โฆษณาทีวี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 26 Jun 2019 02:53:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 บิ๊กสเต็ป “เวิร์คพอยท์” สร้าง Ecosystem เปลี่ยนคนดูเป็นคนซื้อ ต่อยอดคอนเทนต์จากหน้าจอสู่สโตร์ ปักธง เพย์เมนต์เกตเวย์ https://positioningmag.com/1236161 Tue, 25 Jun 2019 23:05:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1236161 ที่ผ่านมาเวิร์คพอยท์ถือเป็นช่องดาวรุ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องรายการวาไรตี้” เกมโชว์ เพราะมีฐานมาจากเป็นผู้ผลิตรายการประเภทนี้ ให้กับช่องต่างๆ มาก่อน เมื่อมาเป็นเจ้าของช่องทีวีดิจิทัลเป็นของตัวเอง จึงทำให้เวิร์คพอยท์แจ้งเกิดด้วยรายการประเภทนี้ โดยมี 2 รายการที่สร้างความปัง The Mask Singer และ I Can See Your Voice

แต่ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดของ “ทีวีดิจิทัล” การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนดู หันไปเสพสื่อออนไลน์ ส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาทีวีที่ลดลง เป็นโจทย์ใหญ่ให้เวิร์คพอยท์ต้องหาหนทางใหม่ๆ ท่ามกลางสถานการณ์ทีวีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป

ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานดิจิทัลทีวี บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด มองว่า สถานการณ์วันนี้ คนที่เป็นเจ้าของใบอนุญาตทีวีดิจิทัลทั้ง 15 ช่องที่เหลืออยู่ ยังคงมี “แต้มต่อ” ในสื่อทีวีที่มีเม็ดเงินโฆษณา 30,000-40,000 ล้านบาทต่อปี และสื่อออนไลน์ “ทุกคน” ทำได้หมด แม้กระทั่งคนธรรมดา ก็เป็นเจ้าของแชนแนลในยูทูบได้ ใช้ Facebook Live เป็นช่องทางขายของหารายได้

วันนี้ทีวีดิจิทัลเป็นแต้มต่อของคนทำทีวี เพราะทุกสถานีทำออนไลน์หมดแล้ว แต่คนทำออนไลน์ ก้าวมาเป็นเจ้าของทีวีไม่ได้

เขายืนยันว่า เวลานี้เวิร์คพอยท์อยู่ในภาวะที่ค่อนข้าง “เบาตัว” จากการได้รับยกเว้นค่าประมูลทีวีดิจิทัล 2 งวดสุดท้าย และค่าเช่าโครงข่าย (MUX) เวิร์คพอยท์เองต้นทุนลดลงจากส่วนนี้ราว 100 ล้านบาทต่อปี ช่วง 5 ปีที่ผ่านมามี “กำไรสะสม” เกือบ 2,000 ล้านบาท จึงคืนทุนค่าใบอนุญาตที่จ่ายไปทั้งหมดแล้ว

ชลากรณ์ ปัญญาโฉม

สร้าง Ecosystem ต่อยอดธุรกิจ

ยุทธศาสตร์คนทำทีวีวันนี้ คือ Single Content  Multiple Platform การใช้คอนเทนต์เดียวกระจายไปทุกวินโดว์ แต่ละวินโดว์ก็พยายามหาวิธีสร้างรายได้ ซึ่งทั้งโลกใช้วิธีนี้และประเทศไทยก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน

ปัจจุบันคนทำทีวี คือคนที่มี “มีเดีย” ครบที่สุด เชื่อมทุกแพลตฟอร์มเข้าหากัน เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งก็มีทั้งการมองตัวเองเป็น “มีเดีย” เพื่อใช้เป็นช่องทาง “ขายสินค้า” แต่สิ่งที่ เวิร์คพอยท์กำลังจะทำคือเชื่อมทุกแพลตฟอร์มเข้าหากัน ทั้งแพลตฟอร์มของเวิร์คพอยท์ที่มีสื่อครบ และของพันธมิตร เพื่อดึงคู่ค้า ทั้งผู้ลงโฆษณา ผู้ขายสินค้า และผู้ชมทั้งกลุ่มที่ดูคอนเทนต์และในฐานะผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้ามาอยู่ใน Ecosystem เดียวกัน ซึ่งจะเริ่มเห็นในปีนี้

“เราคงไม่ทำทุกอย่างเองทั้งหมดใน Ecosystem ที่กำลังจะทำนี้ มีพาร์ตเนอร์หลายราย ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ โซเชียลมีเดีย  มาร์เก็ตเพลส  อีเวนต์ เชื่อมเข้ากับสื่อทีวี ออนไลน์และธุรกิจอื่นๆ ของเวิร์คพอยท์”

ปัจจุบันแพลตฟอร์ม Facebook YouTube Line ไม่ใช่ของเวิร์คพอยท์ แต่มีคอนเทนต์ของเวิร์คพอยท์อยู่ในแพลตฟอร์ม ซึ่งก็เชื่อมเข้ามากับ Ecosystem ของเวิร์คพอยท์ คอนเซ็ปต์ง่ายๆ คือ ทำหน้าที่ Plug-in ทุกอย่างทั้งของเวิร์คพอยท์และพาร์ตเนอร์ เพื่อเสนอโซลูชั่นให้กับผู้ที่ต้องการใช้สื่อและคอนเทนต์ที่เวิร์คพอยท์ถนัด รวมทั้งเป็นแพลตฟอร์มของ “ผู้ชม” ที่ต้องการดูคอนเทนต์ เป็นช่องทางให้ SMEs ที่ต้องการขายสินค้าและใช้สื่อเข้าถึงผู้บริโภค

ยุทธศาสตร์การสร้าง Ecosystem ของเวิร์คพอยท์ เป็นแนวทางเดียวกับแพลตฟอร์มใหญ่ระดับโลกอย่าง Alibaba Amazon Facebook Google Line ที่ต้องทำทุกอย่างเช่นกัน และในบางอย่างหากไม่ทำก็จะหาพาร์ตเนอร์มาทำงานร่วมกัน เป็นสิ่งที่เห็นเทรนด์และทิศทางธุรกิจจากการไปร่วมสัมมนาของแพลตฟอร์มระดับโลกทุกปี ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเวิร์คพอยท์พอมีเงินเหลือที่จะลงทุนใหม่ๆ เพื่อทดลองสร้าง Ecosystem

ภาพจากเว็บไซต์ GB Prime Pay

ลงทุนอีเพย์เมนต์ GB Prime Pay

ดังนั้นเพื่อให้ Ecosystem สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เวิร์คพอยท์จึงให้บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้เข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท โกลบอล ไพร์ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Global Prime) ซึ่งเป็นธุรกิจ Payment Gateway ธุรกิจรับชำระเงินในระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ มูลค่าการลงทุน 40 ล้านบาท ถือหุ้น 30%

โดย GB Prime Pay ระบบชำระเงินรองรับบัตรทุกชนิดและธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งระบบตะกร้าบนเว็บไซต์ การขายผ่าน Facebook Line และ Instagram พร้อมทั้งบริการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อขาย เทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภครายบุคคล

การเข้าไปลงทุนใน GB Prime Pay ของเวิร์คพอยท์ เพราะเป็นธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจ เป็นบริษัทที่กำลังเติบโต วัตถุประสงค์แรกเป็นการลงทุนเพื่อทำ “กำไร” แต่ในระยะยาวมีโอกาสที่จะเชื่อมโยงกับการขยายธุรกิจของกลุ่มเวิร์คพอยท์ และเป็นการต่อจิ๊กซอว์ระบบเพย์เมนต์ใน Ecosystem ของเวิร์คพอยท์

“การลงทุนในธุรกิจใหม่ ระยะสั้นจะดูว่ามีอะไรเชื่อมโยงกับเวิร์คพอยท์ได้บ้างและหากยังไม่มีในระยะยาวก็อาจมีธุรกิจที่เชื่อมโยงกันได้ โดยเฉพาะ Transaction Online ที่เวิร์คพอยท์อาจได้ประโยชน์ ผ่านระบบเพย์เมนต์อีคอมเมิร์ซ ในธุรกิจทีวี ช้อปปิ้งและผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ Let Me In”

ภาพจากเฟซบุ๊ก workpoint

ผังรายการทีวีเปลี่ยนถี่

ในสมรภูมิการแข่งขันทีวีดิจิทัลเองวันนี้ สปีดการปรับผังรายการต้องดูทุก 3 เดือน จะเห็นได้ว่ารายการส่วนหนึ่งเป็นซีซั่นอยู่แล้ว เพราะพฤติกรรมชมในยุคนี้เปลี่ยนเร็ว ช่วงต้นปีเศรษฐกิจชะลอตัวและมีเลือกตั้ง จึงชะลอปรับผังไว้ก่อน เริ่มใส่รายการใหม่ไตรมาส 2 ต่อเนื่อง เปลี่ยนรายการ “ปริศนาฟ้าแลบ” เป็น “กล่องของขวัญ” , รายการ Sweet Chef Thailand, รายการ 10Fight10, Who is my Chef, คู่เฟค คู่แฟน Fake Lovers ช่วงไตรมาส 3 จะใส่รายการใหม่เข้ามาอีก ปกติมีรายการใหม่ไตรมาสละ 1-2 รายการ มีทั้งปรับและเปลี่ยน

ชลากรณ์ บอกว่ารายการที่คนชอบพูดถึงอย่าง The Mask Singer และ I Can See Your Voice เรตติ้งยังดีอยู่เฉลี่ย 3 จึงยังอยู่ในผังช่องต่อไป เพราะเป็นรายการที่มีคนดูประจำ แต่ละซีซั่นก็จะใส่ลูกเล่นใหม่ เพื่อรีเฟรชรายการให้ดูสนุกและตื่นเต้น แม้เรตติ้งจะไม่สูงเท่าที่เคยทำได้ระดับ 7-8 แต่เรตติ้ง 3 ก็แข่งขันกับละครที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันได้

ภาพเฟซบุ๊ก The Mask Singer

เดิมทีวีเป็นการแข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่วันนี้เป็นการแข่งขันของทุกอุตสาหกรรม เพื่อดึงเวลาของคนให้มากที่สุด วันนี้จึงไม่ได้โฟกัสที่ Ranking และ Rating ทีวีมากนักว่าเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างไร เพราะเมื่อใดก็ตามที่ “คอนเทนต์ดี” เรตติ้งก็จะดีตามไปด้วย

“เราคิดข้ามเรื่องเรตติ้งไปแล้ว เพราะเป็นเรื่องปกติที่มีขึ้นลง แต่โฟกัสไปที่คนดูใช้เวลาอยู่กับทุกแพลตฟอร์มของเวิร์คพอยต์มากขึ้นหรือไม่ ทั้งทีวี ออนไลน์ และกิจกรรม เพราะเมื่อมีคนใช้เวลาอยู่กับแพลตฟอร์มมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะเห็นโฆษณา ซื้อสินค้า หรือจะมาขายสินค้า ที่อยู่ใน Ecosystem ของเวิร์คพอยท์ วันนี้จึงมองเรื่องการต่อยอดธุรกิจเป็นหลัก”

ปีนี้รายการเวิร์คพอยท์ที่กระแสแรงสุดก็คือ มวย 10Fight10 รูปแบบรายการให้ดารา นักแสดง มาแข่งต่อยมวย ก่อนแข่งจะมีการซ้อม 2-3 เดือน รายการ 10Fight10 ไอเดียคล้าย The Mask Singer ที่ดึงดารา นักร้อง คนดัง มาแข่งขันความสามารถร้องเพลงที่มีดาราสนใจขึ้นเวทีจำนวนมาก เช่นเดียวกันดาราหลายคนที่นิยมการออกกำลังกายและเล่นกีฬาเป็นประจำ ก็สนใจเข้าร่วมแข่งขันต่อยมวย ซีซั่นละ 10 คู่ ระยะเวลา3 เดือน หลังออกอากาศไป 2 ตอน เรตติ้งเฉลี่ย 2 การดูผ่าน Facebook Live พร้อมกันหลักแสนคน ถือเป็นตัวเลขที่สูงมากและไม่เห็นตัวเลขนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนนี้ที่ทำได้คือ The Rapper

ร้าน Sweet Chef Cafe สยามสแควร์ ซอย 3

ต่อยอดคอนเทนต์จากหน้าจอสู่สโตร์

ปีนี้เวิร์คพอยท์ยังได้ทดลองต่อยอดคอนเทนต์ ผ่านรายการใหม่ Sweet Chef Thailand  ซึ่งเป็นรายการแช่งขันทำขนม ทุกวันอาทิตย์ เวลา 20.15 น. เริ่ม 9  มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยหลังรายการจบ เมนูขนมในรายการ จะนำมาขายที่ร้าน Sweet Chef Cafe แห่งนี้

หลักคิดการทำรายการ Sweet Chef Thailand ที่มีให้ดูทั้งหน้าจอทีวี ออนไลน์ และไปจบที่หน้าร้าน เป็นการต่อยอดคอนเทนต์ของเวิร์คพอยท์ เพราะส่วนใหญ่คนที่ดูรายการอาหาร หลังจบรายการแล้ว หากชอบเมนูนั้นๆ ก็ไม่รู้ว่าจะไปหารับประทานได้ที่ไหน จึงทดลองนำมาขายที่ร้าน Sweet Chef Cafe เพื่อให้คนที่สนใจมาชิมเมนูต่างๆ ถือเป็นการใช้ประโยชน์จากมีเดีย ที่สร้างการรับรู้ผ่านรายการทีวีมาสร้างรายได้ผ่านหน้าร้าน ช่วง 1-2 ปีนี้ จะทดลองโปรเจกต์ลักษณะนี้อีก แต่จะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก

จับมือทุกแพลตฟอร์มออนไลน์

นอกจากนี้เวิร์คพอยท์ ยังมีความร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกราย ในการนำรายการไปนำเสนอผ่านแพลตฟอร์มนั้นๆ รวมทั้งการรับจ้างผลิต “ออริจินัล คอนเทนต์” หรือการแบ่งรายได้ร่วมกัน ความร่วมมือก่อนหน้านี้ เช่น Viu Line TV

ล่าสุด Netflix ได้เข้ามา “เช่าเวลา” ในช่องเวิร์คพอยท์ เพื่อฉายคอนเทนต์ของ Netflix เป็นภาพยนตร์ยาวตอนเดียวจบ 1 ครั้ง 1 ชั่วโมง เมื่อวันเสาร์ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากนี้เป็นรายการทีวีแนะนำหนังและฉายหนังตัวอย่างครั้งละ 20 นาที ถือเป็นรูปแบบการโฆษณาคอนเทนต์ของ Netflix ทางทีวีที่เป็นสื่อแมส

ส่วนความร่วมมือกับ Facebook หลังจบรายการ 10Fight10 จะต่อด้วยรายการ Social Icon ซึ่งจะใช้เครื่องมือของเฟซบุ๊กในการโหวตแข่งขัน แนวคิดคือเชื่อมทีวีกับออนไลน์  วัตถุประสงค์หลักๆ คือ หาคนทำวิดีโอทุกประเภท ทั้ง รีวิวสินค้า ร้องเพลง ขายสินค้า คลิปตลก หากทำคอนเทนต์ได้ดี ก็มีโอกาสสร้างอาชีพได้ และต้องการให้คนที่มีความสามารถตื่นตัวกับการทำวิดีโอ คอนเทนต์ ซึ่ง Facebook ก็จะได้คนทำวิดีโอบนแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น ส่วนเวิร์คพอยท์เองก็มีโอกาสเจอคนทำวิดีโอเก่งๆ และเป็นพาร์ตเนอร์ในกลุ่ม Influencers

อุตสาหกรรมสื่อวันนี้ ทุกคนยังต้องเจอการเปลี่ยนแปลงต่อไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เรื่องที่ยาก คือ ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด แต่เชื่อว่าการมีสื่อครบและมีคอนเทนต์ที่ดี ยังมีโอกาสไปต่อได้.

]]>
1236161
ฤทธิ์เดช Netflix คนอเมริกันดูทีวีน้อยลง-ทำเงินโฆษณาหายเกิน 6 พันล้านดอลล์ https://positioningmag.com/1157356 Sun, 18 Feb 2018 23:15:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1157356 เปิดฤทธิ์เดชบริการสตรีมมิ่งวิดีโอออนไลน์สุดฮิต Netflix รายงานล่าสุดระบุว่า Netflix อาจเป็นต้นเหตุทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนโฆษณาทีวีอเมริกันหดหายไป 3-6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่งให้สถานีโทรทัศน์แดนลุงแซมสูญรายได้ราว 9.3 หมื่น-1.87 แสนล้านบาท

วันนี้ชาวดิจิทัลทั่วโลกหลายล้านคนไม่เปิดฟรีทีวี แต่ยอมเสียค่าบริการให้ Netflix เพื่อชมรายการทีวี ภาพยนตร์ รวมถึงซีรีส์ที่ตัวเองสนใจแบบออนดีมานด์ไร้โฆษณาทุกที่ทุกเวลา พฤติกรรมผู้ชมทีวีที่เปลี่ยนไปเพราะ Netflix นี่เองที่ทำให้การสำรวจล่าสุดพบว่าผู้เล่นในวงการโฆษณาทีวีสหรัฐฯ กำลังสูญเสียรายได้หลักพันล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา

ผลกระทบจากพฤติกรรมการชมทีวีที่เปลี่ยนไป คือชาวโลกได้เห็นโฆษณาทางทีวีน้อยลง สื่ออเมริกันจึงพาดหัวข่าวตัวใหญ่ว่า บริการสตรีมมิ่งวิดีโอ Netflix กำลังมีผลกระทบสำคัญกับวงการโฆษณาทีวี โดยยกงานวิจัยของบริษัท nScreenMedia ที่คำนวณแล้วพบว่า Netflix ทำให้ชาวอเมริกันพลาดการชมโฆษณามากกว่า 2 พันล้านครั้งต่อวัน

คำนวณจากอะไร?

nScreenMedia คำนวณตัวเลขนี้ออกมาเป็นพฤติกรรมการดูทีวีของชาวโลกจากสถิติของ Netflix โดยบอกว่าช่วงไตรมาส 3 ปี 2017 ดาวรุ่ง Netflix มีสมาชิกบริการสตรีมมิ่งจำนวน 56.4 ล้านรายในแดนลุงแซม ตัวเลขนี้สามารถคำนวณได้ว่า สมาชิก Netflix พลาดชมโฆษณาทีวีประมาณ 35 ชิ้นต่อวันต่อคน เนื่องจากบริการสตรีมมิ่งของ Netflix ที่ผู้ชมต้องจ่ายค่าสมัครนั้นจะไม่มีโฆษณาเลย

หากจับ 56.4 มาคูณกับ 35 ตัวเลขที่ได้คือ 1,974 ตีเป็นเลขกลมๆ แล้วใส่หลักล้านเข้าไป จะพบว่าโฆษณาทีวีสูญผู้ชมไปราว 2 พันล้านครั้งต่อวัน

nScreenMedia เจาะลงไปที่ตลาดทีวีอเมริกัน จนพบว่าผู้ชม Netflix เฉลี่ยในสหรัฐฯ พลาดโฆษณาทางทีวี 5,753 ครั้งในช่วงไพรม์ไทม์ และ 7,032 ครั้งในช่วงที่ไม่ใช่เวลาไพรม์ไทม์ เมื่อคำนวณมูลค่าแล้ว ประเมินได้ว่าโอกาสที่หดหายไปเพราะสายตาการชมโฆษณาทีวีที่ลดลงคิดเป็นมูลค่าราว 7.6 พันล้านเหรียญสำหรับสมาชิกรวม Netflix 

อย่างไรก็ตาม หากคำนวณการข้ามโฆษณาในบริการบันทึกรายการทีวีย้อนหลัง DVR อย่าง TiVo และบริการเครือข่ายเคเบิลทีวีระดับพรีเมียมเช่น HBO ตัวเลขประเมินเม็ดเงินโฆษณาที่สูญหายไปจะลดลงเหลือประมาณ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ

งานวิจัยชิ้นนี้ของ nScreenMedia ตอกย้ำสิ่งที่นักการตลาดตระหนักดีอยู่แล้ว เรื่องแนวโน้มการเติบโตของพฤติกรรม “cord-cutting” หรือการตัดสายไม่ต้องพึ่งพาหรือยึดติดกับสถานีโทรทัศน์ใด  

รวม YouTube ด้วยยิ่งหด

แม้ข้อมูลของ nScreenMedia จะย้ำว่าเฉพาะผู้ชม Netflix กลุ่มเดียว ก็ทำให้เงินหมุนเวียนในธุรกิจโฆษณาทีวีอเมริกันหดหายไปมากกว่า 4% ถึง 8% ของโอกาสสร้างรายได้รวม แต่เมื่อคำนวณรวมบริการทางเลือกวิดีโอดิจิทัลออนไลน์เช่น YouTube ยอดขายโฆษณาทีวีอเมริกันก็ยิ่งลดลงอีก 7.8% เบ็ดเสร็จแล้วเหลือเม็ดเงินราว 6.18 หมื่นล้านเหรียญเท่านั้น

สิ่งที่เราได้รับจากข่าวนี้ คือสัญญาณสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในวงการโฆษณาทีวี เพราะวันนี้หลายแบรนด์เริ่มเห็น ROI หรือความคุ้มค่าในการลงทุนที่ลดลง ทำให้การตัดสินใจซื้อเวลาโฆษณาทางทีวีถูกมองข้ามไป

สถิติล่าสุดยังพบว่า จำนวนผู้ใช้บริการทีวีแบบชำระเงิน (Pay TV) ในสหรัฐฯ ยังคงตกต่ำต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายโฆษณาเครือข่ายเคเบิลทีวีแดนลุงแซมลดลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี แต่จุดนี้นักวิเคราะห์ยังจับตาดู เพราะปีนี้ยังมีกิจกรรมถ่ายทอดสดทางทีวี เช่น ซูเปอร์โบว์ล โอลิมปิกฤดูหนาว และการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ โดยขณะนี้เริ่มปรากฏว่ายอดขายโฆษณากำลังฟื้นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่อาจเป็นการฟื้นที่ไม่ยืนยาว

จากการสำรวจล่าสุดของ PwC ยังพบว่า ส่วนแบ่งสมาชิกผู้ใช้บริการ Pay TV และ Netflix อยู่ที่ 73% ของกลุ่มตัวอย่างอเมริกัน ในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามนี้ ราว 46% บอกว่าลงทะเบียนใช้บริการสตรีมมิงอย่างน้อยหนึ่งบริการในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เพดานการใช้บริการสตรีมมิ่งเช่น Netflix, Amazon Prime Video และ Hulu อยู่ที่ 4 บริการเท่านั้น เพราะ PwC พบว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่าไม่สามารถจัดการได้เกิน 4 บริการสตรีมมิ่ง หากจ่ายค่าบริการ Pay TV แล้ว

ตัวเลขนี้เป็นสัญญาณว่า ตลาดอาจจะถึงจุดอิ่มตัวในอนาคตอันใกล้ และต้องมีใครสักคนที่ต้องเป็นฝ่ายไป.

ที่มาhttps://www.marketingdive.com/news/report-netflix-might-cost-tv-advertisers-up-to-6b-in-lost-revenue/517263/

]]>
1157356