แม้ว่ากฎอาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางระบาด แต่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษก็รีบคว้าโอกาสในการจองวันหยุดพักผ่อนในต่างประเทศอย่างรวดเร็ว
“เป็นความบ้าคลั่งอย่างแท้จริงในแง่ของการจอง โดยมีความต้องการจองเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า” Katya Bauval ผู้อำนวยการฝ่ายขายของโรงแรม Vila Vita Parc ใน Algarve ทางตอนใต้ของโปรตุเกสกล่าว
ด้านเครือโรงแรม ‘Pestana’ ซึ่งเป็นเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโปรตุเกสก็มียอดการจองห้องพักเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดย Jose Theotonio ซีอีโอของ Pestana Hotel Group กล่าวว่า ความต้องการเพิ่มขึ้น 250% ของเครือ และผู้ให้บริการอื่น ๆ มียอดจองเพิ่มขึ้น 475% โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกใช้สถานที่ใน Algarve และ Porto Santo ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ในหมู่เกาะ Madeira
“สัญญาณนี้จากรัฐบาลอังกฤษได้กระตุ้นให้เกิดการจองอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่ที่พัก นอกจากนี้ยังเห็นความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากนักท่องเที่ยวในเยอรมนี, สเปน และตลาดในประเทศด้วย”
แน่นอนว่าอานิสงส์ที่ทำให้การท่องเที่ยวในโปรตุเกสกลับมาคึกคักก็เพราะไม่ต้องถูกกักตัวหลังจากกลับมาที่สหราชอาณาจักร ขณะที่ประเทศอย่าง สเปน, อิตาลี และกรีซ ที่หากไปแล้วต้องกลับมากักตัวอีก 10 วัน จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยม นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบของโปรตุเกสที่กรีซและสเปนไม่มี
ทั้งนี้ โปรตุเกสกลายเป็นจุดสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2019 โปรตุเกสมีนักท่องเที่ยวกว่า 24.6 ล้านคนซึ่งเพิ่มขึ้น 7.9% จากปี 2018 ขณะที่สหราชอาณาจักรเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเข้าพักของนักท่องเที่ยวในโปรตุเกสซึ่งคิดเป็น 18.8% ของจำนวนทั้งหมดตามมาด้วยเยอรมนี 12.3% และสเปนซึ่งคิดเป็น 11%
แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศหยุดชะงักลงอย่างสิ้นเชิงจากการระบาดของไวรัส COVID-19 นอกจากนี้โปรตุเกสยังต้องออกมาตรการล็อกดาวน์ครั้งที่ 2 เมื่อต้นปี 2021 เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มาตรการที่เข้มงวดได้คลี่คลายลงแล้ว
ในส่วนของนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ อาจจะใช้เวลานานกว่าจะกลับมา แม้จะมีการประกาศจากประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen ว่า ชาวอเมริกันที่ฉีดวัคซีนจะสามารถเดินทางไปเยือนยุโรปได้ในช่วงฤดูร้อนนี้ก็ตาม ทั้งนี้ ในปี 2019 โปรตุเกสยังดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่สหภาพยุโรปจำนวนมาก โดยนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น 21.3% นักท่องเที่ยวจีนโต 16.8% และบราซิลเติบโต 14.9%
]]>คณะรัฐมนตรีแห่งโปรตุเกสประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 ว่า ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่อยู่ระหว่างยื่นขอสิทธิการอยู่อาศัยในประเทศกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จะได้รับสิทธิเป็นผู้พำนักถาวร (Permanent Resident) ในโปรตุเกสชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคมถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้ เพื่อการันตีสิทธิของชาวต่างชาติเหล่านี้ได้ชัดเจนว่าพวกเขาจะเข้าถึงระบบสาธารณสุขเสมือนชาวโปรตุเกสแต่กำเนิด
คณะรัฐมนตรีโปรตุเกสอธิบายถึงการตัดสินใจนี้ว่า เกิดขึ้นเพื่อ “ลดความเสี่ยงทางสุขภาพสาธารณะ” ทั้งของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและผู้อพยพ/ผู้ลี้ภัย หากยังนัดหมายเพื่อดำเนินการพิจารณาสิทธิพำนักอาศัยอยู่ อีกนัยหนึ่งคือเป็นความพยายามลดการแพร่ระบาดด้วยการลดการพบเจอกันของผู้คนให้มากที่สุด
การประกาศนี้จะทำให้ผู้อยู่ระหว่างยื่นขอสิทธิพำนัก เพียงแสดงเอกสารหลักฐานว่าเป็นผู้อยู่ระหว่างยื่นขอสิทธิพำนัก จะสามารถเข้าใช้ระบบสาธารณสุข สวัสดิการสังคม เปิดบัญชีธนาคาร ทำงาน และทำสัญญาเช่าต่างๆ ได้ในระยะเวลาดังกล่าว
“คนไม่ควรจะถูกตัดสิทธิเข้าถึงบริการสุขภาพและบริการสาธารณะเพียงเพราะเอกสารของพวกเขายังดำเนินการไม่เสร็จ ในห้วงเวลาพิเศษเช่นนี้ สิทธิของผู้อพยพต้องได้รับการรับประกัน” คลอดิโอ เวโลโซ โฆษกกระทรวงมหาดไทยของโปรตุเกสกล่าว
สำหรับจำนวนผู้อพยพ/ผู้ลี้ภัยที่อยู่ระหว่างยื่นขอสิทธิพักอาศัยนั้นไม่ได้ประกาศออกมาว่ามีจำนวนเท่าไหร่ แต่สำนักข่าว Independent รายงานอ้างอิงตัวเลขผู้ได้สิทธิพำนักถาวรตลอดปี 2562 ของโปรตุเกสมีทั้งหมด 1.35 แสนคน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวบราซิล
ประเทศโปรตุเกสนั้นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 และสถานการณ์ฉุกเฉินจะบังคับใช้นาน 15 วัน
จนถึงปัจจุบัน โปรตุเกสมีผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 แล้ว 6,408 ราย มีผู้เสียชีวิต 140 ราย และผู้ป่วยรักษาหาย 43 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อของโปรตุเกสถือว่าต่ำกว่าเพื่อนบ้านติดกันอย่างสเปนมาก เพราะสเปนกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับ 3 ของโลกแล้ว โดยมีผู้ติดเชื้อกว่า 87,000 คน และผู้เสียชีวิตกว่า 7,700 ราย
Source: CNN, Independent
]]>