เอทีแอนด์ที – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 18 Feb 2010 00:00:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เอทีแอนด์ทีเลือกอัลคาเทล-ลูเซ่นให้จัดหาอุปกรณ์สร้างเครือข่ายบรอดแบนด์ไร้สายแอลทีอี https://positioningmag.com/51042 Thu, 18 Feb 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=51042

กรุงเทพฯ – 17 กุมภาพันธ์ 2553 อัลคาเทล-ลูเซ่น (Euronext Paris and NYSE: ALU) ประกาศว่า เอทีแอนด์ที อิงค์ได้เลือกอัลคาเทล-ลูเซ่นให้เป็นหนึ่งในสองผู้จัดหาอุปกรณ์เพื่อสร้างเครือข่ายบรอดแบนด์แอลทีอี ซึ่งการเลือกผู้จัดหาอุปกรณ์ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการทดสอบเครือข่ายบรอดแบนด์แอลทีอีในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งมีกำหนดการให้บริการเชิงพาณิชย์ในต้นปี 2554

แผนการสร้างเครือข่ายของเอทีแอนด์ทีเป็นไปตามที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมมองเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยี รวมทั้งการที่มีอุปกรณ์เครือข่ายและอุปกรณ์ด้านผู้ใช้งานพร้อมมากขึ้น สัญญาในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานที่ต้องการสร้างเครือข่าย 3G ให้เร็วที่สุดในประเทศขึ้นด้วยประสิทธิภาพเครือข่ายแอลทีอี

หลังจากที่ได้ทดสอบอุปกรณ์ของผู้ค้าหลายรายในห้องทดลองและบนเครือข่ายจริง เอทีแอนด์ทีตัดสินใจสานสัมพันธ์ต่อกับผู้ค้าเดิมซึ่งรวมถึงอัลคาเทล-ลูเซ่นผู้ที่จัดสร้างเครือข่าย 3G ในปัจจุบัน นับว่าเป็นการสร้างความเชื่อมต่อของเครือข่ายปัจจุบันและเครือข่ายแอลทีอีในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่เอทีแอนด์ทีเพียงแต่อัปเกรดอุปกรณ์เดิมและซอฟ์ทแวร์แทนที่จะเป็นการติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด

แอลทีอี หรือ Long-Term Evolution เป็นแพลมฟอร์มรุ่นใหม่ของเทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สาย GSM/UMTS ที่เอทีแอนด์ทีใช้ในปัจจุบัน เทคโนโลยีแอลทีอีจะสามารถให้ทรูพุธบนบรอดแบนด์ไร้สายที่สูงขึ้นและมีความหน่วงช้า (Latency) น้อยกว่าเครือข่าย 3G ซึ่งช่วยเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้เกิดการพัฒนาด้านอุปกรณ์และแอปพลิเคชั่นบนมือถือมากมาย ทั้งนี้ ลูกค้าของเอทีแอนด์ทีจะมีความมั่นใจในการเชื่อมต่อที่ราบรื่นของอุปกรณ์ สามารถใช้ได้ทั้งบนเครือข่าย 3G และเครือข่ายแอลทีอี
“การเลือกผู้จัดเครือข่ายในครั้งนี้นับเป็นการก้าวเดินที่สำคัญในกลยุทธบรอดแบนด์ไร้สาย ซึ่งเน้นที่การรับส่งในระดับสูงที่สุดไม่ว่าจะเป็นด้านความเร็ว ประสิทธิภาพการทำงาน บนอุปกรณ์มากมายหลายประเภทสำหรับลูกค้าที่ใช้เทคโนโลยีทุกระดับ” มร. จอห์น สแตนคีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่แห่งเอทีแอนด์ทีกล่าว “เอทีแอนด์ทีมีความได้เปรียบในประเด็นที่ว่าแอลทีอีนี้เป็นนวัตกรรมที่สร้างขึ้นบนเครือข่ายตระกูลจีเอสเอ็มที่เราใช้อยู่ และเป็นโครงสร้างสถาปัตยกรรมเครือข่ายไร้สายที่ได้รับการยอมรับในผู้ให้บริการทั่วโลกทุกวันนี้ ในขณะที่คู่แข่งของเราเลือกลงทุนในแพลทฟอร์มเฉพาะบน 3G ต่างๆ แต่เราจะสามารถก้าวสู่ยุคแอลทีอีในขณะที่เป็นการยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่าย 3G ในปัจจุบัน และยังสามารถจัดหาแอคเซสให้ลูกค้าของเราผ่านอุปกรณ์ได้มากมายได้อีกด้วย”

มร. เบน เวอร์วาเยน ประธานบริหารแห่งอัลคาเทล-ลูเซ่นกล่าวว่า “ด้วยก้าวเดินที่สำคัญในครั้งนี้ เอทีแอนด์ทีกำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นในการสรรค์สร้างเครือข่ายบรอดแบนด์ไร้สายรวมทั้งในการสนับสนุนแอปพลิเคชั่นบนมือถือยุคใหม่ เราหวังว่าจะได้เดินทางร่วมกัน และเห็นว่าสัญญาในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการประสานงานร่วมกันที่แน่นแฟ้นต่อไปในอนาคตที่จะช่วยจัดหาโซลูชั่นด้านไอพีสำหรับบรอดแบนด์ไร้สายตั้งแต่ต้นจนจบเครือข่ายให้แก่เอทีแอนด์ที และนอกจากนี้ การประกาศถึงสัญญาในครั้งนี้ยังเป็นการเชื่อมสานความสัมพันธ์ที่มีมานานกับเอทีแอนด์ที อันรวมถึงการสร้างโครงข่าย 3G HSPA จนถึงการบริหารและตรวจสอบเครือข่ายในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้เป็นการประกาศครั้งใหญ่ถึงความเชื่อมั่นและเชื่อถือในศักยภาพผู้นำด้านเทคโนโลยีแอลทีอีและความสามารถของอัลคาเทล-ลูเซ่นในการช่วยพัฒนาเครือข่ายทั้งหมดขึ้นสู่ยุคแอลทีอี”

ในสัญญาซึ่งครอบคลุมเวลาหลายปีนี้ อัลคาเทล-ลูเซ่นจะร่วมรับผิดชอบด้านอุปกรณ์ Radio Access Network Domain ที่จำเป็นในการให้บริการแอลทีอีซึ่งต้องติดตั้งที่สถานีลูกข่ายของเอทีแอนด์ทีทั้งหมด อัลคาเทล-ลูเซ่นจะติดตั้งสถานีลูกข่ายแอลทีอีที่ล้ำหน้าเหนือใคร (หรือ eNodeBs ซึ่งเป็นโซลูชั่นหลักในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Converged RAN) และ Element Management Systems (EMS) รวมทั้งดูแลด้านการติดตั้งเครือข่ายทั้งหมด นอกจากนี้ อัลคาเทล-ลูเซ่นจะติดตั้งอุปกรณ์ 9900 Wireless Network Guardian ซึ่งจะช่วยด้านการบริหารเครือข่ายไร้สายที่มีแอปพลิเคชั่นไอพีได้เป็นอย่างดี
ในทุกวันนี้ เอทีแอนด์ทีให้บริการสมาร์ทโฟนมากเป็น 2 เท่าเหนือคู่แข่งที่ตามมา และตำแหน่งผู้นำในบริการสมาร์ทโฟนนี้เป็นผลจากการเจริญเติบโตกว่า 5,000% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (บริการสมาร์ทโฟนเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของนวัตกรรมการใช้งานบนบรอดแบนด์ไร้สาย) ในช่วงต้นปีนี้ เอทีแอนด์ทีได้อัปเกรดสถานีลูกข่าย 3G ไปยังเทคโนโลยี HSPA 7.2 และระหว่างปี 2553 และ 2554 เอทีแอนด์ทีมีแผนเชื่อม โยงการอัปเกรดสถานีลูกข่ายนี้เข้ากับส่วนโครงข่ายแบคฮอลที่เป็นไฟเบอร์ออปติค ซึ่งจะยกระดับความเร็ว 3G และบริการแอลทีอีในอนาคตได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบัน เอทีแอนด์ทีรองรับอุปกรณ์ที่ใช้ HSPA 7.2 ได้ 10 รุ่น ทำให้ลูกค้านับล้านคนจะสามารถใช้ความเร็วที่เร็วกว่า 3G เมื่อโครงข่ายแบคฮอลสร้างเสร็จ

มร. เบนจามิน คาลาร์เกียน กรรมการผู้จัดการแห่งอัลคาเทล-ลูเซ่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในปัจจุบัน อัลคาเทล-ลูเซ่นมีการทดสอบเครือข่ายกับลูกค้าทั่วโลกมากกว่า 40 แห่ง รวมทั้งที่ Bouvgues Telecom และ Cox และกับลูกค้าในภูมิภาคเอเชีย อาทิ ไชน่าโมมายในงาน World Expo 2010 และ สิงเทล โดยในปีที่ผ่านมา เราได้ติดตั้งอุปกรณ์ประเภท eNodeBs (ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Converged RAN) และ Element Management Systems (EMS) รวมทั้งบริการติดตั้งเครือข่ายทั้งหมด และอุปกรณ์ 9900 Wireless Network Guardian ผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่แวริซอน (Verizon) อีกด้วย จึงเห็นได้ว่าอัลคาเทล-ลูเซ่นมีประสบการณ์จากลูกค้าทั่วโลกที่สามารถสร้างความมั่นใจกับลูกค้าในประเทศไทยได้ดีว่า หากลูกค้าเลือกอัลคาเทล-ลูเซ่นเป็นผู้จัดสร้างโครงข่าย 3G แล้วเรามีศักยภาพที่จะนำท่านก้าวสู่แอลทีอีได้อย่างราบรื่น รวดเร็วและประหยัดการลงทุนด้านเครือข่าย”

เกี่ยวกับอัลคาเทล-ลูเซ่น
อัลคาเทล-ลูเซ่น (Euronext Paris and NYSE: ALU) คือ พันธมิตรที่ได้รับความไว้ใจจากกลุ่มผู้ให้บริการเครือข่าย องค์กร และหน่วยงานรัฐบาลทั่วโลกในการจัดหาโซลูชั่นที่สามารถสร้างสรรค์บริการด้านสื่อสารต่างๆ ทั้งประเภทเสียง ข้อมูลและวีดิโอให้กับผู้ใช้งาน และในฐานะผู้นำในโครงข่ายตามสาย โครงข่ายไร้สาย โครงข่ายบรอดแบนด์หลอมรวม เทคโนโลยีไอพี แอพลิเคชั่นและบริการต่างๆ ทำให้อัลคาเทล-ลูเซ่นมีศักยภาพเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและวิทยาศาสตร์อันไร้ซึ่งผู้เทียมทันไว้ที่เบลล์แล็ปอันเป็นศูนย์ขุมพลังเพื่อพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ อัลคาเทล-ลูเซ่นดำเนินธุรกิจในมากกว่า 130 ประเทศทั่วโลกและมีองค์การด้านบริการที่มีประสพการณ์ระดับโลกมากที่สุดในโลก จึงทำให้อัลคาเทล-ลูเซ่นเป็นพันธมิตรในประเทศที่มีเครือข่ายธุรกิจอยู่ทั่วมุมโลก อัลคาเทล-ลูเซ่นมีรายได้รวม 16.98 พันล้านยูโรในปี 2551 จัดตั้งอยู่ในประเทศฝรั่งเศสและทีมผู้บริหารทำงานณ กรุงปารีส หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.alcatel-lucent.com

]]>
51042
เอทีแอนด์ทีโฉมใหม่จะเริ่มการซื้อขายภายใต้สัญลักษณ์ “T” โดยจะกลับมารวมในดัชนีดาวโจนส์ 30 อีกครั้ง https://positioningmag.com/26705 Fri, 02 Dec 2005 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=26705

หนึ่งในสัญลักษณ์ซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดในวงการการลงทุนทั่วโลกจะกลับมารวมอยู่ในดัชนีดาวโจนส์ 30 อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เมื่อบริษัทเอทีแอนด์ทีโฉมใหม่จะเริ่มทำการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์กภายใต้สัญลักษณ์ “T”

การตัดสินใจที่จะใช้สัญลักษณ์ “T” สะท้อนถึงมรดกตกทอดของความเชี่ยวชาญร่วมกันและความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อไปในด้านเทคโนโลยีการสื่อสารซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่โซลูชันรวมบนพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต โปรโตคอล

“ผู้ถือหุ้นของเราสามารถเชื่อมั่นได้ว่า เราจะใช้โอกาสสูงสุดที่เรามีในฐานะความเชี่ยวชาญร่วมเพื่อส่งมอบมูลค่าที่ยิ่งใหญ่และเป็นผู้นำความก้าวหน้าในอุตสาหกรรม” เอ็ดเวิร์ด อี. วิทเทเคอร์ จูเนียร์ ประธานและซีอีโอของเอทีแอนด์ที อิงค์กล่าว

“ความมุ่งมั่นของเราต่อนวัตกรรม ประกอบกับประวัติการดำเนินงานที่โดดเด่นและความแข็งแกร่งทางการเงินที่ยอดเยี่ยม ทำให้เอทีแอนด์ทีโฉมใหม่อยู่ในสถานะที่จะเป็นผู้นำอุตสาหกรรมได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงหลายปีข้างหน้า” นายวิทเทเคอร์กล่าว

ผลการวิจัยบ่งชี้ว่า สัญลักษณ์ “T” เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักลงทุน และมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับแบรนด์เอทีแอนด์ทีซึ่งเป็นแบรนด์ด้านการสื่อสารซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดในสหรัฐและทั่วโลก

บริษัทเอทีแอนด์ที คอร์ปเคยใช้สัญลักษณ์ “T” ก่อนที่บริษัทเอสบีซี คอมมิวนิเคชันส์ อิงค์จะเข้าซื้อกิจการ โดยเอทีแอนด์ที คอร์ปเป็นสมาชิกของดัชนีดาวโจนส์ 30 จนถึงเดือนเม.ย. 2547 เอสบีซีซึ่งเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นเอทีแอนด์ที อิงค์ หลังการทำธุรกรรมเสร็จสิ้นในวันที่ 18 พ.ย.นั้น ทำการซื้อขายหุ้นภายใต้ “SBC” และถูกรวมในดัชนีดาวโจนส์ 30 ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญของตลาดหุ้นมาตั้งแต่เดือนพ.ย. 2542

ในช่วงเวลาของการก่อตั้งนั้น สัญลักษณ์ที่เป็นอักษรตัวเดียว อาทิ “T” นั้นได้ถูกกำหนดขึ้นสำหรับหุ้นซึ่งมีการซื้อขายอย่างกว้างขวางมากที่สุด สัญลักษณ์ที่เป็นอักษรตัวเดียวนี้ช่วยลดจำนวนตัวอักษรซึ่งถูกพิมพ์โดยเครื่องพิมพ์ราคาหุ้นและหลีกเลี่ยงความล่าช้าในการบันทึก เอทีแอนด์ที คอร์ปเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีการถือครองอย่างกว้างขวางมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ส่วนเอทีแอนด์ทีโฉมใหม่มีหุ้นออกจำหน่ายประมาณ 3.9 พันล้านหุ้นและมีทุนจดทะเบียนในตลาดประมาณ 9.8 หมื่นล้านดอลลาร์

สัญลักษณ์ “T” ถูกใช้ครั้งแรกโดยบริษัทอเมริกัน เบลล์ซึ่งเป็นบริษัทดั้งเดิมของ อเมริกัน เทเลโฟน แอนด์ เทเลกราฟ คอมพานี ในปี 2431 ในตลาดหุ้นบอสตัน และในปี 2444 บริษัทอเมริกัน เทเลโฟน แอนด์ เทเลกราฟซึ่งต่อมากลายเป็นบริษัทเอทีแอนด์ทีนั้น ได้เริ่มการซื้อขายหุ้นภายใต้สัญลักษณ์ “ATT” ในตลาดหุ้นนิวยอร์กและเปลี่ยนมาใช้สัญลักษณ์ “T” ในปี 2473 ส่วนสัญลักษณ์หุ้น “SBC” เริ่มใช้ในปี 2527 หลังการก่อตั้งบริษัทเซาธ์เวสเทิร์น เบลล์ คอร์ปอเรชันหลังจากการขายกิจการโดยบริษัทเอทีแอนด์ทีดั้งเดิม

บริษัทเอทีแอนด์ทีโฉมใหม่จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานและแนวโน้มทางการเงินของบริษัท รวมถึงความร่วมมือที่คาดไว้ ในการประชุมนักลงทุนที่กรุงนิวยอร์กซิตี้ในวันที่ 31 ม.ค. 2549

เกี่ยวกับบริษัทเอทีแอนด์ทีโฉมใหม่
เอทีแอนด์ที อิงค์เป็นหนึ่งในบริษัทโฮลดิ้งด้านการสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในโลกและใหญ่ที่สุดในสหรัฐ บริษัทมีการดำเนินงานทั่วโลกภายใต้แบรนด์เอทีแอนด์ที โดยบริษัทต่างๆในเครือเอทีแอนด์ทีได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านการสื่อสารบนเครือข่ายไอพีต่อกลุ่มธุรกิจและยังเป็นผู้ให้บริการชั้นนำของสหรัฐในด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระบบ DSL บริการโทรศัพท์ในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบริการด้านการพิมพ์รายนามผู้ใช้โทรศัพท์และบริการด้านการโฆษณา เอทีแอนด์ที อิงค์ ถือหุ้น 60% ของซิงกูลาร์ ไวร์เลสซึ่งเป็นผู้ให้บริการสื่อสารไร้สายอันดับ 1 ของสหรัฐและมีลูกค้ามากกว่า 52 ล้านคน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทเอทีแอนด์ที อิงค์ รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ สามารถดูได้ที่ www.TheNewATT.com

สงวนลิขสิทธิ์ 2548 บริษัท SBC Knowledge Ventures, L.P.

]]>
26705