โตคิว – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 29 Dec 2020 11:25:45 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “สหพัฒน์” ดึง “โตคิว” ร่วมทุนอีก 800 ล้าน ผุด HarmoniQ 2 ศรีราชา จับดีมานด์ครอบครัวญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1311751 Tue, 29 Dec 2020 07:19:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311751 “โตคิว” ยังขยายการลงทุนในไทย ผ่าน “โตคิว คอร์ปอเรชั่น” ร่วมลงทุนกัยสหพัฒน์อีก 800 ล้านบาท เดินหน้าขยายการลงทุนในเขตศรีราชา ผุดโครงการ HarmoniQ 2 โครงการที่อยู่อาศัยสไตล์ญี่ปุ่นใน EEC

ดึงโตคิวร่วมทุน

เครือสหพัฒน์ ผนึกกลุ่ม “โตคิว” เตรียมลงทุนเพิ่ม 800 ล้านบาท เปิดตัวโครงการ HarmoniQ 2 โครงการบ้านพักที่อยู่อาศัยในศรีราชา ร่วมกับโตคิว ต่อยอดโครงการแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ตอบรับดีมานด์ลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยโครงการทั้งหมดมูลค่ารวมกว่า 1,700 ล้านบาท ประกอบด้วย บ้านที่อยู่อาศัย

กลุ่มโตคิว เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในญี่ปุ่น มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 98 ปี ทั้งในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงแรม การก่อสร้างขนาดใหญ่ ระบบขนส่งมวลชนทั้งรถบัส และรถไฟ โดยหลักทรัพย์ของกลุ่มโตคิว (Tokyu Corporation) ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาดประมาณ 230,000 ล้านบาท

harmoniq residence sriracha

วิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวในปีนี้ ซึ่งนับเป็นวิบากกรรมทั่วโลก แต่เราเชื่อมั่นในโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ยังมีศักยภาพและความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ที่มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้เราคาดการณ์ว่าภาคอสังหาฯ ไทยจะรีบาวน์กลับมาอีกครั้ง ดังนั้น เครือสหพัฒน์ จึงเตรียมแผนขยายการลงทุน เดินหน้าโครงการต่างๆ ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว”

จับกลุ่มครอบครัวญี่ปุ่น

โปรเจกต์ HarmoniQ 2 เป็นการขยายการลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 800 ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยให้กับชาวญี่ปุ่น บนพื้นที่กว่ารวมกว่า 50 ไร่ในอำเภอ ศรีราชาจังหวัด ชลบุรี โดยคาดว่าจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ในเดือนเมษายน ปี 2564

harmoniq residence sriracha

โครงการนี้จะเป็นบ้านสำหรับครอบครัวชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม สะดวกสบาย โดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่ต้องปรับสภาพแวดล้อมจากญี่ปุ่นมาอยู่ที่ศรีราชา

  • การออกแบบพื้นที่ใช้สอย : รวบรวมความรู้ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน โดย Tokyu Corporation ซึ่งมีความรู้ในด้านการวางผังเมือง และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยบรรยากาศผ่อนคลายสำหรับครอบครัว ให้ความสำคัญกับการปรับตัวของผู้อยู่อาศัย

harmoniq residence sriracha

  • ครบครัน สะดวกสบาย ใส่ใจคุณภาพชีวิต : สำหรับโครงการนี้นอกเหนือจากการเพิ่มเติมบ้านพักอีกกว่า 140 หลัง โครงการยังมีการขยายส่วนต่อทั้งส่วนกลาง และสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ อาทิ สนามเทนนิส, สนามบาสเกตบอล, พื้นที่ทำกิจกรรมเอาต์ดอร์ เป็นต้น รวมถึงขยาย Club House ที่ตอบโจทย์ทุกกิจกรรมด้วยคาเฟ่, โรงยิม, ห้องสมุด, ห้องสำหรับเด็ก, ห้องเก็บเสียง, ห้องประชุม และสตูดิโอบัลเลต์

harmoniq residence sriracha

  • สภาพแวดล้อมใกล้เคียง : มีโรงเรียนสำหรับชาวญี่ปุ่นอยู่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโครงการ ด้วยความใส่ใจในการศึกษาและความปลอดภัยในการเดินทางไปโรงเรียน ตัวโครงการยังอยู่ติดกับโรงเรียนญี่ปุ่นศรีราชา และโรงเรียนอนุบาล Oisca ซึ่งอยู่ติดกับตัวโครงการจนเด็กๆ สามารถเดินไปโรงเรียนได้โดยไม่ต้องก้าวออกนอกเขตหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีสถานพยาบาล แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ รวมถึง ใกล้เคียง Community Mall J-Park Nihonmura Sriracha และรักษาความปลอดภัยโดย Secom บริษัท Security อันดับหนึ่งจากญี่ปุ่นอีกด้วย

การขยายการลงทุนของโครงการอสังหาฯ ใน “ศรีราชา” เป็นการตอกย้ำศักยภาพของอำเภอนี้ในชลบุรีว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งอุตสาหกรรม” ที่น่าจับตามองในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC เฉพาะที่ศรีราชาขณะนี้มีนิคมอุตสาหกรรมกว่า 10 แห่ง และจำนวนโรงงาน มีโรงงานทั้งสิ้นกว่า 1,300 แห่ง

โดยญี่ปุ่นเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมายาวนานโดยเฉพาะในพื้นที่ศรีราชา ซึ่งในปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นพักอาศัยอยู่กว่า 10,000 คน และมีสมาคมธุรกิจญี่ปุ่นอยู่กว่า 20 แห่ง ดังนั้น EEC จึงเป็นทำเลศักยภาพอีกแห่งหนึ่งสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยในไทย ที่จะสามารถตอบรับดีมานด์ชาวต่างชาติและชาวไทยได้

]]>
1311751
ลาอีกราย! ห้าง “โตคิว” จ่อปิดสาขาที่ MBK สิ้นเดือนม.ค. 64 เจอปัญหาการเงิน ไม่มีนักท่องเที่ยว https://positioningmag.com/1303378 Wed, 28 Oct 2020 05:18:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1303378 ค้าปลีกญี่ปุ่นเตรียมถอยทัพจากประทเศไทยอีกราย Tokyu (โตคิว) ได้ประกาศปิดสาขาที่เหลือแห่งเดียวที่ MBK ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2564 คาดว่าเกิดปัญหาทางการเงิน และไม่มีนักท่องเที่ยวในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

จากรายงานของ Nikkei Asia บอกว่า ห้างสรรพสินค้า Tokyu สัญชาติญี่ปุ่น เตรียมปิดสาขาในกรุงเทพฯ ในช่วงสิ้นเดือนมกราคม 2564 หลังจากเกิดปัญหาทางด้านการเงินครั้งใหญ่ และไม่มีนักท่องเที่ยว

การปิดสาขาของ Tokyu ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าห้างค้าปลีกญี่ปุ่นได้ถอยทัพจากตลาดในประเทศไทยจนเกือบหมด เหลือเพียงแค่ “ทาคาชิมายา” ที่ดิ ไอคอนสยามแห่งเดียวเท่านั้น หลังจากที่ “อิเซตัน” ก็เพิ่งโบกมือลาไปไม่นานมานี้ เพราหมดสัญญากับทางเซ็นทรัลเวิลด์

ห้าง Tokyu ได้เปิดสาขาในประเทศไทยเมื่อปี 1985 นับได้ว่าทำตลาดมา 35 ปีแล้ว โดยที่ในช่วงที่ผ่านมาก็มีห้างค้าปลีกญี่ปุ่นตบเท้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วก็มีล้มหายตายจาก ม้วนเสื่อกลับบ้านไปตามๆ กัน

สาเหตุหลักของการปิดสาขาในครั้งนี้ของ Tokyu มาจากสถานการณ์ทางการเงิน และการท่องเที่ยว โดยที่กลุ่มลูกค้าหลักของห้างเป็นกลุ่มคนญี่ปุ่นที่อาศัยในประเทศไทย และกลุ่มนักท่องเที่ยว

เมื่อปีที่ผ่านมามีปัญหาค่าเงินบาทแข็ง แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเรื่องการท่องเที่ยวอย่างมาก ในขณะเดียวกันการแข่งขันในตลาดค้าปลีกในประเทศไทยก็ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เป็นตะปูตอกฝาโลงให้ Tokyu ก็คือสถานการณ์ COVID-19 ที่จำกัดนักท่องเที่ยว และคนญี่ปุ่นที่เข้ามาในไทย ทำให้ไม่มีทราฟฟิก และรายได้เท่าที่ควร

จากนี้ไปต้องมาลุ้นสถานการณ์ค้าปลีกของห้างญี่ปุ่นแห่งสุดท้ายในประเทศไทย แต่ก็ต้องลุ้นสถานการณ์ค้าปลีกสัญชาติไทยด้วยกันเองด้วยเช่นกัน…

Source

]]>
1303378
เทรนด์สุขภาพแรงจัด ‘แสนสิริ’ ลงขัน ‘โตคิว’ ลุยธุรกิจ เวลล์เนส เรสซิเดนซ์ ประเดิมโครงการแรก 2,400 ล้านบาท https://positioningmag.com/1194453 Fri, 26 Oct 2018 01:00:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1194453 Thanatkit
“เทรนด์รักสุขภาพ” ที่กำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วโลก ไม่เพียงเป็นผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การออกกำลังกาย อุปกรณ์กีฬา หรืออาหารการกินเท่านั้น แต่ยังลามมาถึง “ที่อยู่อาศัย” ที่ออกแบบมาเพื่อสุขภาพอีกด้วย
ข้อมูลจากรายงานการศึกษาเรื่อง “ที่อยู่อาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี” (Build Well to Live Well 2018) ที่สถาบันสุขภาพโลก (Global Wellness Institute) จัดทำขึ้นใน 2018 พบว่า นับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา การพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มเวลล์เนส เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีทั่วโลก มีมูลค่าตลาดประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท หรือ 134,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการเติบโต 6.4% ต่อปี
ตัวเลขที่ว่านี้สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมการก่อสร้างของโลก ที่เติบโตราว 1.5% และสามารถทำกำไรเฉลี่ยประมาณ 10-25% โดยปัจจุบันมีโครงการและชุมชนที่เน้นการสร้างไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพดีประมาณ 740 แห่งทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากทีดีอาร์ไอ เปิดเผยผลประมาณการค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยในอีก 15 ปีข้างหน้าตามหลัก OECD จะมีค่าประมาณ 4.8 – 6.3 แสนล้านบาท อีกทั้งยังมีการวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยทางพันธุกรรมของคนมีผลประมาณ 20% ต่อสุขภาพของเรา
ส่วนที่เหลืออีก 80% นั้น เป็นผลจากการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอก เช่น บ้าน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งล้วนแต่มีผลโดยตรงต่อสุขภาพ พฤติกรรม วิถีชีวิต และอารมณ์

ตัวเลขที่เกิดขึ้นได้ดึงดูดความสนใจของ “แสนสิริ” หนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ที่เห็นว่า ที่อยู่อาศัยในกลุ่มเวลล์เนส กำลังจะเป็นที่สนใจของคนไทย แต่ยังไม่มีให้เห็นในเมืองไทยเสียที จึงเริ่มลงมือศึกษาเมื่อหนึ่งปีก่อน จนในที่สุดก็ตัดสินใจรุกเซ็กเมนต์นี้อย่างจริงจัง

โครงการแรกของการบุกเซ็กเมนต์นี้ เกิดขึ้นภายใต้โครงการร่วมทุนที่แสนสิริควงแขน “โตคิว กรุ๊ป จากประเทศญี่ปุ่น และ สห โตคิว คอร์ปอเรชั่น” จัดตั้งบริษัท สิริ ทีเค โฟร์ (Siri TK Four Company Limited) มีสัดส่วนการลงทุน 70:29:1 ตามลำดับ พร้อมกับดึง “โรงพยาบาลสมิติเวช” เข้าร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ด้านบริการด้านสุขภาพ

โดยจะทำเป็นคอนโดมิเนียม 4 อาคาร รวมมูลค่า 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยในลักษณะคอนโดมิเนียม Low Rise ความสูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร ส่วนกลางและที่จอดรถ 1 อาคาร มีพื้นที่ทั้งหมด 7 ไร่ บนถนนกรุงเทพกรีฑา ส่วนชื่อยังไม่ได้อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะตั้งเป็นซับแบรนด์ใหม่ตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าระดับ B ที่มีเงินเดือนประมาณ 50,000 – 80,000 บาท โดย 80% จะเป็นลูกค้าชาวไทย และอีก 20% เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ เช่น จีน ฮ่องกง ได้หวัน และสิงคโปร์

ขณะนี้ตัวโครงการกำลังอยู่ในระหว่างการขอ EIA คาดว่าจะเริ่มลงมือก่อสร้าง และเปิดพรีเซลได้ต้นปีหน้า พร้อมกับเปิดเผยตัวหน้าตาโครงการ และราคาขาย ซึ่งการทำเวลล์เนส เรสซิเดนซ์มาพร้อมกับต้นทุกที่สูงขึ้น จากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ต้องเพิ่มเข้าไป แต่แสนสิริเห็นว่า กำไรที่มากกว่าโครงการทั่วไป จะสร้างความคุ้มค่าให้กับแสนสิริได้อย่างแน่นอน

ปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“ด้วยความที่แสนสิริไม่เคยทำเวลล์เนส เรสซิเดนซ์ นอกจากการบ้านที่ต้องทำอย่างหนักแล้ว ความยากยังอยู่ที่ต้องสื่อสารไปหาลูกค้า เพื่อชี้ให้พวกเขาเห็นว่า โครงการนี้จะตอบโจทย์ด้านสุขภาพจริงๆ แต่ก็เชื่อว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จ เพราะเราได้เห็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว”

ปิติ ได้ยกตัวโครงการเวลล์เนส เรสซิเดนซ์ที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศมา 2 โครงการ ได้แก่ 21W20 FLATIRON เมืองนิวยอร์ก ประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีที่มีเพียง 13 ยูนิต แต่สามารถขายได้ตารางเมตรละ 760,000 บาท สูงกว่าโครงการโดยรอบถึง 15%

อีกโครงการอยู่ที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีน มี 10 อาคาร 1,415 ยูนิต โดยลูกค้า 40% ซื้อเพราะเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์เรื่องสุขภาพได้ ทำให้ช่วง 5 เดือนราคาขายสามารถปรับขึ้นไปถึง 21% สูงกว่าโครงการโดยรอบที่ปรับเพิ่มได้เพียง 5% ซึ่งแสนสิริเชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดกับแสนสิริได้ไม่อยาก

อย่างไรก็ตาม โครงการที่ถนนกรุงเทพกรีฑาเป็นเพียงการทดลองตลาดเท่านั้น แสนสิริยังได้วางแผนขยายเซ็กเมนต์เวลล์เนส เรสซิเดนซ์ อีกอย่างน้อยปีละ 1 โครงการ เพื่อให้เกิดการต่อเนื่อง และไม่เงียบไปจากสายตาผู้บริโภค ส่วนจะร่วมทุนกับโตคิวต่อไปหรือไม่ ต้องดูเป็นรายโครงการไป

ทำเลที่เหมาะสำหรับเซ็กเมนต์นี้ต้องมีพื้นที่ราว 5-7 ไร่ ไม่ควรจะอยู่ใกล้พื้นที่ CBD มากเกินไป แต่ควรจะอยู่ในบริเวณที่อากาศยังค่อนข้างดี อยู่ใกล้โรงพยาบาลหรือไม่ก็ได้ ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีศัพยภาพการเติบโตที่อยู่อาศัย และสามารถเดินทางได้ง่าย ซึ่งเป็นได้ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ตอนนี้แสนสิริมีที่ดินสำหรับเซ็กเมนต์นี้อยู่บ้างแล้ว

แสนสิริวางเป้าหมายภายใน 1-2 ปีนี้ เวลล์เนส เรสซิเดนซ์จะคิดเป็นสัดส่วน 5-8% ของโครงการที่เปิดตัวใหม่ ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น แต่ยังสนใจหัวเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย

โตคิว คอร์ปอเรชั่น กับ ธุรกิจในเมืองไทย

หลายคนคุ้นเคยกับชื่อของโตคิว ผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาปักหลักลงทุนธุรกิจค้าปลีกในไทยเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว

โครงการแรก ร่วมมือกับกลุ่มเอ็มบีเค เปิดห้างสรรพสินค้าขึ้นมาในศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ จากนั้นขยายเปิดสาขาที่สอง ที่ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค

ต่อมา โตคิว แตกขยายธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จับมือกับแสนสิริ ทำโครงการที่อยู่อาศัย 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 9,600 ล้านบาท

ธุรกิจก่อสร้างทางหลวง : จับมือกับ ช.การช่าง ตั้งบริษัท ช.การช่าง-โตคิว จำกัด

ธุรกิจบริหารอพาร์ตเมนต์ : จับมือกับ สหกรุ๊ป ตั้งบริษัทร่วมทุน สห โตคิว คอร์ปอเรชัน โดยเข้าบริหารอาคารอพาร์ตเมนต์พร้อมบริการ ในชื่อ “HarmoniQ Residence Sriracha” สำหรับชาวญี่ปุ่นและครอบครัว

]]>
1194453
“ทากะ เฮาส์” จุดเริ่มต้น ดูโอคู่ใหม่ “แสนสิริ-โตคิว” https://positioningmag.com/1139447 Tue, 12 Sep 2017 17:46:39 +0000 http://positioningmag.com/?p=1139447 คอนโดมิเนียมแนวราบ “ทากะ เฮาส์” (taka HAUS) มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท ถูกพัฒนาขึ้นต่อเนื่องหลังจากสองโครงการแรกอย่าง ฮาสุ เฮาส์ และ โมริ เฮาส์ ของ “แสนสิริ”  ในซอยสุขุมวิท 77 ได้ผลตอบรับดีเกินคาด

แต่สิ่งที่ ทากะ เฮาส์ แตกต่างไปจากสองโครงการก่อนหน้าคือ ครั้งนี้แสนสิริตกลงใจใช้วิธีร่วมทุนกับ “กลุ่มโตคิว” แทนที่จะฉายเดี่ยวอย่างที่แล้วมา โดยจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า บริษัท สิริ ทีเค วัน จำกัด

แสนสิริถือหุ้น 70% กลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้น 29% และสหโตคิวฯ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างสหกรุ๊ปกับโตคิวถือหุ้น 1%

แสนสิริเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่พัฒนาธุรกิจครบวงจร มีทั้งบ้านเดี่ยว โรงแรม และคอนโดมิเนียม เฉพาะในส่วนของคอนโดมิเนียมเอง มีด้วยกัน 4 แบรนด์ย่อยคือ The Line, The Base, D Condo และ HAUS (เฮาส์)

โดยเฮาส์เป็นแบรนด์ล่าสุดที่เปิดตัวไปในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา วางจุดยืนให้เฮาส์เป็นแบรนด์ที่เน้นธรรมชาติ เป็นคอนโดแนวราบมีไม่กี่ชั้น ใช้คอนเซ็ปต์แบบญี่ปุ่นเพื่อสร้างความแตกต่าง และดึงดูดลูกค้าต่างชาติ

เหตุผลในการก้าวเข้ามาของกลุ่มโตคิว ถือเป็นจุดเริ่มต้นของคู่หูคู่ใหม่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการเอาความเชี่ยวชาญของแต่ละคนมากองรวมกัน และมองเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น

ไม่ใช่แค่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นการสร้างเมืองขนาดย่อมให้กระจายตัวอยู่ทั่วไปในเมืองใหญ่

ในอนาคตอันใกล้ กรุงเทพฯ จะเหมือนกับเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก คือมีความเป็นเมืองย่อยในเมืองใหญ่มากขึ้น (Cluster/District) ดังนั้นแล้วการที่ภาครัฐหยิบเอาเมืองย่อยๆ ที่มีลักษณะเป็นคลัสเตอร์ที่ถูกต้องแต่แรก จะส่งผลดีทั้งต่อผู้ประกอบการในแง่การลงทุน และส่งผลดีกับผู้บริโภคในการเลือกย่านที่พักอาศัยเพื่อใช้ชีวิต

“ต่อไปสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จะไม่รวมศูนย์อยู่แค่กรุงเทพฯ ชั้นใน อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่จะกระจายออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยโดยรอบโดยการจับกลุ่มของเมืองย่อยจะเป็นไปตามสถานีรถไฟฟ้า แทนที่จะเป็นตามเขตปกครองหรือตามถนนเหมือนในอดีต” อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าว

ปัจจุบันกรุงเทพฯ อยู่ในช่วงขยายโครงข่ายคมนาคม ส่งผลดีต่อการพัฒนาอสังริมทรัพย์ในพื้นที่เกิดใหม่ที่เชื่อว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกมาก ทั้งในเขตชุมชน และในแนวรถไฟฟ้า

ดังนั้นเป้าหมายร่วมกันทั้งแสนสิริและโตคิว จึงเริ่มถ่ายน้ำหนักมาที่การสร้างชุมชน โรงเรียน สิ่งอำนวยความสะดวก และแหล่งบันเทิงใจ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในการพักอาศัยตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ไม่จำเป็นต้องเกาะกลุ่มความเจริญแค่ในกรุงเทพฯ ชั้นในเพียงอย่างเดียวอย่างที่แล้วมา

จุดยืนของแสนสิริคือ การทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นแบรนด์ระดับโลก การจับมือกับกลุ่มโตคิวหนนี้ช่วยร่นระยะเวลาการสั่งสมชื่อเสียงให้สตรองได้มาก และเป็นโอกาสได้เรียนรู้โนว์ฮาวแบบญี่ปุ่น

กลุ่มโตคิวเป็นผู้พัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในญี่ปุ่นมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และค้าปลีกเป็นเรือธง เริ่มเข้ามาขยายการลงทุนในไทยครั้งแรก จากการจับมือกับห้างมาบุญครอง และพาราไดซ์พาร์ค การเข้ามาผนึกกับแสนสิริ ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เข้าถึงพฤติกรรมและตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนท้องถิ่นและลูกค้าต่างชาติที่จะเข้ามาอาศัยมากขึ้น จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอาเซียน และไทยก็เป็นศูนย์กลางของระเบียงเศรษฐกิจ

แสนสิริและกลุ่มโตคิว ได้เริ่มเจรจาเป็นพันธมิตรกันตั้งแต่ปลายปี 2559 ในการพัฒนาแนวคิด ทากะ เฮาส์ โดยกลุ่มโตคิวจะเข้ามาสนับสนุนทางด้านนวัตกรรมการก่อสร้างและที่อยู่อาศัย แนวคิดการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่น รวมถึงการจัดการทางด้านสินค้าและค้าปลีก

ในอนาคตเราจะได้เห็นโมเดลค้าปลีกในโครงการต่างๆ ของแสนสิริมากขึ้น รวมถึงการผสมผสานแนวทางของศูนย์การค้าแบบคอมมูนิตี้มอลล์สำหรับลูกบ้านแสนสิริ

“ทางโตคิวก็อยากทำค้าปลีกอยู่แล้ว อยู่ในช่วงกำลังพูดคุย และหาทำเล” ผู้บริหารแสนสิริกล่าวสรุป

]]>
1139447