เมียนมาร์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 17 Mar 2021 00:10:16 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 โรงงานซัพพลายเออร์ของบริษัทแม่ Uniqlo ในเมียนมาถูกเผา กระทบการผลิต-จัดส่งสินค้า https://positioningmag.com/1323682 Tue, 16 Mar 2021 16:19:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323682 บริษัทฟาสต์ รีเทลลิ่ง (Fast Retailing Co) ของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า โรงงานซัพพลายเออร์ 2 แห่งในพม่าถูกเผา ท่ามกลางเหตุการณ์ความไม่สงบรุนแรงหลังการรัฐประหารของกองทัพเมื่อวันที่ 1 ก.พ.

ตัวแทนของบริษัทฟาสต์ รีเทลลิ่ง ที่เป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้ายูนิโคล่ (Uniqlo) ยืนยันว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เกิดเพลิงไหม้ที่โรงงาน 2 แห่ง ที่ใช้ผลิตเครื่องแต่งกายของบริษัท แต่ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุโรงงานไม่ได้เปิดดำเนินการและไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

บริษัทระบุว่า สถานการณ์ในพม่าจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการผลิต และการจัดส่งผลิตภัณฑ์

บริษัทต่างชาติถูกเรียกร้องให้ระงับการดำเนินงานในพม่าเพื่อกดดันรัฐบาลทหารให้ยุติการยึดครองนองเลือด

บริษัท คิริน โฮลดิ้ง (Kirin Holdings Co) ของญี่ปุ่นได้ประกาศตัดความสัมพันธ์กับบริษัทเบียร์ ที่เชื่อมโยงกับกองทัพหลังถูกกดดันอย่างหนักจากกลุ่มนักเคลื่อนไหว

“เรามีความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อสถานการณ์ปัจจุบันในพม่า และได้เริ่มสนทนากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระหว่างประเทศ รวมถึงหน่วยงานของสหประชาชาติ และองค์การไม่แสวงหาผลกำไร และบริษัทระดับโลกอื่นๆ ในเรื่องนี้” บริษัทฟาสต์ รีเทลลิ่ง ระบุในคำแถลง

Source

]]>
1323682
“สิงห์ เอสเตท” สนใจลุย “มิกซ์ยูส” ที่เมียนมาและเวียดนาม ต่อจิ๊กซอว์ Global Holding Company https://positioningmag.com/1236020 Mon, 24 Jun 2019 11:57:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1236020 ภายใต้ธุรกิจของบุญรอดบริวเวอรี่ไม่ได้มีแค่กลุ่มเครื่องดื่มและอาหารเท่านั้น แต่เมื่อ 5 ปีก่อนได้สนใจในการทำธุรกิจด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จึงได้ก่อตั้ง สิงห์ เอสเตทโดยวางธุรกิจออกเป็น 3 ขาหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีก, ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจที่พักอาศัย

ที่ผ่านมามีการลงทุนนับ “หมื่นล้าน” ล้านบาทมาทุกปีจนมาถึงในปี 2019 “นริศ เชยกลิ่น” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บอกว่าจะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวดอกผลที่ลงทุนลงแรงไป

จนถึงตอนนี้ สิงห์ เอสเตท มียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือ มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปี 2019 และที่เหลือในปี 2020 สำหรับในปีนี้คาดว่าจะเริ่มสามารถรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ

ทั้ง The ESSE Asoke ที่เหลือการโอนอีกราว 10% ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุน และ The ESSE at Singha Complex จะเริ่มโอนให้กับลูกค้าตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป และยังมี Santiburi the Residences ที่ขายไป 6 หลังจากทั้งหมด 26 หลัง

“ถึงแม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีการปรับตัวจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น เศรษฐกิจที่ชะลอตัว และนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อบ้าน แต่ สิงห์ เอสเตท ยังคงเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการตามแผนที่วางไว้ โดยมีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ พร้อมรับความท้าทายของตลาดอสังหา”

ในปีนี้ได้เตรียมงบลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ให้ถึง 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2020 สำหรับไตรมาส 1 ของปี 2019 รายได้รวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท สูงขึ้นมากกว่า 160% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าและ มีกำไรสุทธิ 293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%

แผนในครึ่งปีนี้นอกเหนือจากเตรียมแยกธุรกิจโรงแรมเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)” ในส่วนของกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก มีอาคารสำนักงาน Oasis บนถนนวิภาวดี-รังสิต มีทั้งหมด 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุน 3,695 ล้านบาท

คาดใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปีจะแล้วเสร็จในปีช่วงครึ่งปีหลัง 2021 อาคารแห่งนี้ สิงห์ เอสเตท วางแผนที่จะทำเป็นสำนักงานใหญ่ของตัวเอง แต่ขณะนี้นริศ” เผยว่ามีบริษัทขนาดใหญ่ของไทย ได้สนใจที่จะเช่าทั้งตึกแต่ยังอยู่ในระหว่างการพูดคุย

ด้านธุรกิจที่พักอาศัยจะมีการโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ ซอยรางน้ำ โดยมีมูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท อยู่ในเซ็กเมนต์ Luxury แต่จะใช้แบรนด์ใหม่ซึ่งจะเป็นรองจากแบรนด์ The ESSE ตาดเปิดไตรมาส 3

นอกจากนี้ยังมี The ESSE at Singha Complex ที่เก็บไว้ 2 ชั้น หรือคิดเป็นพื้นที่ 10% ของทั้งหมด ประมาณ 22 ห้อง โดยจะนับมาตกแตกใหม่และเปิดขายในราคา 300,000 บาทต่อตารางเมตร แพงขึ้นจากช่วงเปิดตัว 40,000 บาท วางแผนเปิดขายให้กับบริษัทที่มาเช่าใน Singha Complex ที่ต้องการที่พักไว้เป็นสวัสดิการ

ขณะเดียวกันสิงห์ เอสเตทจากเป้าหมายที่วางไว้จะเป็นโกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี (Global Holding Company) ผ่านกลยุทธ์การขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และการสร้างแบรนด์ในระดับพรีเมียม ล่าสุดมีความสนใจที่จะไปลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ โดยช่วงแรกมองเมียนมาและเวียดนามไว้

สำหรับในเมียนมาได้เข้าไปดูบ้างแล้ว เนื่องจากนักธุรกิจรายใหญ่ที่ทำเกี่ยวกับเหมืองหยกและทับทิม ได้แสดงความสนใจที่จะร่วมทุนกับสิงห์ เอสเตท เบื้องต้น นริศ” ระบุว่า กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษา แต่ถ้าไปทำจริงคงจะอยู่ในรูปแบบ มิกซ์ยูสในระดับพรีเมียม เพราะนักธุรกิจที่ชวนมีที่ดินในกรุงย่างกุ้งอยู่แล้ว แต่หากทำจริงคงต้องซื้อเพิ่มซึ่งที่ดินก็ไม่ถูกเกือบล้านบาทต่อตารางวา

ความน่าสนใจของเมียนมาอยู่ที่ยังมีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ ประชากรส่วนใหญ่อายุเฉลี่ย 27 ปี นั้นหมายความว่ากลุ่มหลักเป็นวัยทำงาน ขณะเดียวกันอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมยังมีไม่มาก จึงมีโอกาสให้เข้าไปลงทุน

]]>
1236020
ชาวเมียนมาชอบมารักษาในเมืองไทย “ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป” จะรอช้าอยู่ไย บุกไปเปิดโรงพยาบาลถึงที่ https://positioningmag.com/1231587 Mon, 27 May 2019 03:48:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1231587 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของเมืองไทย ไม่ได้แค่คนไทยที่เข้าไปรักษาเท่านั้น แต่ชาวต่างชาติถือเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่สร้างรายได้เป็นอย่างมหาศาล TDRI ประเมินปี 2018 มีชาวต่างชาติเดินทางมารักษาในเมืองไทยกว่า 1.8 ล้านคน

ในขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า นอกจากกลุ่มตะวันออกกลางที่นิยมเข้ามารักษาในเมืองไทย จึงยังครองส่วนแบ่งสูงสุดที่ 12.5% ในละแวกบ้านเราเมียนมาถือเป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน 8.7% สูงกว่าสหรัฐอเมริกา 6.2% สหราชอาณาจักร 5% และญี่ปุ่น 4.9%

ข้อมูลทั้งหมดที่ว่ามาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมียนมาทำให้ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ปซึ่งมีโรงพยาบาลอยู่แล้ว 6 แห่ง มีเตียงทั้งหมด 1,600 เตียง สนใจเมียนมาเป็นอย่างยิ่ง เพราะถึงจะเทียบกันแล้วรายได้หลักจะยังมาจากการรักษาคนไทย ส่วนรายได้จากชาวต่างชาติจะยังไม่มากนัก แต่ชาวเมียนมาคือกลุ่มที่เข้ามารักษามากที่สุด

ด้วยเหตุนี้ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ปหรือ THG จึงไม่รอช้าบุกไปเปิดโรงพยาบาลถึงที่ โดยร่วมทุนกับ Ga Mone Pwint Company Limited (GMP) ผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในเมียนมา ถือหุ้น 50%

THG ถือหุ้น 40% และที่เหลือ 10% ถือหุ้นโดยบริษัท Aryu Ananta Medical Services Company Limited ซึ่งเป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 90 คนในเมียนมา

ใช้งบลงทุนราว 75 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 2,000 ล้านบาท) สร้างภายใต้โรงพยาบาลชื่อ “Ar Yu International Hospital” ตั้งอยู่ในเมืองย่างกุ้ง มีขนาด 200 เตียง มีห้องผ่าตัด 8 ห้อง ห้องพัก 142 ห้อง มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประมาณ 120 คน

นพ. ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) อธิบายว่า ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในเมียนมา นอกเหนือจากที่ชอบบินไปรักษาที่เมืองไทย โดยเฉพาะการตรวจร่างกาย ปัจจุบันมีข้อมูลระบุว่าไปวันละประมาณ 600 คน โรงพยาบาลเอกชนที่นี่ยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับประชากร

โดยมีโรงพยาบาลขนาด 100 เตียงขึ้นไปราว 7 – 8 แห่งเท่านั้น ในขณะที่ประชากรในกรุงย่างกุ้งมีกว่า 6 ล้านคน เข้าข่ายเป็นฐานลูกค้าของโรงพยาบาล Ar Yu กว่า 30% ซึ่งกลุ่มนี้มีได้ได้ราว 45,000 – 60,000 บาทต่อเดือน

สิ่งที่จะทำให้แตกต่างจากรายอื่นๆ นอกเหนือจากทำห้องน้ำสะอาดซึ่งก็เพียงพอจะชนะที่อื่นแล้ว การบริการที่ใส่ใจเหมือนกับการไปรักษาที่เมืองไทย ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สร้างความแตกต่าง จึงนำทีมงานเข้ามาประมาณ 10 คน เพื่อเข้ามาสอนพนักงานชาวเมียนมาซึ่งจะไม่ได้เป็นหัวหน้างาน เพราะอาจจะมีอุปสรรคด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แตกต่างกัน

หลังจากเปิดอย่างเป็นทางการมาได้ประมาณ 3 เดือน พบมีผู้ป่วยนอก (OPD) เข้ามารักษาเฉลี่ยวันละ 200 คน หลักๆ มาด้วยโรคพื้นฐานโดยเฉพาะท้องเสีย และมีผู้ป่วยใน 25 – 26 คน เช่น โรคมะเร็ง

เมื่อเทียบกันแล้วค่ารักษาของที่นี่ถูกกว่าเมืองไทย 1 ใน 3 โดยผู้ป่วยนอกมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,200 – 1,500 ต่อครั้ง ส่วนนอนโดยไม่ผ่าตัดคืนละ 6,000 – 7,000 บาท เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลของเราที่กรุงเทพฯ ตกคืนละ 12,000 – 13,000 บาท ที่สำคัญโรคกว่า 95% ไม่จำเป็นต้องบินไปรักษาที่ไทย จึงสามารถดึงเข้ามารักษาที่นี่ได้

นพ. ธนาธิป ระบุว่า ความท้าทายหลักในตอนนี้คือการการปั้นบุคลากรให้เทียบเท่ากับเมืองไทย ซึ่งคาดว่าจะภายใน 10 ปีจะได้แน่ๆ ส่วนการเพิ่มงบลงทุนในโรงพยาบาลในตอนนี้ยังไม่จำเป็น เพราะยังสามารถรองรับผู้ป่วยได้อีก 2 ปี หรือ 700 คนต่อวัน

และยังมีการสร้างห้องรังสีไว้รองรับเรียบร้อยแล้ว หากมีความต้องการสามารถติดตั้งเครื่องรักษาได้ทันที ส่วนที่เหลือก็แค่สร้างการรับรู้ให้กับชาวเมียนมาที่ไม่ได้อยู่ในกรุงย่างกุ้ง ซึ่งตอนนี้มีผู้ป่วยจากทางเหนือเข้ามารักษาบ้างแล้ว

ด้านการขยายแห่งถัดไปยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ ด้วยเมียนมามีความท้าทายเรื่องกฎหมายที่เปลี่ยนปีต่อปี จึงศึกษาให้ดีก่อน อีกทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ดีนัก ไฟดับบ่อย ที่โรงพยาบาล Ar Yu จึงต้องมีระบบสำรองไฟ 100% ไม่เหมือนไทยที่สำรอง 30% ก็เพียงพอ

ตามการประเมินที่วางไว้ก่อนหน้านี้คาดว่าจะสามารถมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสี่ยมได้ภายใน 2 ปี แต่จากการตอบรับแล้วคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้ด้วยซ้ำ

ปัจจุบันรายได้ส่วนใหญ่กว่า 65% ยังมาจากค่าแล็บและค่าเอกซเรย์ เชื่อว่าต่อไปจะสามารถเพิ่มรายได้จากค่ายาได้อีก หากสามารถทำให้คนไข้คุ้นชินกับการรับการรักษาจากที่โรงพยาบาล ด้วยที่ผ่านมาจะนิยมให้หมอเขียนใบสั่งไปซื้อยาเองมากกว่า

นอกเหนือจากโรงพยาบาลในเมียนมา “ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ปยังมีโรงบาลนอกประเทศอีกแห่งที่จีน สำหรับปี 2018 ภาพรวมทำรายได้ 7,094 ล้านบาท กำไร 348 ล้านบาท

]]>
1231587