รอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้ (21 ส.ค.) ว่า บริษัท แมคโดนัลด์ ออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุที่ต้องตัดสินใจปิดสาขาของร้านในอินเดียว่า เนื่องมาจากทางหุ้นส่วนอินเดีย บริษัท คอนนอจต์ พลาซ่า เรสเตอรองส์ พีวีที ลิมิตเต็ด (Connaught Plaza Restaurants Pvt Ltd ) หรือ CPRL นั้นละเมิดข้อตกลงแฟรนไชส์ร่วม

แต่อย่างไรก็ตาม วิกราม บาคชี (Vikram Bakshi) ผู้อำนวยการบริหารของ CPRL ออกมาให้ข้อมูลกับรอยเตอร์ว่า การตัดสินใจที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจเป็นอย่างมาก และทาง CPRL กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อหาช่องทางตามกฎหมาย

รอยเตอร์รายงานว่า ความขัดแย้งระหว่าง แมคโดนัลด์และพันธมิตรคู่ค้าอินเดียเริ่มตั้งแต่ปี 2013 โดยในครั้งนั้นทางแมคโดนัลด์ได้อ้างว่า ระยะเวลาการว่าจ้างงานในฐานะผู้อำนวยการบริหารของบาคชีได้สิ้นสุดลงแล้ว และทำให้ทางบาคชีนำขึ้นสู่ศาลให้พิจารณา

ทางด้านเอ.เอส. ชานดิอ็อค ( A.S. Chandiok) ทนายความของบาคชีแถลงชี้แจงว่า “พวกเขาไม่ต้องการ เป็นเพราะทางแมคโดนัลด์เชื่อว่า คุณบาคชีมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางไซฟ่อน ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงต้องการให้คุณบาคชีออกไป” และเสริมต่อว่า ลูกความของเขาปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา

รอยเตอร์ชี้ว่า การตัดสินใจปิดสาขา 169 สาขาในทางภาคเหนือและภาคตะวันออกของอินเดียที่มีสัญญาแฟรนไชส์ร่วมกับบริษัท CPRL จะทำให้พนักงานของแมคโดนัลด์จำนวนหลายพันคนต้องตกงานทันที มาดูรีมา บาคชี ( Madhurima Bakshi) หนึ่งในคณะกรรมการบอร์ดบริหาร CPRL ให้ความเห็นว่า มีพนักงานอินเดียที่ถูกว่าจ้างโดยตรงให้กับสาขาเหล่านี้มีทั้งหมด 6,500 คน และมีอีกจำนวนมากกว่านี้ที่ถูกว่าจ้างทางอ้อม

ทั้งนี้ร้านสาขาทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การจัดการของ CPRL จะต้องหยุดการใช้ชื่อ “แมคโดนัลด์” รวมไปถึงสัญลักษณ์ทางการค้า ชื่อแบรนด์สินค้า พร้อมกับความลับทางการค้าสำหรับผลิตภัณฑ์ภายใน 15 วันหลังจากได้รับแจ้งการยกเลิก อ้างอิงจากแถลงการณ์ของแมคโดนัลด์ แต่อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ ทางแมคโดนัลด์ชี้ว่า ทางบริษัทยังไม่ออกจากตลาดฟาสต์ฟูดในภาคเหนือและภาคตะวันออกของอินเดีย แต่ทางบริษัทจะหาผู้ร่วมค้ารายใหม่แทน

“มันต้องใช้ระยะเวลาในการที่จะทำให้สถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงในปัจจุบันนั้นยุติ” บริษัทแมคโดนัลด์กล่าว 

ที่มา : manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9600000086173