เลือดข้นคนจาง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 16 Oct 2020 04:06:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดเส้นทาง 11 ปี “นาดาวบางกอก” จากกำไร 26,000 บาท สู่โปรดักชั่นมือทองของ GDH https://positioningmag.com/1301319 Thu, 15 Oct 2020 17:15:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1301319 เเม้ชื่อของ “ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์” จะเป็นผู้กำกับชื่อดังที่เริ่มต้นได้สวยงาม จากหนังดังในตำนานอย่าง “แฟนฉัน” มาตั้งเเต่ปี 2546 เเต่เส้นทางการพลิกบทบาทสู่ผู้บริหาร ปลุกปั้น “นาดาวบางกอก” มากว่า 11 ปีนั้น ไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นัก

จากผู้กำกับร่วมในเเฟนฉัน ลงสนามเป็นผู้กำกับเดี่ยวในภาพยนตร์เด็กหอ ตามมาด้วย 5 แพร่ง, ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น และวัยรุ่นพันล้าน โกยความสำเร็จไปด้วยดี เเต่จากนั้นเขาตัดสินใจออกจาก Safe Zone ด้วยการมานั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการของ “นาดาวบางกอก” ซึ่ง ณ เวลานั้นยังเป็นเพียงแค่บริษัทดูแลศิลปินในสังกัดของ GTH

ย้อนความหลัง : วันที่ “นาดาว” เกือบต้อง “ปิดบริษัท” 

ช่วง 3-4 ปีเเรกของนาดาว ลุ่มๆ ดอนๆ มาก ตอนนั้นจับทางไม่ได้ว่าการพัฒนาศิลปินเเล้วมาทำรายได้อย่างไร จนกระทั่งถึงตอนถ่ายทำซีรีส์ฮอร์โมนส์ฯ ซึ่งตอนนั้นเกือบจะปิดกิจการบริษัทไปเเล้ว เพราะปีนั้นทำกำไรเเค่ 26,000 บาท

ย้งเล่าย้อนไปในช่วง 11 ปีที่ผ่านมาของนาดาว ว่า ซีรีส์ “ฮอร์โมนส์วัยว้าวุ่น” ซีซัน 1 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัท ช่วย “กู้วิกฤต” ให้เขาไม่ต้องทำธุรกิจ “เจ๊ง” 

ช่วงเริ่มเเรก นาดาวบางกอก มีทีมงานเพียงแค่ 7-8 คนเท่านั้น โดยระหว่างการถ่ายทำซีรีส์ฮอร์โมนส์ ซีซัน 1 นั้นถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องใช้ “คนทั้งออฟฟิศ” มาทำงานเดียว จนทำให้ไม่มีเวลาไปรับงานอื่น ไม่มีรายได้เข้ามา จึงทำให้ผลประกอบการของนาดาวในปีนั้นมีกำไรเพียงแค่ 26,000 บาท (เป็นตัวเลขที่พนักงานรุ่นเก่าจำได้ขึ้นใจ)

ตอนนั้นรู้สึกท้อ คิดว่ามันคงเป็นสิ่งที่เราทำไม่เป็นจริงๆ เเหละ…ทำใจเเล้ว ตอนฮอร์โมนส์ฯ ออกฉาย เราหา
สปอนเซอร์ได้เเค่เจ้าเดียว พอฉาย 2 ตอนเเรก กระเเสเริ่มมีบ้างประปราย ก็คิดว่าเราก็จะ “จบสวยเหมือนกันนะ (หัวเราะ) พอฉายไปจนจบซีซัน กระเเสตอบรับดีเกินคาด ผู้ชมเเละสปอนเซอร์ถามหาเยอะ ตอนนั้นเเหละผมถึงมีความคิดว่าต้องไปต่อ ซึ่งซีซัน 2 ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้บริษัทมีทุกวันนี้

จากซีรีส์ฮอร์โมนส์วัยว้าวุ่น นาดาวบางกอก ขยับฝ่ายโปรดักชั่นไปต่อยอดทำออริจินัลคอนเทนต์ ให้กับ LINE TV เเละทำซีรีส์ที่เจาะตลาดคนทุกวัยอย่าง “เลือดข้นคนจาง” ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน

ซีรีส์ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซัน 1

รายได้ของ “นาดาว” มาจากอะไรบ้าง 

ปัจจุบันงานหลักๆ ของนาดาวบางกอก มีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ ฝ่ายดูแลพัฒนาศิลปินนักแสดง ฝ่ายโปรดักชั่นผลิตซีรีส์คอนเทนต์ และค่ายเพลง Nadao Music

ด้วยความที่ธุรกิจของนาดาวขึ้นอยู่กับคนอื่นเยอะทั้งลูกค้าเเละสปอนเซอร์ พรีเซ็นเตอร์เเละอีเวนต์ต่างๆ จึงทำให้คาดการณ์รายได้ยากว่าในเเต่ละปีบริษัทจะโตเท่าไหร่ โดยรายได้ในปี 2019 อยู่ที่ราว 270 ล้านบาท

เเบ่งรายได้ของนาดาวง่ายๆ เป็น 2 ส่วน ได้เเก่ ดูแลศิลปินและนักแสดง ราว 60% ส่วนอีก 40% มาจากการทำซีรีส์และคอนเทนต์ต่าง ๆ

ที่น่าสนใจคือกำไรที่ได้นั้นกลับสวนทางกัน โดยฝ่ายโปรดักชั่น เเม้จะมีรายได้ในสัดส่วนที่น้อยกว่า เเต่ทำกำไรเมื่อหักค่าใช้จ่ายเเล้วได้ประมาณ 20-30% ขณะที่ส่วนดูเเลศิลปิน รายได้ส่วนใหญ่ที่ได้จากค่าตัว มักจะถูกแบ่งให้กับศิลปินในสัดส่วนที่มากกว่า เเละเมื่อหักลบอะไรต่าง ๆ แล้ว จึงเหลือเป็นกำไรกลับมายังบริษัทเพียงแค่ประมาณ 8-15% ต่องานเท่านั้น

ช่วงที่จัดอีเวนต์ไม่ได้ หายไปเลยกว่า 2 เดือนที่ล็อกดาวน์นั้น กระทบงานส่วนดูเเลศิลปินโดยตรง เพราะรายได้ศิลปินทั้งหมดมาจากงานอีเวนต์ราว 20% พรีเซ็นเตอร์ 70% เเละออนไลน์ 10%”

ยัง เล่าลึกลงไปถึงการลงทุนในโปรดักชั่นว่า ซีรีส์ส่วนใหญ่ของนาดาว มีต้นทุนต่อตอนราว 2.5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่สูงกว่าละครในช่วง Prime-Time ของทีวีช่องใหญ่ทั่วไป ที่มักจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4-1.5 ล้านบาท

การจะให้ลดต้นทุนโปรดักชั่นเพื่อเพิ่มกำไร ไม่ใช่ทางของนาดาว มันเป็นเรื่องของการรักษาคุณภาพ รายละเอียดของงาน เพราะคนทำงานก็มาจากคนทำหนัง พอลงมาทำสเกลเล็กกว่าอย่างซีรีส์ ค่าตัวของทีมงานก็ยังเหมือนเดิม มีซีนเยอะขึ้นก็มีค่าตัดต่อเพิ่มอีก เหล่านี้ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในเเต่ละปี จึงได้ชมซีรีส์จากนาดาวเพียง 1-2 เรื่อง

โดยตอนนี้รายได้ของนาดาวบางกอก มาจากในประเทศ 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นรายได้ที่มาจากต่างประเทศ (ส่วนใหญ่มาจากจีนที่ซื้อซีรีส์ไปฉาย)

ความท้าทายของธุรกิจ “ดูเเลศิลปิน” 

ตอนนี้นาดาวบางกอก มีศิลปินอยู่ในสังกัด 36 คน การทำงานกับ “คนรุ่นใหม่” ที่มีความคิดความอ่านเเตกต่างกันตามเจเนอเรชันนั้น “ไม่ใช่งานง่ายๆ”

ทรงยศ บอกว่า นโยบายของนาดาวยังคงเหมือนเดิม คือ การพัฒนาคนขึ้นมาให้เป็นนักเเสดงเเละศิลปินที่ดีพอให้คนข้างนอกมาจ้าง อยากทำงานกับพวกเขา ไม่ใช่วนเล่นหนังให้กับ GDH หรือนาดาว

ถ้าเห็นน้องคนไหนไปทำงานข้างนอกเยอะๆ ไม่ได้ทำนาดาวเลย นั่นคือนักเเสดงที่เราภูมิใจนะ เราพยายามส่งเสริมให้เขามีประสบการณ์ มีความสามารถเพียงพอที่จะเอาตัวรอด ทำงานกับผู้จัดข้างนอกได้ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาก็ถือว่าภูมิใจในสิ่งที่เราทำมา เเละน้องๆ ก็ได้ออกไปทำในสิ่งที่อยากทำด้วย

“เเท๊ด-รดีนภิส โกสิยะจินา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เเผนการตลาดเเละสื่อสารองค์กรของนาดาวบางกอก เสริมว่า สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการที่ศิลปินอยู่กับเราตั้งเเต่เด็กจนโต ทำให้เห็นความเปลี่ยนเเปลง พอเป็นวัยรุ่นก็ต้องใช้เหตุผลคุยกัน มุมหนึ่งก็คุยกันง่ายขึ้น เเต่อีกมุมเขาก็เริ่มมีทัศนคติ มีเเนวคิดของตนเอง

อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้ศิลปินยังอยู่กับนาดาว” ?

ย้งตอบว่าผมไม่เคยถามน้องๆ นะ เเต่เดาว่า คงเป็นการที่เราอยู่เเบบพี่น้อง การทำสัญญากับนาดาวไม่มีการผูกมัด ถ้าศิลปินรู้สึกว่าวันหนึ่งไม่อยากทำเเล้ว อยากยกเลิกสัญญา ก็ทำ เมื่อไหร่ก็ได้ เเต่ต้องมาคุยกันก่อน มีเหตุผลที่เข้าใจได้เเละไม่มีอะไรค้างคา ทำงานเเบบรับผิดชอบต่อกัน เรื่องการบริหารคนก็มีปัญหาหยุมหยิมไปหมด เเต่ต้องคุยกันให้เข้าใจ ให้รู้สึกสบายใจ

ย้ง ทรงยศเเละเเท๊ด-รดีนภิส โกสิยะจินา สองผู้บริหารของนาดาวบางกอก

ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา เฟ้นหาเด็กมา “ปั้นเป็นดารา” อย่างไร มองจากอะไร ?

ผมว่ามันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ เวลาเเคสติ้งนักเเสดงมาเล่นหนังก็เจาะจงไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องรสนิยมส่วนตัว เเต่เด็กที่ทำให้เราสนใจได้ ต้องมีคาเเร็กเตอร์บุคลิกเฉพาะตัวของเขา เช่น เดินมาเเล้วพูดอะไรบางอย่าง เเล้วเราจำเด็กคนนี้ได้ ไม่ใช่เเค่เรื่องหน้าตาเท่านั้น เเต่ชวนมอง มองได้ไม่เบื่อ

นาดาวบางกอก มีการเสริมทักษะให้ศิลปินต่างๆ เริ่มจากการให้เรียนการเเสดงก่อนจากนั้นค่อยๆ ให้เข้าสู่โปรเจกต์ที่ไม่ยากเกินตัว เวลาส่งศิลปินไปเเคสติ้งงาน ก็อยากรู้ฟีดเเบ็กจากลูกค้าว่าทำไมเลือกศิลปินเรา เเละทำไมไม่เลือก เพื่อนำมาปรับปรุงเเละพัฒนาต่อไป

ความเป็นเด็กนาดาว ทำให้มีภาษีกว่าที่อื่นไหม ?

ถ้าเป็นช่วงหลังๆ ก็อาจจะมีบ้าง มีข้อได้เปรียบว่ารุ่นพี่สร้างภาพจำที่ดีว่าสังกัดนี้ตั้งใจ รับผิดชอบเเละมีทักษะการ
เเสดงที่โอเคระดับหนึ่ง เเต่สุดท้ายเเล้วก็ขึ้นอยู่กับเเต่ละบุคคลว่าตัวเขาเองทำได้ดีเเค่ไหน

Nadao Music กับความฝัน T-POP ระดับเอเชีย

ย้งเล่าว่า การทำค่ายเพลงของนาดาว เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจทำเป็นธุรกิจ เเต่เกิดจากการที่มีกลุ่มศิลปินที่มีความสามารถด้านการร้องเพลง โดยสมัยก่อนจะให้ไปเซ็นสัญญากับที่อื่น เเต่พอมาคิดดูเเล้ว คงถึงเวลาเเล้วที่นาดาวจะต้องจะทำเองเพื่อซัพพอร์ตความสามารถของศิลปิน

เมื่อพอคิดจะมียูนิตนี้ อย่างไรก็ต้องทำให้เป็นธุรกิจให้ได้ ด้วยความบังเอิญที่ตอนนั้นซีรีส์รักสุดใจนายฉุกเฉิน เเล้วทำเพลงประกอบ “รักติดไซเรนเกิดกระเเสฮอตฮิตขึ้นมา จึงเป็นการปูทางให้บริษัทได้เรียนรู้การทำตลาดจากเพลงจริงจัง โดยตอนนี้มีเบลสุพล นักร้องชื่อดัง มานั่งแท่นเป็นหัวเรือใหญ่

ล่าสุดมีศิลปินในสังกัด 6 คน คือ เจเลอร์ กฤษณภูมิ , ไอซ์ พาริส , กัปตัน ชลธร , บิวกิ้น พุฒิพงศ์ , แพรวา ณิชาภัทร เเละนาน่า ศวรรยา โดยมีเเผนจะเพิ่มศิลปินในอนาคต เเต่ขอโฟกัสที่มีอยู่ตอนนี้ให้ดีก่อน

ถ้าถามว่านาดาว บางกอกมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ต้องขอบคุณซีรีส์ฮอร์โมนส์ฯ ถ้าถามว่าเกิด Nadao Music ได้ยังไง ก็ต้องขอบคุณเพลงรักติดไซเรน

ความคืบหน้าของ Nadao Music นั้น ย้งบอกว่า เพิ่งเปิดตัวเป็นปีเเรก…ต้องสู้กันอีกยาวยังยากลำบากเเละผลประกอบการก็ยังน่าเป็นห่วง เเต่ไปต่อเเน่นอน

ผู้บริหารนาดาว มองว่า เเม้ธุรกิจค่ายเพลงจะอยู่ในช่วงขาลง เเต่วงการนี้ยังมี “ลู่ทาง” ที่จะไปต่อได้ เช่น การขยายฐานตลาดเเฟนเพลงออกไปยังต่างประเทศแทน เริ่มจากประเทศในอาเซียน ที่ตอนนี้นาดาวมีฐานแฟนอยู่ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และจีน อยู่แล้ว ถ้าเราอยากทำเพลงดี ลงทุนสูง ตลาดในบ้านเรา อาจจะไม่พอ

โดยตั้งเป้าจะเจาะตลาดเอเชียเป็นหลัก ซึ่งประเทศที่ฝันอยากจะไปให้ถึงก็คือเกาหลีใต้และญี่ปุ่น  เพราะทั้งสองประเทศมีวัฒนธรรมด้านบันเทิงที่แข็งเเกร่งมาก

ถ้าถามว่าเป้าหมายอยากทำ T-POP ให้โด่งดังในระดับเอเชียไหม คำตอบคืออยากมาก เเต่จะสำเร็จไหมก็ต้องดูกันยาวๆ”

ซีรีส์วาย ต้อง “หลากหลาย” ถ้าอยากไปต่อ

นาดาวเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์เจ้าเเรกๆ ที่ลงสนามมาทำ “ซีรีส์วาย” จนตอนนี้กลายเป็นกระเเสฮิตติดลมบนไปเเล้ว

“เรากำลังทำความเข้าใจเเละเรียนรู้ตลาดซีรีส์วายอยู่ตลอด เเต่ไม่ได้มองว่าพอตลาดมันฮิตเเล้วค่อยลงไปทำ เเต่เราทำเพราะทีมงานเราอยากทำ มาเสนอโปรเจกต์ที่เห็นว่าเหมาะสมกับช่วงเวลาเเละพอจะขายได้ เช่น แปลรักฉันด้วยใจเธอ ก็เป็นการต่อยอดการเเสดงของ #พีพีบิวกิ้น จากบทหมอเต่าทิวเขาในละครรักฉุดใจนายฉุกเฉิน”

ผู้บริหารนาดาว มองว่า ตลาดซีรีส์วาย ถือว่าเติบโตเร็วเเละใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เเม้ทุกวันนี้จะเป็นเฉพาะกลุ่ม เเต่เป็นกลุ่มที่กว้างมาก ทำให้เราเห็นว่าโลกทุกวันนี้ สิ่งที่เป็น Niche Market จะกลายเป็นตลาดเเมส ไม่มีอะไรที่เเมสจริงๆ เเล้ว ซีรีส์วายก็จะเป็น Niche ที่เเมสไปอีกเเบบหนึ่ง

ผมว่าซีรีส์วาย ถ้าอยากจะไปต่อ เราต้องทำคอนเทนต์ให้หลากหลายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ เเละมีมาตรฐานชัดเจน

ซีรีส์วายเรื่องใหม่ของนาดาวบางกอก -แปลรักฉันด้วยใจเธอ

ศิลปินคอนเทนต์กับวิกฤต COVID-19

ทรงยศ กล่าวถึงการปรับตัวของนาดาวบางกอก ในสถานการณ์การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ให้ฟังว่า ตอนเเรกก็ตั้งตัวไม่ทัน ต้องเเก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเเทบทุกอย่าง เพราะตอนนั้นถึงเวลาเปิดกล้องถ่ายทำละครแปลรักฉันด้วยใจเธอเเต่จากมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ออกไปถ่ายทำไม่ได้ ต้องมีการประเมินสถานการณ์เเบบวีคต่อวีค

ส่วนมากต้องเจรจากับลูกค้า เพราะการเลื่อนถ่ายทำคือการเลื่อนฉาย เเต่จะเลื่อนไปได้ถึงไหน ตอนนั้นยังไม่รู้ เเต่หลังเราชนฝาได้เพียงสิ้นปี จะข้ามปีไม่ได้ ทั้งปัญหางบประมาณเเละคิวนักเเสดง จากใบเสนอราคาที่เคยเข้าบริษัทเดือนละ 30 ใบ ตอนนั้นเข้าเเค่ 6 ใบ” 

ส่วนธุรกิจดูเเลศิลปินนั้น ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะงานอีเวนต์ต่างๆ ที่บริษัทรับไว้ถูกยกเลิกเพราะสุ่มเสี่ยงเกินไป เหล่าสปอนเซอร์ที่เป็นคอนซูมเมอร์โปรดักส์ได้รับผลกระทบหมด เพราะขายของไม่ได้ จึงมีผลต่อการตัดสินใจในงบที่จะมาเป็นผู้สนับสนุนซีรีส์สักเรื่องมีทั้งเจ้าที่ยกเลิกเเละระงับโปรเจกต์ไปก่อน

ช่วง COVID-19 ดูเหมือนนาดาวจะเงียบๆ ไม่มีงาน เเต่งานหลักของเราคือการเเก้ปัญหาความวุ่นวายหลังบ้าน เช่น ลูกค้าที่ซื้อพรีเซ็นเตอร์ศิลปินเรา ถ่ายโฆษณาไม่ได้ ออกอีเวนต์ไม่ได้ น้องเราจะช่วยอะไรกลับได้บ้าง ทำอะไรทดเเทนได้บ้าง

เเบรนด์ต่างๆ ก็ปรับตัวเร็ว อย่างการเปลี่ยนให้ศิลปินไลฟ์เองจากที่บ้าน โพสต์รูปกักตัวอยู่บ้านในอินสตาเเกรมเเละทวิตเตอร์ รวมไปถึงให้ศิลปินช่วยไลฟ์ในเเพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ กระตุ้นขายของ ซึ่งต่อไปการจัดอีเวนต์หรือโปรโมตสินค้า ก็คงต้องเป็นรูปแบบผสมออฟไลน์ออนไลน์

ศิลปินก็ต้องปรับตัว ทำคอนเทนต์กึ่งๆ โฆษณาจากที่บ้านเอง เเต่งหน้าเองเพราะไม่มีกองถ่ายไปดูเเล พวกเขาต้องถ่ายเอง ลองผิดลองถูก มีการทำคอนเทนต์กักตัวเดอะซีรีส์ ทุกอย่างโปรโมตผ่านออนไลน์ ทำให้ได้เข้าใจการใช้เเพลตฟอร์มโซเชียลมากขึ้น ถือเป็นความท้าทายใหม่ของศิลปินในยุค New Normal”

หลังคลายล็อกดาวน์ ทีมงานสามารถกลับมาทำงานโปรดักชั่นได้เต็มรูปแบบเเล้ว เดินหน้ากองละครต่อเนื่องได้ตั้งเเต่ช่วงเดือนสิงหาคม ตอนนี้ก็ถือว่ากลับเข้าสู่โหมดปกติศิลปินเริ่มมีงานอีเวนต์เเละลูกค้าหลายๆ เจ้าก็พร้อมเตรียมลุยงานปีหน้าเเล้ว

ใจเราก็อยากโตทุกปี ไม่เคยมีเป้าตัวเลขชัดเจน ขอเเค่ไม่ต่ำกว่าเดิม ปีที่เเล้วเราจบที่ 270 ล้านบาท เเต่เมื่อเจอโรคระบาด ปีนี้ก็คงไม่โตเเน่นอน ต้องลุ้นกันว่าจะไปได้ถึงจุดไหนมากกว่า คาดว่าสินปีนาดาวคงทำรายได้ไม่เกินที่ 230 ล้าน

ผู้กำกับสู่ผู้บริหาร : มุมมองที่เปลี่ยนไป

จริงๆ ผมก็อยากกลับไปเป็นผู้กำกับนะ เเต่ก็ได้เรียนรู้จากการเป็นผู้บริหารเยอะมาก เรานิ่งขึ้น ได้ใช้สกิลหลายๆ อย่างไปจัดการงานในเชิงสร้างสรรค์

ไม่ได้ชอบงานบริหาร ไม่ได้อินขนาดนั้น เเต่ถามว่าสนุกไหม ก็สนุกมาก ตลอด 11 ปีที่ผ่านมามีช่วงเครียด มีปัญหารุมเร้า เเต่เพราะได้ทำงานที่เราชอบ กับคนที่เราอยากทำงานด้วย จึงกลายเป็นความท้าทายเวลาต้องลงไปเเก้ปัญหา ด้วยความที่เราเป็นผู้กำกับก็ทำให้เห็นภาพรวม ก็เลยช่วยให้ทำงานบริหารได้

เเม้กลุ่มผู้ชมของนาดาวส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นมัธยมมหาลัยเเต่เวลาทำงานคอนเทนต์จะต้องมองให้ครบทุกเจเนอเรชัน ผลักดันให้ไปถึงทุกกลุ่ม อย่างเช่น ตอนทำละครเลือดข้นคนจางเเรกๆ จะดันศิลปิน 9by9 เเต่เราก็ต้องเล่าเรื่องให้คนเข้าถึงเยอะที่สุดเเต่ก่อนเราทำหนังทำซีรีส์มา เเม่เราไม่เคยได้ดูเลย เราก็เลยอยากทำเลือดข้นฯ ให้เเม่ดูบ้าง

โดยได้มีการทำความเข้าใจกับผู้ชมในทุกช่องทาง เช่นการอ่านคอมเมนต์ใน “ทวิตเตอร์” ซึ่งเขามองว่าเป็นฟีดเเบ็กที่สดเเละจริง เพราะคนดูเเล้วรู้สึกอย่างไรก็ทวีตออกมาเลย

“ผมสนใจคำติมากกว่าคำชมด้วยซ้ำ เพราะเราจะได้รู้ทิศทางว่าควรพัฒนางานเราต่อไปยังไง” 

ในวันที่ “ย้ง-ทรงยศ” ขยับจากผู้กำกับมาเป็นผู้บริหาร เเละนาดาวประสบความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มภารกิจ
“ส่งไม้ต่อ” ให้กับผู้กำกับรุ่นใหม่อย่าง พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผู้กำกับละคร ฉลาดเกมส์โกง เเละ บอสนฤเบศ กูโน ผู้กำกับ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน, Side By Side พี่น้องลูกขนไก่ เเละแปลรักฉันด้วยใจเธอ

“การปั้นคนทำงานยังเป็นความท้าทายของเราอยู่ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมาถึงวันที่นาดาวมีพนักงาน 50 คน จากจุดเริ่มต้น 7-8 คน ตอนนี้มองว่าการที่เราจะไปต่อได้ไกลๆ ยังไงก็ต้องสร้างคนทำงาน จะสร้างเเค่ศิลปินไม่ได้ นาดาวจะพยายามเดินไปในเส้นทางที่ทำงานในปริมาณที่เราทำได้ดี อยู่มือเเละควบคุมภาพได้ต่อไป

 

 

]]>
1301319
เปิดเรตติ้ง “เลือดข้นคนจาง” อวสานไม่ปัง แต่ปลุกกระแสละครศุกร์-เสาร์ ช่องวัน https://positioningmag.com/1197321 Tue, 13 Nov 2018 23:08:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1197321 จบไปแล้วสำหรับ “เลือดข้นคนจาง” ละครกระแสดีในโลกออนไลน์ ด้วยเนื้อหาแนวสืบสวนสอบสวนที่อิงกับพื้นฐานข้อมูลระบบกงสีในครอบครัวจีน นักธุรกิจใหญ่ของไทย พร้อมกับการเฉลยที่มา #ฆ่าประเสริฐทำไม ไว้จนถึงตอนสุดท้าย

แต่ถึงละครกระแสดีแค่ไหนกลับได้เรตติ้งยังไม่สูงมาก ซึ่งเป็นโจทย์ที่ช่องวันต้องตามแก้กันต่อไป

สำหรับเรตติ้งเฉลี่ยของทั้งเรื่อง จำนวน 18 ตอนนั้น มีเรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 1.345 เท่านั้น ใกล้เคียงกับเรตติ้งของรายการเดิมก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงเวลาละคร โดยก่อนหน้านี้ทุกวันศุกร์จะเป็นรายการถ่ายทอดสดมวย

เรตติ้งตอนเปิดตัวอยู่ที่ 0.802 และลงมาอยู่ที่ 0.602 ในตอนที่ 2 ที่มีเรตติ้งต่ำที่สุดของเรื่อง แต่แค่ 2 ตอนแรก ก็สร้างกระแสโด่งดังในโลกออนไลน์ ให้บรรดานักสืบออนไลน์ต้องทำงานหนักทันทีว่า #ใครฆ่าประเสริฐ

หลังจากนั้น แม้จะเริ่มเป็น Talk of the Town ตามหาคนฆ่าประเสริฐ ที่แน่ๆ ว่าจะต้องเป็นคนในครอบครัว “จิระอนันต์” แต่ก็สร้างเรื่องตามต่อมา เมื่อเปิดตัวคนฆ่าแล้วว่า #ฆ่าประเสริฐทำไม เรตติ้งละครเรื่องนี้แกว่งไปมา ขึ้นลง โดยมีเรตติ้งสูงสุดในตอนที่ 12 และมาจบที่เรตติ้ง 1.720 ในตอบจบ (ตอนที่ 18 ) ที่เฉลยที่มาของความลับของครอบครัวนี้ทั้งหมด

เมื่อดูจากข้อมูลเชิงลึก ช่วงอายุของผู้ชมที่รับชมมากที่สุด คือ อายุ 30+ โดยกลุ่ม 50+ มากสุด เท่ากับว่า ตอบโจทย์ของคนดูทีวีได้เช่นกัน เพราะกลุ่มคนที่ดูทีวีส่วนใหญ่เป็นอายุ 40+ แต่เรื่องนี้สามารถนำคนอายุน้อยกว่า 40 เข้ามารับชมได้ด้วย เพียงแต่จำนวนผู้ชมที่เพิ่มขึ้นมาในกลุ่มอายุน้อยกว่า 30 ปีนั้น ไม่นิยมมารับชมทางทีวี แต่ดูทางออนไลน์

ในแง่ของโมเดลการหารายได้จากละคร “เลือดข้นคนจาง” ก็เป็นอีกหนึ่งแบบฉบับของการ Tie-in สินค้าในละครอย่างเข้มข้น ตามแบบฉบับของช่องวัน ทั้งสินค้าที่บรรดานักแสดงเป็นพรีเซ็นเตอร์ และโฆษณาสินค้าที่ผูกกับกลุ่มนักแสดงรุ่นใหม่ทั้ง 9 คน ตั้งแต่เครื่องดื่ม เสื้อแบรนด์ มอเตอร์ไซค์

อย่างไรก็ตาม เมื่อรูปแบบละครทางทีวีต้องพึ่งพารายได้จากโฆษณาที่อิงมาจากเรตติ้ง ละครเรื่องแรกเปิดตลาดช่วงเวลาใหม่ ด้วยชื่อเสียง ศักยภาพของทั้งผู้กำกับ นักแสดง และทีมเขียนบท จึงไม่ยากนักในการหาสปอนเซอร์ล่วงหน้า แต่เมื่อบทสรุปที่เรตติ้งออกมาไม่สูงมากนัก การเปิดละครเรื่องใหม่ที่มาออกอากาศต่อไปนั้น อาจจะต้องเหนื่อยมากหน่อยในการดึงดูดสปอนเซอร์

แต่ช่องวันก็สามารถสร้างฐานผู้ชมกลุ่มใหม่ในการเปิดละครช่วงเวลาใหม่ คือ ศุกร์ และเสาร์ได้สำเร็จ จากปกติช่องวันจะมีละครไทยแค่วันจันทร์-พฤหัสเท่านั้น สเต็ปต่อไปก็ขึ้นอยู่กับผลงานละครแต่ละเรื่อง ว่าจะสานต่อ สร้างความนิยมไปได้มากน้อยแค่ไหน

จะว่าไป เรตติ้งอาจไม่ใช่เป้าหมายทั้งหมดของละครเรื่องนี้ เพราะที่มาของละครเรื่องนี้ มาจากโปรเจกต์ 9by9 ของ 4nologue ที่ต้องการปั้นกลุ่มนักแสดงหนุ่มรุ่นใหม่ทั้ง 9 คนนี้ให้เป็นที่รู้จัก จึงเลือกเปิดด้วยละครเลือดข้นคนจาง กำกับโดย “ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์” เมื่อละครได้รับความนิยม นักแสดงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง จะต่อยอดตามแผนคือการออกอัลบั้มและจัดคอนเสิร์ต

โดย LINE TV ถือเป็นพันธมิตรสำคัญที่นอกจากจะได้ยอดวิวจากละครย้อนหลัง จากละครเลือดข้นคนจางไปจำนวนมากแล้ว ยังเตรียมร่วมโปรโมต LINE TV ผ่านโปรเจกต์ 9by9 อื่นๆ ที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นการออกอีเวนต์ ออนกราวนด์ ทัวร์คอนเสิร์ต ตามเป้าหมายของ LINE TV ที่จะขยายกลุ่มผู้ชมไปต่างจังหวัด

จึงไม่ต้องแปลกใจ เมื่อละครตอนสุดท้ายจะมี LINE TV อยู่ในบท สอนให้อาม่าดูทีวีผ่าน LINE TV เหมือนจะส่งสัญญาณว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้ คนสูงอายุก็สามารถข้ามผ่านมาเป็นผู้ชมทางออนไลน์ได้ไม่ยาก WIN WIN ทั้งผู้ผลิตและสปอนเซอร์กันไป.

]]>
1197321
ถอดรหัส “เลือดข้นคนจาง” กระแสแรง แต่เรตติ้งไม่มา https://positioningmag.com/1192361 Thu, 11 Oct 2018 23:08:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1192361 ถึงแม้ว่าละคร “เลือดข้นคนจาง” ออกอากาศทางช่องวัน จะเป็นกระแสที่ปังมากที่สุดในออนไลน์ โซเชียลมีเดียทั้งหมดในเวลานี้  #ใครฆ่าประเสริฐ ติดอันดับ ท็อป เทรนด์ ทวิตเตอร์ เพราะคนดูตามลุ้นใครคือฆาตรกรตัวจริง

แต่จากการออกอากาศมาแล้ว 6 ตอน เรตติ้งกลับขยับขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่ร้อนแรงยิ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ เมีย 2018 ละครแนวตลาด แซ่บ แรง เจาะกลุ่มผู้ชมละครทีวีจริงๆ คือกลุ่มคนอายุ 40+ เนื้อหา บท ทันสมัยเข้ากับเหตุการณ์ ออกอากาศในช่วงเวลาละครหลัง 2 ทุ่ม วันทำงาน ที่เป็นช่วงเวลาปกติของช่องวันอยู่แล้ว

ส่วน “เลือดข้นคนจาง” เป็นละครแนวสืบสวนสอบสวน ที่ค่อนข้างลงเฉพาะกลุ่ม และเปิดตลาดเวลาละครช่วงใหม่ของช่องวัน ในวันศุกร์ และเสาร์ ที่ปกติเป็นช่วงเวลาถ่ายทอดสดมวย และหนังไทย

ละครแนวตลาด เรื่องราวของเมียหลวง ได้กลุ่มคนดูที่เป็นผู้หญิง วัยทำงาน คนมีครอบครัว ซึ่งเป็นฐานหลักของคนดูทีวีอยู่แล้ว ละครเรื่องนี้นอกจากจะได้กลุ่มคนเมือง ยังช่วยให้ช่องวันขยายไปถึงผู้ชมในต่างจังหวัด จากตัวเลขเรตติ้งเฉลี่ยของทั้งเรื่องอยู่ที่ 3.157 เป็นเรตติ้งในพื้นที่กรุงเทพฯ 3.637 และต่างจังหวัด 3.075

แต่ละครแนวสืบสวนยังเป็นเรื่องใหม่ของช่องวัน เคยเปิดตัวทำละครแนวนี้มาแล้วจาก “กาหลมหรทึก” แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่เมื่อ “เลือดข้นคนจาง” เป็นละครฟอร์มใหญ่ กำกับโดย “ทรงยศ สุขมากอนันต์” จากนาดาว บางกอก ผู้กำกับ ได้นักแสดงเบอร์ใหญ่ 3 รุ่น ทั้งรุ่นอาวุโส รุ่นใหญ่ และนักแสดงวัยรุ่นหน้าใหม่มากมาย จึงมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น

“ย้ง” ทรงยศ ผู้กำกับหนังชื่อดังจากทั้งหนัง แฟนฉัน และซีรีส์ฮอร์โมน ก็เป็นการการันตีกลุ่มผู้ชมได้ในระดับหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ไม่ใช่กลุ่มผู้ชมทีวี แต่ใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ ดูหนังฟังเพลงผ่านแอป และช่องทาง Over the top หรือ OTT ทั้งไลน์ทีวี ยูทูป และเน็ตฟลิกซ์ คนกลุ่มนี้ก็พร้อมติตตามผลงานของทรงยศไปตลอด

เมื่อทรงยศขยับเข้าทำละคร กระแสจึงไปเกิดกระแสในสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ทุกวัน แม้วันไม่มีละครออกอากาศเวลาในการออกอากาศก็ตาม

ช่วงเวลาออกอากาศจึงมีผล ศุกร์และเสาร์ ถือเป็นช่วง Hang out กลุ่มวัยรุ่นคนเมือง จึงทำให้การดูผ่านทีวีน้อยกว่า แต่กลับดูย้อนหลังผ่านออนไลน์ มีการวิเคราะห์ใครฆ่าประเสริฐกันอย่างคึกคัก ทั้งแคปภาพ จับผิดตัวละคร แต่เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่ดูทีวี นิยมดูออนไลน์กันหมด เรตติ้งจึงไม่มา จนต้องให้นักแสดงช่วยโปรโมตให้ผู้ชมหันมาดูสดทางทีวี

แหล่งข่าวผู้คร่ำหวอดในวงการทีวีมากว่า 20 ปี บอกว่า ละครเลือดข้นคนจาง แม้ว่าจะมีตัวเลขเรตติ้งที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกตอน แต่เป็นการเพิ่มน้อยมากเมื่อเทียบกับต้นทุนรายการที่ออกอากาศก่อนหน้า เช่นถ่ายทอดสดมวย ที่มีต้นทุนในหลักแสน แต่ละครมีต้นทุนในหลักล้าน ในแง่ของการผลิตถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับช่องวัน ต้องนำไปคิด พัฒนาต่อยอด เหมือนทีวีทุกช่องก็คือ ทำอย่างไรให้กลุ่มคนดูออนไลน์เข้ามาดูสด และทำอย่างไรที่จะเปิดตลาด ฐานผู้ชมช่องใหม่ๆ ให้เข้ามารับชมมากขึ้น

ต้องรอดูว่า เรื่องราวในละครที่กำลังเข้มข้นต่อเนื่อง เพราะเร็วๆ นี้ก็จะเปิดตัวแล้วว่า “ใครฆ่าประเสริฐ” แต่ความสำคัญของเรื่องไม่ได้อยู่แค่นั้น ที่เข้มข้นกว่านั้น คือ มูลเหตุจูงใจในการฆ่าคืออะไร แล้วทำไมคนในครอบครัวถึงต้องฆ่ากันเอง.

]]>
1192361
“เลือดข้นคนจาง” ช่อง ONE ดังระเบิด กระแทกใจ ครอบครัวกงสี เศรษฐีตระกูลดัง บอกใบ้ “ใครฆ่าประเสริฐ” https://positioningmag.com/1190031 Thu, 27 Sep 2018 23:00:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1190031 เมื่อความรัก โลภ โกรธ หลง ซึมเข้าสู่หลุมดำในจิตใจ ใครที่ขาดสติก็อาจผิดศีลธรรมได้ทันที

“เลือดข้นคนจาง” จึงไม่ใช่แค่ละคร แต่มีกลิ่นอายจาก “เรื่องจริง” ของสังคมครอบครัว ในโลกธุรกิจกงสี

แม้เพิ่งออนแอร์แค่ 4 ตอน แต่ละครเรื่องใหม่ ของ “ช่องวัน” ก็ทำให้กลุ่มจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ยิ้มขึ้นมาได้ หลังเสียศูนย์จนเลือดสาดจากทีวีดิจิทัล

เพราะเนื้อหาละครสนุก ตื่นเต้น กดดัน เข้าถึงอารมณ์คนดูอย่างไม่มีที่ติ โดยมีนักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง “นพพล โกมารชุน – ภัทรวดี ศรีไตรรัตน์” ช่วยเปิดเกม ในบทบาท “อากง-อาม่า”

แล้วขยี้บทด้วย “รุ่นลูก” หรือ “รุ่นที่ 2” ของตระกูลที่ถือว่ามีบทบาทมากที่สุดในการทำธุรกิจของครอบครัว ซึ่งเป็นตัวเดินเรื่องชนิดห้ามกะพริบตา

โดยได้นักแสดง “ตัวพ่อตัวแม่” มาบิวท์ความสมจริง ทั้ง “แหม่ม-คัทลียา, แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์, กบ-ทรงสิทธิ์, อุ๋ม-อาภาศิริ, ปิ่น-เก็จมณี, โสภิตนภา, ต้อม – พลวัฒน์”

ทำให้เรตติ้งดีขึ้นเรื่อยๆ และทอล์กกันมากในโลกโซเชียล เพราะโดนใจกลุ่มคนดูในสังคมเมือง

โดยเฉพาะ “ฉากกงเต๊ก” ช่างกินใจคนไทยเชื้อสายจีน ใครที่ไม่เคยดูละครก็ต้องมาดู ดูแล้วก็บอกว่า “ใช่เลย ชั้นเลย”

นับเป็นความสำเร็จของ “ย้ง -ทรงยศ สุขมากอนันต์” จาก “นาดาว บางกอก” ผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ดังพลุแตกมาแล้วจากซีรีส์ฮอร์โมน

ล่าสุด ตัดสินใจพลิกแนวมาทำละครสืบสวนสอบสวนเป็นครั้งแรก โดยใช้ปรากฏการณ์จากเรื่องจริงในโลกธุรกิจกงสีของหลายๆ ตระกูลดังในเมืองไทยมาวาดเป็นเค้าโครงเรื่อง

แต่ไม่เฉพาะเจาะจงว่ามาจากตระกูลใด ทั้งตระกูล “ธรรมวัฒนะ” เจ้าของตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่, ตระกูล “โตทับเที่ยง” เจ้าของปลากระป๋องปุ้มปุ้ย, ตระกูล “วิญญรัตน์” เจ้าของซอสภูเขาทอง หรือแม้แต่การฟ้องร้องเป็นข่าวล่าสุดของเจ้าของไอศกรีมแบรนด์ไทย “ไผ่ทอง” ฯลฯ

โดยให้คนดูคิดตาม จินตนาการกันเอง วิพากษ์ วิเคราะห์ เป็นการดึงอารมณ์คนดูมาร่วมในเหตุการณ์ได้อย่างสนุกและเนียน

“เลือดข้นคนจาง” จึงดูสมจริง และเกิดขึ้นได้จริง เป็นการตีแผ่ความเป็นมนุษย์ที่ยังไม่หลุดพ้นของตระกูล “จิระอนันต์” นักธุรกิจเจ้าของโรงแรมใหญ่ที่กรุงเทพฯ และพัทยา จากความสำเร็จก่อให้เกิดความบาดหมางแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว

โดยมี “มรดก” กองโตเป็นปมผูกเรื่อง หลังสิ้นอากงรุ่นบุกเบิก จนกลายเป็น “มรดกเลือด” ในที่สุด

ฉากโรงแรมนั้นก็เลือกโรงแรมเอเชีย ราชเทวี เพราะจะได้สมจริง ซึ่งเป็นโรงแรมเก่ากลางใจเมืองที่ตกทอดมาหลายยุคของตระกูล “เตชะหรูวิจิตร” เศรษฐีชาวจีน แห่งอำเภอท่ามะกา กาญจนบุรี

เนื้อเรื่องจุดประกายจากท่านประธาน “ประเสริฐ” (กบ-ทรงสิทธิ์) พี่ชายคนโตของตระกูลถูกฆาตกรรมโดนยิงตายในบ้าน ซึ่งตรึงใจคนดูมาก เพราะคล้ายเหตุการณ์ที่เคยเป็นข่าวใหญ่หลายสิบปีก่อนของตระกูล “ธรรมวัฒนะ”

ต้องชมผู้กำกับที่ทำให้คนดูสนุกไปกับการสวมบทนักสืบ “โคนัน” ตามหา “คนฆ่าประเสริฐ” ทั้งแคปภาพ แชร์ฉาก ชี้คำพูดเบาะแส เรียกว่า “ทอล์กกันสนั่นเมือง” และรอถึงวันศุกร์วันเสาร์ด้วยใจจดจ่อ

การหยิบประเด็นความสัมพันธ์ “ระบบกงสี” ของครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนมาตีแผ่ ยิ่งทำให้ได้ใจคนดูทุกรุ่น

โดยเฉพาะความเป็น “ลูกสาว” จะด้อยกว่า “ลูกชาย” ทั้งการสืบทายาท การใช้นามสกุล การทำเงินและต่อยอด

เพราะรุ่นพ่อแม่เชื่อว่า ลูกสาวแต่งออกไปแล้วก็เป็น “คนนอก” หลานที่เกิดมาจึงถือเป็น “หลานนอก” ไม่ใช่ “หลานใน” ที่เกิดจากลูกชาย

“แหม่ม – คัทลียา” นักแสดงตัวแม่ตีบท “ภัสสร” ลูกสาวคนที่ 3 แตกกระจุย ทั้งหน้าตา แววตา น้ำเสียง บ่งบอกถึงความเก็บกดที่ครอบครัวไม่ยุติธรรมกับเธอ ประมาณว่า ทำดีให้ตายก็ไม่มีใครเห็น แถมยังโดนเป็นเป้าถูกจับตาว่า เป็นคนฆ่า “ประเสริฐ” พี่ชายตัวเอง

ภาพในวัยเด็ก ย้อนขึ้นมาอย่างเจ็บปวด เมื่อป๊า ม๊า เอาใจลูกชายให้กินก้ามปูชิ้นโตๆ ส่วนลูกสาวให้กินส่วนที่เหลือ มาถึงตอนโต เมื่อป๊าตาย “พิธีกรรมกงเต๊ก” ก็แสดงถึงความสำคัญของ “ลูกชาย” คนโตและ “หลานใน” มากที่สุด

ไม่ต่างจากครอบครัวตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งของเมืองไทย ที่มีธุรกิจหลากหลายทั้งในและต่างประเทศ ที่รุ่นบุกเบิกจะสร้างระบบและการจัดการ โดย “จัดสรรปันส่วนหุ้น” และ “ผลตอบแทน” ให้เฉพาะลูกหลานชายเท่านั้น

แม้จะเป็นลูกเมียน้อย หรือเมียเล็กๆ หากเป็นลูกสาว หรือหลานสาว จะไม่มีส่วนได้รับเงินปันผลจากกงสีทั้งสิ้น

เมื่อโลกเปลี่ยนไป ความเสมอภาคของเพศชายหญิงได้รับการยอมรับ วัฒนธรรมดั้งเดิมเริ่มผ่อนคลาย

โอกาสของ “ลูกสาว-หลานสาว” เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะระบบกงสีในโลกใบใหม่ ไม่คร่ำครึเหมือนเดิมอีกต่อไป

เนื่องจาก “เลือดข้นคนจาง” เป็นละครที่คนดูส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และอายุ 40+

ใน 2 ตอนแรกจึงเน้นขยี้จุดความไม่เท่าเทียมระหว่างชายหญิง ทำให้ถูกจริตกลุ่มผู้ชมละคร สร้างกระแสได้ต่อเนื่อง และเป็นการ “เปิดมิติใหม่” ของตลาดละครแนวสืบสวนสอบสวนในประเทศไทย ทำให้ละครฮิตเร็วมาก

เป็นที่รู้กันว่า หากจะทำรายการให้สำเร็จทั้งเรตติ้งและความนิยมต้องมี Content แกร่ง

จากข้อมูลรายการที่มีเรตติ้งสูงๆ ล้วนมาจากละครไทยทั้งสิ้น โดยเฉพาะ “คู่กรรม” ที่ “เบิร์ด-ธงไชย” และ “กวาง-กมลชนก” เล่นไว้ที่ช่อง 7 เมื่อปี 2533 นั้นทำเรตติ้งสูงสุดถึง 40 เป็นประวัติศาสตร์

ละครที่มีเรตติ้งสูงๆ ล้วนเป็นละครดราม่า ความรัก ชิงรักหักสวาท เรียกว่า ไม่มีที่ยืนให้กับละครแนวที่แตกต่างอย่างแนวสืบสวนสอบสวนกันเลย

มาวันนี้ “ช่องวัน” น้องใหม่ของวงการทีวีดิจิทัล แจ้งเกิดได้แล้ว หลังเพียรพยายามแย่งชิงตลาดจาก 2 คู่แข่งหลัก “ช่อง 7-ช่อง 3” โดยทดลองนำเสนอละครหลากหลายรูปแบบ แนวสืบสวนสอบสวนก็เคยเริ่มมาแล้วจาก “กาหลมหรทึก” แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเนื้อเรื่องดูเครียด หรือไกลตัวเกินไป

ต่างกับ “เลือดข้นคนจาง” เป็นเรื่องใกล้ตัว ทั้งครอบครัวเล็กครอบครัวใหญ่ และจากอิทธิพลของโลกออนไลน์ ทำให้ภาพทุกภาพ คำพูดทุกคำพูดของตัวละคร มักถูกแชร์ต่อทันทีหลังละครจบ

อย่างตอนเปิดพินัยกรรมของอากง ลูกชาย 3 คนได้รับหุ้นคนละ 25% ยกเว้นลูกสาวที่ได้เพียงเงินสด ส่วนหุ้นที่เหลืออีก 25% กลับตกเป็นของ “พีท” หลานชาย หรือ “หลานใน” ที่เกิดจากลูกชายคนโตตามธรรมเนียมวัฒนธรรมจีน

จึงเกิดคำถาม “ทำไมหลานชายคนเดียวได้รับหุ้นส่วนนี้” “พีท” จึงเป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งในเรื่อง ส่วน “หลานชาย” หรือ “หลานใน” ที่เกิดจากเมียเก็บจะต่อกรหรือราวีอย่างไรต่อไป ก็เป็นเรื่องน่าติดตาม เพราะเจ้าสัว หรือนักธุรกิจที่มีฐานะ มักมีหลาย “เมีย” การแบ่งมรดกจึงต้องจัดสรรให้รอบคอบเช่นกัน

@ Tie-in โฆษณาแนวถนัดของช่องวัน

นอกจากจัดเต็มนักแสดงแล้ว การหารายได้จากการโฆษณาสินค้าควบคู่ไปกับนักแสดงก็เป็นงานถนัดของช่องวัน

เมื่อได้นักแสดงวัยรุ่น 9 คนจากโปรเจกต์ 9 by 9 ของโฟร์โนล็อก บริษัทที่นำศิลปินเกาหลีมาเมืองไทย ร่วมกับ “นาดาว” และ “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” มา Tie-in โฆษณาสินค้าบางตอนในเรื่อง

เช่น การให้ “เต้ย” (แจ็คกี้-จักริน กังวานเกียรติชัย) ที่มีพฤติกรรมถ้ำมอง แอบใส่กล้องในตุ๊กตาหมี แล้วถือขวดน้ำสี ยี่ห้อหนึ่งที่ต้องเขย่าก่อนดื่ม ที่ฮือฮากันมากว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ของการ Tie-in โฆษณาในฉาก “ชักว่าว”

นักแสดงทั้ง 9 คนก็มีความสด ประกอบด้วย ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร / เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม / เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ / กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง / เติร์ด-ลภัส งามเชวง / ปอร์เช่-ศิวกร อดุลยสุทธิกุล / แจ็คกี้-จักริน กังวานเกียรติชัย / ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์ และ มิว-ชิษณุชา ตันติเมธ

การโชว์พลังหนุ่มสาวรุ่นใหม่ครั้งนี้ก็เป็นแผนโปรโมตของโฟร์โนล็อกที่จะจัดคอนเสิร์ตใหญ่ทั่วประเทศ ในฐานะศิลปินกลุ่มหน้าใหม่

@ เป้าหมายผู้ผลิตคอนเทนต์ขายทุกช่องทาง

นโยบายของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ประกาศชัด ขอตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ของไทย ทั้งในประเทศและส่งออกตลาดต่างประเทศ ด้วยในเครือมีทั้งทีวีดิจิทัล 2 ช่อง ค่ายเพลง จัดคอนเสิร์ต บริหารศิลปิน

รูปแบบการผลิตคอนเทนต์ มีให้ลง 2 ช่องทางคือ 1.ทีวีดิจิทัลคือช่องวัน และจีเอ็มเอ็ม 25 ที่ต้องพึ่งพารายได้จากค่าโฆษณา และต้องฟาดฟันกับช่องใหญ่หลายช่อง การทุ่มลงคอนเทนต์บางอย่างก็เสี่ยงที่จะไม่คุ้มทุน

และทางที่ 2 คือ การผลิตคอนเทนต์ส่งออกในช่องทาง OTT หรือ Over The Top  ที่ส่งออกไปทั่วโลก แต่คอนเทนต์นั้นต้องดูสากลและถูกใจผู้ชมต่างประเทศ โดยเฉพาะช่องทาง Netflix, Youtube และ Line TV ที่รูปแบบนี้บริษัทปิดความเสี่ยงจากรายได้ เพราะเป็นการซื้อคอนเทนต์ล่วงหน้า ได้เงินมาผลิตก่อน ราคาดี ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยง

ที่ผ่านมา ละครในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ตั้งแต่จีเอ็มเอ็ม บราโว่, จีเอ็มเอ็ม ทีวี ผลิตรายการขายช่องทางทั้ง Netflix, Youtube และ Line TV

ส่วนละครในช่องทีวีดิจิทัลทั้งช่องวัน และจีเอ็มเอ็ม 25 ก็ขายลิขสิทธิ์ เพื่อนำไปออกอากาศทั้ง Netflix, Youtube และ Line TV ด้วย

เช่น ซีรีส์สายดาร์ก “เด็กใหม่” ของ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ที่ออกอากาศในช่องจีเอ็มเอ็ม25 ได้ขายลิขสิทธิ์ลงช่องทาง Netflix เท่านั้น หลังออกอากาศครบทุกตอนแล้ว

หากทิศทางละครของกลุ่มแกรมมี่ตอบโจทย์เรื่องความดัง ความนิยม การยอมรับ ดูเป็นอินเตอร์ และมีรายได้ที่ดีแล้ว “โอกาส” ของกลุ่มจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ก็คงพ้นน้ำ

ว่าแต่ตอนนี้ นักสืบรุ่นจิ๋ว “โคนัน” กระซิบมาว่า “รู้แล้วนะ ใครฆ่าประเสริฐ”

คำตอบ “คือคนหนึ่งในรูปโปสเตอร์เลือดข้นคนจาง เป็นรุ่นที่ 3 ของตระกูล ดูดี ขยัน เก่ง เรียบร้อย อยู่ในลู่ แต่ดูมีแรงจูงใจสูงสุดที่อยากฆ่าอากู๋”.

]]>
1190031
ศึกละครสุดสัปดาห์เดือด ช่องวันขยายวัน ส่ง “เลือดข้นคนจาง” ลงจอ ช่อง 7 ส่ง “สายโลหิต” สู้เต็มที่ https://positioningmag.com/1188065 Mon, 17 Sep 2018 11:37:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1188065 3 ช่องใหญ่ ลงละครจัดเต็มช่วงปลายสัปดาห์ สู้ศึกชิงเรตติ้ง ด้วยละครชุดใหม่ “สายโลหิต” ช่อง 7 และ “ริมฝั่งน้ำ” ช่อง 3 ชนกับ “เลือดข้นคนจาง”จากช่องวันที่เพิ่งขยายตลาดละครมาลงวันศุกร์-เสาร์ เป็นครั้งแรก

รอกันมานานกับละครพีเรียด เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาแตก “สายโลหิต” ที่ช่อง 7 ทุ่มงบเต็มที่ ให้สมเป็นละครฟอร์มใหญ่แห่งปี ก็ได้ฤกษ์ลงออนแอร์ครั้งแรกวันเสาร์ที่ 22 กันยายนนี้

สายโลหิต เป็นละครพีเรียดในตำนาน ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับช่อง 7 มาแล้วในเวอร์ชั่นของ หนุ่ม ศรราม ในบทขุนไกร และกบ สุวนันท์ ในบทดาวเรือง ตั้งแต่ปี 2538 แม้ว่าละครเรื่องนี้มีการรีเมกมาแล้ว 3 ครั้ง อีก 2 ครั้งออกอากาศทางช่อง 3 แต่ก็ไม่เคยมีตอนไหนประสบความสำเร็จเท่ากับเวอร์ชั่นของช่อง 7 ปี 2538 ที่ได้ “ศัลยา” คนเขียนบทมือทองเช่นเดิมเป็นผู้กลับมาเขียนบทละครเรื่องนี้อีกครั้ง

ในปีนี้ ศัลยา เพิ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจากผลงานการเขียนบทละคร “บุพเพสันนิวาส” ทางช่อง 3 มาแล้ว คราวนี้ช่อง 7 จึงคาดหวังสุดๆ ว่า “สายโลหิต” จะสามารถสร้างความนิยมไม่แพ้ “บุพเพสันนิวาส” เลยทีเดียว

ช่อง 7 เลือกจัด “สายโลหิต” ลงช่วง ศุกร์-อาทิตย์ เนื่องจากต้องการสร้างกระแสความรักชาติ นิยมไทยอย่างต่อเนื่องในกลุ่มครอบครัวที่มักชมละครพร้อมหน้ากันในช่วงวันหยุด โดยเตรียมลงจอครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 21 กันยายน แทนที่ละคร “เจ้าสาวจำยอม”

แต่เมื่อดูจากสถานการณ์แข่งขันจากคู่แข่งช่อง 3 ที่กำลังออกอากาศ “อังกอร์” ละครบู๊ที่มีกระแสมาแรง มีเรตติ้งสูสีคู่คี่กับช่อง 7 สลับกันแพ้ชนะมาโดยตลอด ช่อง 7 จึงต้องสั่งเลื่อนการออนแอร์ “สายโลหิต” ออกไปเป็นเสาร์ที่ 22 กันยายนแทน โดยเลี่ยงที่จะไปออนแอร์วันเดียวกับที่ “อังกอร์” จบในวันที่ 21 กันยายน

ทำให้ละคร “เจ้าสาวจำยอม” และ “อังกอร์” จะจบลงพร้อมกันในวันศุกร์ที่ 21 กันยายนนี้ และเริ่มละครชุดใหม่ “สายโลหิต” และ “ริมฝั่งน้ำ” ในวันที่ 22 กันยายน เรียกได้ว่า จบ และเริ่มใหม่พร้อมๆ กันทั้งช่อง 7 และช่อง 3 วัดกันจะจะไปเลย

หากเทียบฟอร์มละครใหม่ “สายโลหิต” ช่อง 7 และ “ริมฝั่งน้ำ” ช่อง 3 แล้ว “สายโลหิต” เป็นฟอร์มยักษ์ ลงทุนจัดเต็มสูงกว่า ในขณะที่ “ริมฝั่งน้ำ” ที่ช่อง 3 จัดสู้นั้น เป็นละครน้ำดี ส่งเสริมสังคมครอบครัว เน้นให้เห็นความสำคัญ ไม่ละเลยการดูแลผู้สูงอายุของทุกครอบครัว เน้นความสำคัญของนักแสดงอาวุโส ที่ฉีกไปอีกแนวหนึ่ง

เทียบตามฟอร์ม “สายโลหิต” ยังเหนือกว่ามาก ด้วยความเป็นละครดังในอดีต และมากับความคาดหวังมากมาย แต่ “ริมฝั่งน้ำ” ไม่ต้องแบกรับความกดดันใดๆ ละครพล็อตใหม่ เน้นกลุ่มครอบครัว

อย่างไรก็ตาม ศึกละครปลายสัปดาห์ ไม่ได้มีแค่ 2 เรื่อง 2 ช่องที่ต้องแข่งขันกันอีกต่อไปแล้ว ยังมีช่องวัน ที่โดดเข้ามาร่วมวงละครชุดช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน

ที่ผ่านมาการสู้ศึกละครไทยหลังข่าว 2 ทุ่ม ของทั้ง 3 ช่องเป็นไปอย่างดุเดือดในช่วงวันทำงาน ที่ช่องวันเพิ่งประสบความสำเร็จจากเรื่อง “เมีย 2018” ส่วนช่วงวันหยุด ช่องวันได้เคยส่งละครเรื่อง วายุเทพยุทธ์ ลงชิมลางออนแอร์เฉพาะในวันเสาร์มาแล้ว

เมื่อละครไทยเป็นคอนแทนต์ที่เรียกความนิยม และสร้างเรตติ้งได้สูงสุด เมื่อละครเรื่องหนึ่งประสบความสำเร็จ มีผลต่อเรตติ้งทั้งช่อง เพราะช่วยสร้างเรตติ้งรายการที่ออกอากาศใกล้เคียงกันให้สูงขึ้นด้วย แต่ปัญหาคือละครเป็นรายการที่ต้องลงทุนสูงอย่างน้อย 20- 30 ล้านบาทต่อเรื่อง อีกทั้งยังใช้ช่วงเวลาการถ่ายทำ ตัดต่ออีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ต้องวางแผนกันข้ามปี ซึ่งช่องวันซุ่มเตรียมงานมาเต็มที่

มาคราวนี้ช่องวันจัดเต็ม พร้อมลุยตลาดละครเต็มที่ โดยขยายชุดละครลงศุกร์ เสาร์ สู้ ชิงเรตติ้งช่วงปลายสัปดาห์ ด้วยละครชุดใหม่ “เลือดข้นคนจาง” ละครดราม่าแนวสืบสวนสอบสวนฟอร์มใหม่ ที่ขนทัพนักแสดงทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ลงเต็มจอ เริ่มออกอากาศไปเมื่อวันศุกร์ที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา ลงผังแทนที่การถ่ายทอดสดมวย รายการ MX มวยเอ็กซ์ตรีม ที่เคยประจำการทุกวันศุกร์ทางช่องวัน หลุดไปจากผัง โดยที่ผ่านมาเรตติ้งมวยเป็นหนึ่งในรายการที่ทำเรตติ้งให้ช่องเฉลี่ยในระดับประมาณ  1.2 มาโดยตลอด

เรตติ้ง 2 ตอนแรกที่ออกอากาศ อยู่ที่เฉลี่ย 0.700 และตอนที่ 2 ในวันที่ 15 กันยายน เฉลี่ยอยู่ที่ 0.602 แม้เรตติ้งยังไม่มากนัก แต่ก็สร้างกระแสทั้งติดเทรนด์ทวิตเตอร์ โลกออนไลน์ การแชร์ส่งต่อมากมาย จากคำพูดเด็ดๆ จากบรรดานักแสดงมาเต็มๆ โดยเฉพาะ ฉากในวัยเด็กของครอบครัวจีน ที่ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว ลูกสาวจะเป็นคนหลังๆ กินอาหารเหลือจากลูกชายจากครอบครัวเสมอ โดยมีการดัดแปลงข้อความ แชร์ประสบการณ์วัยเยาว์กันมากมาย

นอกจากจัดละครลงวันศุกร์แล้ว ช่องวันยังจัดซีรีส์ชุดใหม่จากจีเอ็มเอ็มทีวี ลงออกอากาศต่อจาก “เลือดข้นคนจาง” ด้วยซีรีส์ไทยชุด “มารร้ายคู่หมายรัก” ออกอากาศต่อเนื่องยาวไปถึง 5 ทุ่ม ได้เรตติ้งเฉลี่ย 0.385

ส่วนวันเสาร์ จัดรีรันซิทคอม “เป็นต่อ” ที่กลายเป็นตำนานของช่องวันไปแล้ว ลงออกอากาศต่อจาก “เลือดข้นคนจาง” ได้เรตติ้ง 0.599

อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์ ช่องวันยังไม่ใส่ละครลงผัง เนื่องจากรายการวาไรตี้ “รู้ไหมใครโสด” ที่เกาะติดผังหลังข่าว 2 ทุ่มในทุกวันอาทิตย์ ยังเป็นรายการที่ได้รับความนิยมสูงประจำวันของช่อง เรตติ้งตอนล่าสุดวันที่ 16 กันยายนอยู่ที่ 1.575

ต่อจากนี้ไปน่าจับตามองอย่างยิ่งว่า ชุดละครช่วงท้ายสัปดาห์ จะแข่งขันกันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ผลประโยชน์เกิดแก่ผู้ชม ที่มีทางเลือกในการรับชมคอนเทนต์ที่หลากหลายมากขึ้น.

]]>
1188065