เทรนด์สุขภาพ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 30 Jul 2019 07:12:44 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เทรนด์สุขภาพดันเซ็กเมนต์ข้าว “กข43” บูม “ตราฉัตรไลท์” เร่งสร้างแบรนด์เจาะสายเฮลท์ตี้ https://positioningmag.com/1240672 Sat, 27 Jul 2019 05:00:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1240672 ว่ากันว่าคนไทยจำนวนกว่า 10 ล้านคน อยู่ในภาวะร่างพังหรือน้ำหนักเกิน เรียกว่าติดอันดับท็อปในอาเซียน จากการบริโภคเกินพอดี ไม่ออกกำลังกาย ทำให้เทรนด์การดูแลสุขภาพเริ่มขยายวงกว้าง เป็นโอกาสของการพัฒนาสินค้าเฮลท์ตี้มาจับกระแสนี้

ปุณฑริก ตติยไพบูลย์ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายการตลาด บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายข้าวตราฉัตร กล่าวว่า แนวโน้มผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพ ทั้งการออกกำลังกายและรับประทานอาการที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์มาตอบโจทย์ดังกล่าว เพื่อเป็น Healthy Brand หรือ แบรนด์เพื่อคนรักสุขภาพและเป็นตัวเลือกของผู้บริโภค

ไม่เว้นแม้ผลิตภัณฑ์ “ข้าว” ที่ต้องเกาะกระแสสุขภาพเช่นกันสะท้อนได้จากกลุ่มข้าวเพื่อสุขภาพไม่ว่าจะเป็น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ที่ยังเห็นการเติบโต

แต่ต้องยอมรับว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ ยังติดกับรสชาติของข้าวหอมมะลิ ทำให้สัดส่วนการบริโภคข้าวเพื่อสุขภาพตลาดนี้มีส่วนแบ่งราว 10% ปีที่ผ่านมาจึงเห็นโอกาสการทำตลาดข้าวสุขภาพสายพันธุ์ใหม่ ที่รับรองโดยกรมการข้าว คือ ข้าว “กข 43” ที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index : GI) ปานกลางค่อนข้างต่ำ รสชาติใกล้เคียงข้าวหอมมะลิ มาทำตลาดเพิ่มเติม

ครีเอตดีมานด์ข้าวพันธุ์ใหม่

บริษัทจึงส่งเสริมเกษตรกรกว่า 425 ราย เพาะปลูกข้าว กข 43 ในจังหวัดสุพรรณบุรีและพิษณุโลก 10,398 ไร่ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว นำมาบรรจุถุงจัดจำหน่ายแบรนด์ “ข้าวตราฉัตรไลท์” ในกลุ่มข้าวเพื่อสุขภาพ หลังทำตลาดช่วงปลายปีก่อนถึงปัจจุบัน ถือเป็นผู้นำตลาดข้าวพันธุ์ กข 43 ครองส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มนี้ 80% ซึ่งมีอีก 8 – 9 รายทำตลาดนี้เช่นกัน

“การทำข้าวตราฉัตรไลท์ ถือเป็นการ ครีเอท ดีมานด์ ใหม่ให้ตลาดข้าวเพื่อสุขภาพ ในกลุ่มคนที่ไม่ถูกปากกับข้าวกล้องหรือไรซ์เบอร์รี่ และต้องการรสชาติข้าวขาวหอมมะลิ แต่มีค่าน้ำตาลปานกลางถึงต่ำเหมือนข้าวกล้อง ทำให้มีโอกาสเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภควงกว้างมากขึ้น รวมทั้งคนที่เป็นโรคเบาหวานและต้องการลดน้ำหนัก”

อีกทั้งยังเห็นโอกาสทำตลาดในกลุ่มร้านอาหารต่างๆ ที่มีจำนวนมาก ทั้งเชนร้านอาหารและกลุ่มพรีเมียม ที่สามารถชูจุดขายเรื่องเมนูอาหารสุขภาพ

สร้างการรับรู้แบรนด์ข้าวสุขภาพ

ปีนี้ได้ส่งเสริมเกษตรขยายพื้นที่ปลูกข้าว กข 43 เพิ่มขึ้น ทั้งในจังหวัดสุพรรณบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลก รวม 30,000 – 40,000 ไร่ เพื่อขยายการทำตลาดข้าวตราฉัตรไลท์ คาดว่าทั้งปีนี้จะทำยอดขายได้ราว 200 ล้านบาท

ขณะที่กลุ่มข้าวเพื่อสุขภาพปีนี้ ส่วนแบ่งการตลาดจะขยับขึ้นมาเป็น “เท่าตัว” หรือ 20% ของตลาดข้าวถุงทุกประเภท โดยมีพันธุ์ กข 43 เป็นสินค้ากระตุ้นตลาด

สำหรับกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ข้าวตราฉัตรไลท์ จัดบูทในศูนย์การค้า เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองรับประทานข้าวพันธุ์ใหม่ เชื่อว่าหากได้ทดลองทานข้าว กข 43 จะชอบในรสชาติและรับประทานแทนข้าวหอมมะลิเดิมได้

ปุณฑริก ตติยไพบูลย์

นอกจากนี้ข้าวตราฉัตรไลท์ ได้ร่วมเป็นสปอนเซอร์ในรายการ “คนแปลงร่าง Reality” ออกอากาศทางช่องเวิร์คพอยท์ เริ่ม 18 ส.ค. นี้ ผ่านรายการ Woody World และ Facebook คนแปลงร่าง ที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตจริงของคนไซส์ XXL 8 คน กับโปรแกรมเปลี่ยนแปลงร่างกายที่พัง ไปสู่ร่างใหม่ที่ฟิต เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเอง การดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย ในรายการนี้ ข้าวตราฉัตรไลท์ จะมาเข้าร่วมให้คำปรึกษาในด้านการดูแลโภชนาการการรับประทานอาหารให้กับผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งถือเป็นอีกช่องทางการสื่อสารที่จะทำให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์มากขึ้น

ปัจจุบันตลาดข้าวทุกประเภทมีมูลค่า 1.7 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นตลาดข้าวถุง 30% มีสินค้าทำตลาด 30 – 40 แบรนด์ รวมสินค้าเฮ้าแบรนด์ แบ่งเป็นข้าวขาว 40% ข้าวเหนียว 30% ข้าวหอมมะลิ 20% และข้าวสุขภาพ 10% “ตราฉัตร” ถือเป็นผู้นำตลาดข้าวถุงโดยรวม.

]]>
1240672
“เจ็ทส์” เปิด 24 ชั่วโมงกระจายช่วงพีค กวาดลูกค้าทำงานเป็นกะ-ฟรีแลนซ์ https://positioningmag.com/1221100 Thu, 21 Mar 2019 23:27:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1221100 “ฟิตเนส” เป็นอีกธุรกิจเกาะเทรนด์สุขภาพที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีก โดยเฉพาะบริการ “24 ชั่วโมง” ที่ถือเป็นเซอร์วิสรองรับวิถีการทำงานที่เปลี่ยนไปของคนในยุคนี้ มีทั้งฟรีแลนซ์ สตาร์ทอัพ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อาชีพไม่ติดยึดกับชั่วโมงทำงาน office hours ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น

ทิศทางดังกล่าวทำให้ “เจ็ทส์” (Jetts) ฟิตเนส 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็น 1 ใน 8 แบรนด์ธุรกิจฟิตเนสของฟิตเนส แอนด์ ไลฟ์สไตล์ กรุ๊ป (เอฟแอลจี) กลุ่มบริษัทด้านสุขภาพระดับเอเชียแปซิฟิก จากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีคลับกว่า 450 แห่งในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เข้ามาขยายการลงทุนในไทยในปีที่ผ่านมา

เปิด 24 ชม. เก็บเรียบลูกค้าทุกกลุ่ม

ไมค์ แลมบ์

ไมค์ แลมบ์ ประธานเจ้าหน้าบริหาร เจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง ภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า ในธุรกิจฟิตเนสที่เรียกว่าเป็นชั่วโมง “ซูเปอร์พีค” มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากที่สุด คือช่วง 17.00-21.00 น. เพราะเป็นเวลาหลังเลิกงาน ที่มักจะแวะมาออกกำลังกายก่อนกลับบ้านในช่วงเวลานี้ ซึ่งเจ็ทส์มีลูกค้าใช้บริการในช่วงดังกล่าวสัดส่วน 50%

แต่การที่เจ็ทส์ให้บริการ 24 ชั่วโมง ทำให้สามารถกระจายลูกค้าไปใช้บริการในช่วงเวลาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ช่วงพีคไทม์ ได้มากกว่าฟิตเนสทั่วไป อีกทั้งยังมีโอกาสขยายฐานลูกค้าได้เพิ่ม 20% โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำงานเป็นกะ เช่น อาชีพตำรวจ แพทย์ พยาบาล พนักงานโรงแรม

อีกทั้งสอดรับกับวิถีการทำงานของคนรุ่นใหม่ อาชีพฟรีแลนซ์ กลุ่มสตาร์ทอัพ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ กลุ่มที่ไม่ยึดติดกับชั่วโมงการทำงานแบบ office hours ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มนี้มักจะมาใช้บริการในเวลาที่สะดวก ทั้งช่วงเช้า บ่าย หลังเที่ยงคืน

และในยุคที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย พบว่าเป็นกลุ่มนี้มีแนวโน้มมาออกกำลังกายที่ฟิตเนสมากขึ้น โดยจะมาช่วงเช้า 05.00 น. จากนั้นอาจไปออกกำลังกายพบปะเพื่อนที่สวนสาธารณะต่อ ทำให้ เจ็ทส์ สามารถรองรับลูกค้าสูงวัยได้อีกกลุ่มในช่วงเช้า “เราเห็นลูกค้าวัย 60 ปีมาใช้บริการมากขึ้น”

“ในเอเชียรวมทั้งไทยมีสัดส่วนคนออกกำลังกายเพียง 5% ของจำนวนประชากร ขณะที่ยุโรปสัดส่วนอยู่ที่ 15-20% นั่นเท่ากับว่าไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก”

ยึดทำเลรถไฟฟ้า-ลุย ตจว.

เนื่องจาก เจ็ทส์ เป็นฟิตเนสที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง ทำเลการขยายสาขาจึงเน้นความ “สะดวก” โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสและเอ็มอาร์ที ในไตรมาส 2 นี้จะเปิด 3 สาขาใหม่ ในทำเลใจกลางกรุง ติดบีทีเอสสีลม อโศก และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รวมทั้งจะเริ่มขยายสาขาต่างจังหวัดที่พัทยา 2 สาขา และโคราช 1 สาขา สิ้นปีนี้จะมีทั้งหมด 24 สาขา

นับจากปี 2017 ที่เริ่มเปิดสาขา ปัจจุบันมีอัตราขยายธุรกิจเฉลี่ย 1 สาขาต่อเดือน  ถือเป็นธุรกิจฟิสเนตที่มีอัตราการเติบโตรวดเร็วที่สุดในประเทศไทย และเป็นเครือข่ายฟิตเนส 24 ชั่วโมงใหญ่ที่สุดของไทยด้วยครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 60% ในเซ็กเมนต์นี้ ที่มีอีก 2 เชนฟิตเนสจากต่างประเทศและแบรนด์โลคอลทำตลาดอยู่

“เราตั้งเป้าที่จะเปิดคลับใหม่ไม่น้อยกว่า 12 แห่งต่อปี และเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีจำนวนคลับทั้งหมด 100 แห่งในประเทศไทยภายใน 5 ปีข้างหน้า”

ปัจจุบัน เจ็ทส์ มีสมาชิก 15,000 ราย สิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 25,000 ราย การใช้บริการของ เจ็ทส์ เป็นค่าสมาชิกรายเดือน เดือนละ 1,500 บาท ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจที่จะมีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง แตกต่างจากธุรกิจฟิตเนสที่เข้ามาทำตลาดไทยก่อนหน้านี้ ที่เป็นการเก็บค่าสมาชิกล่วงหน้าและให้ฟรีค่าบริการตามจำนวนปีที่จ่ายล่วงหน้า ซึ่งรูปแบบนี้จะทำให้ไม่มีรายได้เข้ามาหมุนเวียนเมื่อลูกค้าใช้เข้าสู่ช่วงที่ใช้บริการฟรีจากการแถม และทำให้ธุรกิจได้รับผลกระทบขาดรายได้

คนไทยนิยมใช้เทรนเนอร์

ไมค์ บอกว่าพฤติกรรมของลูกค้าไทย นิยมใช้ “เทรนเนอร์” มาแนะนำการออกกำลัง จากจำนวนสมาชิกของเจ็ทส์ปัจจุบัน มีสัดส่วนที่ใช้เทรนเนอร์ 20% น่าจะมาจากปัจจัยเทรนเนอร์ที่เป็นกันเองและการสร้างสรรค์โปรแกรมการออกกำลังกายที่น่าสนใจแบบเฉพาะบุคคล

จากสถิติสมาชิกที่มาใช้บริการกับเจ็ทส์ ส่วนใหญ่นิยมมาออกกำลังกายวันจันทร์-พฤหัสบดีมากที่สุด ช่วงวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ จำนวนผู้ใช้บริการจะลดลง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาสังสรรค์ โดยวันจันทร์จะมาใช้บริการมากที่สุด เพราะต้องการมาเผาผลาญไขมัน หลังจากปาร์ตี้ช่วงสุดสัปดาห์ โดยเฉลี่ยจะใช้บริการ 3 ครั้งต่อสัปดาห์.

]]>
1221100
กี่ “แม่เหล็ก” ถึงแข็งแรงพอ แจ้งเกิด “สเตเดียม วัน”  ล้วงลึกกลยุทธ์หน้าใหม่ พลิกทำเลทองรุก “คอมมูนิตี้มอลล์” https://positioningmag.com/1169814 Sun, 13 May 2018 12:28:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1169814 หากพูดถึงทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) เขตปทุมวันสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าของที่กว่า 1,000 ไร่ แน่นอนว่าราวกึ่งหนึ่ง” 

ถูกนำไปใช้พัฒนาสถานศึกษา ส่วนอีกกึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่ใจเชิงพาณิชย์กว่า 374 ไร่ อีกกว่า 180 ไร่ ถูกให้ยืมและปล่อยเช่าใช้ แน่นอนว่าพื้นที่ๆ กล่าวมาถูกยึดไว้โดยผู้เล่นยักษ์ใหญ่ในแวดวงธุรกิจมากมาย 

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเอ็ม บี เค ที่มีทั้งห้างและโรงแรม, มีสยามสแควร์วัน ที่สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ เป็นเจ้าของโปรเจกต์เอง, เซ็นเตอร์พ้อยท์ ออฟ สยามสแควร์ ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” และอีกสารพัดโครงการบิ๊กๆ อยู่บนที่ดินของจุฬาฯ 

นอกจากรายใหญ่รายย่อยก็ขอท้าชิงประมูลพื้นที่หยิบมือจากจุฬาฯ นั่นคือศิษย์เก่าวิศวกรรมจุฬาฯทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้อง 4 ราย ประกอบด้วยสิทธิชัย ศรีสงวนสกุล, ถนอมเกียรติ สัมมาวุฒิชัย,ณัฐภัค รีกิจติศิริกูล และพงศ์วรรธน์ ติยะพรไชยซึ่งเคยจัดกิจกรรมวิ่งให้กับจุฬาฯ พอรู้ว่าทางสำนักฯทรัพย์สินจุฬาเปิดให้ประมูลที่ดิน 10 ไร่ หรือกว่า 1.75 หมื่นตารางเมตร(ตร..) บริเวณถนนพระราม 1 ตัดกับถนนบรรทัดทอง ใกล้กับสนามกีฬาแห่งชาติและสนามฟุตบอลเทพหัสดิน อยุธยา หลังสนามกีฬาแห่งชาติ (ศุภชลาศัย) จึงพากันร่วมประมูลที่ดินจนชนะและได้มาครอบครอง จากผู้ท้าชิงที่ดินแปลงงาม 7 ราย เหตุที่ทรัพย์สินจุฬาฯ เลือกพวกเขา เพราะคอนเซ็ปต์ปั้นศูนย์รวมด้านกีฬาแห่งแรกในไทย (Sport Destination) แห่งแรกในไทยตรงตามเป้าประสงค์เจ้าของที่ดิน

ทั้ง 4 ตั้งร่วมทุนบริษัท เดอะ สปอร์ต โซไซตี้ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท เพื่อร่วมหัวจมท้ายลงทุนใหญ่ 200-300 ล้านบาท เปิดสเตเดียม วันคอมมูนิตี้มอลล์คอนเซ็ปต์ “Sport Destination” เพื่อจับตลาด Niche Market เจาะสาวกชื่นชอบกีฬา การออกกำลังกาย และรักสุขภาพ

ทั้ง 4 ถือเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่ขอท้าชนตลาดรีเทล แต่ในทีมผู้บริหารไม่ใหม่ในวงการธุรกิจ เพราะมีมือเก๋า อยู่อย่างสิทธิชัยเพราะเคยค้าขายกล้องวงจรปิดฟูจิโกะ ให้กับรัฐและเอกชนมากมาย รวมถึงถนอมเกียรติก็ทำธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้า เรียกว่าอิงกับสายวิศวะอยู่แล้ว ซึ่งการลุยโปรเจกต์ค้าปลีกครั้งนี้ ทั้งคู่เปรียบเสมือนกุนซือให้คำปรึกษาอยู่เบื้องหลัง ส่วน 2 หนุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ณัฐภัคและพงศ์วรรธน์ดูแลกลยุทธ์การตลาดและรับหน้าสื่อ

ทว่า ท่ามกลางค้าปลีกประเภทคอมมูนิตี้มอลล์ที่โตน้อยลง ไม่ร้อนแรงเหมือนในอดีต และท่ามกลางวงล้อมค้าปลีกย่านพระราม 1 การแจ้งเกิดสเตเดียม วันไม่ง่าย! และหิน!พอสมควร เพราะครบขวบปี Perception ของผู้บริโภคที่มีคือ เมื่อมาใช้บริการยังติดขานชื่อไปหลังสนามศุภแทนที่จะเรียกสเตเดียม วัน กลายเป็น Awareness ของแบรนด์ยังไม่ปังเท่าไหร่

นอกจากนี้ ตั้งแต่ประกาศรุกโครงการ ร้านค้าเช่ายังไม่เต็มร้อย! หรือเช่าแล้ว 85% จากพื้นที่ทั้งหมด 5,000 ตร.. เป็นอาคารพาณิชย์ 129 คูหา ภายในพื้นที่แบ่งเป็น 5 โซน ดังนี้

• โซน A ร้านจำหน่ายเสื้อผ้าอุปกรณ์กีฬาแบบค้าปลีกค้าส่ง มีแบรนด์แม่เหล็กอย่างวอริกซ์ แบรนด์กีฬาสัญชาติไทย และมี SCG Express รองรับการบริการส่งพัสดุเร่งด่วน 

• โซน B ร้านแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาและอุปกรณ์กีฬา เพราะจุฬาฯ ซอย 6 เป็นแหล่งรวมสินค้าเสื้อผ้ากีฬายกโหลยกล็อต สกรีนเสื้อ กระเป๋า มาสั่งผลิตเหรียญรางวัล ถ้วยรางวัล สำหรับใช้ในการแข่งขันกีฬาต่างๆ อยู่แล้ว สำหรับโซน A และ B 2 เรียกว่ากินพื้นที่ไปมากสุด 40% 

• โซน D ร้านอาหารแนวสตรีทฟู้ดหรือร้านดังริมทาง เช่น ก๋วยเตี๋ยวบรรทัดทองโภชนาร้านเจ๊เกียงบรรทัดทอง (เจ๊เกียงสะพานเหลือง) ร้านตั้งชุ่ยเฮงโภชนา ร้านดังระดับมิชลินสตาร์รวมถึงร้านอาหารเพื่อสุขภาพชื่อดังโอ้กะจู๋ส่งตรงจากเชียงใหม่ ร้านอาหารสไตล์โฮมเมด “Portable” รวมๆพื้นที่ร้านอาหารมีสัดส่วน 20%

 

• โซน D มีโฮสเทล Co-working Space ร้านกาแฟเปิด 24 ชั่วโมง พื้นที่ราว 15% 

• โซน Active Box มีศูนย์บริการออกกำลังกายครบวงจร 20% โซนนี้ทางผู้พัฒนาโครงการพยายามดันเป็นไฮไลต์ของโครงการ และใช้เป็นแม่เหล็กดึงกลุ่มเป้าหมาย นำฟิตเนสดังอย่าง Jetts Fitness เข้ามาเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่อแข่งกับสาขาในห้างค้าปลีกที่มีเวลาเปิดปิด อีกทั้งเป็นการเกาะกระแสฟิตเนสเปิดตลอดราวเซเว่นอีเลฟเว่น และยังมี “911” ของนักแสดงสาวเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์มาเปิด RSM Muay Thai ของค่ายสิงห์ เป็นต้น

ปัจจุบันโครงการมาลูกค้าเข้ามาใช้บริการเบาบาง 1,500-2,000 คนต่อวัน ใช้จ่ายเฉลี่ย 300-500 บาทต่อคน ซึ่งเป้าหมายที่โครงการอยากเห็นไม่ต่ำกว่า 5,000 คนต่อวันสำหรับวันธรรมดา และเพิ่มขึน้ 10-20% ในวันเสาร์อาทิตย์

สำหรับตัวเลขของคนที่เข้ามาใช้บริการในพื้นที่ ยอมรับว่ายังเป็นฐานลูกค้าเดิมที่นิยมมาซื้อสินค้าเสื้อผ้ากีฬายกโหลยกล็อตในจุฬาฯ ซอย 6 เพราะมาที่เดียวได้สินค้าครบ และตรงนี้ขาประจำคุ้นเคยกันดี พอปรับใหม่ก็มีความคึกคักขึ้น อีกส่วนคือร้านอาหารก็มีคนเข้ามาใช้บริการมากขึ้น เพราะร้านดังเหล่านี้หากอยากไปกินจะเจอโจทย์หาที่จอดรถยาก มาที่โครงการลดปัญหาที่จอดรถได้ดี  

    

การเดินกลยุทธ์ดังกล่าวไม่พอ เพราะหากอยากให้ผู้เช่าเต็มก็จะต้องมีคนมาใช้บริการเพื่อดึงสาวกเป้าหมายจริงๆ อายุ 25 ปีขึ้นไปเข้ามา บริษัท พยายามคุยกับผู้เช่าแบรนด์ต่างๆ โดยเฉพาะส่วน Active Box ให้จัดคลาสเด็ด ช่วงเช้ามาจูงใจ และยังเตรียมทำบัตรสมาชิกให้ลูกค้า  

อย่างไรก็ตาม โจทย์ใหญ่สุดของสเตเดียม วันเวลานี้คือ การพยายามฉีกคอนเซ็ปต์ให้ Niche เพื่อสร้างความต่าง แต่ปรากฏ Perception ของคนออกกำลังกาย ยังคงถามหาคอร์ตแบดมินตัน สระว่ายน้ำ กีฬาในร่วมประเภทอื่น สะท้อนให้เห็นว่า Demand ยังไม่ตรงกับสิ่งที่โครงการพยายาม Supply ให้เป็น Sport Destination 

สำหรับพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้บริโภคมีทั้งชอบไปออกที่สถานที่กลางแจ้ง หรือ Outdoor เช่น สวนเบญจสิริ สวนลุมพินี และอุทยาน 100 ปี จุฬาฯ รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯ มีมากถึง 5 แสนคนต่อสัปดาห์ และในร่ม Indoor ตามฟิตเนสที่อยู่ในอาคารสำนักงาน ห้างค้าปลีก ซึ่งตลาดเกี่ยวกับสุขภาพมีมูลค่ามากถึง 2 แสนล้านบาท และเทรนด์รักสุขภาพก็โตต่อเนื่อง 8% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา 

เราใช้งบราว 10 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมการตลาด ซึ่งการจะดรอว์คนเข้ามา มีทั้งการจัดอีเวนต์อย่างต่อเนื่อง ใช้ดารา เซเลบริตี้ Influencer Micro-Influencer ที่ชอบออกกำลังกายมาร่วมทำกิจกรรม เช่น วู้ดดี้ มิลินทจินดา, งาน Nike Running Club เพื่อสร้างกระแสให้ที่นี่บูม และความท้าทายของโครงการ คือทำยังไงให้มีหน้าใหม่ๆ เข้ามาใช้บริการออกกำลังกายที่นี่

สำหรับโครงสร้างรายได้ของสเตเดียม วัน 95% มาจากค่าเช่าพื้นที่ ส่วน 5% มาจากการจัดอีเวนต์ ป้ายโฆษณา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากแผนดังกล่าว บริษัทคาดว่ารายได้สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 60-70 ล้านบาท โดยสัญญาเช่าที่ดินปีแรกมีระยะ 7 ปี คาดว่าโครงการจะคืนทุนภายใน 5 ปีแรก ส่วนระยะถัดไปทรัพย์สินจุฬาฯ จะต่อสัญญาหรือไม่ ต้องติดตาม.

]]>
1169814
เดือดแน่ ! เทสโก้ โลตัส กระโดดชิงตลาด “น้ำอัดลม” น้ำตาลน้อย รับเทรนด์สุขภาพ ประเดิมแจก 140,000 ขวด สงกรานต์นี้ https://positioningmag.com/1165360 Tue, 10 Apr 2018 02:57:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1165360 น้ำอัดลมเดือดแน่ๆ เมื่อเทสโก้ โลตัส เปิดตัว น้ำอัดลมแบรนด์เทสโก้ 4 รสชาติ ที่ลดปริมาณน้ำตาลลง โดยได้รับตราสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ” จากมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ต้องการดื่มน้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยลง

เทสโก้ โลตัส ได้ให้บริษัทเอสเอ็มอีไทย ที่ได้มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยของเทสโก้ โลตัส เป็นผู้ผลิตให้ ส่วนหัวเชื้อน้ำอัดลมนำเข้าจากประเทศออสเตรเลียและอังกฤษ ซึ่งร่วมกันพัฒนาสูตรกับทีมงานของเทสโก้ โลตัส

มีให้เลือก 4 รสชาติ คือ เลมอนไลม์, ส้ม, สตรอเบอร์รี่ และ ผลไม้รวม มี 2 ขนาด คือ 400 มิลลิลิตร ราคา 12 บาท และ 1.25 ลิตร ราคา 19 บาท วางจำหน่ายในสาขาของเทสโก้ โลตัส ทั่วประเทศเท่านั้น

ในช่วงเริ่มต้นทำตลาดนั้น จะแจกให้ทดลอง 140,000 ขวด ในวันที่ 13 เมษายนนี้ ที่เทสโก้ โลตัส สาขาใหญ่ 199 แห่งทั่วประเทศ

ยังได้จัดโปรโมชั่น ขนาด 400 มิลลิลิตร ซื้อ 3 แถม 1 ส่วนขนาด 1.25 ลิตร ซื้อ 2 ขวดในราคา 34 บาท เริ่มวันนี้ถึงวันที่ 18 เมษายนนี้

มร. เดวิด เบียร์ดมอร์ ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์แบรนด์เทสโก้ กล่าวว่า เทสโก้ มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ลูกค้าและผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดี ด้วยการจำหน่ายอาหารสดคุณภาพสูงปลอดภัย ในราคาที่เอื้อมถึงได้ รวมถึงได้มีการปรับสูตรผลิตภัณฑ์แบรนด์เทสโก้ให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น

สำหรับน้ำอัดลมแบรนด์เทสโก้ ได้วางจำหน่ายในร้านค้าของเทสโก้ในสหราชอาณาจักรทั้งหมดมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 โดยมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า 5 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร และได้นำมาวางจำหน่ายในประเทศไทย 4 รสชาติ ได้รับตราสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ ซึ่งน้ำอัดลมเทสโก้เป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องดื่มแรกๆ ในประเทศไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์นี้

“นอกจากจะช่วยให้ลูกค้ามีสุขภาพดีแล้ว เรายังมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีไทยให้เป็นผู้ผลิตสินค้าคุณภาพแบรนด์เทสโก้ให้กับเราอีกด้วย”

ปัจจุบัน เทสโก้ โลตัส มีสาขาทั้งหมดประมาณ 1,950 สาขาทั่วประเทศ โดยมีร้านค้า 5 ฟอร์แมต ได้แก่ พลัส มอลล์, เอ็กซ์ตร้า, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, ตลาด และ เอ็กซ์เพรส โดยให้บริการลูกค้ามากกว่า 15 ล้านคนในแต่ละสัปดาห์ และยังวางขายบนแพลตฟอร์มดิจิทัล คือ เทสโก้ โลตัส ช้อป ออนไลน์ ร้านค้าของเทสโก้ โลตัส บนเว็บไซต์ และร้านค้าของเทสโก้ โลตัส บนเว็บไซต์ weloveshopping.com.

]]>
1165360
“โค้ก” แตกไลน์ขายน้ำมะพร้าว ส่ง ‘ซิโค่’ ลงตลาดรับเทรนด์สุขภาพมาแรง แต่วางขายแค่แม็คโคร https://positioningmag.com/1151704 Mon, 25 Dec 2017 09:52:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1151704 เพื่อรับกับเทรนด์สุขภาพที่มาแรงต่อเนื่อง โดยน้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ โคคา-โคลา ประเทศไทย เปิดตัวเครื่องดื่ม “ซิโค่” (Zico) น้ำมะพร้าวแท้ 100% เป็นครั้งแรกในไทย หลังจากที่ทำตลาดมาแล้ว 10 ประเทศทั่วโลก

โค้กวางจุดขายให้เป็นน้ำดื่มสุขภาพที่ผลิตจากน้ำมะพร้าวแท้ในแหล่งธรรมชาติ ไม่ผสมน้ำมะพร้าวเข้มข้น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เน้นสุขภาพ ซึ่งครอบคลุมทุกกลุ่ม และมาเติมพอร์ตโฟลิโอให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

แต่ช่องทางการขายครั้งนี้ ไม่เน้นกระจายทั่วไป วางขายที่ห้างสรรพสินค้าแม็คโครเท่านั้น ไม่มีขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป แพ็กเกจที่ขายจึงมี 2 ไซส์ คือ 250 มล. (30 บาท) และ 1 ลิตร (95 บาท)

ปัจจัยสำคัญของการขยายเข้าสู่ตลาดน้ำมะพร้าวของโค้ก มาจากมุมมองที่มีต่อเทรนด์น้ำดื่มสุขภาพจากธรรมชาติ และมูลค่าของตลาดน้ำมะพร้าวยังเติบโตได้อีกมาก

  • ความต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในประเทศไทยโดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน
  • มูลค่าตลาดน้ำมะพร้าวทั่วโลกที่มีแนวโน้มจะเติบโต จาก 7 แสนล้านบาท เป็น 1.5 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 50% ภายในปี 2020 ซึ่งโค้กมองว่าตลาดในเมืองไทยจะเติบโตในทิศทางเดียวกันกับตลาดโลก
  • HH penetration (การกระจายเข้าไปอยู่ในครัวเรือน) ของน้ำมะพร้าวในประเทศไทยยังอยู่เพียง 2% (Source: Nielsen & Thailand Beverage Study 2017 & Kantar World Panel H12017) โค้กจึงมองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

น้ำมะพร้าว ซิโค่’ ได้วางขายมาแล้ว 10 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมัน แคนาดา ฮ่องกง และสิงคโปร์

สำหรับตลาดน้ำมะพร้าวพร้อมดื่มในไทย มีมูลค่าในปี 2559 ประมาณ 2,000 ล้านบาท ผู้เล่นในตลาดมีประมาณ 10 กว่าแบรนด์ มีทั้งแบรนด์น้ำผลไม้เดิมอย่างมาลี ยูเอฟซี อีฟ แบรนด์เซ็ปเป้ที่ซื้อกิจการ ออลโคโค่ เพื่อแตกขยายเข้าสู่ตลาดน้ำมะพร้าว รวมทั้งแบรนด์ใหม่ ๆ ไอโคโค่ เมจิกฟาร์ม หรือแบรนด์กระทิชาวเกาะ ก็ออกน้ำมะพร้าวเข้ามาแย่งแชร์ในตลาด โคโค่แม็ก ต่อยอดมาจากธุรกิจผลิตมะพร้วแปรรูป

โดยส่วนใหญ่วางขายในเซเว่น อีเลฟเว่น ในขณะที่โค้กเลือกวางขายแต่ในแม็คโคร อาจจะทำให้เสียเปรียบในเรื่องช่องทางจำหน่าย เพราะจำนวนสาขาของแม็คโครที่น้อยกว่าเซเว่น อีเลฟเว่น อาจจะเป็นเพราะต้องการเจาะกลุ่มครอบครัว แต่ข้อได้เปรียบคือความเป็นแบรนด์ใหญ่ ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่รู้จักดี

ผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอของโค้กในไทย น้ำอัดลมโค้ก น้ำสี, แฟนต้า, สไปรท์, ชเวปส์, รูทเบียร์ เอแอนด์ดับบลิว น้ำส้มมินิทเมด พัลพิ, มินิทเมด สแปลช, น้ำดื่มน้ำทิพย์, อควาเรียส และล่าสุดน้ำมะพราวตราซิโค่.

]]>
1151704
ยกเครื่อง “โค้ก ซีโร่” ปรับสูตรใหม่ ให้โดนทั้งสุขภาพและรสชาติ https://positioningmag.com/1138445 Mon, 04 Sep 2017 08:44:18 +0000 http://positioningmag.com/?p=1138445 เมื่อเทรนด์สุขภาพมาแรง โค้กจึงต้องหันมาให้น้ำหนักกับ “โค้กซีโร่” สูตรไม่มีน้ำตาลมากขึ้น ด้วยการปรับ “รสชาติใหม่” ให้อร่อยเหมือนโค้กดั้งเดิม

พร้อมกับปรับแพ็กเกจใหม่ ใส่โลโก้ “แถบแดง” ตามแบบฉบับของโค้กลงบนแพ็กดำเพื่อให้เอกลักษณ์เดียวกันกับเครื่องดื่มโค้กทุกประเภท

คลาวเดีย นาวาร์โร ผู้อำนวยการการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มั่นใจว่าสูตรใหม่นี้มีรสชาติใกล้เคียงกับรสชาติของโค้กออริจินอลมากที่สุด ยืนยันจากผลการทดสอบจากกลุ่มผู้บริโภคในหลายประเทศ อาทิ ประเทศญี่ปุ่น

เพื่อสร้างการรับรู้และการสื่อสารให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้ปรับดีไซน์ แพ็ก
เกจใหม่
โดยเพิ่ม ‘โลโก้โคคา-โคลาแถบแดง’ ที่มีอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มภายใต้แบรนด์โค้ก ลงบนแพ็กสีดำของ ‘โค้ก ซีโร่สูตรไม่มีน้ำตาล’ และเพิ่ม ‘ซีโร่ ชูการ์ (ZERO SUGAR)’ ที่ด้านบนของแพ็ก ให้ผู้บริโภครับรู้ได้ทันทีว่าผลิตภัณฑ์นี้เป็นเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล

โดยปัจจุบันกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทยจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโคลาทั้งหมดสามรูปแบบ ได้แก่ โค้ก รสชาติออริจินอล และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโคลาที่ไม่มีน้ำตาล ได้แก่ โค้ก ซีโร่ สูตรไม่มีน้ำตาล

เพื่อสร้างความมั่นใจยิ่งขึ้น โค้ก ซีโร่ สูตรไม่มีน้ำตาลได้รับสัญลักษณ์โภชนาการ ‘เครื่องดื่มทางเลือกสุขภาพ’ ที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากมูลนิธิส่งเสริมโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

เพื่อเป็นการเสริมสร้างการรับรู้ให้มากขึ้น เพราะถือเป็นปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาจึงต้องทุ่มโฆษณาที่เน้นกลุ่มคนเมือง เช่น Building Wrap ใจกลางกรุงเทพมหานคร บิลบอร์ด รถไฟฟ้า BTS รวมถึงโฆษณาออนไลน์และโซเชียลมีเดีย

โค้ก ซีโร่ สูตรไม่มีน้ำตาล วางขายในรูปแบบของกระป๋องขนาด 325 มล. ราคา 14 บาท และขวด PET ขนาด 450 มล. ราคา12 บาท ขนาด 500 มล. ราคา15 บาท และขนาดใหญ่สุด 1.25 ล. ราคา 27บาท

ทั้งนี้ จากข้อมูลจากการวิจัยในช่วงเวลา 3 ปี นับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2557 – 31 มกราคม 2560 ของบริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด พบว่า มูลค่าตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในประเทศไทยอยู่ที่ 51,500 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งรวม 51%

]]>
1138445