แมชชีนเลิร์นนิ่ง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 07 Jan 2020 03:40:01 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “AI/แมชชีน เลิร์นนิ่ง” ขึ้นแท่นเทคโนโลยีแห่งปี 2020 “บล็อกเชน” หลุดวงโคจรความสนใจ https://positioningmag.com/1259504 Mon, 06 Jan 2020 14:33:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259504 “เร้ดแฮท” สำรวจลูกค้าองค์กร 870 แห่งทั่วโลก พบว่า “AI/แมชชีน เลิร์นนิ่ง” ขึ้นแท่นเทคโนโลยีที่ลูกค้าสนใจใช้งานมากที่สุด แทนที่ “บล็อกเชน” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีมาแรงของปีก่อน

เร้ดแฮทจัดสำรวจ Red Hat Global Customer Tech Outlook 2020 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 6 โดยให้ลูกค้าองค์กรของเร้ดแฮทตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่ดิจิทัล โดยหนึ่งในคำถาม-คำตอบที่น่าสนใจ คือคำถามที่ว่า “เทคโนโลยีใหม่ที่คุณมีแนวโน้มจะพิจารณานำมาใช้ในองค์กรมากที่สุดภายในรอบ 12 เดือนข้างหน้าคืออะไร”

และคำตอบที่เข้ามามากที่สุดมีดังนี้
1. AI/แมชชีน เลิร์นนิ่ง 30%
2. Serverless หรือ Function as a service (FaaS) 21%
3. Internet of Things (IoT) 19%
4. บล็อกเชน 12%
5. Edge/Fog Computing 6%
6. อื่นๆ 5%

โดยเร้ดแฮทให้ความเห็นว่า AI/แมชชีน เลิร์นนิ่ง ได้รับความสนใจสูงขึ้นมากอย่างน่าตกใจภายในรอบปีเดียว เนื่องจากเมื่อปีก่อน AI/แมชชีน เลิร์นนิ่ง ไม่ได้อยู่ในสามอันดับแรกด้วยซ้ำ ขณะที่ บล็อกเชน ซึ่งปีก่อนมาแรงในอันดับ 1 ปีนี้กลับตกลงไปอยู่อันดับ 4 ความสนใจของลูกค้าร่วงลงจากปีก่อนหน้าอย่างรวดเร็ว มีลูกค้าเพียง 12% ที่ยังสนใจใช้บล็อกเชนในการเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม การจะปรับเปลี่ยนองค์กรไปใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ นั้น ลูกค้าเร้ดแฮทยังตอบแบบสอบถามด้วยว่าพวกเขามีอุปสรรคใหญ่ๆ 4 ข้อ คือ 1.การจัดการความเข้ากันได้หรือความซับซ้อนของซอฟต์แวร์ (29%) 2.การเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (22%) 3.กระตุ้นให้ฝ่ายไอทีเตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมสำหรับการพัฒนาและทดสอบระบบ (22%) และ 4.การทำซ้ำและปรับโมเดลการทำงานให้มีประสิทธิผล (22%)

สำหรับเทคโนโลยีแต่ละข้อคืออะไรบ้าง Positioning รวบรวมคำตอบไว้ดังนี้

“AI/แมชชีน เลิร์นนิ่ง” คือระบบการเรียนรู้ด้วยตนเองของคอมพิวเตอร์ โดยมนุษย์จะป้อนข้อมูลให้คอมพิวเตอร์จดจำจนสามารถวิเคราะห์คำตอบเองได้ ยกตัวอย่างเช่น ให้ภาพสุนัขกับภาพแมวซ้ำๆ จนคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้เองว่าภาพแบบไหนคือสุนัขและภาพไหนคือแมว สามารถแยกแยะได้ว่าสัตว์สองประเภทนี้ต่างกันอย่างไร

“Serverless” หมายถึง การประมวลผลแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งที่จริงหมายถึงเจ้าของข้อมูลไม่ต้องลงทุนระบบเซิร์ฟเวอร์เอง แต่เอาไปฝากไว้กับบริษัทอื่นที่รับจ้างดูแลระบบ นั่นก็คือ “คลาวด์” นั่นเอง

“IoT” คำนี้คนไทยน่าจะคุ้นเคยกันมาสักพัก ระบบ IoT คือการที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถรับส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ตัวอย่างการพัฒนาเช่น ระบบโฮมออโตเมชัน ที่เราสามารถสั่งปิดเปิดไฟ ผ้าม่าน แอร์ เป็นเพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้นเป็น IoT ที่เชื่อมต่อได้ทางอินเทอร์เน็ต บางอุปกรณ์อาจจะพัฒนาให้ล้ำขึ้นไปอีกในอนาคต อย่างเช่นตู้เย็นที่มี IoT สามารถตรวจสอบของสดภายในตู้เย็นว่าขาดหรือหมดแล้วและออกคำสั่งซื้อออนไลน์อัตโนมัติได้เลย

“บล็อกเชน” อีกหนึ่งคำคุ้นเคยสุดฮอตเมื่อปีก่อน เนื่องจากบล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ทำให้เกิดบิตคอยน์ขึ้น ตัวเทคโนโลยีบล็อกเชนเองคือเครือข่ายการจัดเก็บข้อมูล เมื่อนำข้อมูลเข้าไปเก็บในบล็อกหนึ่งแล้ว การจะแก้ไขหรือแฮ็กข้อมูลจะทำได้ยากมาก

“Edge/Fog Computing” เรื่องนี้เชื่อมต่อมาจาก IoT นั่นคือข้อมูลที่เก็บได้จากอุปกรณ์ IoT ถ้าจะส่งทั้งหมดกลับไปที่คลาวด์และประมวลผลจากนั้นก็ส่งกลับมาที่อุปกรณ์เพื่อออกคำสั่ง ค่าใช้จ่ายจะสูงมากเพราะระบบคลาวด์คิดราคาเวลาข้อมูลถูกส่งออกและรับเข้าด้วย ดังนั้นจึงมีโซลูชันส์เหล่านี้คือ Edge Computing ซึ่งทำให้อุปกรณ์ประมวลผลและสั่งงานที่ตัวมันเอง ส่วน Fog Computing ก็เป็นตัวกรองตรงกลางระหว่าง IoT กับคลาวด์ เพื่อใช้ประมวลผลก่อนส่งไปคลาวด์เพื่อทำให้ข้อมูลน้อยลงก่อนขั้นหนึ่ง โซลูชันส์เหล่านี้มักจะมีประโยชน์กับโรงงานอุตสาหกรรม

จากแบบสอบถามปี 2020 ของเร้ดแฮทยังพบด้วยว่า องค์กรส่วนใหญ่เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลแล้ว โดย 25% บอกว่าตัวเองเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล 34% บอกว่าอยู่ระหว่างใช้เทคโนโลยีเพื่อไปสู่การเป็นดิจิทัล อีก 25% อยู่ในช่วงเริ่มต้นนำเทคโนโลยีมาใช้งาน 9% อยู่ในช่วงเริ่มต้นวางแผนหรือทำวิจัยความเหมาะสม

มีเพียง 9% เท่านั้นที่บอกว่าไม่มีแผนใดๆ เลย ซึ่งถ้าเทียบกับเมื่อปี 2018 บริษัทที่ไม่มีแผนการนำองค์กรไปสู่ดิจิทัลมีสูงถึง 32% ทำให้เห็นว่า ในเวลาเพียง 2 ปี บริษัทต่างๆ รอบโลกต่างมีความตื่นตัวกับเรื่องการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้งานในองค์กรอย่างเห็นได้ชัด

]]>
1259504
ทายได้ ! กูเกิลไฟล์ต ออกฟีเจอร์ใหม่ “ทำนายได้ว่าใครจะดีเลย์” https://positioningmag.com/1155382 Thu, 01 Feb 2018 15:59:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1155382 กูเกิล (Google) เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้กับกูเกิลไฟล์ต (Google Flights) แล้ว โดยเป็นการนำแมชชีนเลิร์นนิ่งเข้ามาศึกษาข้อมูล และสามารถคาดการณ์ได้ว่า ไฟล์ตใดจะมีการดีเลย์ล่วงหน้าก่อนที่ทางสายการบินจะประกาศว่า ไฟล์ตดีเลย์ด้วยซ้ำ มากไปกว่านั้น ปัญญาประดิษฐ์ของกูเกิลยังสามารถให้เหตุผลได้ด้วยว่า การดีเลย์ของสายการบินนั้น เกิดจากอะไร เช่น สภาพอากาศไม่ดี เครื่องมาถึงช้า 

กูเกิลได้อธิบายถึงการใช้แมชชีนเลิร์นนิ่งว่าจะไม่เปิดเผยว่าไฟล์ตใดจะดีเลย์จนกว่าระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลจนมีความแม่นยำอย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแน่นอนว่า ในฐานะผู้ใช้งาน การเดินทางไปสนามบินให้ทันเวลา ยังเป็นเรื่องที่จำเป็น เพียงแต่ข้อมูลจากกูเกิล จะเป็นตัวบอกเราได้ว่า สถานการณ์ที่เราจะต้องเผชิญนั้นคืออะไร 

สำหรับการติดตามสถานะของไฟล์ตนั้น สามารถทำได้โดยการพิมพ์หมายเลขไฟล์ต หรือสายการบิน และรูทการเดินทางลงไปในบริการเสิร์ชของกูเกิล ก็จะมีข้อมูลปรากฏขึ้นมา

ทั้งนี้ การนำฟีเจอร์นี้มาให้บริการ ถือเป็นการเปิดศักราชของปัญญาประดิษฐ์ออกสู่วงกว้างได้เป็นอย่างดี

นอกจากนั้น กูเกิลยังได้เปิดตัวอีกหนึ่งฟีเจอร์ นั่นคือ การระบุข้อกำหนดของสายการบินว่า ในราคาตั๋วเท่านี้ ผู้โดยสารจะใช้บริการใดได้บ้าง และใช้บริการใดไม่ได้ ซึ่งในจุดนี้เหมาะสำหรับนักเดินทางที่เดินทางด้วยสายการบินต้นทุนต่ำ 

หากพิจารณาในภาพรวมแล้ว การเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ ด้านการท่องเที่ยวของกูเกิลนี้ คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักเดินทาง แต่ไม่ดีต่อสตาร์ทอัปด้านการท่องเที่ยวสักเท่าไร เนื่องจากเป็นคู่แข่งกันโดยตรง 

นอกจากนั้น การใช้ทรัพยากรของกูเกิลในการพัฒนาระบบ เช่น แผนที่ ก็เป็นความเสี่ยงของสตาร์ทอัปด้วยเช่นกัน ขณะที่กูเกิลนั้นได้รับข้อมูลมาใช้ฟรี ๆ

ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้ก็ได้เคยมีสตาร์ทอัปรายหนึ่งที่พัฒนาแอปพลิเคชันวิเคราะห์ได้ว่า เวลาที่ต้องใช้ในการตรวจคนเข้าเมืองนั้น คิดเป็นเท่าไร ซึ่งแอปพลิเคชันดังกล่าวใช้แผนที่ของกูเกิลแมปส์ ในการทำงาน ดังนั้น จึงทำให้กูเกิลได้ข้อมูลนี้ไปใช้งานด้วยเช่นกัน

สนับสนุนข่าวโดย : mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000010445

]]>
1155382