รายงานข่าวแจ้งว่า ในโซเชียลมีเดียมีการวิจารณ์กรณีที่มีเฟซบุ๊ก “สยามโพสต์” ระบุว่า หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กำหนดส่งรายชื่อ พนักงานที่จะถูกจ้างออก ให้กับผู้บริหาร โดยจะมีการจ้างออก 50% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด โดยมีการเจรจาระหว่างผู้บริหาร หัวหน้าโต๊ะข่าว และพนักงาน เกี่ยวกับการกำหนดให้ใครจะได้ไปต่อ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ระบุว่า ประชา เหตระกูล บรรณาธิการบริหาร จะลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้ ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด หรือคุณแดง เข้ามาบริหารงานแทน ทำให้เกิดคำถามว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับบรรณาธิการข่าว โต๊ะข่าวต่างๆ รวมถึงนโยบายลดคนตามมาด้วยหรือไม่
ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบไปยังพนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายหนึ่ง ยืนยันว่าเป็นความจริง โดยมีการลดคน 50% แต่ถึงกระนั้นไม่ได้กล่าวรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติมออกมา
สำหรับผลประกอบการบริษัท วัชรพล จำกัด ในปี 2562 พบว่า
เมื่อปี 2561 มีกำไรสุทธิ 313 ล้านบาท และปี 2560 มีกำไรสุทธิ 603 ล้านบาท
]]>รายงานข่าวแจ้งว่า ประพิณ รุจิรวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลและธุรกิจ บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด เจ้าของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ได้ออกประกาศ เรื่อง โครงการสมัครใจเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงโครงสร้างและการบริหารอัตรากำลังภายในองค์กรอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และเพื่อปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนทางบุคลากร และลดภาระค่าใช้จ่ายโดยรวมในระยะยาว
โดยพนักงานบริษัทฯ ทุกระดับ ที่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ ที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ ให้ส่งรายชื่อพนักงานไปให้หัวหน้าฝ่าย เพื่อรวบรวมแล้วนำส่งมาที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ภายในวันที่ 31 พ.ค. เพื่อเสนอต่อบริษัทฯ ให้พิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติ และแจ้งผลการพิจารณาให้พนักงานที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ทราบ ซึ่งจะได้รับเงินชดเชยตามอายุงาน ตั้งแต่วันที่เข้าทำงานกับบริษัทฯ จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2563 ในอัตราตั้งแต่ 30-400 วัน ขึ้นอยู่กับอายุงาน
โครงการดังกล่าวมีหลักการก็คือ บริษัทฯ จะพิจารณาเห็นชอบพนักงานที่ขอลาออกตามโครงการฯ นี้ เป็นความต้องการและสมัครใจร่วมกันทั้งสองฝ่ายระหว่างบริษัทฯ กับพนักงาน เป็นสิทธิฝ่ายเดียวของบริษัทฯ ในการอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้พนักงานลาออกตามโครงการ กรณีที่มีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก บริษัทฯ สงวนสิทธิ์ที่จะพิจารณาคัดเลือกตามเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทฯ
พนักงานที่ได้รับการอนุมัติจากบริษัทฯ แล้ว จะยกเลิกการลาออกตามโครงการฯ ภายหลังไม่ได้ และต้องมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ พร้อมทั้งส่งมอบงานให้เรียบร้อยก่อนสิ้นสภาพการเป็นพนักงาน และบริษัทฯ จะไม่รับพนักงานที่ได้รับการอนุมัติเข้าร่วมโครงการฯ กลับเข้าทำงานในฐานะพนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทฯ อีก ทั้งนี้ พนักงานที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติ จะมีผลในวันที่ 1 ก.ค. 2563 และรับเงินค่าจ้างเดือนสุดท้ายพร้อมเงินชดเชยเป็นเช็ค ในวันที่ 30 มิ.ย. 2563
สถานการณ์ธุรกิจสื่อมวลชนในช่วงที่ผ่านมา พบว่าก่อนหน้านี้ เครือเนชั่นตัดสินใจยุบกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เว็บไซต์เนชั่นสุดสัปดาห์ และ สำนักข่าวเนชั่น ของบริษัท คมชัดลึก มีเดีย จำกัด พร้อมทั้งเลิกจ้างพนักงานลงครึ่งหนึ่ง โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึกที่มีอายุกว่า 18 ปี ได้หยุดตีพิมพ์เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยให้นำเว็บไซต์ที่เหลือไปอยู่ภายใต้การดูแลของ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NBC เจ้าของสถานีข่าวเนชั่นทีวี 22
]]>นางจุฑามาศ อินปริงกานันท์ (ที่สามจากขวา) ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมการจำหน่าย บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด และดร.ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด (ที่สามจากซ้าย) บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ พร้อมด้วยขุนพลลูกหนังทีมชาติไทย ร่วมแถลงข่าวแคมเปญ “ลุ้นแชมป์ยูโร 2008 ลุ้นโชคกับเดลินิวส์” ด้วยการส่งคูปองจากหน้า 2 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์และทายผลว่า “ทีมชาติใดจะเป็นแชมป์ยูโร 2008” ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม-29 มิถุนายน 2551 เพื่อชิงรางวัลรถจักรยานยนต์ Honda Phantom จำนวน 10 รางวัล รถจักรยานยนต์ Honda CBR150R จำนวน 20 รางวัล และรถจักรยานยนต์ Honda Air Blade จำนวน 30 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 3.5 ล้านบาท และของรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ ฮอนด้ายังเป็นผู้สนับสนุนหลักการถ่ายทอดสดเกมลูกหนังระดับโลก ฟุตบอลยูโร 2008 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการด้วยการส่งตรงสุดยอดความมันส์สู่คอลูกหนัง ให้ชาวไทยได้ชมพร้อมลุ้นกันสดๆ ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 และโมเดิร์นไนน์ทีวีตลอดฤดูกาลอีกด้วย
โดยปรกติ เรื่องที่จะเห็นหนังสือพิมพ์รายวันที่เรียกว่า “หัวสี” ออกโฆษณาทางโทรทัศน์ถี่ยิบ เป็นเรื่องไม่เห็นกันบ่อยนัก เพราะเหตุผล 2 ประการหลักคือ 1) โฆษณาทางโทรทัศน์มันแพง เมื่อเทียบกับรายได้จากการขายโฆษณา และจากยอดขายจริงบนแผง 2) มีช่องทางการขายและการตลาดอื่นสนับสนุนที่ราคาต่ำกว่าให้เห็นอยู่
การออกโฆษณาปูพรมทางโทรทัศน์ของหนังสือพิมพ์รายวันอย่าง เดลินิวส์ จึงถือเป็นมิติใหม่กันเลยทีเดียว
จะบอกว่าข่าวสารกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ไปแล้วหรืออย่างไร?
คำตอบก็คงไม่ใช่
ยิ่งเมื่อดูจากสาระที่นำเสนอของภาพยนตร์โฆษณาตอนท้ายของภาพยนตร์ ที่เน้นคำว่า “อ่านความจริง…อ่านเดลินิวส์” ก็ยิ่งเห็นชัดว่า โฆษณาชิ้นนี้ มีจุดหมายเดียวคือ รีแบรนด์ตราสินค้า ตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ ไม่ได้หวังผลทางยอดขาย
พูดถึงเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปหาภาพของธุรกิจหนังสือพิมพ์กันเล็กน้อย
หนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยในเมืองไทยนั้น แบ่งง่ายๆ ออกเป็น 2 กลุ่มตามสาระของเนื้อหาที่นำเสนอ กลุ่มแรกเรียกว่า หนังสือพิมพ์แบบแมส กลุ่มหลังเรียกว่า แบบนิช
กลุ่มแรกยังแยกย่อย ออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกประกอบด้วยหนังสือพิมพ์ระดับชาวบ้านทั่วไป เสนอข่าวที่เรียกว่า soft news (ประเภท sex, blood, glut, and scandal หรือ โหด-มัน-ฮา)ประกอบด้วย ไทยรัฐ เดลินิวส์ ข่าวสด คมชัดลึก บ้านเมือง สยามรัฐ(ยุคปัจจุบัน) และประเภทนำเสนอข่าวสารแบบ hard news สำหรับผู้มีการศึกษา-ปัญญาชน ได้แก่ มติชน และไทยโพสต์
กลุ่มหลัง ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือพิมพ์ธุรกิจ-เศรษฐกิจ ประกอบด้วย ผู้จัดการรายวัน กรุงเทพธุรกิจ โพสต์ทูเดย์ ข่าวหุ้นธุรกิจ และ ฯลฯ
หนังสือพิมพ์รายวันนั้น รายได้หลักมาจาก 2 ทางคือ จากยอดขายบนแผง ซึ่งเป็นรายได้ประมาณ 30% ส่วนที่เหลืออีก 70% มาจากยอดขายโฆษณา
รายได้ทั้งสองส่วนนี้ เป็นองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการ ซึ่งทำให้องค์กรหนังสือพิมพ์รายวันต้องมีโครงสร้างสำคัญ 3 ส่วนหลักนั้นคือ กองบรรณาธิการที่แข็งแกร่ง ฝ่ายจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ และฝ่ายขายโฆษณาที่แข็งแกร่ง
การตลาดของหนังสือพิมพ์รายวันจึงมีกุญแจความสำเร็จว่า ข่าวสารต้องสนองตอบความอยากรู้อยากเห็นของผู้อ่านเพื่อเพิ่มความนิยมหรือเรตติ้ง ที่จะเอาไปใช้ขายโฆษณา
ทีนี้ เรตติ้งเขาวัดกันอย่างไร?
บริษัทที่จะซื้อพื้นที่โฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันนั้น เขามีแหล่งอ้างอิงสำคัญอย่างหนึ่งได้แก่ บริษัทสำรวจความนิยมของสื่อ ซึ่งในเมืองไทยมีบริษัทเดียวที่โดดเด่น ได้แก่บริษัท เอ ซี นีลเซ่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกัน ที่เป็นบริษัทลูกของกลุ่มบริษัทฮอลแลนด์
เอ ซี นีลเซ่น จะทำหน้าที่ทำโพล แสดงการรับรู้แบรนด์ของสินค้า เพื่อจะหาว่าผู้อ่านหนังสือพิมพ์ หรือผู้รับสื่อนั้น รับรู้ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์แต่ละเล่มมากน้อยแค่ไหน และอย่างไร เช่น อ่านบ่อยไหม อ่านเนื้อหาประเภทไหน…อะไรเทือกนั้น
ข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดเอามาวางเพื่อให้บริษัทโฆษณา หรือเจ้าของสินค้าพิจารณาว่า ควรจะจ่ายค่าโฆษณาในอัตราเท่าใด แล้วก็นำไปต่อรองกับพนักงานขายโฆษณาของหนังสือพิมพ์อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งมีกรรมวิธีซับซ้อนพอสมควร ที่ขอละเว้นเอาไว้
ที่ผ่านมา การตระหนักรู้ของผู้อ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น จะมีการนำเอาไปเทียบเคียงกับยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐเสมอมา และก็รับรู้กันอีกว่า เดลินิวส์นั้นครองที่ 2 ตลอดกาลมาหลายทศวรรษแล้ว ทั้งที่ว่าไปแล้ว เนื้อหาครอบคลุมก็ไม่ด้อยกว่า ระบบจัดจำหน่ายก็ไม่ด้อยกว่า แต่เรตติ้งต่ำกว่า
เหตุผลหลักที่คนในวงการสื่อยอมรับกันก็คือ วิธีการนำเสนอของไทยรัฐเฉียบคมกว่า และมีสีสันมากกว่า
นี่ไม่นับสาระในคอลัมน์ ตอบปัญหาทางเพศ ของ “นายแพทย์นพพร” ที่รู้จักกันดีมายาวนานของแฟนประจำเดลินิวส์ที่เป็นจุดขายสำคัญตลอดมาด้วยนะ…อะ แฮ่ม.!!
พูดก็พูดเถอะ คนอ่าน (ชาย) บางคนสารภาพว่า หากไม่มีคอลัมน์นี้ อาจจะไม่อ่านเดลินิวส์ก็ได้…เหอ…เหอ…
แต่ก็อย่างนั่นแหละ…ความเฉียบคม และความหวือหวา ไม่ได้บอกว่า มันเป็นความจริงมากกว่า เพราะหลายครั้งที่ความหวือหวาและเฉียบคมเกิดจากการปรุงแต่ง หรือที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า cultivating ( ภาษาไทยอาจจะบอกว่า ยกเมฆเกินจริง) ซึ่งก็มีคนตั้งคำถามไม่น้อยในระยะหลัง เพราะคนอ่านหนังสือพิมพ์ปัจจุบันมีคุณภาพสูงขึ้น แถมยังมีทางเลือกมากขึ้น เช่นอ่านข่าวทางเว็บไซต์ผ่านสื่อออนไลน์ที่มีมากมาย เป็นต้น
การเปิดเกมรุกของเดลินิวส์ ด้วยสโลแกน “อ่านความจริง…” จึงเป็นการตีตรงเป้า และเปิดเกมท้าทายคู่แข่งกับผู้อ่านโดยตรงว่าต้องการนำเสนอหรือรับรู้ข่าวสารประเภทไหน…ระหว่างหวือหวาแต่ปรุงแต่งกับความจริงที่อาจจะดูจืดชืด
การนำเอาเรื่องราวของนักข่าวเดลินิวส์ที่นำเสนอข่าวการทำลายป่าสาละวินที่ฮือฮาเมื่อหลายปีก่อน ที่โยงไปถึงการ ”สวมตอ” เป็นไม้จากพม่า ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้นักข่าวของหนังสือพิมพ์นี้ได้รับรางวัลมาแล้ว อาจจะดูล้าสมัยไปบ้าง แต่ก็เป็นรูปธรรม เหมาะสำหรับการอ้างอิงเชิงสัญลักษณ์ในระดับกว้างได้ง่าย เพราะในสาระนี้ มีมุมทั้งเรื่องของ การคอร์รัปชั่น การใช้อิทธิพลมืด การอนุรักษ์ทรัพยากร การเมือง และความกล้าหาญทางจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชน ผสมผสานกันอยู่
เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัวอย่างแท้จริง เพราะในสังคมเปิดนั้น เสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารคือสัญลักษณ์ของเสรีภาพทางภูมิปัญญาทางหนึ่ง
แน่ละ การเปิดมุมเน้นเรื่อง “อ่านความจริง…อ่านเดลินิวส์” เช่นนี้ คงจะไม่ได้ทำให้ยอดขายของหนังสือพิมพ์เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ก็ทำให้เกิด brand identity ในส่วนที่เป็นภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้าชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญ ดูดีและนุ่มนวล ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเชิงลบเหมือนได้ยินคำโฆษณาประเภท “…ผิดจากนี้ ไม่ใช่เรา” ซึ่งดูแล้วน่าอึดอัด
ทำให้ brand value สูงขึ้น อย่างน้อยก็มีการรับรู้ว่า นี่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ที่มีภาพลักษณ์ ”ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก” อีกต่อไป ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่นำเสนอ soft news ต่อไป
เป็นโฆษณาที่มาได้จังหวะ และโดนใจ ประจำเดือนทีเดียว ไม่ว่าใครที่รับข้อมูลจะอ่านเดลินิวส์มากขึ้นหรือไม่ก็ตาม
แต่เพียงแค่เอาชนะใจได้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว สำหรับการสร้างแบรนด์
Credit
ชื่อเรื่อง: ความจริง
ลูกค้า: สี่พระยาการพิมพ์
สิค้า: นสพ.เดลินิวส์
ความยาม: 60 วินาที
บริษัทโฆษณา: บริษัท โลว์ จำกัด
ทีมครีเอทีฟ: อัญชลี ศรีนวลวงศ์, วีระวัฒน์ วีระพัฒนากร, วานซ์ลี เต็ง, ภานุศาสตร์ ธนะจินดาวงษ์
บริษัทผู้ผลิต: กู๊ดบอยส์ โปรดัคชั่นเฮ้าส์
ผู้กำกับ: อรรณพ ชั้นไพบูลย์