และคาดว่าภายในปี 2028 มูลค่าการส่งออกของไทยจะเติบโตได้ 1.5 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท และสัดส่วนของ SME จะเพิ่มเป็น 55%

ขณะที่ SME กว่า 87% มองว่า อีคอมเมิร์ซ เป็นตัวช่วยให้สามารถ รุกตลาดต่างประเทศ และมี SME ถึง 37% ระบุว่า รายได้กว่าครึ่งมาจากการส่งออก นอกจากนี้ กว่า 56% เชื่อว่า อีคอมเมิร์ซช่วยให้ตลาดเปิดกว้างมากขึ้น โดยปัจจุบัน ประเทศที่ SME ไทยส่งออกสินค้าไปมากที่สุด ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อังกฤษ และสหภาพยุโรป

ชูจุดขายความเป็นไทย แต่ไม่ทิ้งฟังก์ชัน

หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ SME ไทยใช้ Go Inter ก็คือ Amazon ที่ให้บริการใน 23 ประเทศทั่วโลก โดย อนันต์ ปาลิต หัวหน้า อเมซอน โกลบอล เซลลิ่ง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า บนแพลตฟอร์ม Amazon มี SME ไทยกว่า 1,000 ราย โดยกลุ่มสินค้ายอดนิยม ได้แก่ 

  • ของใช้ในบ้าน 
  • เสื้อผ้า 
  • อาหารและเครื่องดื่ม 
  • ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม
  • สินค้ากีฬา

สำหรับแบรนด์ไทยที่โดดเด่น อาทิ Tuff แบรนด์ กางเกงมวย ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดสหรัฐฯ และอีกแบรนด์ก็คือ Wel-B ซึ่งเป็นผลไม้ฟรีซดราย (Freeze Drying) ขายเป็นขนม

โดย อนันต์ มองว่า สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่น่าเริ่มต้นสำหรับ SME ไทย เพราะมีกำลังซื้อสูง ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคสหรัฐฯ นั้นต้องการ สินค้าที่มีความแตกต่างจากสินค้าที่มีในประเทศ ดังนั้น ต้องมี จุดขายความเป็นไทย แต่ก็ไม่ทิ้งจุดขายด้านฟังก์ชัน

“อย่างกางเกงมวยของ Tuff ไม่ได้ขายได้เพราะเป็นกางเกงมวย แต่มีฟังก์ชันที่เหมาะสำหรับใส่ออกกำลังกาย และมีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ส่วนขนมขบเคี้ยว ก็เป็นกลุ่มที่ไทยพัฒนาได้ดี และทั้งรสชาติดีและมีประโยชน์ ซึ่งสินค้าในสหรัฐฯ ไม่ค่อยมี”

อยาก Go Inter แต่ยังติดหลายสิ่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหลายคนยังติดปัญหาเกี่ยวกับการส่งออก โดยพบว่า

  • 88% ระบุว่า ค่าใช้จ่าย เช่น การขนส่ง ค่าธรรมเนียมกรมศุล ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ 
  • 89% มองว่ายัง ขาดความรู้ โดยไม่รู้ว่าโมเดลที่เอื้อต่อการทำธุรกิจข้ามพรมแดนต้องมีอะไร
  • 93% มองว่า กฎระเบียบด้านการส่งออก ถือเป็นอุปสรรคอย่างมาก 
  • 91% ขาดผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยทำ Cross-border เช่น ด้าน Digital Marketing ด้านซัพพลายเชน

โดย อนันต์ มองว่า การจะสนับสนุนให้ SME ไทยสามารถ Go Inter ได้ ควรสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับตลาด สร้างอีโคซิสเต็มส์ให้ทำงานได้ง่าย เช่น รวมโลจิสติกส์ไว้บนแพลตฟอร์มเดียว สุดท้าย ภาครัฐควรช่วยเหลือด้านกฎระเบียบในการนำเข้าสินค้า

สำหรับ Amazon เองก็มีโปรแกรมช่วยเหลืออย่าง Amazon Global Selling อาทิ บริการ Fulfillment by Amazon (FBA) ที่เป็นบริการ Fullfillment คือ หยิบ แพ็ก ส่ง โดย Amazon จะเก็บสินค้าของลูกค้าไว้ในคลังที่มีกว่า 400 แห่ง และจะจัดส่งให้เมื่อมีคำสั่งซื้อ โดยการันตีจัดส่งถึงปลายทางได้ภายใน 2 วัน นอกจากนี้ Amazon ยังมีโครงการอื่น ๆ เช่น Amazon Brand Registry ช่วยเรื่องการตลาดให้ลูกค้าเจอแบรนด์ได้มากขึ้น หรือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น รวมถึง Shopping Event เช่น  Black Friday เป็นต้น

“ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่ใช่งาน FBA อาจเป็นเพราะกระบวนการอาจซับซ้อน รวมถึงค่าใช้จ่าย ซึ่งเราเองก็ตระหนักเรื่องนี้ โดยจะปรับกระบวนการให้ง่ายขึ้น รวมถึงสื่อสารถึงข้อดีของบริการ อย่าง ลูกค้าที่ใช้บริการ FBA ก็มียอดขายเพิ่มขึ้น 20-25% และลดต้นทุนได้ 30% เมื่อเทียบกับลูกค้าที่ไม่ใช้”

ปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยกว่า 1,000 รายบน Amazon มียอดขายสินค้ากว่า 1 ล้านชิ้น/ปี และข้อมูลจาก Statista พบว่า ในปี 2023 สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีรายได้รวมจากอีคอมเมิร์ซสูงเป็นอันดับที่สองของโลก มีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากผลสำรวจของ Amazon ที่จัดทำโดย Access Partnership ในปีเดียวกัน พบว่ามากกว่า 65% ของธุรกิจ SMEs ของไทย มองว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีความสำคัญในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้

]]>
1489114
เสร็จศึกฆ่าขุนพล! ‘วอลมาร์ท’ เตรียมเทหุ้น ‘JD.Com’ หลังธุรกิจค้าปลีกของตัวเองไปได้สวย ปิดฉากการลงทุน 8 ปี https://positioningmag.com/1487155 Thu, 22 Aug 2024 12:12:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487155 หลังจากที่ Pinduoduo ผงาดในตลาดอีคอมเมิร์ซจีน อดีตเบอร์ 1 และ 2 อย่าง Alibaba และ JD.com ต่างระส่ำกันหมด และด้วยการแข่งขันที่รุนแรงภายในประเทศ ทำให้ วอลมาร์ท (Walmart) บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ก็ได้ถอนการลงทุนจาก JD.com ทั้งหมด

Walmart เทขายหุ้น JD.com ทั้งหมดมูลค่ารวมราว 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยบริษัทได้เข้าลงทุนใน JD.com ตั้งแต่ ปี 2016 โดยขายร้านขายของชำออนไลน์ในจีนอย่าง Yihaodian ให้กับ JD.com เพื่อแลกกับหุ้น 5% ใน JD.com และในปีเดียวกันนั้น วอลมาร์ทเพิ่มการถือหุ้นใน JD.com เป็นมากกว่า 10% ดังนั้น การขายหุ้นทั้งหมดนี้ ถือเป็นการปิดฉากการลงทุน 8 ปี

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ Walmart ตัดสินใจเทขายหุ้นมาจาก ผลตอบแทนที่ลดลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงของอีคอมเมิร์ซจีน ทำให้ทั้ง Alibaba และ JD.com ต่างต้องอัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าเข้าแพลตฟอร์ม ซึ่งนั่นส่งผลให้อัตรา กำไรลดลง

ส่วนอีกสาเหตุก็คือ Walmart ต้องการจะ นำเงินทุนไปใช้กับสิ่งที่มีความสำคัญกว่า โดย Walmart ระบุว่า บริษัทจะมุ่งไปที่การดำเนินธุรกิจของตัวเองในจีน ซึ่งก็คือ Walmart China และ Sam’s Club อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมุ่งมั่นรักษาความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่องกับ JD.com ซึ่ง JD.com จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าของ Walmart บนเว็บไซต์

ด้าน JD.com ระบุในแถลงการณ์ว่า บริษัทมีความมั่นใจในความร่วมมือในอนาคตระหว่างทั้งสองบริษัท โดยภายใต้สัญญาเดิม Walmart และ JD.com จะทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับห่วงโซ่อุปทานของตน เพื่อขยายขอบเขตของผลิตภัณฑ์นำเข้าสำหรับผู้บริโภคชาวจีน

อย่างไรก็ตาม โทมัส เฮย์ส ประธานบริษัทการลงทุน Great Hill Capital ให้ความเห็นว่า “ในปี 2016 บริษัท Walmart ต้องการขยายธุรกิจในประเทศจีน และพวกเขาทำสำเร็จผ่านการเรียนรู้ตลาดจาก JD.com  และตอนนี้พวกเขาก็มีช่องทางในการขยายธุรกิจและมีผลประโยชน์ในจีนเป็นของตัวเอง และพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีส่วนได้ส่วนเสียใน JD อีกต่อไป เมื่อพวกเขามีธุรกิจที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว

ปัจจุบัน ราคาหุ้นของ JD.com ร่วงลงราว 70% จากจุดสูงสุดเมื่อต้นปี 2021 และราคาหุ้นก็ใกล้เคียงกับระดับเปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 นอกจากนี้ การเติบโตของยอดขายของ JD.com หยุดนิ่งหลังจากการระบาดใหญ่ เนื่องจากผู้ซื้อแห่กันไปที่บริษัทอีคอมเมิร์ซราคาประหยัดคู่แข่งอย่าง Pinduoduo

โดยหุ้นของ JD.com ที่จดทะเบียนในฮ่องกงปิดตลาดลดลงเกือบ -9% ในวันพุธ ส่วนหุ้นที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ลดลง -5% ในการซื้อขายช่วงเที่ยงวัน ด้านหุ้นของ Walmart เพิ่มขึ้น 0.6% ในวันพุธ หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 75.58 ดอลลาร์

โดยในไตรมาสล่าสุด Walmart รายงานว่า รายได้จากธุรกิจในประเทศจีนเพิ่มขึ้น +17.7% เมื่อเทียบเป็นรายปีที่ 4.6 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเครือข่ายคลังสินค้า Sam’s Club และช่องทางดิจิทัล โดยรายได้จากสมาชิกจากธุรกิจ Sam’s Club ในประเทศจีนเติบโตขึ้น +26% ขณะที่จำนวนสมาชิกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

]]>
1487155