เชลซี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 05 Mar 2022 08:44:44 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จัก “โรมัน อบราโมวิช” เสี่ยหมีแห่งสโมสรเชลซี คนโปรดข้างกายปูติน https://positioningmag.com/1375913 Sat, 05 Mar 2022 08:17:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375913 สร้างความตกใจให้แฟนบอล เชลซี ไม่น้อยภายหลังจากที่ โรมัน อบราโมวิช ประกาศวางมือพร้อมส่งไม้ต่อสโมสรให้มูลนิธิการกุศลถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ดูแลแทนท่ามกลางความพิพาทรุนแรงรัสเซียเปิดฉากรบใส่ยูเครน แน่นอนเพราะเขามีความสัมพันธ์กับ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียชนิดแนบแน่น ดังนั้นจากนี้เราลองมาดูเส้นทางชีวิตอันน่าเหลือเชื่อของคนที่ถูกเรียกว่า “เสี่ยหมี” กว่าจะมีวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้างรับรองว่าทุกคนจะต้องทึ่งในความเก่งกาจของเขาอย่างแน่นอน

โรมัน อบราโมวิช (Roman Abramovich) เกิดที่เมืองซาราตอฟในครอบครัวที่มีพื้นเพเป็นชาวยิว เขาแทบจะไม่มีช่วงเวลาสนุกวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป เพราะแม่เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุเพียงขวบเดียว ไม่นานพ่อก็ต้องมาจากไปอีกหนึ่งคน ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ด้วยเหตุนี้พอค่อยๆ รู้ความและเติบโตขึ้นเจ้าตัวคิดเพียงแค่เรื่องเดียวคือเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทำอย่างไรให้อยู่รอด ทำอย่างไรถึงจะอยู่รอด แน่นอนคือต้องหาเงิน

ดังนั้นเขามองว่าเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์จึงออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 16 ปี ธุรกิจแรกในชีวิตคือเป็นพ่อค้าในตลาดมอสโกช่วงทศวรรษ 1980 โดยขายของเล่นที่ทำจากยางอย่างเช่น เป็ดยาง ซึ่งแน่นอนเมื่อผ่านไปถึงจุดหนึ่งเขารู้ทันทีว่าสิ่งนี้ไม่ได้ทำให้รวย และเสียเวลาเปล่าโดยใช่เหตุ จึงครุ่นคิดถึงการทำอย่างอื่นแทน

โรมัน อบราโมวิช พยายามหาลู่ทางและคิดขึ้นมาได้ว่าตนมีเส้นสายคนรู้จักสมัยที่เคยเข้าร่วมกับกองทัพก่อนหน้านี้ ซึ่งเด็กอายุแค่นั้นไม่รู้หรอกว่า “คอนเนกชั่น” นั้นคืออะไร แต่ด้วยสัญชาตญาณและความฉลาด ทำให้ค้นพบธุรกิจใหม่ก็คือการ “ขายน้ำมันเถื่อน” ซึ่งคนที่จะมาสมรู้ร่วมคิดด้วยก็จะต้องเป็นคนในหน่วยงานของรัฐหรือนักการเมืองนั่นเอง

ตอนอายุ 25 ปี โรมัน อบราโมวิช ก็เริ่มธุรกิจใหม่ในฐานะพ่อค้าน้ำมันแบบเต็มตัว ซึ่งการขายน้ำมันเถื่อนก็ทำให้รวยเร็วอยู่แล้ว แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่เขาได้รู้จักกับ บอริส เบเรซอฟสกี นักการเมืองตัวพ่อในยุคนั้น มันเหมือนกับการติดปีกให้กับธุรกิจของเขาก็ว่าได้ เพราะอิทธิพลที่ช่วยให้การปลอมแปลงน้ำมันหรือทำผิดนั้นพิสูจน์และหาตัวคนกระทำผิดไม่ได้ ซึ่งเราก็รู้กันอยู่ว่าต้องมีคนช่วยอยู่เบื้องหลัง อย่างการปลอมแปลงน้ำมันดีเซล 3 ล้านกิโลกรัมในปี 1992 ก็ไม่อาจหาหลักฐานใดๆ ได้เลย

Roman Abramovich
(Photo by Clive Mason/Getty Images)

นอกจากนี้เขายังจ่ายเงินจำนวนมหาศาล 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับ เบเรซอฟสกี เพื่อเข้าถึงข้อมูลทางการเมืองภายในรัฐบาลของประธานาธิบดี บอริส เยลต์ซิน ในช่วงต้นทศวรรษ 90 ดังนั้นเมื่อรู้ข้อมูลวงในล่วงหน้าก็ทำให้ โรมัน อบราโมวิช ได้เปรียบทุกคนโดยเฉพาะคู่แข่งทางธุรกิจและเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจต่างๆ ทำให้สามารถคาดเดาสถานการณ์การลงทุนได้ล่วงหน้า ดังนั้นสิ่งนี้จึงคุ้มค่ามหาศาล เพราะเหมือนการจ่ายเงินซื้อคอนเนกชั่นที่ช่วยให้ธุรกิจของตนนั้นเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว

เมื่อสองสิงห์ออกล่าไปด้วยกัน เข้าขารู้ใจก็สามารถบันดาลได้ทุกอย่าง จากนั้นทั้งคู่ตัดสินใจซื้อ Sibneft บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของไซบีเรียในราคาเพียง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แน่นอนว่าราคาจริงสูงกว่านั้นมาก ซึ่งก็เพราะใช้เส้นสายรวมถึงวิทยายุทธ์ก่อนที่จะขายต่อให้ Gazprom บริษัทพลังงานรายใหญ่ของรัสเซีย พร้อมกับฟันกำไรไม่รู้กี่เท่า

ตอนนั้นรัฐบาลรัสเซียก็ทราบดีแล้วว่า อบราโมวิช กับ เบเรซอฟสกี นั้นมีเพาเวอร์ขนาดไหน ทำให้อ้าแขนรับทั้งคู่เข้ามาพบปะพูดคุยกินข้าวทำธุรกิจกับมหาเศรษฐีทรงอิทธิพลมากหน้าหลายตา ซึ่งทั้งสองคนยินดีอยู่แล้ว เพราะมันหมายถึงเส้นสายและความรู้จักมักคุ้นนี้ก็จะนำไปสู่ช่องทางการทำธุรกิจให้ไหลลื่นได้แบบไม่ติดขัด

กระนั้นก็ตามเสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกัน ใครแข็งแกร่งกว่ารอด โดย เบเรซอฟสกี ถูกพบเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาในอ่างอาบน้ำภายในบ้านพักของตัวเอง คาดอาจเป็นการฆ่าตัวตาย หลังจากที่เขาถูกศาลสูงของอังกฤษตัดสินให้เป็นฝ่ายแพ้คดีและจ่ายค่าเสียหายแก่ อบราโมวิช

โดยการเสียชีวิตของ เบเรซอฟสกี มีขึ้นเพียงไม่กี่เดือน หลังจากที่เขาถูกศาลสูงของอังกฤษตัดสินให้เป็นฝ่ายแพ้คดีแก่ อบราโมวิช หลังจาก เบเรซอฟสกี ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก อบราโมวิช เป็นเงินสูงกว่า 3,000 ล้านปอนด์ หรือราว 133,870 ล้านบาท โดยกล่าวหาอีกฝ่ายแบล็กเมลและมีพฤติกรรมฉ้อฉลในการทำธุรกรรม ณ บริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งของรัสเซีย

(Photo by Chesnot/Getty Images)

ตอนนั้นดูเหมือนว่าใครก็หยุด อบราโมวิช ไม่ได้แล้ว พร้อมๆ กับในปี 2000 ที่รัฐบาลรัสเซียมีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจชายที่ชื่อ วลาดิเมียร์ ปูติน ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี โดยอดีตสายลับ KGB นั้นได้รับความไว้วางใจจาก เยลต์ซิน ให้ขึ้นมารับไม้ต่อ และอบราโมวิช ก็ฉลาดและสายตาหลักแหลมพอที่จะเข้าหา ปูติน คนที่ราศีกำลังจับในช่วงเวลานั้น

ทั้งคู่เปรียบเสมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ปูติน จึงเปิดไฟเขียวให้ อบราโมวิช เข้ามากอบโกยทำธุรกิจในส่วนต่างๆ ของประเทศไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงาน อุปโภคบริโภค และการคมนาคม จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งเจ้าตัวก็ต้องการแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ

และในปี 2003 ก็เข้าเทกโอเวอร์สโมสร เชลซี แห่งศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เรียกได้ว่าเป็นชาวต่างชาติคนแรกๆ หรือยุคบุกเบิกจนถึงทุกวันนี้ก็ว่าได้ ที่มหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลกจะหอบเงินเข้ามาซื้อทีมเมืองผู้ดีไปบริหาร
สิ่งที่ต้องชื่นชม อบราโมวิช ในแง่ของกีฬาก็คือมีความมุ่งมั่นตั้งใจจะทำ เชลซี จริงๆ จนก้าวไปคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 50 ปีหรือฤดูกาล 2004–05

จนถึงตอนนี้ก็คือสนับสนุนจนทีมได้ทุกแชมป์อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งแน่นอนนิสัยส่วนตัวของเขาที่สะท้อนออกมาในการบริหารทีมท่ามกลางสายตาอันสงบเยือกเย็นแต่ภายในครุ่นคิดวางแผน การตัดสินใจก็คือการเปลี่ยนแปลงกุนซือที่กล้าที่จะไล่ออกหากไม่ถูกใจและใช้กุนซือชั่วคราวเข้ามาพาทีมคว้าแชมป์แทนก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

ทว่าการที่ อบราโมวิช สนิทสนมกับ ปูติน ทำให้ระยะหลังไม่สามารถที่จะเดินทางมาชมเกมที่ขอบสนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะถูกรัฐบาลอังกฤษจับจ้องอย่างหนัก การขอวีซ่าจึงไม่ง่ายอีกต่อไป ทำให้ต้องตั้งสาวสวยอย่าง มาริน่า กรานอฟสกาย่า เข้ามาเป็นมือเป็นเท้าดูแลแทน

ล่าสุดสถานการณ์โลก รัสเซีย เปิดฉากโจมตี ยูเครน เพราะอีกฝ่ายต้องการจะเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO ทำให้ชื่อของ อบราโมวิช ถูกอังกฤษหมายหัวอีกครั้ง และได้งัดกรณีนี้ขึ้นมาจ้องเล่นงานเพื่อเช็กบิล หลังจากที่ก่อนหน้านี้พยายามมาโดยตลอด เพราะก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เสี่ยหมี” นั้นมีผลประโยชน์กับ ปูติน เงินทุกบาททุกสตางค์อาจจะได้มาแบบผิดกฎหมายและทุกอย่างพร้อมยักย้ายถ่ายโอนได้ตลอดเวลา

แน่นอนว่าในมุมของการบ้านการเมืองก็ว่ากันไป แต่ในมุมของกีฬานั้นรับรองว่าแฟนบอล เชลซี จะต้องคิดถึง อบราโมวิช เพราะคือคนที่รักเกมลูกหนังตั้งอกตั้งใจทำทีมอย่างแท้จริง รวมถึงเรื่องการบริหารก็ไม่เป็นสองรองใครไม่เหมือนนักธุรกิจคนอื่นๆ ที่เข้ามากอบโกยเงินจากสโมสรและพอถึงเวลาได้กำไรก็พร้อมขายทิ้งทันที

Source

]]>
1375913
สิงห์พ่วงเชลซี…จับคอบอลรุ่นใหม่ https://positioningmag.com/13047 Tue, 17 Aug 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13047

“เมื่อจุดสูงสุดหยุดเราไม่ได้ ใครๆ ก็คิดว่าการที่สิงห์จับมือกับแมนฯ ยู เป็นจุดสูงสุดของเราแล้ว แต่ไม่ใช่วันนี้เราเลือกทีมอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีก แสดงว่าคำว่า จุดสูงสุดไม่มีตัวตน” ปิติ ภิรมย์ภักดี บอกถึงอาวุธเด็ดล่าสุดของสิงห์ที่จะใช้ตีตลาดโลก

สิงห์ต่อยอด Sport Marketing โดยมีฟุตบอลเป็นหัวหอกหลักอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อเซ็นสัญญาเป็น Global Partner กับเชลซี หรือ The Blues ที่ล่าสุดคว้าดับเบิลแชมป์มาครอง หลังการประกาศตัวเป็น Global Partner กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ไม่นาน

ปิติ ภิรมย์ภักดี บอกว่าการสนับสนุนเชลซีวาง Positioning แตกต่างจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยมุ่งจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่คลั่งไคล้ฟุตบอล ซึ่งเป็นฐานแฟนคลับของทีมเชลซีอยู่แล้ว โดยช่วง 5 ปีหลังนี้มีผลงานโดดเด่นระดับแชมป์การันตี และมีแฟนคลับทั่วโลกราว 100 ล้านคน ดังนั้นแม้จะเป็นทีมที่ไม่ได้ขายตำนานความสำเร็จอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เชลซีคือทีมของคนรุ่นใหม่ที่ในจีนก็มีแฟนอยู่มาก ถึงขนาดที่มีเชลซี บาร์เป็นแห่งแรกนอกอังกฤษ ขณะที่กัมพูชาและเกาหลีใต้คลั่งผีแดงมาก

“เราไม่ต้องการเปิดโอกาสให้คู่แข่ง แมนฯ ยูคือความขลัง คือตำนาน เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ขณะที่เชลซีคือคนหนุ่มไฟแรง เหมือนเรามีทั้งหมัดซ้าย หมัดขวา หรือเหมือนเรามีทั้งโค้กและเป๊ปซี่อยู่ในมือ”

ค่าเงินปอนด์ที่อ่อนแรง ยิ่งทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ของสิงห์รวดเร็วขึ้น โดยสิงห์ทุ่มเม็ดเงิน 8 ล้านปอนด์กับสัญญา 4 ปี เพื่อเป็น Global Partner ในรูปแบบของ Platinum Partnerกับเชลซี ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ ทั้งป้ายโฆษณา สิทธิ์ในการจำหน่ายเบียร์สิงห์ ลีโอ โซดา และน้ำดื่ม ผ่าน Kiosk 45 จุด ในสนามStamford Bridge ความจุเกือบ 42,000 คน และโรงแรมของเชลซีอีก 2 แห่ง เริ่มต้นตั้งแต่ฤดูกาล 2010/2011 เป็นต้นไป

“ดีลนี้ง่าย ขอส่งเดชไปก็ได้หมด แต่ก่อนหน้าเราปฏิเสธ เนื่องจากได้เซ็นสัญญากับแมนฯ ยูเรียบร้อยแล้ว แต่เชลซีบอกไม่มายด์ และให้ทุกอย่างที่เราขอ เขามาในแบบนักเลงมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์ สิทธิ์ในการเปิด Brand Experience Center ซึ่งประกอบด้วย เชลซี ช็อป เชลซี บาร์ หรือแม้แต่การใช้เบียร์แปลงเป็นมูลค่าเงิน ซึ่งถือว่าคุ้มแล้ว” ฉัตรชัยบอกปนอารมณ์ขันถึงดีลที่เจรจาผ่านเฉพาะอีเมล และเห็นหน้าคู่สัญญาเป็นครั้งแรกก็เมื่อวันเซ็นสัญญา

ในไทยเอง สิงห์จะแพ็กคู่ไปกับเชลซีในคราบของน้ำดื่มเพื่อบุกทะลวงทำกิจกรรมกับนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นพื้นที่ต้องห้ามของแบรนด์แอลกอฮอล์ นับเป็นกลยุทธ์การตลาดที่แยบยลอีกครั้งของสิงห์

เชลซีจึงไม่ใช่เครื่องมือที่ช่วยให้สิงห์ขยับเข้าสู่เป้าหมายยอดขายในต่างแดนที่วางไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวภายใน 3 ปี เท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ของบุญรอดฯ ทั้งพอร์ตอีกด้วย

ด้านเชลซีเองก็ต้องการที่จะจับมือกับสิงห์เป็นอย่างมาก เพราะมีเป้าหมายเดียวกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือต้องการบุกตลาดเอเชียซึ่งเป็นรู้ดีกันดีว่ามีศักยภาพด้วยฐานประชากรและเศรษฐกิจ และต้องการเป็นแบรนด์ฟุตบอลอันดับ 1 ภายใน 5 ปี ดังนั้นเมื่อหมดสัญญากับไฮเนเก้น เชลซีจึงยื่นข้อเสนอกับสิงห์ทันที

“ใครๆ ก็อยากบุกเอเชีย โดยเฉพาะจีน ขายเสื้อทีก็ถล่มทลายแล้ว”

ขณะที่ ฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ บอกว่า ไม่ต้องการให้ภาพของสิงห์เป็นเบียร์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด การสนับสนุนเชลซีด้วย ทำให้ภาพของสิงห์กับการเป็นเบียร์สำหรับคอบอลชัดเจนยิ่งขึ้น

นับเป็นการรุกที่ว่องไวของสิงห์และจะไม่หยุดคำรามเพียงเท่านี้ เพราะสิงห์ยังซื้อป้ายโฆษณาอีกกว่า 100 แมตช์ในพรีเมียร์ลีก เพื่อสร้าง Brand Awareness ผ่านการถ่ายทอดสดทั่วโลกอีกด้วย ขณะที่อีกภายใน 1-2 ปีการตะลุยเป็นสปอนเซอร์ทีมฟุตบอลและลีกต่างๆ ในยุโรปกำลังจะเริ่มขึ้น

โดยคำสั่งล่าสุดจาก สันติ ภิรมย์ภักดี คือ ให้ดู “เยอรมัน” ส่วนข้อเสนอจากอิตาลี สเปน ก็กองล้นอยู่บนโต๊ะของฉัตรชัย รอการเปิดเจรจาในอนาคต

สโมสรฟุตบอลที่ทำรายได้สูงสุดในโลก ปี 2008/2009
ทีม จำนวน
1.รีล มาดริด 401.4 ล้านยูโร
2.บาร์เซโลน่า 305.9 ล้านยูโร
3.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 327.0 ล้านยูโร
4.บาเยิร์น มิวนิค 289.5 ล้านยูโร
5.อาร์เซนอล 263 ล้านยูโร
6.เชลซี 242.3 ล้านยูโร

ที่มา : Deloitte Football Money League

]]>
13047