แบรนด์ไทย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 15 Nov 2025 07:56:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘กล้วยเซเว่นฯ’ โตไม่ธรรมดา มีการรับซื้อ 530,000 ลูก/วัน https://positioningmag.com/1547210 Fri, 14 Nov 2025 12:42:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1547210 ‘กล้วย’ ไม่ได้เป็นเพียงผลไม้ประจำบ้านของคนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ‘บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)’ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เดินหน้าต่อยอดเพิ่มมูลค่าสู่เมนูขนมไทยยอดฮิต

 

ปัจจุบัน เซเว่นฯ รับซื้อกล้วยสดจากเกษตรกรและเครือข่ายผู้รวบรวม กว่า 2,200 ราย จาก 43 จังหวัดทั่วประเทศ กล้วยเฉลี่ย 530,000 ลูกต่อวัน ผ่านความร่วมมือกับ SME ผู้รวบรวมผลผลิต ซึ่งทำหน้าที่คัดเลือก ควบคุมคุณภาพ และบรรจุกล้วยที่ผ่านมาตรฐานความสะอาด ปลอดภัย เพื่อส่งต่อสู่ผู้บริโภคผ่านร้านเซเว่นฯ ทั่วประเทศ

 

ปัจจุบันการบริโภคผลไม้ไทยในชีวิตประจำวันถือเป็นเทรนด์ที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกล้วย ซึ่งมีทั้งความอร่อย    รับประทานง่าย ราคาจับต้องได้ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้กล้วยกลายเป็นสินค้าขายดีประจำร้านที่ผู้บริโภคเลือกซื้อเป็นประจำ โดยมีกล้วย 4 สายพันธุ์รสชาติคุ้นเคยคนไทย ได้แก่

 

  • กล้วยหอมทอง มีรสชาติหวาน กลิ่นหอมเฉพาะ เนื้อแน่นหนึบแต่นุ่ม ให้พลังงานและธาตุเหล็กสูง
  • กล้วยน้ำว้า รสหวานมัน เนื้อแน่น ผลใหญ่ อุดมไปด้วยโพแทสเซียมและวิตามิน ช่วยระบบขับถ่ายและหัวใจ
  • กล้วยไข่ เนื้อหนึบหอม มีกลิ่นเฉพาะตัว อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี–อี ต้านอนุมูลอิสระและบำรุงเซลล์
  • กล้วยเล็บมือนาง เนื้อนุ่มหนึบ มีกลิ่นหอมละมุน เวลาสุกเนื้อจะนุ่ม พลังงานดี มีทริปโตเฟน–วิตามินซี–ธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงสมองและเสริมภูมิคุ้มกัน

 

ต่อยอด ‘กล้วยสด’ สู่สินค้าแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ประกอบการ

 

นอกจากกล้วยสดที่ขายดีติดอันดับต้นๆ ของร้านเซเว่นฯ แล้ว ยังต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้ ‘กล้วยไทย’ ผ่านผลิตภัณฑ์แปรรูปสร้างสรรค์จากขนมไทยโบราณ เช่น กล้วยปิ้ง กล้วยปิ้งพร้อมน้ำตาลมะพร้าว ขนมกล้วย และข้าวต้มมัด ที่เกิดจากการร่วมพัฒนากับผู้ประกอบการคู่ค้าของเซเว่น อีเลฟเว่น

 

ยกตัวอย่าง ‘แม่ซู่กี๊ขนมไทย’ ผู้ผลิตกล้วยปิ้ง กล้วยปิ้งพร้อมน้ำตาลมะพร้าว และขนมกล้วย ภายใต้แบรนด์ Ezy Sweet และ ‘เคซี’ ผู้ผลิต ข้าวต้มมัด โดยขนมได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภค เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความสำเร็จจากการผสาน ‘ภูมิปัญญาท้องถิ่น’ เข้ากับ ‘โอกาสทางการตลาดสมัยใหม่’

 

ความสำเร็จของ ‘กล้วยเซเว่น’ เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด ‘SME โตไกลไปด้วยกันอย่างยั่งยืน’ โดยมุ่งส่งเสริมเกษตรกรสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่ช่วยให้ของดีจากท้องถิ่นไทยเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกวัน รวมถึงให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ แหล่งข้อมูล และเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้ กลยุทธ์ 3 ให้ ของโครงการ ได้แก่ ให้ช่องทางจำหน่าย ให้ความรู้ และให้การเชื่อมโยงเครือข่าย

]]>
1547210
ถึงเวลา Sewa แจ้งเกิดใหม่ หลังแบรนด์สะดุดจนเกือบเลิกกิจการ https://positioningmag.com/1546378 Tue, 11 Nov 2025 07:16:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546378 หลังยอดขายลดลงต่อเนื่องจาก 600 ล้านบาท เหลือ 200 ล้านบาท จากการตัดสินใจพลาดลงไปจับตลาดแมส ตอนนี้ถึงเวลา Sewa (เซวา) แจ้งเกิดครั้งใหม่ สลัดภาพ ‘แบรนด์ดารา’ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย และกลับมาโฟกัสตลาด Premium Mass ที่ตัวเองเคยแข็งแรง

 

รวมไปถึงชูจุดแข็ง Functional Clean Skincare ที่เน้นส่วนผสมปลอดภัย มีงานวิจัยรองรับ และเห็นผลจริง โดยหวังเรียกความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่ม First Jobber และคนรุ่นใหม่ เพื่อพลิกสถานการณ์ให้แบรนด์กลับมาเติบโตอีกครั้ง

 

‘เบญจกิติ เมฆแสน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sewa เล่าถึงที่มาของความเคลื่อนไหวนี้ว่า แบรนด์ Sewa อยู่ในตลาดมานาน 9 ปี ซึ่งที่ผ่านมามีการเติบโตดีมาตลอด กระทั่งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ยอดขายลดลงต่อเนื่อง จากยอดขายระดับ 600 ล้านบาท ลงมาเหลือ 200 ล้านบาทในปี 2567 จึงได้ทำ Focus Group กับกลุ่ม First Jobber และคนรุ่นใหม่ กลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน

 

เสียงสะท้อนที่ได้จากการสำรวจ คือ ‘แบรนด์ดูมีอายุ ไม่ตอบโจทย์ และไม่น่าเชื่อถือ เพราะเป็นแบรนด์ของดารา’ ซึ่งตอนแรกเธอยอมว่า ‘ไม่เชื่อ’ เนื่องจากมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์ของตัวเองที่สามารถเติบโตได้ในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้ตัดสินใจทำการสำรวจอีกครั้ง และผลที่ได้มาก็ใกล้เคียงกับครั้งแรก

 

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้เบญจกิติ ตัดสินใจ ‘Reborn’ แบรนด์ Sewa ครั้งใหญ่ กลับมาสู้ในทางที่ตัวเองแข็งแรง นั่นคือ การวางโพซิชัน Functional Clean Skincare ที่เน้นส่วนผสมปลอดภัย มีงานวิจัยรองรับ และเห็นผลจริง เพื่อจับตลาด Premium Mass 

 

“ตอนเริ่มต้นที่ทำร่วมกับพี่วุ้นเส้น (วุ้นเส้น วิรฒิภา) ยอมรับว่า เป็นอีกจุดที่แจ้งเกิดให้ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน เทรนด์ก็เปลี่ยน และตอนนี้ก็ได้แยกย้ายกันไปเติบโตในทางของตัวเองตั้งแต่เดือน ก.พ.2568 ที่ผ่านมา ขณะที่การตัดสินใจกระโดดลงไปในตลาดแมส เนื่องจากมีคนแนะนำว่า ตลาดนี้โตมีมูลค่าน่าสนใจ จึงขยายไลน์สินค้าต่าง ๆ มีราคาตั้งแต่ 50-1,000 บาท และทำครีมซองออกมา

 

“แต่ด้วยเราไม่เก่งและแบรนด์ไม่แข็งแรงขนาดจะเข้าไปตลาดแมส ทำให้ตำแหน่งแบรนด์ไม่ชัดเจน ลูกค้าเกิดสับสน ไม่มั่นใจคุณภาพ ซึ่งเป็นบทเรียนให้เราจำไว้ว่า ต้องศึกษาตลาดให้มากกว่านี้ อย่าเห็นตัวเลขแล้วตาโต เพราะนั่นคือกับดักสู่หายนะ จนเราเกือบเลิกกิจการแล้ว”

สำหรับการแจ้งเกิดใหม่ของ Sewa ได้ ‘โละทิ้ง’ สินค้าตลาดแมสออกจากพอร์ตทั้งหมด และกลับมาโฟกัส 2 ฮีโร่ โปรดักต์ ได้แก่ Ultimate Recovery Treatment Essence และ Brightening Treatment Essence ด้วยการรีแบรนด์ให้ดูทันสมัย เริ่มตั้งแต่เปลี่ยนโลโก้ Sewa เป็นตัวพิมพ์เล็ก สื่อถึงความเรียบง่ายแต่ทันสมัย พร้อมออก แบบบรรจุภัณฑ์แบบ eco-friendly

 

ขณะเดียวกันได้วางงบการตลาดกว่า 50 ล้านบาท สำหรับสร้างภาพจำใหม่ ผ่านจอ LCD ใจกลางเมือง, การหุ้มขบวนรถไฟฟ้า BTS, สื่อกลางแจ้งทั่วกรุงเทพฯ

 

ส่วนด้านช่องทางจำหน่าย จะเน้น Omni-channel ครอบคลุมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เริ่มจากช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Lazada, Shopee, TikTok Shop พร้อมระบบ Affiliate ที่เปิดให้ผู้บริโภคและครีเอเตอร์สร้างคอนเทนต์รีวิวรวมถึงขายสินค้าโดยตรง ก่อนจะขยายสู่ช่องทางโมเดิร์นเทรด

 

และแม้จะพยายามสลัดภาพ ‘แบรนด์ดารา’ แต่ทางประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sewa ยอมรับ ดารายังสำคัญในการสร้างการรับรู้และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

 

ดังนั้นแบรนด์ได้เลือก ‘เจนเย่ เมธิกา’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ สะท้อนภาพคนรุ่นใหม่ และเชื่อมโยงกับความเป็นเกาหลีอย่างมีสไตล์ เพื่อหวังปูทางส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ เนื่องจากเจนย่ามีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน

ตั้งเป้าธุรกิจจะพลิกคืนกลับมาปีหน้า

 

หลังจากแจ้งเกิดแบรนด์ใหม่อีกครั้ง ทางประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sewa มั่นใจธุรกิจจะพลิกคืนกลับมาอีกครั้งภายในปี 2569 ด้วยการตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ 600 ล้านบาท เท่ากับยอดขายช่วงก่อนแบรนด์จะเกิดสะดุด

 

แม้สภาพเศรษฐกิจดูจะไม่เอื้ออำนวย และตลาดสกินแคร์จะแข่งขันดุเดือด แต่ธุรกิจความงามยังคงเติบโตได้ดี โดยเฉพาะหมวด Beauty & Personal Care ที่เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจอย่างชัดเจน สะท้อนจากข้อมูลล่าสุดของ Kantar ระบุว่า ตลาดสกินแคร์ในไทยยังมีโอกาสเติบโต โดยกลุ่มสกินแคร์ผิวหน้าโต 12.3% และเมคอัพโต 11%

 

สำหรับแรงหนุนที่ทำให้ตลาดสกินแคร์เติบโต หลัก ๆ มาจากพฤติกรรม Self-care ของผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนอายุ 25 ขึ้นไปที่หันมาใส่ใจสุขภาพผิวและองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์มากขึ้น บวกกับกลยุทธ์การขายยุคใหม่อย่าง TikTok Shop และ Affiliate Commerce ที่เอื้อให้สินค้าหมวดบิวตี้ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้งการเข้าถึงลูกค้าและสร้างยอดขาย

 

 

 

]]>
1546378
‘คาร์มาร์ท’ ปูทางสู่ Global Brand ‘หมื่นล้าน’ https://positioningmag.com/1545335 Mon, 03 Nov 2025 14:45:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545335 ‘คาร์มาร์ท’ (Karmart) ผู้นำเข้าเครื่องสำอางจากเกาหลี และเจ้าของเครื่องสำอาง T-Beauty ที่มีแบรนด์ในพอร์ตถึง 21 แบรนด์ กำลังเดิมพันครั้งใหญ่ด้วยการนำ CATHY DOLL บุกประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นตลาดที่ทั้ง ‘โหด’ และ ‘หิน’ เพื่อเป็นหมุดหมายแรกสำหรับปูทางสู่การเป็น Global Brand และผลักดันรายได้แตะ 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2573

 

“ไม่มีเครื่องสำอางแบรนด์ไทยแบรนด์ไหนไปเกาหลีเลย เพราะที่นั่นมีความเป็นชาตินิยม และในตลาดมีแบรนด์เกาหลีให้เลือกมากกว่า 5,000 แบรนด์ เรียกได้ว่า เป็นตลาดหินสุด ๆ เราก็เลยอยากเริ่มการไปสู่แบรนด์ระดับโลกกับที่นี้ ลองดูว่า จะทำได้ไหม เหมือนครั้งนึงเราภูมิใจที่คนดังระดับโลกที่คนติดตามเป็นร้อยล้านคนก็เคยใช้เรา เช่น บ้านคาร์เดเชียน หรือจะเป็นวง Blackpink”

 

‘พงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล’ รองกรรมการฯ สายงานสื่อสารการตลาด และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) เล่าถึงการส่ง CATHY DOLL ไปบุกประเทศเกาหลีเป็นครั้งแรก พร้อมอธิบายเหตุผลที่คาร์ทมาร์ทอยากเป็นแบรนด์ระดับโลกว่า

 

1.เนื่องจากบริษัทฯ จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จึงจำเป็นต้องสร้างและขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อสร้างให้เกิดการเติบโตตลอดเวลา และการไปตลาดโลกถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหลังช่วงโควิดระบาด  ที่ T-Beauty ได้รับความนิยมและเติบโตเป็นอย่างมาก

 

2.การไปสู่ตลาดโลกเป็นความฝันของแบรนด์ไทยหลาย ๆ แบรนด์ รวมถึงคาร์มาร์ทที่ ต้องการสร้าง Legacy เป็นก้าวแรกของ T-Beauty แบรนด์ไทยที่สามารถบุกตลาดระดับสากลได้สำเร็จ  

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมี ‘สินค้าดี’ แต่การจะไปตลาดโลกแบบ ‘ฉายเดี่ยว’ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคู่แข่งเยอะ และแต่ละแบรนด์มีจุดแข็งของตัวเอง ดังนั้นกลยุทธ์ในเรื่องนี้ของคาร์มาร์ท จึงให้ความสำคัญกับการมี ‘พาร์ทเนอร์’ ที่ดีมีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อช่วยสร้างการรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว และทำให้แบรนด์มีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น

 

“ใคร ๆ ก็ทำแบรน์แล้วออกไปขายต่างประเทศได้ แต่จะสำเร็จได้ต้องมีปัจจัยอื่น ไปแบบมีความแข็งแรง ไปแบบมีเรื่องราว หรือ history ถึงจะเข้าไปในตลาดที่ยาก ๆ ได้ ถามว่า ท้าทายหรือไม่ ยอมรับท้าทาย แต่เราอยากไปให้ถึง”

 

นั่นจึงเป็นที่มาของ CATHY DOLL X  MAENG คอลเลกชั่นที่คาร์ทมาร์ทสร้างสรรค์ร่วมกับ MAENG หรือ Lee Myun Sun เมคอัพอาร์ทิสต์ระดับโลก ผู้อยู่เบื้องหลังความงามของซูเปอร์สตาร์ K-Pop และคนดังหลายต่อหลายคน หนึ่งในนั้น ก็คือ ‘โรเซ่ และลิซ่า แห่ง Blackpink’

 

“MAENG เคยสร้างไวรัลให้เราด้วยการใช้สินค้าแบรนด์ Baby Bright ของเราแต่งหน้าให้โรเซ่ Blackpink จนเกิดเป็นกระแสไวรัลในโซเชียล มีเดีย สินค้าในสต็อกกว่า 30,000 ชิ้นสามารถขายหมดใน 2-3 อาทิตย์ เราเสนอโปรเจกต์นี้กับ MAENG ไป 2 ปี และพัฒนาสินค้าอีกเกือบ 2 ปี จากประสบการณ์ในการทำงานของเขา 20 ปีผ่านมุมมองมืออาชีพระดับโลกที่ใช้งานจริง ใช้แล้วใช้อีก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในตลาดสากลได้ดี”

 

โดยคอลเลกชั่นนี้พัฒนาขึ้นมาภายใต้หลัก ‘less but pro’ น้อยชิ้นแต่ได้ฟินิชระดับโปร เพื่อให้ผิวเป็นผิว ผู้ใช้รู้สึกมั่นใจและใช้งานได้จริงในทุกวันแบบไม่ ‘ตายกล้อง’ เบื้องต้นมีด้วยกัน 8 ไอเทม อาทิ Skin-Like Waterfall Cushion, Fix & Fill Setting Spray, Artist Eyebrow Powder เป็นต้น

 

‘ออนไลน์’ ประตูแห่งโอกาสสู่ตลาดโลก

 

สำหรับช่องทางขายในประเทศ จะเน้นวางจำหน่ายที่ Beauty Stroe เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสได้ลอง และเลือกตามความเหมาะสม เช่น Beautrium, EVEANDBOY และ CATHY DOLL Shop ควบคู่ไปกับการเน้นช่องทางออนไลน์ ทั้งผ่านเว็บไซต์ของคาร์มาร์ท, Shopee, Lazada, TikTok, Konvy

 

ขณะที่ตลาดต่างประเทศ จะเริ่มจากช่องทางออนไลน์ และจะดูผลตอบรับก่อนจะขยายสู่ช่างทางอื่น โดยคอลเลกชั่น CATHY DOLL X  MAENG จะวางขายในเกาหลีเป็นประเทศแรกช่วงเดือน พ.ย. 2568 และจะวางขายใน ‘ญี่ปุ่น’ ไม่เกินเดือน มี.ค. 2569

 

จากนั้นจะขยายไปประเทศอื่นไม่ต่ำกว่า 13 ประเทศ หลัก ๆ จะอยู่ในเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ลาว ไต้หวัน จีน และประเทศในตะวันออกกลาง

สหรัฐฯ เป้าหมายต่อไป

 

‘วงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นอกจากเกาหลีแล้ว ทาง บริษัทฯ มีแผนจะบุกตลาดสหรัฐฯ อย่างจริงจังในปี 2569 หลังจากเมื่อต้นไตรมาส 4 ของปีนี้ได้มีการวางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และได้รับการตอบรับที่ดี

 

โดยการบุกตลาดสหรัฐฯ จะได้เห็นความร่วมมือกับเมคอัพอาร์ทิสต์ระดับโลก รวมถึงการเปิดแบรนด์ใหม่สำหรับจับตลาดนี้โดยเฉพาะ

 

“ปัจจุบันสินค้าของเราวางจำหน่ายใน 33 ประเทศ ซึ่งตลาดสหรัฐฯ หินไม่แพ้จีนและเกาหลี เพราะแบรนด์ของสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งและมีให้เลือกมากมาย ทั้งแบรนด์ระดับโลกและ Celebrity Brand แต่เราก็มีกลยุทธ์ของเราที่จะบุกตลาดนี้ เพื่อให้ก้าวสู่การเป็น  Global Brand อย่างแท้จริง จึงอยากให้รอติดตาม”

 

ตั้งเป้ารายได้ 10,000 ล้านบาทในอีก 5 ปี

 

สำหรับเป้าหมายของบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) ต้องการมียอดขายรวม 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 ซึ่งการก้าวสู่การเป็น Global Brand จะมีส่วนสำคัญให้การทำให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้

 

โดยนอกจาก CATHY DOLL อีกแบรนด์ที่ต้องการผลักดันสู่ตลาดต่างประเทศ ก็คือ แบรนด์สปา ‘รื่นรมย์’ (REUNROM) ซึ่งเติบโตมากกว่า 100% ในปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ศักยภาพของสินค้าแบรนด์ไทยที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก

 

“ปีนี้เราตั้งเป้ารายได้แบรนด์รื่นรมย์อย่างน้อย 130 ล้านบาท ส่วนปีถัดไปจะมีการเพิ่มไลน์โปรดักต์ และจะพาไปต่างประเทศ ด้วยเป้าหมายต้องการให้เป็น top 5 ของแบรนด์สปาของไทย โดยมีการขายในตะวันออกกลาง และมีแผนเปิด Pop-up store หลายแห่งในเอเชีย”

 

สุดท้ายแล้ว Positioning ถามกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) มั่นใจรึไม่ว่า จะพาคาร์มาร์ทที่เป็น T-Beauty โลดแล่นสู่เวทีแบรนด์ระดับโลกได้ คำตอบ คือ ‘มั่นใจ’

 

และระยะเวลาความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น หากได้แรงหนุนจากภาครัฐ แทนที่ผู้ประกอบการจะลงทุนลงแรงด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เหมือนกับที่รัฐบาลเกาหลีสนับสนุนจน K -Beauty ได้รับความนิยมบนเวทีโลกไปเรียบร้อยแล้ว

]]>
1545335
ทายาทรุ่น 3 ‘เช็งซิมอี๊’ ถึงโจทย์ใหญ่การครองใจ New Gen เพื่อจะลือลั่นสะท้านโลกันต์ได้เป็นร้อยปี https://positioningmag.com/1542650 Tue, 14 Oct 2025 07:20:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542650 ตอนนี้ ‘เช็งซิมอี๊’ ร้านขนมหวานอายุกว่า 70 ปี กำลังก้าวสู่ความท้าทายครั้งใหม่ นั่นคือ การครองใจ ‘คนรุ่นใหม่’ ให้มากขึ้น โดยจากนี้จะเห็นทั้งการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า การสื่อสารเพื่อสร้างเอนเกจกับคนกลุ่มนี้ และอาจจะได้เห็นสินค้าของเช็งซิมอี๊ใน ‘ร้านสะดวกซื้อ’ 

 

Positioning ได้พูดคุยกับ 3 พี่น้องทายาทรุ่นที่ 3 อย่าง ‘ภัทรภณ- ธนพล และศศธร คงศักดิ์ศรีสกุล’ ที่เข้ามารับช่วงธุรกิจต่อจากผู้เป็นพ่อ ‘สมชาติ คงศักดิ์ศรีสกุล’ ถึงภารกิจครั้งนี้ ซึ่งทั้งสามคนบอกว่า ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย แต่ต้องทำให้ได้ เพื่อให้เช็งซิมอี้สร้างตำนานลือลั่นสะท้านโลกันต์ไปนานเป็นแบรนด์ร้อยปี

เช็งซิมอี๊ แป้งแห่งความสุขที่เริ่มต้นจากรถเข็นข้างทาง

 

ทายาทรุ่น 3 เช็งซิมอี้เล่าว่า จุดเริ่มต้นของร้านเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ปีก่อนจากอากงและอาม่าที่เข็นรถเข็นขายเต้าทึงและน้ำแข็งไสแบบโบราณไปเรื่อย ๆ ตามย่านหัวลำโพง ตลาดสวนหลวง, วัดดวงแข และย่านจุฬาฯ เริ่มต้นมีขนมที่เป็นท็อปปิ้งอยู่ไม่ถึง 10 อย่าง

 

สำหรับชื่อร้านมีมาตั้งแต่ยุคของอากง โดยเช็งซิมอี๊เป็นภาษาแต้จิ๋ว คำว่า ‘เช็งซิม’ แปลว่า ‘ความสุข’ และ ‘อี๊’ แปลว่า ‘แป้ง’ รวมความหมายแล้วก็คือ ‘แป้งแห่งความสุข’

 

ส่วนสโลแกน ‘ลือลั่นสะท้านโลกันต์’ อากงก็เป็นคนคิดและมีมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากอากงต้องการให้ร้านมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล และสโลแกนดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ‘หนังจีนกำลังภายใน’ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคนั้น 

 

การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของร้านเกิดขึ้นเมื่อพ่อของพวกเขาที่เป็นลูกคนสุดท้องจากลูกทั้งหมด 10 คนของอากงได้เข้ามาพัฒนากิจการเปลี่ยนจากร้านเข็นข้างทาง มาเป็น ‘ตึกแถว’ เปิดขายอยู่บริเวณหน้าจุฬาฯ ซึ่งที่นี้เองถือเป็นสาขาออริจินัลของร้าน

 

รวมถึงได้เพิ่มความหลากหลายของท็อปปิ้งต่าง ๆ เข้ามา เพื่อเจาะลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ โดยเฉพาะ ‘เด็กจุฬาฯ’ จนกระทั่งปัจจุบันร้านมีท็อปปิ้งให้เลือกมากถึง 40-50 อย่าง ภายใต้หลักการยึด ‘คุณภาพ’ และ ‘รสชาติ’ เป็นสำคัญ 

 

เช่น น้ำตาลมะพร้าว ต้องสั่งมาจากแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นแหล่งผลิตดีที่สุด, มะพร้าว ต้องมาจากทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพราะลูกใหญ่ให้เนื้อเยอะ  ส่วนน้ำเชื่อม น้ำลำไย ก็จะควบคุมการผลิตเองทั้งหมด

 

ทั้งหมด ทำให้เช็งซิมอี๊มีชื่อเสียง และเติบโตกระทั่งวันนี้มีสาขา 50-60 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งตึกแถวและศูนย์อาหารของศูนย์การค้า ตลอดจนไฮเปอร์มาร์เก็ตหลายต่อหลายแห่ง

ธุรกิจครอบครัวไม่คิดขายแฟรนไชส์

 

เช็งซิมอี้เป็น ‘ธุรกิจครอบครัว’ ที่มีจุดยืนชัดเจน คือ ‘ไม่ขายแฟรนไชส์ให้กับบุคคลภายนอก’ โดยสาขาที่มีอยู่ทั้งหมดจะเป็นของคนในตระกูลคงศักดิ์ศรีสกุล และแต่ละสาขาจะมีการแบ่งแยกการดูแลชัดเจน เพื่อความสะดวกในการบริหารกิจการ อย่างสาขาภายใต้การดูแลของสมชาติ ผู้เป็นพ่อของทั้งสามจะมีอยู่ประมาณ 15 แห่ง

 

อย่างไรก็ตาม การเปิดสาขาแต่ละแห่งจะมีการประชุมกันในครอบครัวเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน กฎหนึ่งในนั้น ‘ต้องเปิดสาขาห่างกันอย่างน้อย 5 กิโลเมตร’ เพื่อไม่ให้แย่งลูกค้ากัน

 

สำหรับการควบคุมแต่ละสาขาให้มีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน นอกจากฟังเสียงลูกค้าแล้ว ทุกคนในตระกูลจะให้ feedback ซึ่งกันและกัน เพื่อตักเตือนและแนะนำในการพัฒนา รวมถึงอยู่ระหว่างการวางระบบเรื่องนี้ให้ชัดเจน เพราะคุณภาพและมาตรฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจอาหาร

 

ส่วนประเด็นชื่อแบรนด์ที่อาจจะเรียกยากและไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนรุ่นใหม่ 

 

ทั้งสามคนย้ำว่า ไม่มีแผนจะรีแบรนด์ เพราะชื่อนี้อยู่มานานแล้วกว่า 70 ปี และเชื่อว่า แม้คนจะเรียกชื่อไม่ถูก แต่รู้ว่า นี่คือร้านอะไร ที่สำคัญมั่นใจในเรื่องรสชาติของเช็งซิมอี๊ว่า เมื่อลูกค้าได้ลองแล้วจะติดใจ ไม่เช่นนั้นแบรนด์คงอยู่ยาวนานขนาดนี้ไม่ได้

ครองใจเจนใหม่โจทย์ใหญ่ทายาทรุ่น3

 

อีกโจทย์สำคัญของทายาทรุ่น 3 ก็คือ ทำอย่างไรให้กลุ่ม New Gen รู้จักและมาเป็นลูกค้าให้มากขึ้น เพราะเป้าหมายของทั้งสาม  ต้องการพาเช็งซิมอี้เป็น ‘ขนมที่กินได้ทุกวัย’ และอยู่ไปนานเป็น ‘ร้อยปี’ ซึ่งถือเป็นความท้าทาย เนื่องจากแบรนด์อยู่มานานกว่า 70 ปี ทำให้กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่และสูงอายุ

 

การแก้โจทย์ดังกล่าว นอกเหนือจากเมนูซิกเนเจอร์ขายดีอย่าง ‘เต้าทึง’ และ ‘เมนูน้ำกะทิ’ ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร จะมีการเพิ่มความหลากหลายของเมนูเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ เช่น เพิ่มเมนูไอศกรีม, เปิด ‘ร้านขนมปัง’ เพิ่มในสาขาศรีนครินทร์  

 

หรืออนาคตอาจจะได้เห็นสินค้าของเช็งซิมอี๊วางจำหน่ายใน ‘ร้านสะดวกซื้อ’ ซึ่งต้องใช้เวลาพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับ Shelf-life อายุการเก็บรักษา

ไม่รีแบรนด์เพราะเชื่อแม้เรียกชื่อไม่ถูกแต่จำได้

 

นอกจากนี้ พยายามเข้าถึงและเอนเกจกับคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น ผ่านช่องทางโซเชียล มีเดีย ส่วนประเด็นชื่อแบรนด์ที่อาจจะเรียกยากและไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนรุ่นใหม่ 

 

ทั้งสามคนย้ำว่า ไม่มีแผนจะรีแบรนด์ เพราะชื่อนี้อยู่มานานแล้วกว่า 70 ปี และเชื่อว่า แม้คนจะเรียกชื่อไม่ถูก แต่รู้ว่า นี่คือร้านอะไร 

 

ดังนั้น ทิศทางที่จะทำให้เช็งซิมอี๊เดินหน้าและเติบโตในอนาคต ทายาทรุ่น 3 ทั้งสามคนย้ำว่า ความสำคัญยังอยู่ที่การรักษาคุณภาพและมาตรฐาน เพราะเชื่อมั่นว่า เมื่อใครได้ลองเช็งชิมอี๊แล้วจะติดใจ ไม่เช่นนี้นั้นแบรนด์จะอยู่ไม่ได้นานถึง 70 ปี แถมเติบโตอย่างที่เห็นอย่างในปัจจุบัน

 

“เมื่อก่อนเราเป็นสตรีทฟู้ดส์บ้านๆ แต่ตอนนี้การที่เราเป็นคนรุ่นใหม่อยากทำอะไรให้มีมาตรฐานและเป็นระบบ ทำให้ของพัฒนาดีขึ้น ซึ่งเห็นมาแล้วระยะหนึ่งตั้งแต่ขยายสาขาเข้าห้าง อีกส่วนคือ เจาะคนรุ่นใหม่ ถามว่ายากไหม ก็ยาก แต่ต้องทำเพื่อจะบรรลุเป้าหมายในการพาเช็งซิมอี๊ให้อยู่ลือลั่นสะท้านโลกันต์ไปเป็นร้อยปี”

]]>
1542650
ถอดแนวคิด 4 แบรนด์ไทย ทำอย่างไรถึงแจ้งเกิดได้ ในสมรภูมิที่แข่งเดือด https://positioningmag.com/1540408 Wed, 01 Oct 2025 03:58:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1540408 ถอดแนวคิด 4 แบรนด์ไทย ‘RAVIPA-แก้ว Boutique- PAÑPURI- Good Hood Service’ ทำอย่างไรถึงแจ้งเกิดได้ เมื่อต้องอยู่ในสมรภูมิที่แข่งขันดุเดือด และต้องสู้กับแบรนด์ใหญ่

 

ในโลกปัจจุบันที่การแข่งขันรุนแรง บวกกับมีการไหลเข้ามาของแบรนด์ต่างประเทศ ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วแบรนด์ไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรายเล็กในบ้านเรา จะแจ้งเกิดและอยู่รอดได้อย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้

 

ประเด็นดังกล่าวได้ถูกหยิบมานำเสนอบนเวทีเสวนา The SME Zero-to-One Playbook form Brand Leader ที่มี 4 แบรนด์ไทยอย่าง RAVIPA, แก้ว Boutique, PAÑPURI, Good Hood Service มาร่วมแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับเส้นทางและกลยุทธ์ที่สร้างความสำเร็จให้แบรนด์ถูกกล่าวถึงและก้าวมาสู่แถวหน้าของธุรกิจอย่างเห็นในปัจจุบัน 

 

RAVIPA เชื่อในสิ่งที่ทำ

 

สำหรับ RAVIPA เครื่องประดับแบรนด์ดังอายุ 12 ปี ทาง ‘ธนิสา วีระศักดิ์ศรี’ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งแชร์ถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ว่า RAVIPA เกิดจาก passion ของตัวเองที่อยากมีเครื่องประดับที่สวยและใส่ได้ทุกวัน ที่สำคัญใส่แล้วดีต่อใจ ทำให้เธอตัดสินใจชวนพี่สาวที่มีฝีมือและประสบการณ์ในการออกแบบเครื่องประดับมาปลุกปั้นแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา

 

สำหรับ 3 สิ่งที่คนอยากหรือเริ่มทำธุรกิจห้ามลืม 1. ต้องรู้ว่าลูกค้าของเราคือใคร 2. โปรดักต์อะไรที่จะเหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา สุดท้าย 3. บริการ เพื่อเติมเต็มการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตั้งแต่ Customer journey แรกไปจนถึงปลายทาง อย่าง RAVIPA เองไม่ได้แค่โปรดักต์ แต่ขาย Emotion ด้วย ซึ่งการที่ลูกค้าจะ ‘ซื้อเพิ่ม’ หรือ ‘กลับมาซื้อซ้ำ’ บริการเป็นเรื่องสำคัญ

 

อย่างไรก็ตาม กว่า RAVIPA จะประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น ธนิสา บอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย และการทำแบรนด์เป็นเรื่องที่เหนื่อย จึงอยากฝากถึงผู้ประกอบการทุกคนว่า ‘ต้องเชื่อในสิ่งที่ทำ’ เพราะบนเส้นทางธุรกิจมีปัญหาเกิดขึ้นทุกวัน และไม่มีสูตรสำเร็จ ดังนั้น อย่ายอมแพ้กับปัญหาหรืออุปสรรคที่เข้ามา และต้องทำ ‘ตัวเองให้พร้อม’ เนื่องจากเมื่อโอกาสมาถึง จะทำให้เราสามารถคว้าไว้ได้

 

แก้ว Boutique ต้องรู้ลูกค้าคือใคร

 

‘เมธัส ชัยมงคลานนท์’ ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง แก้ว Boutique เล่าว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ มาจาก Passion ตั้งแต่เด็กที่ชอบทำขนม บวกกับธุรกิจของครอบครัวทำร้านของฝาก ซึ่งมีการทำขนมหน้าร้าน จึงอยากนำขนมไทยที่ทำมาต่อยอดและปรับปรุงให้เข้ากับคนยุคใหม่ โดยวางให้แก้ว Boutique เป็น Creative Thai Desserts ทำให้ขนมไทยเป็นขนมในยุคนี้ สามารถทานได้ทุกวัน ไม่รู้สึกเบื่อ และไม่อายที่จะถ่ายภาพลงโซเชียลมีเดีย

 

โจทย์นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งสำคัญต้องรู้ว่า ‘ลูกค้าคือใคร’ และ ‘ต้องการอะไร’ เพื่อให้กำหนดทิศทางและกลยุทธ์ได้ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น แก้ว Boutique ต้องการยกระดับขนมไทยขึ้นห้างและเป็นขนมร่วมสมัยที่ต่างประเทศยอมรับ ดังนั้น การเลือกโลเคชั่นให้เหมาะกับโพสิชั่นที่วางไว้ก็สำคัญ โดยโลเคชั่นที่เลือกไปจะอยู่ในห้างที่มีทั้งลูกค้าไทยและนักท่องเที่ยว เช่น เซ็นทรัล ชิดลม,เซ็นทรัล พาร์ค เป็นต้น

 

ถัดมา เป็นเรื่อง ‘คุณภาพ’ และไม่ใช่แค่คุณภาพในเรื่องรสชาติ ยังรวมถึงแพ็กเกจ แบรนดิ้ง และหน้าตาของร้าน ส่วนสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ ‘คน’ แม้ในยุคนี้ที่เทคโนโลยีและ AI จะเข้ามามีบทบาท ซึ่งคนในที่นี้ หมายรวมถึงลูกค้า พนักงาน คู่ค้า เพราะถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านี้ เราจะไม่มีวันสำเร็จ

 

PAÑPURI ต้องหาจุดแข็งที่แตกต่างให้เจอ

 

‘ปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปุริ จำกัด ผู้บริหารแบรนด์ PAÑPURI (ปัญญ์ปุริ) แชร์ให้ฟังว่า การเป็นเอสเอ็มอีหรือผู้ประกอบการรายเล็ก ประเด็นสำคัญ ต้องหาจุดแข็งที่สร้างความแตกต่างให้เจอ และควร ‘โต’ ในเซ็กเมนต์เล็ก ดีกว่า ‘เล็ก’ ในเซ็กเมนต์ใหญ่ เพราะหากทำตามตลาดใหญ่เราอาจจะทำดีที่สุดคือแค่เสมอตัว

 

ยกตัวอย่าง PAÑPURI ที่ได้ออกสินค้ากลุ่ม Perfume oil ออกมาเมื่อช่วง 2 ปีก่อน เนื่องจากต้องการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างชื่อในฐานะ T-Beauty แทนที่จะออกสกินแคร์หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ออกมาเหมือนหลายแบรนด์นิยมทำตอนนั้น ปรากฏว่า ปัจจุบันกลุ่ม Perfume oil กลายเป็นสินค้าที่เติบโตเร็วสุดของแบรนด์ และมีหลายแบรนด์ออกสินค้ากลุ่มนี้สู่ตลาดมากขึ้น

 

‘การเข้าใจผู้บริโภค’ เป็นอีกสิ่งที่ลืมไม่ได้ โดยตอนนี้ ‘สาขา’ ไม่ใช่ Point of sale หรือจุดขาย ทว่าเป็นจุดที่สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า ส่วนการซื้อสินค้าปัจจุบันลูกค้าสามารถซื้อที่ไหนก็ได้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ดังนั้น ร้านของ PAÑPURI จะมีการตกแต่งแบบจัดเต็ม ให้ลูกค้าได้ทดลองสินค้าและได้สัมผัสประสบการณ์ตรงจากแบรนด์ เช่น PAÑPURI WELLNESS สาขาเกษรพลาซ่า เป็นต้น

 

Good Hood Service เป็นตัวเองสำคัญ

 

ขณะที่ Good Hood Service ผู้จัดอีเวนต์ที่รวมร้านค้าสุดคูล อาหารอร่อย และดนตรีสดสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่  ทาง ‘แสนสิริ ศิริพรเลิศกุล’ ผู้ร่วมก่อตั้ง Good Hood Service กล่าวว่า การเป็นผู้ประกอบการรายเล็กมีข้อจำกัดในเรื่องของเงินทุนที่จะไปสู้กับรายเก่าและรายใหญ่ได้ยาก

 

ดังนั้น การแจ้งเกิดธุรกิจ การเป็นตัวเอง และความมีครีเอทีฟเป็นสิ่งสำคัญ อย่าง Good Hood Service เองจะมีการวางโพสิชั่นชัดเจน รวมถึงเน้นเรื่องร้านค้าที่มีคุณภาพและมีฐานแฟนติดตาม จากนั้นสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้อีเวนต์น่าสนใจมากขึ้นทุกปี จากตลาด กลายมาเป็น Experience event ที่น่าสนใจ และตอนนี้กำลังเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ของผู้คน

]]>
1540408
SCG ชูจุดแข็ง ‘ฐานผลิตอาเซียน’ กระจายความเสี่ยงธุรกิจ – สู้ศึกภาษีสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1532122 Sun, 03 Aug 2025 06:07:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532122 ช่วงครึ่งปีแรก 2568 ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ส่วนสถานการณ์ครึ่งหลัง ‘ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี (SCG) บอกว่า ‘จะยิ่งท้าทายกว่า’ จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย, อาเซียน ไปจนถึงเศรษฐกิจโลก

 

โดยปัจจัยที่กระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ได้แก่ 1.ภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 3.ความผันผวนของราคาพลังงาน ซึ่งทุกองค์กรต้องเตรียมความพร้อม และแผนรับมือไว้ให้ดี รวมไปถึงเอสซีจี

 

“หลังจากข้อสรุปอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเก็บไทย อย่าลืมเรื่อง Transhipment หรือภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งผ่านไทยก่อนจะไปอเมริกา ที่ถือเป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องสนใจ หากมีอัตราสูงก็อาจกระทบต่อซัพพลายเชน โดยสถานการณ์เศรษฐกิจต่อจากนี้ จะมีเหตุการณที่ทำให้เราเดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวตกใจ สลับกันไปมา ทำให้หัวใจเราแข็งแรงขึ้น”

 

ดังนั้น เอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ โดยจะใช้การมี ‘ฐานผลิตในอาเซียน’ ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มาสร้างความได้เปรียบกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และรับมือการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะที่การลงทุนในไทย ก็ยังเดินหน้าต่อ เพื่อเน้นจำหน่ายและใช้งานในประเทศ

 

โดยกลยุทธ์สำหรับสู้กับทุกความท้าทาย ประกอบด้วย

 

1.ชูฐานผลิตหลากหลายในอาเซียน (Regional Optimization) ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี อาทิ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย ฯลฯ

 

นอกจากนี้ ทางเอสซีจียังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาดปูนเม็ด (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด ‘3D Printing Solution’ เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย ฯลฯ

 

2.ลดต้นทุนเพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น การใช้หุ่นยนต์และ AI สำหรับผลิตสินค้าคุณภาพตามมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุนบริหารจัดการ รวมถึง ลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ เป็นต้น

 

3.ดันสินค้า Smart Value – HVA – Green รุกตลาดเติบโตสูง โดยเร่งขยายสินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products – SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

 

“การโฟกัส 3 เรื่องนี้ จะทำให้ฐานการผลิตในอาเซียนของเราเข้มแข็งขึ้น และเพิ่มอัตราการเติบโตระยะยาวให้สูงขึ้น แต่ต้องใช้เวลา”

 

สำหรับผลประกอบการครึ่งแรกปี 2568 เอสซีจีมีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท และหากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะมีกำไร 3,266 ล้านบาท ขณะที่กระแสเงินสด (EBITDA) อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งหลังของปีก่อน 21%

 

การดำเนินงานที่สำคัญในครึ่งปีแรกของปี 2568

 

1.ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น เอสซีจีซี บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากสายผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้ 912 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้ 6,989 ล้านบาท ฯลฯ

2.ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ โดยหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรป ของเอสซีจีซี รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท

 

3.ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพ

 

รวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท

]]>
1532122
Pennii ป๊อปคอร์นที่เริ่มต้นจาก ‘ความเป็นแม่’ สู่แบรนด์ไทยที่อยากจะปักธงไปทั่วโลก https://positioningmag.com/1531446 Tue, 29 Jul 2025 04:53:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531446 จากจุดเริ่มต้นที่อยากให้ลูก ๆ ได้กินของดี อร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำให้ ‘พรพิมล ปักเข็ม’ เริ่มทำขนมแบบโฮมเมดและคิดค้นสูตรขึ้นมาเอง จนเกิดเป็น Pennii (เพนนี) แบรนด์ป๊อปคอร์นสาย Healthy Snack ซึ่งตอนนี้กลายเป็นธุรกิจที่ทำจริงจัง

  

พรพิมลเล่าว่า ด้วยความเป็นคนชอบกินขนมมาตั้งแต่เด็ก และถูกปลูกฝังจากครอบครัวให้เลือกกินของดีที่ไม่ได้หมายถึงของราคาแพง แต่ต้องสะอาด อร่อยดีต่อสุขภาพ และเมื่อเธอเป็นแม่ จึงเริ่มทำขนมเป็นงานอดิเรกเพื่อให้ลูก ๆ ได้กิน และคิดค้นสูตรป๊อปคอร์นแบบโฮมเมดขึ้นมาเอง โดยเน้นใช้ของดีจากธรรมชาติ กินแล้วไม่รู้สึกผิด เช่น เมล็ดข้าวโพดมาจากสหรัฐอเมริกา, เนยจากฝรั่งเศส และมีรสชาติหวานน้อย ฯลฯ

 

ปรากฏว่า ได้รับการตอบรับที่ดี ลูก ๆ ชอบ และเมื่อนำไปแจกคนอื่นชิมก็ได้รับคำชม นำมาสู่การพรีเดอร์จำนวนมาก ทำให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ จึงเปลี่ยนงานอดิเรกที่ทำเล่น ๆ เพื่ออยากให้ลูกกินของดี มาลงมือทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง ในชื่อ Pennii ซึ่งมาจากชื่อลูกชายและลูกสาว ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘กินเพลิน ไม่เกินแคล’

 

สำหรับจุดเด่นของแบรนด์ คือ จะไม่ใส่วัตถุกันเสียและวัตถุดิบสังเคราะห์ รวมถึงเลือกใช้เทคโนโลยี ‘Air Pop’ เทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกาเพื่อผลิตป๊อปคอร์นด้วยอุณหภูมิความร้อนสูงแบบไม่ใช้น้ำมัน ซึ่งจะช่วยรักษาคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการของเมล็ดข้าวโพดไว้ได้มากกว่าการทอดหรืออบในน้ำมัน และมีไขมันต่ำกว่า 50% เมื่อเทียบกับป๊อปคอร์นทั่วไปในตลาด

 

“เราวางตัวเองเป็นป๊อปคอร์นเพื่อสุขภาพ เพราะเห็นช่องว่างของตลาดที่ยังไม่มีใครทำ และคนกลุ่มนี้จะไม่คุยเรื่องราคา บวกกับเราใช้ของดีที่มีต้นทุนสูง จึงวางแบรนด์ Pennii ไว้เซกเมนต์พรีเมียม และมองตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติกับตลาดในต่างประเทศเป็นหลัก”

 

ส่วนรสชาตินั้น นอกจากรสชาติฮิตทั่วไปอย่างคาราเมล,ช็อกโกแลต, ชีส ฯลฯ ทาง Pennii ยังมีรสชาติที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย เช่น ต้มยำกุ้งที่มีกุ้งเป็นตัว ๆ , รสทุเรียนที่มีชิ้นทุเรียน รวมถึงมีรสชาติเพื่อสุขภาพอย่างเนยผสมโพรไบโอติกส์

มาถึงวันนี้ Pennii เดินทางเข้าสู่ปีที่ 8 ซึ่งเป้าหมายใหญ่ของพรพิมลต้องการพาแบรนด์ที่สร้างขึ้นมาไปสู่ตลาดทั่วโลก โดยปัจจุบันนอกจากวางขายในกูร์เมต์ และซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำแล้ว Pennii มีการส่งออกไปในหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง ดูไบ และจีน

 

เพราะเธอเชื่อว่า โปรดักต์ของตัวเองดีจริง และไม่ได้ขายแค่ความอร่อย แต่ขายไอเดียด้วยการเปลี่ยนภาพจำป๊อปคอร์นแบบเดิมที่ถูกมองเป็น ‘ตัวร้าย’ ให้กลายเป็นทางเลือกสายสุขภาพที่กินแล้วไม่รู้สึกผิด

]]>
1531446
‘ศรีฟ้าเบเกอรี่’ จากร้านขนมภูธรที่แจ้งเกิดจากเค้กฝอยทอง สู่ก้าวต่อไป ‘เบอร์ 1 ร้านเบเกอรี่อบสดของไทย’ ใน 5 ปี https://positioningmag.com/1528520 Wed, 02 Jul 2025 04:59:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1528520 จากร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรีที่แจ้งเกิดจากเค้กฝอยทอง ตอนนี้ ‘ศรีฟ้าเบเกอรี่’ ได้เดินทางมาครบ 39 ปี มีสาขากว่า 43 แห่ง กระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ และกำลังก้าวสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าเดิม คือ การเป็น ‘เบอร์ 1 ร้านเบเกอรี่อบสดของไทย’ ภายใน 5 ปี ด้วยจำนวนสาขามากกว่า 400 สาขา

 

ย้อนไปในปี 2529 ธุรกิจของศรีฟ้าเบเกอรี่ได้เริ่มต้นจาก ‘วิเชียร เจนตระกูลโรจน์’ ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างอาชีพให้กับตัวเองและอยากให้ผู้คนได้กินเบเกอรี่ที่มีคุณภาพ รสชาติอร่อยในราคาเข้าถึงง่ายโดยเปิดเป็นร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ในตลาดท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ก่อนจะมีสาขาอื่นๆ ตามมา

สำหรับจุดพลิกผันแรกของร้านแห่งนี้เกิดขึ้นในปี 2540 ที่วิโรจน์ได้เปิด ‘ร้านศรีฟ้าของฝาก’ บนถนนแสงชูโตสายใหม่ และหยิบสินค้าตัวหนึ่งอย่าง ‘เค้กฝอยทอง’ ที่ร้านอื่นไม่มีมาปลุกปั้น เพื่อสร้างความแตกต่างกับคู่แข่งที่รายล้อมรอบด้าน

 

นั่นกลายเป็นจุดแจ้งเกิดให้ศรีฟ้าเบเกอรี่เป็นที่รู้จักและได้รับการตอบรับดีในวงกว้าง ก่อนจะมาถึงจุดพลิกผันอีกครั้งในปี 2547 เมื่อคนจัดซื้อ 7-Eleven ติดต่อให้นำเค้กฝอยทองไปวางจำหน่าย

 

มาถึงวันนี้ศรีฟ้าเบเกอรี่ดำเนินธุรกิจมานาน 39 ปี ด้วยจำนวนสาขามากกว่า 43 แห่ง ในภาคกลาง, ภาคตะวันตก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก 

 

รวมถึงมีสินค้าวางจำหน่าย 7-Eleven ทั่วประเทศ, โลตัส, แม็คโคร ฯลฯ และมีการส่งออกไปยังออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จีน, อังกฤษ, สแกนดิเนเวีย, สหรัฐอเมริกา และแอฟริกาใต้ ในกลุ่มสินค้าทองม้วน

Key Point ที่ทำให้ร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ในภูธรเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ วิเชียรบอกว่า นอกจากคุณภาพและความจริงใจกับลูกค้าแล้ว ก็คือ ‘การไม่หยุดนิ่ง’ และ ‘พัฒนาตลอดเวลา’

 

“การทำแบบเดิมอยู่เรื่อย ๆ เราคงเป็นร้านโกปี๋อายุ 40 ปีที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เราต้องพัฒนาตลอดตามจังหวะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทั้งหน้าตา คุณภาพ รสชาติ และกระบวนการสารพัด เช่น สินค้าขายดีจะทำอย่างไรให้ขายดียิ่งขึ้น อย่างทำให้ไซส์เล็กลงเหมาะกับการบริโภคของแต่ละคน มีแพ็กเกจพกพาง่ายแบบนี้เป็นต้น”

 

ที่สำคัญ เมื่อเจอปัญหาหรืออุปสรรค อย่ายอมแพ้ เพราะวิเชียรเชื่อว่า ทุกปัญหา ไม่มีอะไรที่แก้ไม่ได้ ถ้าตั้งใจจะแก้ และทุกๆ วิกฤตย่อมมีโอกาส ถ้าสู้แบบไม่ถอย ไม่คิดจะล้มเลิก ก็จะเดินหน้าต่อไปได้เสมอ

 

“ทุกการเดินทาง เราย่อมพบปะผู้คนและได้สั่งสมประสบการณ์ เมื่อวันนึงเจอปัญหาใหญ่เข้ามาขวางในชีวิต สิ่งเหล่านี้จะช่วยชีวิตคุณ และทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส วิธีที่ 1 แก้ไม่ได้ ก็หาวิธีที่ 2 วิธีที่ 3 อย่างที่บอก ถ้าเราตั้งใจ ไม่ยอมแพ้ เราจะผ่านทุกอย่างไปได้ 

 

“เหมือนกับศรีฟ้าเบเกอรี่ที่เคยผ่านประสบการณ์เกือบล้มละลาย ต้องยืมเงินคนมาจ่ายเงินเดือน 10 ล้านมาแล้ว ทั้งที่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ แต่สุดท้ายด้วยการไม่ยอมแพ้ ใจสู้ ถึก อดทน และไม่หยุดพัฒนา ก็ทำให้เราผ่านมาได้จนถึงวันนี้” 

 

ปัจจุบันวิโรจน์ได้ส่งต่อธุรกิจนี้ให้กับทายาทอย่าง ‘พีรวัส เจนตระกูลโรจน์’ ซึ่งเขาไม่ได้ให้โจทย์อะไร แค่ถามว่า ‘ก่อนตายศรีฟ้าเบเกอรี่จะใหญ่แค่ไหน’

 

คำตอบของคำถามนี้ พีรวัสบอกว่า ต้องการพาศรีฟ้าเบเกอรี่ก้าวสู่  ‘ร้านเบเกอรี่อบสดเบอร์ 1 ของไทย’ ให้ได้ภายใน 5 ปี  

 

“หน้าที่ผม คือ ทำให้ศรีฟ้าเบเกอรี่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ครอบคลุมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนที่พ่อทำมา”

 

เป้าหมายการเป็นเบอร์ 1 ที่ว่า จะเป็นทั้งในด้าน ‘จำนวนสาขา’ และ ‘ยอดขาย’ โดยในส่วนของสาขา จะเน้นสร้างช่องทางจำหน่ายของตัวเองด้วยการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ และการรับจ้างผลิต ซึ่งพีรวัสได้เปลี่ยนศรีฟ้า    เบเกอรี่จาก ‘ผู้ผลิต’ มาเป็น ‘ผู้ให้บริการเบเกอรี่แบบค้าปลีก’ ตั้งแต่ปี 2566 

 

และเริ่มผลิดอกออกผลสร้างให้เห็นการเติบโตในปี 2567 ทำให้สามารถเปิดสาขาได้มากขึ้น จากเดิมมีอยู่ 10 สาขา เป็น 40 สาขา ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเปิดสาขาเพิ่มอีก 40 สาขา 

 

“ตอนนี้ต้นทุนการผลิต ต้นทุนค่าแรง และการแข่งขันของผู้ประกอบการเบเกอรี่ค่อนข้างแรง ทำให้ต้องหาช่องทางใหม่ เพื่อมาบาลานช์ และทำให้ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับรับได้ ซึ่งการเป็นเบอร์ 1 เราต้องมีสาขามากกว่า 400 สาขา เพราะร้านเบเกอรี่ที่เป็นผู้นำ เช่น เอสแอนด์พีมีกว่าร้อยสาขา ส่วนยามาซากิมี 40-50 สาขาเน้นเปิดในห้าง ถ้าใน 5 ปีเรามีกว่า 400 สาขาก็ชนะได้ไม่ยาก”

 

สำหรับการเลือกโลเคชั่นเพื่อเปิดสาขาของศรีฟ้าเบเกอรี่จะแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่น คือ ‘จะไม่เปิดในห้างหรือศูนย์การค้า’ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงและความยืดหยุ่นต่ำ เช่น เวลาเปิด-ปิดต้องพร้อมห้างทำให้เป็นข้อจำกัด แต่จะเน้นเปิดตามชุมชน เพราะนอกจากค่าเช่าที่ถูกและต้นทุนในการบริหารจัดการไม่สูงแล้ว

 

ที่สำคัญยังสามารถกำหนดเวลาเปิด-ปิดให้ตอบโจทย์ทราฟฟิกของพื้นที่ตรงนั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น หากอยู่ในโลเคชั่นที่ติดกับตลาดสด จะเปิด 6.00 น. ปิด 18.00 น. หรือย่านท่องเที่ยวอย่างพัทยา จะเปิดให้บริการ 10.00 – 22.00 น. เป็นต้น

ในส่วนของยอดขาย จะสร้างการเติบโตด้วยการตอกย้ำจุดแจ้งเกิดของตัวเอง และเป็นสิ่งที่ลูกค้าตอบรับดีมาตลอด 39 ปีที่ผ่านมา นั่นคือ เป็นเบเกอรี่สำหรับทุกคน และเป็นร้านที่เข้ามาซื้อได้ทุกวัน โดยเน้นคุณภาพ สินค้ารสชาติอร่อย มีความหลากหลายในราคาเข้าถึงง่าย

 

“เราอยากเป็นเรา เพราะตอนนี้ไม่มีใครเหมือนเรา ออกแบบบริการและสินค้าที่เป็นมิตรกับคนทั่วไป โดยเฉพาะต่างจังหวัด ซึ่งเป็นฐานลูกค้าใหญ่สุดของประเทศ โดยสินค้าเราเริ่มที่ 12 บาท มีให้เลือกกว่า 300-400 SKU

 

“ผมไม่อายนะที่จะบอกว่า เราเป็นเบเกอรี่จากต่างจังหวัด ทุกอย่างต้องไปวัดกันที่ยอดขาย และการเติบโตทางธุรกิจ และเราบอกลูกค้าเสมอว่า ศรีฟ้าเบเกอรี่ เป็นสินค้าแบบ Value for money ถูก ดี และเยอะ ซึ่งเหมาะกับคนส่วนใหญ่ในบ้านเรา โดยเฉพาะตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี การทำธุรกิจ ‘ถูก’ และ ‘ดี’ จะมีโอกาสรอดสูง”

 

อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมายก้าวสู่ร้านเบเกอรี่อบสดเบอร์ 1 ของไทย ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทาย แต่พรีวัสบอกว่า เป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมาศรีฟ้าเบเกอรี่โตทุกปี อย่างในปี 2567 โต 15% ส่วนปี 2568 ตั้งเป้าโต 20%

 

]]>
1528520
‘ทิพย์สมัย’ ร้านที่เคยเกือบเจ๊ง กับก้าวต่อไปการพา ‘ผัดไทย’ สู่เวทีโลก https://positioningmag.com/1525307 Tue, 10 Jun 2025 04:45:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1525307 หลายคนอาจไม่รู้ว่า ‘ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี’ สตรีทฟู้ดส์ชื่อดังเจ้าของตำนานความอร่อย 86 ปี จะเคยผ่านช่วงวิกฤตจนเกือบ ‘เจ๊ง’ มาแล้ว ก่อนที่ ‘ดร.ศีขรเชษฐ์ ใบสมุทร’ ทายาทรุ่น 3 จะเข้ามากอบกู้พลิกสถานการณ์ให้กลับมาเฟื่องฟูอย่างที่เห็นในปัจจุบัน และวันนี้เขามีความฝันใหญ่กว่าเดิม นั่นคือ อยากให้คนทั่วโลกได้สัมผัสผัดไทยที่แท้จริง ไม่ใช่ผัดไทยกลายพันธุ์

 

กว่าจะเป็นทิพย์สมัยผัดไทยประตูผี

 

ย้อนกลับไปในปี 2482 ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2  ‘ฮวย ภู่ศาสตร์’ ยายของ ดร.ศีขรเชษฐ์ ได้ทำผัดไทยสูตรของตัวเองแล้วพายเรือขายริมคลองภาษีเจริญ ที่จังหวัดสมุทรสาคร และได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาในการทำพร้อมสูตรต่าง ๆ ให้กับลูกสาวอย่าง ‘สมัย’ ผู้เป็นแม่ของ ดร.ศีขรเชษฐ์ กระทั่งเธอได้แต่งงานกับ ‘โชติ ใบสมุทร’ จึงตัดสินใจเปิดร้านผัดไทยริมทางย่านประตูผี เขตพระนคร ใช้เตาถ่านใบเล็ก ๆ ผัด และมีโต๊ะเก่า ๆ เพียงไม่กี่ตัว

 

จนวันนึง ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้มาชิมผัดไทยที่ร้านของทั้งคู่แล้วบอกว่า “นี่คือ รสชาติผัดไทยที่แท้จริงของคนไทย” ทำให้ร้านเริ่มมีชื่อเสียง และได้เช่าตึกแถวใกล้ร้านเดิมเพื่อเปิดร้านใหม่ ใช้ชื่อว่า ‘ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี’ โดยจานเด็ดขึ้นชื่อในยุคนั้นซึ่งเกิดจากการคิดค้นของสมัย ก็คือ ‘ผัดไทยเส้นจันท์ มันกุ้ง กุ้งสด ห่อไข่’

ดร.ศีขรเชษฐ์ ย้อนอดีตให้ฟังว่า ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ร้านมีลูกค้ามาใช้บริการแน่นทุกวัน กระทั่งปี 2540-2543 แม่ล้มป่วยและพ่อซึ่งตอนนั้นอายุมากต้องมารับช่วงต่อ แต่ด้วยรูปแบบร้านที่เดิม ๆ ไม่พัฒนาให้มีมาตรฐานตามยุคสมัย บวกกับเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ร้านทิพย์สมัยขาดทุนจนถึงขั้นจะปิดตัว

 

“ตอนนั้นเรียกว่า จุดต่ำสุดของร้านก็ว่าได้ จากร้านที่คนแน่น แทบไม่มีเลย สภาพร้านก็ไม่น่าเข้า พอพ่อจะวางมือให้ผมดูแลแทน ผมเลยตกลง เพราะมีความผูกพันกับแม่ และก่อนท่านเสียสั่งไว้ให้ผมดูแลกิจการของทิพย์สมัยต่อ โดยเข้ามารับช่วงต่อในปี 2555”

 

ณ วันที่เข้ามารับสานต่อธุรกิจ เป้าหมายแรกในใจของ ดร.ศีขรเชษฐ์ คือ ต้องพลิกฟื้นกิจการกลับมาให้ได้ เขาจึงลงมือรีโนเวตร้านเริ่มและสร้างให้มีมาตรฐานตามยุคสมัย แบบที่เรียกว่า ‘เปลี่ยนทุกอย่าง ไม่เว้นกระทั่งสูตร’

 

“สูตรต้องเปลี่ยน เพราะวัตถุดิบเปลี่ยน เช่น มันกุ้ง สมัยแม่ใช้จากแม่น้ำตาปี สุราษฎร์ธานี เพราะดีสุดในยุคนั้น แต่ตอนนี้แหล่งน้ำเปลี่ยนไปมาก ต้องหาที่ใหม่แทน สิ่งสำคัญเราต้องจดจำของเดิมเป็นอย่างไร แล้วทำให้รสชาติใกล้เคียงมากที่สุด อีกส่วนเราโชคดี ตอนที่ผมเข้ามาโซเชียลเริ่มมา ลูกค้าเดิมก็มีอยู่ พอเห็นการเปลี่ยนแปลง เขาไปลงโซเชียลเกิดปากต่อปาก ใช้เวลาเกือบ 2 ปีถึงพลิกฟื้นกลับมาได้ ซึ่งเราต้องขอบคุณลูกค้ามากจริง ๆ ที่ยังเหนียวแน่น”

 

พาผัดไทยสู่เวทีโลก

 

ณ วันนี้ เมื่อถามว่า เขาพาทิพย์สมัยเดินสู่ความสำเร็จแล้วหรือไม่ คำตอบ คือ ‘ใช่’ โดยจุดชี้วัดความสำเร็จ ได้แก่ การที่สื่อใหญ่ของต่างชาติ อาทิ CNN, BBC, NHK และอีกมากมายได้นำเสนอเรื่องราวของทิพย์สมัย ทั้ง ๆ ที่มีร้านผัดไทยอยู่ทุกซอกทุกซอย

 

มาถึงปัจจุบัน เขากำลังพาทิพย์สมัยสู่ถนนสายใหม่ โดยเป้าหมาย คือ ‘การพาผัดไทยสู่เวทีโลก’ ให้คนทั่วโลกได้สัมผัสผัดไทยที่แท้จริง ไม่ใช่ผัดไทยกลายพันธุ์

 

“ตอนเรียนอยู่ ม.ปลาย ผมไปเห็นคลิปในยูทูบที่ฝรั่งสั่งผัดไทยตามรถเข็นย่านข้าวสาร เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวผัดซอสดำ ๆ  พอกินแล้วเขาก็ขว้างทิ้ง แถมบอกนี่รึอาหารประจำชาติ นี่รึครัวโลก ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่หากินกับอาหารชนิดนี้ ผมยอมไม่ได้ เลยย้อนกลับมาพัฒนาที่ทิพย์สมัย และตั้งใจจะพาผัดไทยรสชาติแท้ ๆ สู่เวทีโลกให้คนทั่วโลกได้ชิมกัน”

 

นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมจากธุรกิจร้านอาหารเจ้าของตำนานความอร่อย 86 ปี ทายาทรุ่น 3 ทิพย์สมัยถึงตัดสินใจกระโดดเข้ามาเป็น ‘น้องใหม่’ ในธุรกิจอาหารแปรรูป ทั้งอาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมทาน ซอสปรุงรส และอาหารพร้อมทานแบบแช่แข็ง มาในคอนเซ็ปต์ Authentic Thai Taste to the World

ต้องทำง่าย รสชาติมีมาตรฐานทุกจาน

 

การจะพาผัดไทยสู่เวทีโลกได้ จำเป็นต้องการควบคุมรสชาติของผัดไทยในทุก ๆ จานให้มีมาตรฐานเดียวกัน และต้องมีโปรดักต์ที่ให้ผัดไทยทำได้ง่ายขึ้น ดร.ศีขรเชษฐ์ จึงก่อตั้ง ‘บริษัท สยาม รอยัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด’ ขึ้นมาผลิตซอสผัดไทยและซอสต่าง ๆ รวมถึงวัตถุดิบอื่น ๆ ภายใต้ 2 แบรนด์หลัก ได้แก่ ‘ทิพย์สมัย’ และ ‘แบรนด์ไทย’ 

 

โดยแบรนด์ทิพย์สมัย จะดูแลอาหารที่เกี่ยวข้องกับผัดไทยทั้งหมด เช่น ‘ผัดไทยกึ่งสำเร็จรูป’ มีด้วยกัน 7 สูตรตามภูมิภาคทั่วประเทศไทย เพียงเติมน้ำเล็กน้อย เทซอสผัดที่ให้มานำเข้าไมโครเวฟ 5 นาที ก็ได้รับประทานเหมือนมาทานที่ร้าน, ‘ผัดไทยแช่แข็ง’, ‘เส้นจันท์’, ‘ซอสผัดไทย’ รวมถึงสินค้าอื่น ๆ อาทิ น้ำจิ้ม,น้ำพริกเผา, น้ำปลาหวาน และชุดน้ำยำ

ส่วนอะไรที่ไม่ใช่ผัดไทย จะอยู่ภายใต้ ‘แบรนด์ไทย’ อาทิ เมนูเส้นจันท์แช่แข็งกะเพราหมู, ฯลฯ เมนูข้าว, เมนูยำวุ้นเส้น ไปจนถึงขนมไทยโบราณแช่แข็ง ซึ่งทั้งสองแบรนด์จะวางจำหน่ายที่ร้านทิพย์สมัย, ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ และส่งออกไปในหลายประเทศ เช่น เกาหลี, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

 

ขณะที่ร้านผัดไทยทิพย์สมัยที่ตอนนี้มี 5 สาขา ได้แก่ ประตูผี, สยามพารากอน, คิง พาวเวอร์ รางน้ำ, ไอคอนสยาม และพุทธมณฑลสาย 4 จะไม่เร่งเปิดสาขาเพิ่ม เพราะต้องการควบคุมคุณภาพ และให้แน่ใจว่า เมื่อเปิดแล้วต้องประสบความสำเร็จจริง ๆ

 

ดร.ศีขรเชษฐ์ไม่ได้ต้องการให้เมื่อพูดถึงผัดไทย คนจะต้องนึกถึงทิพย์สมัย แต่อยากให้นึกถึงอาหารประจำชาติ เพราะผัดไทยเป็นอาหารกอบกู้ความเป็นคนไทย กอบกู้เศรษฐกิจในยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่ข้าวยากหมากแพงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็น Soft Power ที่ทรงพลังของไทย

 

ส่วนการขยายไลน์สู่ธุรกิจใหม่ก็ไม่ได้เกิดจากความคิดที่ว่า ‘ร้านผัดไทยไม่ยั่งยืน’ เพราะทิพย์สมัยมีลูกค้าประจำจำนวนมากทั้งคนไทยและต่างชาติ จึงมั่นใจในแบรนด์ทิพย์สมัย ไม่เช่นนั้นคงอยู่ไม่ได้มานานถึง 86 ปี

]]>
1525307
จากสูตรแปรรูปมะขามแก้ว 4 บรรทัด สู่ ‘สารัช’ อาณาจักรมะขามร้อยล้าน https://positioningmag.com/1520330 Mon, 05 May 2025 06:04:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1520330 จากร้านขายมะขามเล็ก ๆ ของครูสอนเลขในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตอนนี้ ‘สารัช’ ได้เติบโตขึ้นมากลายเป็นอาณาจักรที่มีรายได้หลักร้อยล้านบาท และมีการส่งออกไปในหลายประเทศ แต่รู้หรือไม่ว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้สารัชเติบโตอย่างที่เห็นทุกวันนี้มาจากอะไร ?

 

เส้นทางของสารัชได้ถือกำเนิดขึ้นจากการที่ ผู้ก่อตั้งอย่าง ‘ครูหมู-สุภาลักษณ์ กมลธรไท’ ได้สั่งสมประสบการณ์จากการทำธุรกิจมะขามของครอบครัวมาตั้งแต่ปี 2517 และเห็นโอกาสทางธุรกิจของต่อยอดแปรรูปมะขามสู่สินค้ารูปแบบอื่น ๆ

 

จึงตัดสินใจกู้เงินจากธนาคาร 200,000 บาท มาสร้างโรงงานหนึ่งหลัง และกู้ยืมเงินจากแม่มาเป็นทุนซื้อมะขามเพื่อแปรรูป รวมถึงนำชื่อลูกชายคนเดียว คือ ‘สารัช’ มาเป็นชื่อแบรนด์และตั้งบริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ขึ้นมาในปี 2525 โดยสินค้าตัวแรก ได้แก่ ‘มะขามแก้ว’ ซึ่งสุภาลักษณ์ได้สูตรมาจากการเขียนจดหมายไปขอกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง และกว่าจะมาใช้เวลาเป็นเดือน ๆ

 

“ครอบครัวทำอาชีพขายมะขามมานาน เลยเห็นช่องทางในการเพิ่มมูลค่าสินค้าจากการนำไปแปรรูป เลยเขียนไปขอสูตรจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า ถ้าอยากแปรรูปมะขามทำอะไรได้บ้าง แล้วได้สูตรมะขามแก้วมา 4 บรรทัด จึงต่อยอดลองผิดลองถูกเอง ปรากฏว่า มะขามแก้วขายดี ทำให้ออกสินค้าตัวอื่น ๆ ตามมา เช่น มะขามคลุก, มะขามกวน, มะขามแช่อิ่ม และมะขามจี๊ดจ๊าด ฯลฯ ”

 

ปัจจุบันสารัชมีการผลิตสินค้ามากกว่า 30 รสชาติ ไม่น้อยกว่า 100 SKU โดย hero product ขายดีและสร้างรายได้ให้ 70-80%  ก็คือ ‘มะขามจี๊ดจ๊าด’ สินค้าที่ออกมาวางขายในปี 2551 ซึ่งครูหมูบอกว่า เธอเป็นต้นตำรับและเป็นคนคิดค้นสูตรขึ้นมาเอง

 

“จี๊ดจ๊าด มีคนบอกว่า เอามะขามเปรี้ยวมากินกับเกลือ อร่อยดี แนะนำให้เราทำ ก็เลยลองใช้มะขามเปรี้ยวมาคลุกกับเกลือ แต่ไม่อร่อย จึงคิดสูตรขึ้นมาเองเติมพริก เติมน้ำตาล เติมเกลือ เอาไปให้ 7-Eleven ชิม ปรากฏว่า ชอบ แต่กว่าจะผ่านได้ต้องเข้าไป 3 รอบกว่าจะนำไปขายได้”

 

สำหรับความได้เปรียบของสารัช และจุดที่ทำให้แบรนด์อยู่ได้มายาวนาน ประเด็นแรกเนื่องจากสารัชแทบจะเป็นแบรนด์เดียวที่มีการตั้งโรงงานอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ แหล่งปลูกมะขามหวานที่มีพื้นที่เพาะปลูกเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ทำให้ได้ผลผลิตคุณภาพและรสชาติดี

 

ถัดมา มาจากประสบการณ์ที่ครูหมูสั่งสมมายาวนาน ส่งผลให้รู้และเข้าใจถึงรสชาติตามธรรมชาติของมะขามที่มีทั้งหวาน และเปรี้ยว โดยเมื่อนำมาแปรรูปก็จะคงความเป็นเอกลักษณ์นี้ไว้ ภายใต้หลักการเน้นธรรมชาติ สะอาด ปลอดภัย และการพัฒนาไม่หยุด

 

รวมถึงมีการขยายช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุม โดยปี 2547 ได้นำสินค้าวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven และปี 2548 มีการกระจายสินค้าไปจำหน่ายทั่วประเทศทั้งโมเดิร์นเทรด ไฮเปอร์มาร์เก็ต ช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ทำให้สารัชเติบโตต่อเนื่อง โดยสามารถผลิตสินค้าได้มากกว่า 7 ล้านชิ้นต่อปี มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 600,00-800,000 ชิ้นต่อเดือน

ขณะที่ในมุมของผลประกอบการของสารัช มาร์เก็ตติ้ง จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า

 

ปี 2564 มีรายได้ 86 ล้านบาท และกำไร 1.03 ล้านบาท

ปี 2565 มีรายได้ 101 ล้านบาท และกำไร 1.3 ล้านบาท

ปี 2566 มีรายได้ 122 ล้านบาท และกำไร 1.7 ล้านบาท

 

รายได้ดังกล่าว มาจากตลาดในประเทศ 80% ส่วนอีก 20% เป็นการส่งออกไปในต่างประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย, เวียดนาม, สิงคโปร์, ประเทศในกลุ่ม EU รวมถึงสหรัฐอเมริกาที่ไปในรูปแบบของสินค้า OEM

 

รุกผู้บริโภคในทุกเจนเนอเรชั่น

 

สำหรับเส้นทางการเติบโตต่อจากนี้ ‘สารัช กมลธรไท’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เล่าว่า ด้วยความที่แบรนด์อยู่มานานเกือบ 50 ปี บวกกับมะขามจี๊ดจ๊าด สินค้าเรือธงของบริษัทฯ มีความสับสนกับอีกแบรนด์ที่นำไปตั้งเป็นชื่อแบรนด์

 

ในปีนี้จึงทำการรีเฟรซแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ภายใต้แคมเปญ ‘มะขามสารัช ตัวจริงยืนหนึ่ง 50 ปี’ ปรับเปลี่ยนโลโก้ให้มีสีสันสดใส ควบคู่จัดกิจกรรมการตลาด ‘เขย่า จิ้ม จี๊ด สารัชมะขามจี๊ดจ๊าด…ดดด’ ชูความเป็นแบรนด์สารัช และมะขามสารัชจี๊ดจ๊าดให้ชัดเจน จดจำง่าย และร่วมสมัยมากขึ้น

นอกจากนี้ เพื่อให้สามารถเจาะผู้บริโภคได้ทุกเจนเนอเรชั่น ได้เตรียมการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 10 รายการ เป็นการแปรรูปมะขามรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกัน จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นอกเหนือจากมะขาม เช่น มะยม มะม่วง สับปะรด น้ำพริกมะขามแบรนด์ย่าหมู ซอสมะขาม ฯลฯ

 

รวมถึงมีการแตกแบรนด์เพิ่มเติม โดยตอนนี้นอกจากสารัช แบรนด์ที่จับตลาดแมสแล้ว สารัช มาร์เก็ตติ้งยังมีแบรนด์อีก 3 แบรนด์ ได้แก่ Sarach Gold แบรนด์มะขามพรีเมียม, Alisa จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ แบรนด์เน้นความสดใส และความครีเอททีฟในการสร้างสรรค์, Ashira San เป็นแบรนด์ลูกของสารัชที่เติมความสนุก เพิ่มอรรถรสในการกิน

 

ขณะที่การตลาด จะบุกทั้งช่องทางออฟไลน์ ออนไลน์ มีการจัดทำมาสคอตและสติ๊กเกอร์ไลน์ เพื่อเป็นตัวสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม สารัชบอกว่า เป้าหมายสูงสุดของเขาไม่ใช่เรื่อง ‘ยอดขาย’ หรือ ‘การเติบโต’ เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างชื่อเสียงของมะขามที่เป็นแบรนด์ของคนเพชรบูรณ์บนเวทีระดับสากล ตลอดจนผลักดันให้เกิดการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ควบคู่ไปกับการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้คนภายในเครือข่ายไม่ต่ำกว่าหมื่นราย

 

ขณะเดียวกันมีไอเดียขยายธุรกิจออกไปให้นอกเหนือจากธุรกิจหลักที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การทำธุรกิจที่พัก เพื่อขยายสู่ธุรกิจท่องเที่ยว, การแตกไลน์สินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น สกินแคร์หรือสมุนไพรจากธรรมชาติ เป็นต้น

]]>
1520330