กฤษดา รวยเจริญทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานแม่รวย จำกัด ผู้ผลิตและจัดนำหน่ายขนมแบรนด์ “โก๋แก่” บอกว่า ความสำเร็จของโก๋แก่ที่ทำให้สามารถนั่งบัลลังก์แชมป์ด้วยส่วนแบ่ง 45-50% ในตลาดถั่วมูลค่า 5,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยหลัก
ปัจจุบันการบริหารงานของ “โก๋แก่” อยู่ภายใต้รุ่นที่สองประกอบไปด้วย จุมภฏ นั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ, กฤษดา รองกรรมการผู้จัดการดูแลการตลาด น้องชายที่ดูการผลิต และน้องสาวอีกคนที่ดูบัญชีและบุคคล โดย “กฤษดา” บอกว่าผลงานที่เด่นชัดของรุ่นสอง คือ การดันให้รายได้ 600 ล้านบาท ขึ้นมาเป็น 1,000 ล้านบาทในปี 2552
ถึงแม้ 10 ปีมานี้โก๋แก่จะสามารถเติบโตได้เป็นตัวเลขสองหลัก แต่รายได้ปีที่ผ่านมายังอยู่ที่ราว 2,600 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภาพรวม “ตลาดถั่ว” ไม่มีการเติบโต อาจจะมีบ้างแค่เพียง 1% เพราะเศรษฐกิจในไทยไม่ค่อยดี และยังไม่ค่อยมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด การเติบโตของโก๋แก่จึงอยู่ในระดับตัวเลขหลักเดียวด้วย ซึ่ง “กฤษดา” บอกว่า เป็นอย่างนี้ต่อไปนานๆ ไม่ดีแน่
“ความท้าทายของโก๋แก่ในวันนี้คือการติดกับดักรายได้ปานกลาง เรากระโดดจากหลักร้อยล้านมาหลักพันล้านนานแล้ว แต่ยังขยับหนีไปจากตรงนี้ไม่ได้สักที ทำให้เราวางเป้าหมายต้องการขยับขึ้นไปหลักหมื่นล้านภายใน 10 ปีข้างหน้า”
และนั้นกลายเป็นที่มาของกลยุทธ์ที่กำลังจะทำต่อไปนี้
“รสกะทิ” ถือเป็นความสำเร็จของโก๋แก่ก็จริง หากอีกทางหนึ่งก็ได้สร้างโจทย์ให้กับแบรนด์อยู่ไม่น้อย เพราะถึงช่วง 10 ปีมานี้จะมีการออกสินค้าใหม่มากมาย เพราะจากการศึกษาพบว่านอกถั่วจะเป็นขนมได้แล้ว ยังเป็นกับแกล้มได้อีก จึงมีสินค้าอื่นๆ ในกลุ่มถั่วเปลือย (ถั่วลิสงอบเกลือ ถั่วปากอ้าอบเกลือ) และกลุ่มถั่วพรีเมียม แต่ผู้บริโภคก็มักจะจำได้แค่ “รสกะทิ”
ดังนั้น เพื่อแก้โจทย์นี้สิ่งที่โก๋แก่ทำ คือ การเติม “นามสกุล” ให้กับสินค้าใหม่ๆ ที่ออกมา เพื่อแยกแต่ละเซ็กเมนต์ให้เห็นชัดเจน โดยแต่ละปีก็จะวาง “Hero Product” เพื่ออัดงบการตลาดและสร้างการรับรู้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยปีที่ผ่านมาโฟกัสที่แบรนด์ “โก๋แก่แม็กซ์” ถั่วลิงสงเคลือบอบพอง ใช้ “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่โก๋แก่ก็บอกว่า ไม่ได้เต็มรูปแบบมากนัก มีเพียงบิลบอร์ดและไวรัลวิดีโอเท่านั้น
หากในปี 2562 นี้โก๋แก่ได้โฟกัสไปที่ “โก๋แก่ลันเตา” ด้วยมองว่า ตลาดถั่วลันเตามูลค่า 300 ล้านบาท มีเพียงสองแบรนด์หลักที่ขับเคี่ยวในตลาดคือ โก๋แก่และกรีนนัท ผลัดกันขึ้นเป็นผู้นำในตลาดมาตลอด และที่ผ่านมาไม่ได้มีการทำตลาดอย่างจริงจังสักเท่าไหร่นัก ซึ่งโก๋แก่มองว่าตลาดสามารถเติบโตได้มากกว่านั้น คาดปีนี้เพิ่มมาเป็น 500 ล้านบาท
จึงได้ใช้งบการตลาดกว่า 40 ล้านบาท จากงบรวม 100 ล้านบาท ในการสร้างการรับรู้ให้กับ “โก๋แก่ลันเตา” โดยดึง “เป๊ก ผลิตโชค” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เนื่องจากเห็นว่า เป๊ก ผลิตโชค เป็นบุคคลที่มีบุคลิกสนุกสนาน มีแฟนคลับที่หลากหลาย ตั้งแต่เด็กวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน สามารถช่วยสื่อสารคาแร็กเตอร์แบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียน นักศึกษา และคนวัยทำงานได้
นอกจากการใช้สื่อในทุกช่องทางแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้แฟนคลับเข้าร่วมอีก 2-3 ครั้ง เบื้องต้นสัญญาของ “เป๊ก ผลิตโชค” 1 ปี แต่ “กฤษดา” เปรยว่า อาจจะขยายไปมากกว่านั้น
แคมเปญนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี เพราะที่ผ่านมาจะเน้นสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าผ่านสินค้าและคุณภาพโดยใช้สื่อไวรัลคลิป ที่ไม่ได้พูดถึงแบรนด์ตรงๆ แต่สื่อสารผ่านแพ็กเกจจิ้ง เช่น ในกลุ่มถั่วเคลือบจะมีโลโก้โก๋แก่ตัวใหญ่ถือป้ายปกติ ส่วนในกลุ่มถั่วเปลือยและถั่วพรีเมียม โลโก้จะไม่ได้โดดเด่นมากนัก
โดยหนึ่งในเกมการตลาดของโก๋แก่ คือ การมอง “เซเว่น อีเลฟเว่น” เป็นโชว์รูมสินค้า เพราะเป็นร้านที่มีขนาดที่ผู้บริโภคเดินเข้าไปแล้วมักจะเดินทั่วร้าน ต่างจากไฮเปอร์มาร์เก็ตที่มาขนาดใหญ่ ผู้บริโภคมองไม่เห็น เดินไม่ทั่ว
ขณะเดียวกันเพื่อรองรับการเติบโตและยอดขายของสินค้าที่ทุ่มโปรโมต ได้มีการขยายโรงงานผลิต ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่ผลิตได้อยู่ที่วันละ 25 ตัน ตอนนี้ขยายเป็นประมาณ 30 ตัน เน้นการใช้เครื่องจักรครบวงจรมากยิ่งขึ้น
“กฤษดา” บอกว่า จริงๆ แล้วตลาดถั่วมีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาทเสียอีก เพราะเมื่อไปดูตามร้านโชห่วยในต่างจังหวัด จะพบถั่วที่ถูกแบ่งใส่ถุงและห้อยเป็นพวงขาย โก๋แก่ได้สนใจตลาดนี้เหมือนกัน โดยออกสินค้าที่มีลักษณะเหมือนกัน แต่ตีตราโก๋แก่เข้าไปวางขาย เริ่มทำตลาดไปบ้างแล้ว
ในขณะเดียวกันโก๋แก๋ยังจะรุกไปยังขนมที่ไม่ใช่ถั่วด้วย ในภาพรวมของตลาดขนมมีมูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาเติบโต 5.9% ถั่วมีส่วนแบ่งเพียง 13% เซ็กเมนต์ที่ใหญ่สุดคือ “มันฝรั่ง” สัดส่วน 35% รองลงมาขนมขึ้นรูปสัดส่วน 30% และอื่นๆ 22%
“ในเมืองไทยมีขนมไม่ถึง 10 แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้วในตลาดยังมีแบรนด์รองอีกมาก ที่ถึงคนจะจำชื่อไม่ได้แต่ขายได้ โก๋แก่จะเข้าไปเจาะตรงนี้ด้วย”
แต่วิธีการของโก๋แก่จะไม่ใช้แบรนด์ตัวเองไปตีตราบนขนมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ถั่ว เนื่องจากได้วาง Positioning เป็น “King of Nut” จึงจะเป็นถั่วเท่านั้น ซึ่งปีนี้อาจจะได้เห็นอีกหนึ่งแบรนด์ใหม่ที่ไม่ได้เป็นขนมหรือถั่ว แต่อยู่ในธุรกิจอาหาร ส่วน “Fighting Brand” เจาะขนมอื่นๆ วางแผนออกอีก 2-3 แบรนด์ รวมๆ แล้วจะมีสินค้าใหม่ในปีนี้หมด 20 SKU เพิ่มเท่าตัวจากปีก่อนที่ออก 10 SKU
ที่ผ่านมาโก๋แก่ได้ออก Fighting Brand มาแล้ว 2 แบรนด์ได้แก่ “เนลี่” แครกเกอร์มันฝรั่ง และ “ซิโก้” ขนมขาไก่ ซึ่ง 2 ปีก่อนได้ดึง “ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย
นอกเหนือจากการวางขายสินค้าในช่องทางทั่วไปแล้ว โก๋แก่ได้ปั้นช่องทางของตัวเองด้วยชื่อ “โก๋แก่” สินค้าที่วางขายแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ Dry Snack สินค้าทั่วไปของโก๋แก่มีบางรสที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟด้วย, Fresh Snack เป็นสินค้าที่ทำขึ้นมาสดๆ ในร้านใช้วัสถุดิบเป็นถั่ว เช่น ไอศกรีมถั่ว น้ำนมถั่ว บางสาขาจะเป็นเค้กชิฟฟ่อนสอดไส้ (ปังโก๋) และสุดท้ายสินค้าพรีเมียมเช่น เสื้อ หมวก
ฐานลูกค้าหลักเป็นคนต่างชาติ เช่น จีนและไต้หวัน ปัจจุบันมี 9 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 3 สาขา เชียงใหม่ 4 สาขา และชลบุรี 2 สาขา ปีนี้ยังไม่วางแผนจะขายสาขาใหม่ แต่กำลังพัฒนาโมเดลใหม่ๆ อยู่
โดยวางแผนจะนำสินค้า Fresh Snack ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนไทยแยกออกมาเป็น “คีออส” มีเกาอี้ให้นั่งทาน พร้อมกับวางแผนเติมสินค้าใหม่ๆ เข้าไปเบื้องต้นจะเป็นเครื่องดื่ม คาดปีนี้ได้เห็น 2 สาขาที่ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และ เดอะมอลล์บางกะปิ ก่อนที่จะค่อยๆ ขยายเข้ามาในเมือง
และไม่ใช่แค่ในประเทศเท่านั้น “โก๋แก่” ได้วางหมากไปยังต่างประเทศด้วย ที่ผ่านมาได้ส่งออกสินค้าไปยัง 70 ประเทศ ในปีนี้ได้วางแผนบุกหนักใน “เวียดนาม” และ “ไต้หวัน” เพื่อหวังผลในระยะยาว ปรับสัดส่วนจากการส่งออก 20% เป็น 60% ภายใน 10 ปี
“กฤษดา” บอกว่า ได้วางโมเดลการบุกในต่างประเทศนอกเหนือจากส่งสินค้าไป 3 โมเดลได้แก่
สำหรับไต้หวันนั้น “กฤษดา” บอกว่า โก๋แก่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเข้าไปทำตลาดมานาน 10 กว่าปี แต่ประสบปัญหาจำกัดโควตานำเข้า และมีภาษีค่อนข้างสูงเพราะเป็นสินค้าเกษตร ราคาจึงแข่งกับสินค้าท้องถิ่นไม่ได้ สำหรับการจ้างผลิตจะออกรสชาติใหม่ ส่วนรสชาติเดิมยังส่งไปขายเหมือนเดิม
ปีนี้โก๋แก่คาดหวังรายได้ 3,000 ล้านบาท เติบโต 15% พร้อมกับวางเป้าหมายโตปีละ 15% ไปจนถึงรายได้หมื่นล้านใน 10 ปี.
]]>