Yiu Si-wing วุฒิสมาชิกผู้ดูแลภาคท่องเที่ยวฮ่องกง กล่าวว่าขณะนี้ยอดการจองห้องพักโรงแรมต่างๆ ทั่วเกาะฮ่องกงช่วงสัปดาห์ทองวันหยุดวันชาติจีนเดือนต.ค. ซึ่งเป็นวันหยุดยาวที่สุดของจีน มีน้อยกว่า 30% เทียบกับอัตราการจองประมาณ 60% ของช่วงเวลาเดือนกันในปีที่แล้ว

นั่นหมายความว่าอัตราการเข้าพักจริงจะต่ำกว่า 60% หรือลดลงจากปีที่แล้วเกือบ 100%

การประท้วงและเหตุปะทะรุนแรงระหว่างผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลและตำรวจได้พ่นพิษใส่เศรษฐกิจฮ่องกงอย่างสาหัส ในภาคการท่องเที่ยวย่ำแย่สุดนับจากการระบาดใหญ่ของโรคซาร์สในปี 2003 ในเดือนส.ค. อัตรานักท่องเที่ยวที่มาเยือนฮ่องกง ลดฮวบเกือบ 40%

“กิจการโรงแรมในฮ่องกงส่อเค้าย่ำแย่ตลอดปีนี้” Jeff Yau Cheuk-man ผู้อำนวยการการวิจัยแห่งบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (DBS Vickers Securities) และว่ามาตรการต่างๆ ที่กลุ่มโรงแรมเสนอออกมาเพื่อกอบกู้สถานการณ์นั้นดูจะไม่ได้ผลเต็มที่นัก

จากการวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัท STR ระบุว่าอัตราการเข้าพักในโรงแรมทั่วฮ่องกง ลดเหลือเพียง 64% ในเดือนส.ค. ลดจากระดับ 85% ของเดือน มิ.ย. อัตราค่าห้องโดยเฉลี่ยตกลงมาอยู่ที่ 1,075 เหรียญฮ่องกง หรือราว 4,267 บาท จาก 1,226 เหรียญฮ่องกง หรือราว 4,867 บาทระหว่างช่วงเวลาเดียวกัน

(อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญฮ่องกง เท่ากับ 3.97 บาท)

นอกจากการหั่นอัตราค่าห้องพักแล้ว กลุ่มโรงแรมหรูยังเสนอแพ็กเกจพิเศษสำหรับผู้อาศัยในฮ่องกงและโปรโมชั่นรับประทานอาหาร

อาทิ แพ็กเกจพิเศษของโรงแรมระดับห้าดาวที่เป็นสัญลักษณ์ฮ่องกงคือ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนทัล (Mandarin Oriental) ที่ตั้งอยู่ในย่านเซ็นทรัล เสนอแพ็กเกจ 2,800 เหรียญฮ่องกง หรือราว 11,116 บาท สำหรับการพักค้างคืนในห้องที่มองเห็นวิวจัตุรัสรูปปั้น (Statue Square) และของแถมของกำนัลพิเศษอื่นๆ

ด้านอินเตอร์คอนติแนลทัล (InterContinental) ในย่านช้อปปิ้งดัง จิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) เสนอแพ็กเกจพิเศษสำหรับลูกค้าจีนจากแผ่นดินใหญ่และลูกค้าชาวฮ่องกง ห้องพักในราคาพิเศษสุด 1,580 เหรียญฮ่องกง/คืน (ราว 6,272 บาท) รวมของกำนัลพิเศษรับประทานอาหารมูลค่า 300 เหรียญฮ่องกง ทั้งจิบชายามบ่าย และบุฟเฟ่ต์มื้อเช้า ซึ่งปกติทางโรงแรมจะชาร์จบริการเหล่านี้อย่างน้อย 1,600 เหรียญฮ่องกง (ราว 6,352 บาท) สำหรับการเข้าพักหนึ่งคืน

ตามปกติกลุ่มโรงแรมระดับห้าดาวจะทำรายได้ราว 40% จากอาหารและเครื่องดื่ม และ 50% จากค่าห้องพัก แต่ในยามนี้พวกเขากำลังแข่งขันกันเสนอแพ็กเกจลดแหลกแจกแถมเพื่อพยุงธุรกิจ มิให้ทรุดลงไปมากกว่านี้.

Source

ธุรกรรมในร้านค้าต่างประเทศผ่านอาลีเพย์เพิ่มขึ้น 2.2 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ภูมิภาคเอเชีย ยังคงครองแชมป์จุดหมายปลายทาง 10 อันดับสูงสุดในด้านปริมาณธุรกรรม (transaction volume)

ฮ่องกง ครองอันดับหนึ่ง ตามด้วยประเทศไทย ซึ่งยังคงรั้งตำแหน่งอันดับ 2 ขณะที่ญี่ปุ่นเลื่อนขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 3 ในปีนี้

สำหรับประเทศในแถบยุโรป ที่แม้จะมีไม่ใข่จุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่กลับมีการเติบโตเร็วที่สุด เนื่องจากในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีการขยายบริการอาลีเพย์ไปสู่ผู้ค้าในภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง

สวิตเซอร์แลนด์มีปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้น 27 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2560

ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนเพิ่มขึ้น 30% เป็น 1,979 หยวน (ประมาณ 9,500 บาท) จาก 1,534 หยวน (ประมาณ 7,300 บาท) เมื่อปีที่แล้ว

ประเทศที่มียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนสูงสุด คือ เดนมาร์ก ซึ่งอยู่ที่ 8,764 หยวน (ประมาณ 42,000 บาท) ตามมาด้วยฝรั่งเศสและอิตาลี ทั้งนี้ ประเทศในภูมิภาค EMEA ครองสัดส่วนมากที่สุดในกลุ่มประเทศที่มียอดใช้จ่ายต่อคนสูงที่สุด 10 อันดับแรก

สำหรับแต่ละทวีป ยุโรปมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย:3,630 หยวน (ประมาณ17,000 บาท), สหรัฐฯ และแคนาดา:1,888 หยวน (ประมาณ9,000 บาท), ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์:1,819 หยวน (ประมาณ 8,700 บาท), เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: 1,527 หยวน (ประมาณ50,000 บาท), เอเชียตะวันออก:1,850 หยวน (ประมาณ 61,000 บาท)

ไอซ์แลนด์และมัลดีฟส์เริ่มเปิดให้บริการชำระเงินผ่านอาลีเพย์สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนก่อนถึงช่วงวันหยุดยาว Golden Week ในปีนี้ ปัจจุบันอาลีเพย์ 40 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก

ผู้หญิงใช้มากกว่าผู้ชายสองเท่า

ผู้ใช้บริการอาลีเพย์ที่เกิดในทศวรรษ 1970, 1980 และ1990 คิดเป็นสัดส่วน 96% ของผู้ใช้บริการอาลีเพย์ในต่างประเทศทั้งหมด

ส่วนจำนวนผู้ใช้ที่เกิดในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งใช้อาลีเพย์ในต่างประเทศในช่วงวันหยุด Golden Week เพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

นักท่องเที่ยวในต่างประเทศใช้คูปองอิเล็กทรอนิกส์ของอาลีเพย์กว่า 3 ล้านใบ เพื่อรับส่วนลดในการซื้อสินค้า การรับประทานอาหาร และบริการรถแท็กซี่

สถิตในไทย

ปริมาณธุรกรรมผ่านอาลีเพย์ในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอันดับ 2 จากทั่วโลก ขณะที่ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อยูสเซอร์ในไทยอยู่ที่ 1,584 หยวน หรือ 7,500 บาท เพิ่มขึ้น 0.95 เท่าจากปีที่แล้ว คิดเป็นอันดับที่ 23 จากทั่วโลก

โดยนักท่องเที่ยวจีนนิยมใช้บริการอาลีเพย์เพื่อซื้อสินค้าจาก ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าปลอดภาษี และร้านขายยา

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ครองอันดับ 3 ในบรรดาสนามบินทั้งหมดทั่วโลก มีปริมาณธุรกรรมผ่านอาลีเพย์ ตามหลังท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงและท่าอากาศยานชางงีของสิงคโปร์

โดยปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้น 1.3 เท่าจากปีที่แล้ว ขณะที่ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 1,091 หยวน หรือ 5,200 บาท เพิ่มขึ้น1.3 เท่าจากปีที่แล้ว

ก่อนช่วงวันหยุดยาว Golden Week แท็กซี่ที่ให้บริการในสนามบินราว 3,000 คันเริ่มเปิดรับชำระเงินผ่านอาลีเพย์ และในช่วง Golden Week มีการชำระค่าโดยสารผ่านอาลีเพย์หลายร้อยครั้ง.

หนังสือพิมพ์ “หวนฉิวสือเป้า” ของจีนเปิดเผยว่า ชาวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงเทศกาลวันชาติปีนี้ ทำสถิติมากกว่า 7 ล้านคน ผลการสำรวจพบว่า ญี่ปุ่นเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีนในปีนี้ ขึ้นมาจากอันดับที่ 2 ในปีที่แล้ว

ส่วนประเทศไทยตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 2 อันดับที่ 3 คือฮ่องกง ส่วนเกาหลีใต้ซึ่งมีปัญหาความสัมพันธ์กับจีนในเรื่องการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ อันดับความนิยมร่วงไปอยู่ที่ 4 ส่วนสิงคโปร์รั้งตำแหน่งที่ 5

นักท่องเที่ยวให้เหตุผลว่า ญี่ปุ่นมีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย อาหารและสินค้ามากมาย มีความปลอดภัย นอกจากนี้การผ่อนคลายวีซ่าก็ช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนมาเยือนแดนอาทิตย์อุทัยได้สะดวกขึ้น

คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนญี่ปุ่นในปีนี้จะมากกว่าปีที่แล้ว โดยเพียงไม่กี่วันแรกของเทศกาลวันชาติ ยอดขายตามร้านต่างๆ ก็ทำสถิติสูงกว่าปีที่แล้วไปเรียบร้อย

หญิงสาวจากนครเซี่ยงไฮ้ที่เลือกซื้อชุดยูกาตะที่ห้างสรรพสินค้าในกรุงโตเกียว บอกว่า เธอเตรียมงบประมาณสำหรับช้อปปิ้งราว 150,000 เยน หรือราว 50,000 บาท

ห้างสรรพสินค้าเซบู ที่ย่านอิเคะบุคุโระ ในกรุงโตเกียว ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายสินค้าปลอดภาษีร้อยละ 30 จากปีที่แล้ว ทางห้างฯ ได้จัดโปรโมชั่น และยังเปิดช่องทางชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่น WeChat Pay ยอดนิยมของจีนด้วย

ดอน กิโฮเต ร้านค้ายอดนิยม ได้จัดสินค้าต่างๆ เป็นแพ็กเกจราคา 10,000 ถึง 50,000 เยน แบบเดียวกับ “ถุงโชคดี” ที่จำหน่ายในวันปีใหม่ของญี่ปุ่น เพื่อดึงดูดลูกค้าชาวจีนโดยเฉพาะ

ไป่ตู้ยัน ไทยเตรียมรับมือ

ไป่ตู้ แอคเซส ได้คาดการณ์ยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนในเทศกาลท่องเที่ยวประจำปี หรือโกลเด้นวีค ที่จะมีวันหยุดต่อเนื่อง 7 วัน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนท่องเที่ยวต่างประเทศกว่า 7 ล้านคน โดยเอเชียยังเป็นประเทศที่ครองใจอยู่ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น  ไทย ฮ่องกง เป็นต้น

พัชรพร สิริทรัพย์วงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ ไป่ตู้ ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมตัวรับมืออย่างดี

แม้ช่วงเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมาประเทศไทยจะประสบกับปัญหาเรื่องบรรยากาศการท่องเที่ยวบางประการ ที่ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะลดลง

แต่เมื่อเริ่มเทศกาลการท่องเที่ยว พบว่ามีชาวจีนราว 35% จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เตรียมออกจากประเทศทั้งหมดในช่วงเวลานี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพื่อพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาว ทั้งนี้ส่วนมากชาวจีนเลือกจะท่องเที่ยวในเอเชีย 

“จากการสำรวจพบว่า เฉลี่ยนักท่องเที่ยวจีนจะใช้เวลาท่องเที่ยวในช่วงเวลานี้ประมาณ 6-8 วัน สูงสุด 16 วัน โดยเน้นท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา สำหรับค่าเฉลี่ยในส่วนของการใช้จ่ายสำหรับที่พัก โรงแรม รีสอร์ต ต่อหัวอยู่ที่ราว 3,000 บาทต่อคน.

Source