โรงภาพยนตร์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 02 Jun 2023 07:25:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อ่านเกม ‘โรงหนังสัตว์เลี้ยง’ ของ ‘เมเจอร์ฯ’ กับการปลุกเหล่า ‘ทาส’ ออกจากบ้านเข้าโรงหนัง https://positioningmag.com/1432673 Wed, 31 May 2023 11:58:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1432673 ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเทรนด์ สัตว์เลี้ยง เป็นอะไรที่น่าจับตามอง เพราะแค่ตลาดอาหารสัตว์ก็มีมูลค่ามากถึง 5 หมื่นล้านบาท เติบโต 10-12% ต่อปี ซึ่งถือว่าเติบโตมากกว่าตลาดโลก ที่น่าสนใจคือ ธุรกิจที่ไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรกับสัตว์เลี้ยงเลยอย่าง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ก็ยังหาช่องในการเปิด i-Tail Pet Cinema โรงภาพยนตร์ที่ให้เหล่าทาสพาสัตว์เลี้ยงมาร่วมรับชมภาพยนตร์ได้

อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ยังไม่ฟื้น 100%

แม้ว่าสถานการณ์ของโควิดจะคลี่คลายจนคนกลับมาใช้ชีวิตเกือบปกติแล้ว แต่อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ที่ได้ผลกระทบแบบเต็ม ๆ ก็ยังไม่ฟื้น 100% เนื่องจากจำนวนภาพยนตร์ที่ลดลง เพราะช่วงที่เกิดการระบาดทำให้ไม่สามารถถ่ายทำภาพยนตร์ได้ อย่างไรก็ตาม ในปี 2023 นี้ปริมาณภาพยนตร์ก็เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 30%

สำหรับเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์เองก็คาดหวังว่าปีนี้บริษัทจะทำรายได้ให้ใกล้เคียงกับปี 2019 หรือราว 10,000 ล้านบาท โดยเมื่อเทียบช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้กับปี 2019 พบว่ารายได้กลับมาประมาณ 85% โดยสัญญาณเริ่มดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งจะเห็นว่า รายได้ของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์นั้นต้องพึ่งพาหน้าหนังที่จะดึงผู้ชมเป็นหลัก แต่เมเจอร์ฯ ไม่ขออยู่เฉย โดยเลือกที่จะหาลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ ไม่ค่อยเข้าโรงภาพยนตร์ อย่าง เหล่าทาสที่มีสัตว์เลี้ยงต้องคอยดูแล

เติมเต็มโรงรอบเช้าด้วยโรงพิเศษ

โดยปกติแล้ว รอบฉายภาพยนตร์ในช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่มีผู้ชมน้อยสุด โดยช่วงพีคสุดจะเป็นรอบกลางวัน-เย็น โดยเฉพาะในวันเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้น การเติมที่ว่าง ในรอบดังกล่าวนั่นหมายถึง รายได้ที่เพิ่มขึ้น 

ย้อนไปปี 2562 ทางเมเจอร์ฯ​ ก็ได้เปิดโรงภาพยนตร์ Kids Cinema ขึ้น โดยจัดรอบเช้าสุดของวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งในปีแรกที่เปิดตัวมีการขายตั๋วเด็กถึง 1 ล้านใบ รวมกับครอบครัวที่มาด้วยเป็น 3 ล้านใบ เลยทีเดียว โดยปัจจุบันโรง Kids Cinema ก็ได้เปิดไปเเล้วถึง 12 สาขา

สัตว์เลี้ยงทุกวันนี้ก็เหมือนลูก

ที่น่าสนใจคือ พฤติกรรมที่กลุ่มผู้ปกครองกับกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์มีเหมือนกันก็คือ ความเกรงใจ ซึ่งนั่นทำให้คนกลุ่มนี้เลือกที่จะไม่เข้าโรงภาพยนตร์ เพราะกลัวลูก ๆ อาจสร้างความรำคาญใจให้กับผู้รับชมอื่น ๆ เช่นเดียวกันกับกลุ่มคนที่เลี้ยงสัตว์ที่ปัจจุบันเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไม่ต่างจากลูก โดยเหล่าทาสนั้นไม่อยากจะปล่อยสัตว์เลี้ยงไว้ที่บ้านตัวเดียวนาน ๆ เลยเลือกที่จะอยู่แต่บ้านมากกว่าออกไปทำกิจกรรมที่ใช้เวลา ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงแทบไม่ได้เข้าโรงภาพยนตร์ ทำให้การเปิดโรงภาพยนตร์ที่เปิดให้พาสัตว์เลี้ยงมารับชมได้ก็ยิ่งช่วยเติมที่ว่างในรอบฉายช่วงเช้า

จริง ๆ แล้ว การเปิดโรงภาพยนตร์ให้สัตว์เลี้ยงเข้ามารับชมร่วมกับผู้เลี้ยงไม่ได้เพิ่งมี แต่ทางเมเจอร์ฯ ระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยมีกลุ่มคนที่เลี้ยงสัตว์ได้เคยรวมตัวกันเหมาโรงภาพยนตร์แล้วพาสัตว์เลี้ยงมารับชมภาพยนตร์ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เมเจอร์ฯ จะตัดสินใจเปิด i-Tail Pet Cinema เพราะยังไงก็มีดีมานด์

“4-5 ปีที่เขาเริ่มเลี้ยงสัตว์ทำให้เขาแทบไม่ได้เข้าโรงหนังเลย เพราะอยากไปดูแต่ไม่อยากทิ้งไว้ที่บ้าน นี่ก็จะตอบโจทย์นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป กล่าว

ได้สปอนเซอร์เพิ่ม

จากความสำเร็จของ Kids Cinema ทำให้ทางเมเจอร์ได้มีพันธมิตรเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ อย่าง โคโดโม และ ลาซาด้า ซึ่งมีลูกค้าเป็นกลุ่มครอบครัวเหมือนกัน ดังนั้น การใช้ช่องทาง Kids Cinema นี้ เป็นจุดให้ลูกค้ามีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกันกับโรง i-Tail Pet Cinema ที่ได้ ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ มาเป็นสปอนเซอร์ด้วยสัญญา 1 ปี ซึ่งมองว่าการเป็นสปอนเซอร์ให้กับเมเจอร์ฯ แบรนด์ก็จะได้พื้นที่ในการ สร้างอแวร์เนสใหม่ ๆ ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ซึ่งถ้าลูกค้าได้มาลองใช้ผลิตภัณฑ์ก็อาจจะกลายมาเป็นลูกค้าประจำในอนาคตด้วย

อย่างที่ระบุไปในช่วงต้นว่า เฉพาะมูลค่าตลาดอาหารสัตว์มีมูลค่าสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราจะเห็นแบรนด์อาหารสัตว์ใหม่ ๆ ตบเท้าเข้ามาในตลาด อย่างล่าสุด ก็มี อาร์เอส ที่เข้ามาเล่นในตลาดนี้ ดังนั้น ก็ยิ่งทำให้เมเจอร์ฯ มีโอกาสที่จะหาพันธมิตรใหม่ ๆ เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ได้อีก

ปัจจุบัน โรงภาพยนตร์ i-Tail Pet Cinema ได้นำร่องให้บริการเพียง 3 สาขา ได้แก่ เมกา ซีนีเพล็กซ์, อีสต์วิลล์ ซีนีเพล็กซ์ และเมเจอร์ ซีนีมา โรบินสันราชพฤกษ์ แต่ศูนย์การค้าที่เป็น Pet friendly ยังมีอีกมาก โดยเฉพาะศูนย์การค้าที่เปิดใหม่ต่างก็เป็น Pet friendly แทบทั้งหมด และแบรนด์อาหารสัตว์ก็มีอีกเพียบ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องยากที่เมเจอร์ฯ จะขยายโรงภาพยนตร์สำหรับสัตว์เลี้ยงในอนาคต

]]>
1432673
“เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” สานต่ออีเวนต์สุดปัง! ผนึก Pepsi No Sugar เสิร์ฟความสนุกกับ Cinema in The City ครั้งที่ 4 ดูหนัง Outdoor สุดชิลล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา https://positioningmag.com/1425555 Mon, 03 Apr 2023 10:00:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1425555

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ดูเหมือนว่ามีทิศทางดีขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริโภคเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยกันปกติ หลายธุรกิจเริ่มกลับมาคึกคัก รวมถึงมีการจัดกิจกรรม งานอีเวนต์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยที่โรงภาพยนตร์เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีการกลับมาคึกคักเป็นปกติเหมือนช่วงก่อนที่เกิดโรคระบาดแล้ว ทั้งในแง่ของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวู้ด และภาพยนตร์ไทยที่ตบเท้าเข้าฉายตลอดทั้งปี ผู้บริโภคก็กลับมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ เพื่อเสพบรรยากาศการดูหนังบนจอยักษ์ด้วยเช่นกัน


“เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ผู้นำธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย นอกจากจะมีแผนการลงทุนในการขยายสาขาโรงภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์การดูหนังให้แก่คนไทยทั่วประเทศ ยังได้จัดกิจกรรม Cinema in The City ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมใหญ่ที่คอหนังไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

Cinema in The City เป็นการจัดกิจกรรมดูภาพยนตร์จอใหญ่ยักษ์แบบ Outdoor หรือเรียกภาษาบ้านๆ ว่าฉายหนังกลางแปลงก็ไม่ผิด ฉายหนังวันละ 1 รอบ โดยจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนสถานที่ และมีคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกัน ในปีนี้ได้จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยที่ 3 ครั้งที่ผ่านมาได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามทั้งจากผู้บริโภค และพันธมิตรต่างๆ

เรียกได้ว่า Cinema in The City เป็นหนึ่งในกิจกรรมใหญ่ที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากหลายๆ ฝ่าย เนื่องจากเทรนด์ของผู้บริโภคหลังจากยุค COVID-19 ยังคงใส่ใจเรื่องความปลอดภัย การดูหนังในสถานที่เอาท์ดอร์ที่มีอากาศถ่ายเทจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี อีกทั้งยังสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่

ในการจัดงานแต่ละครั้งจึงมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างล้นหลาม หลักหลายพันคน นอกจากนั้นยังสามารถสร้างเอ็นเกจเมนต์ให้กับผู้บริโภคได้ถึงหลักหมื่น หลักแสนคนเลยทีเดียว จากทราฟฟิกของผู้คนที่ไปเยือนศูนย์การค้าในการจัดงานแต่ละครั้ง สร้างมูลค่าทางการตลาดได้มากมาย เรียกว่าแฮปปี้กันทุกฝ่าย ทั้งผู้บริโภค และพาร์ทเนอร์ที่เป็นสปอนเซอร์ของงาน

ในครั้งที่ 4 ที่จัดงานล่าสุด เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้ผนึกกำลังร่วมกับ Pepsi No Sugarและ Icon Siam จัดงาน Cinema in The City ครั้งที่ 4 ชวนดูหนังคลายร้อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา

แม้ก่อนหน้านี้จะเคยมีการดูหนังริมแม่น้ำเจ้าพระยามาแล้ว แต่ Cinema in The City ในครั้งนี้ พาทุกคนมาเปลี่ยนบรรยากาศดูหนังสุดชิลล์รับซัมเมอร์ มีคอนเซ็ปต์แนว Street Art ผสานเข้ากับไลฟ์สไตล์การดูหนัง โดยลูกค้าสามารถรับเครื่องดื่ม PEPSI SLUSH สุดคูล พร้อมถ่ายรูปอัพลงโซเชียลได้อย่างจัดเต็มงานนี้ฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ให้ชมฟรี4 วัน 4 เรื่อง ได้แก่ Jurassic World: Dominion ,Black Adam ,The Batmanและ Top Gun: Maverickตั้งแต่วันที่ 2-5 มีนาคม 2566 วันละ 1 รอบ รอบเวลา 18.30 น.เป็นต้นไป ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม

นอกจากเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ และPepsi No Sugar จะเป็นแม่งานแล้ว ยังร่วมกับเหล่าพันธมิตรชั้นนำมากมายอย่างเมาท์สเปรย์มังคุด มายเฮอบัล มายบาซิน, Caltex Rewards และ AIS 5G มาร่วมให้ความสนุกสนานหลากหลายรูปแบบจากจากบูธกิจกรรมและเครื่องดื่มที่จะทำให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์พิเศษระหว่างรับชมภาพยนตร์ท่ามกลางวิวแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมทั้งรับอรรถรสในการรับชมภาพยนตร์ด้วยภาพที่คมชัดระดับ 4K พร้อมระบบเสียง Dolby มาตรฐานเดียวกับโรงภาพยนตร์

สำหรับงาน Cinema in The City ได้เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปี 2564 ได้เนรมิตลานกลางแจ้งของ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน”ให้เป็นลานดูหนังแบบ Outdoor เพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่แปลกใหม่จากการดูในโรงภาพยนตร์แต่ได้อรรถรสเดียวกันเพราะเป็นการฉายภาพยนตร์บนจอขนาดยักษ์ที่ให้ความคมชัดระดับ 4K

หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการจัดงานในครั้งแรก เมเจอร์ฯ ได้สานต่องาน Cinema In The City By The River ครั้งที่ 2 เรียกได้ว่าเป็นการเปิดประสบการณ์การดูหนังจอยักษ์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นครั้งแรก ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม

สำหรับครั้งที่ 3 Cinema In The City: The City Backyardที่เพิ่งผ่านไปไม่นานมานี้ เป็นฟีลจำลองความมินิมอลสไตล์คาเฟ่ญี่ปุ่นมาอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ที่ลานพาร์ค พารากอน สยามพารากอน

Cinema In The City ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่ไหน หรือพาร์ทเนอร์ที่สนใจร่วมกิจกรรมกับทาง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง Facebook : Major Group

]]>
1425555
“เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” เจ้าภาพร่วมอีเวนต์วงการหนังระดับโลก “CineAsia” โอกาสทองสร้าง Soft Power จาก “หนังไทย” https://positioningmag.com/1413947 Tue, 27 Dec 2022 10:00:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1413947

สถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลายอุตสาหกรรมปั่นป่วนรวมถึงธุรกิจ “โรงภาพยนตร์” แต่หลังโรคระบาดคลี่คลาย ตัวเลขผู้ชมที่กลับสู่โรงหนังอีกครั้งเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า ‘Cinema Never Die’ โรงภาพยนตร์ยังคงเป็นส่วนสำคัญในธุรกิจ และงานอีเวนต์เทรดโชว์ระดับโลกที่จะจัดในภูมิภาคเอเชียอย่าง ‘CineAsia’ ได้เลือกเป็นพาร์ทเนอร์กับ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” จัดงานอีเวนต์ในไทยสองปีต่อเนื่อง (2022-23) โอกาสครั้งสำคัญในการผลักดันภาพยนตร์ไทยเข้าสู่เครือข่ายวงการภาพยนตร์ระดับสากล

ธุรกิจ “โรงภาพยนตร์” ทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา จากโรคระบาดโควิด-19 ทำให้โรงภาพยนตร์ถูกสั่งปิดชั่วคราว ผู้ชมเริ่มหันไปหาความบันเทิงผ่านช่องทางอื่น เช่น สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม จนเกิดเป็นคำถามว่า “ถ้าโรงหนังเปิดทำการอีกครั้ง ผู้ชมจะยังกลับมาหรือไม่?”

อย่างไรก็ตาม หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ธุรกิจโรงภาพยนตร์ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งแล้วว่า โรงหนังยังมีความสำคัญต่อผู้ชมและศิลปะ โดยในปี 2021-2022 ซึ่งโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในโลกกลับมาเปิดทำการแล้ว มีภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ถึง 2 เรื่องที่ได้รับการตอบรับในโรงสูงจนติดอันดับภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาล ได้แก่ Spider-Man: No Way Home (ปี 2021) ขึ้นแท่นอันดับ 6 และเรื่อง Top Gun: Maverick (ปี 2022) ขึ้นไปติดอันดับ 11

กรณีประเทศไทย “วิชา พูลวรลักษณ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เฉพาะรายได้จากโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ปี 2565 มีผู้ชมกลับเข้ามาแล้ว 70% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 และยังเปิดเผยแผนปี 2566 เตรียมลงทุน 600 ล้านบาท เปิดโรงภาพยนตร์ใหม่ถึง 13 สาขา รวม 49 โรง เป็นสัญญาณชัดเจนว่าอนาคตโรงหนังจะกลับมาสดใส

บรรยากาศงาน CineAsia 2022 ในโรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค

เหตุที่โรงภาพยนตร์ยังเป็นส่วนสำคัญ และผู้ชมยังต้องการกลับมาแม้จะมีตัวเลือกอย่างสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม เป็นเพราะโรงภาพยนตร์มี “เสน่ห์” ที่หน้าจออื่นชดเชยไม่ได้ เช่น เทคโนโลยีการฉายภาพยนตร์ในระบบพิเศษต่างๆ เพื่อให้ได้อรรถรสการชมอย่างเต็มที่, บรรยากาศการชมภาพยนตร์ร่วมกับคนหมู่มาก สัมผัสถึงอารมณ์ร่วมกันทั้งโรง หรือบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นข้อเสียแต่จริงๆ แล้วกลายเป็นข้อดี คือ การกดหยุดระหว่างชมไม่ได้และมารยาทในโรงหนังที่ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งทำให้ผู้ชมมีสมาธิ ‘อิน’ ไปกับหนังได้มากกว่า ทั้งหมดทำให้ ‘Cinema Never Die’ โรงภาพยนตร์ยังเป็นสถานที่ที่ผู้ชมชื่นชอบ


CineAsia เลือกไทยเป็นสถานที่จัดงาน “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ร่วมเป็นเจ้าภาพ

เมื่อภาพยนตร์ยังไม่ตาย ทำให้อีเวนต์ที่เกี่ยวข้องยังคงจัดอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในผู้จัดอีเวนต์ด้านภาพยนตร์แถวหน้าของโลกอย่าง Film Expo Group” กลับมาจัดงานอีเวนต์ “CineAsia” หลังหยุดไป 3 ปีจากเหตุโควิด-19 และทั้งสองครั้งเลือก “ประเทศไทย” เป็นสถานที่จัดงานแทนเกาะฮ่องกงที่เคยเป็นเจ้าภาพ


โอกาสนี้ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน CineAsia ระหว่างวันที่ 5-8 ธันวาคม 2022 และ 4-7 ธันวาคม 2023 จัดขึ้น ณ โรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค และ ทรูไอคอน ฮอลล์ ต้อนรับผู้เข้าร่วมงานทั้งกลุ่มผู้สร้าง ผู้กำกับ นักแสดง ผู้ผลิตและจำหน่าย ค่ายหนัง ตัวแทนโรงภาพยนตร์ รวมกว่า 2,000 คนจาก 50 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น

งาน CineAsia ถือเป็นงานใหญ่ของวงการ เนื่องด้วยจะมีการจัดฉายไลน์อัพภาพยนตร์ล่วงหน้าของปีถัดไป ยกตัวอย่างปี 2022 ที่ผ่านมาจะจัดฉายหนังของปี 2023 โดยมีสตูดิโอระดับโลกร่วมแนะนำภาพยนตร์ในปีหน้า เช่น 20th Century Fox, Paramount, Sony Pictures, Universal, Walt Disney, Warner Bros, ฯลฯ ทั้งหมดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพาร์ทเนอร์โรงภาพยนตร์ว่า ในปีถัดไปสตูดิโอใหญ่จะมีภาพยนตร์ที่น่าสนใจออกฉายอย่างต่อเนื่อง

เทรดโชว์นวัตกรรมและอุปกรณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ยังมีการนำเสนอและจัดแสดงสินค้าเทคโนโลยีและอุปกรณ์ใหม่ๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เห็นภาพอนาคตของวงการ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียง จอภาพยนตร์ ลำโพง เครื่องฉาย กล้องถ่ายทำ เก้าอี้โรงหนัง เครื่องจำหน่ายตั๋ว เครื่องจำหน่ายป๊อปคอร์น โดยในงาน CineAsia ปี 2022 จะเห็นได้ว่านวัตกรรมใหม่ยังคงมีการจัดแสดงภายในงาน สะท้อนภาพการพัฒนาตัวเองที่ไม่หยุดยั้งในโลกภาพยนตร์ แม้ว่าจะต้องเผชิญสถานการณ์โควิด-19 ก็ตาม


โอกาส ‘Soft Power’ จากภาพยนตร์ไทย

วิชา พูลวรลักษณ์ ซีอีโอแห่ง “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ยังมองด้วยว่า โอกาสของการมีอีเวนต์เครือข่ายธุรกิจภาพยนตร์ระดับโลก CineAsia มาจัดในไทยคือ ช่วงเวลาที่ประเทศไทยจะได้นำเสนอผลงานจากวงการภาพยนตร์ไทยด้วยเช่นกัน ทั้งผลงานภาพยนตร์ ผลงานการกำกับ ผลงานนักแสดง จนถึงสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ภายในประเทศไทย เหล่านี้คือโอกาสที่ไทยจะได้ประโยชน์ต่อเนื่องหลังงานอีเวนต์ลักษณะนี้

เมเจอร์ฯ เองมองว่าบริษัทต้องการช่วยผลักดันให้ไทยขึ้นแท่นเป็น King of Content Hub โดยเทียบชั้นกับ ‘เกาหลีใต้’ ซึ่งเป็นต้นแบบของการส่งออกอุตสาหกรรมบันเทิงสู่สายตาชาวโลก เกาหลีใต้นั้นเป็น role model แห่งความสำเร็จ ทำให้เห็นว่าการผลักดัน ‘Soft Power’ นั้นมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ผู้ชมเมื่อได้ซึมซับวัฒนธรรมผ่านความบันเทิงแล้ว จะนำมาซึ่งการขายสินค้าของประเทศได้หลากหลาย เช่น อาหาร เครื่องสำอาง สมาร์ทโฟน รถยนต์ การท่องเที่ยว ภาพยนตร์จึงกลายเป็นรากฐานหนึ่งในการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ

จากความมุ่งมั่นของเมเจอร์ฯ และความแข็งแกร่งในฐานะโรงภาพยนตร์อันดับ 1 ของไทย เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จึงได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจาก Film Expo Group เพื่อเป็นพาร์ทเนอร์เจ้าภาพร่วมจัดงาน CineAsia ถึงสองปีซ้อนในปี 2022 และ 2023

บรรยากาศภายในงาน CineAsia 2022 ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จด้วยดี สองเจ้าภาพหลักทั้ง  วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) และ Andrew Sunshine Managing Director of CineAsia ได้เนรมิตงานเลี้ยงปูพรมแดง ‘CineAsia RECEPTION PARTY’ ในบรรยากาศสุดหรู ณ นภาลัย เทอเรส ไอคอนสยาม โดยมี Dr.Man-Nang Chong Founder, Chairman & CEO ของ GDC Technology Limited ให้เกียรติเป็นประธานในงาน พร้อมผู้สนับสนุนรายใหญ่ บุญชัย อัศวฤทธิพรหม์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด อีกทั้งทีมผู้สร้าง ผู้กำกับ และนักแสดง ตบเท้าเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ทั้งนี้ งานครั้งต่อไป CineAsia 2023” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ธันวาคม 2023 มีผู้สนับสนุนหลักในการจัดงานคือ Pepsi (เป๊ปซี่) และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมร่วมกันผลักดันวงการภาพยนตร์ในประเทศไทยให้ไปสู่เวทีโลก

โดยเมเจอร์ฯ ยังคงพร้อมเปิดรับผู้สนับสนุนงาน CineAsia 2023 และกิจกรรมการตลาดเพื่อสนับสนุนภาพยนตร์ไทย ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือการสร้าง ‘Soft Power’ จากภาพยนตร์ไทยให้สำเร็จ

]]>
1413947
Major Cineplex x Atome มิติใหม่ของวงการหนัง “ดูก่อนจ่ายทีหลัง” แบ่งจ่ายฟินๆ แบบไร้ดอกเบี้ย https://positioningmag.com/1396867 Wed, 24 Aug 2022 10:00:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1396867

ภาพรวมสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ผู้บริโภคเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอย ธุรกิจหลายภาคส่วนเริ่มฟื้นตัวไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว รวมไปถึงธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักอย่าง “โรงภาพยนตร์” ที่เริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นเช่นกัน

ในส่วนของโรงภาพยนตร์นอกจากจะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ตบเท้าเข้าโรงอย่างต่อเนื่องแล้ว ในเรื่องของนวัตกรรมต่างๆ ก็ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น ยิ่งล่าสุดกับนวัตกรรมดูหนังแบบแบ่งจ่าย หรือที่เรียกว่าดูก่อนจ่ายทีหลังเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จะเป็นอย่างไรบ้าง เราจะมาเล่าให้ฟัง


ดูหนังก่อน จ่ายทีหลังครั้งแรกในประเทศไทย

ถ้าการช้อปปิ้งสินค้าทั่วไปยังสามารถแบ่งจ่ายได้ แล้วทำไมการดูหนังจะแบ่งจ่ายไม่ได้? ก่อนหน้านี้เราได้เห็นหลายธุรกิจเริ่มมีเทรนด์ Buy Now Pay Later กันมาบ้างแล้ว หรือช้อปก่อน จ่ายทีหลัง หรือคือการแบ่งจ่ายนั่นเอง แต่เป็นการแบ่งจ่ายโดยแพลตฟอร์มที่มีตัวกลาง สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วไปที่ไม่มีสินเชื่อ หรือบัตรเครดิตได้ โดยผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดนี้ก็คือ Atome (อาโตมี่)

เมื่อไม่นานมานี้ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ได้ประกาศความร่วมมือกับ Atome ในการเริ่มให้บริการ Buy Now Pay Later เรียกว่าเป็นการสร้างมิติใหม่แห่งวงการภาพยนตร์ ลูกค้าสามารถดูหนังก่อนแบบชิลล์ๆ แล้วค่อยจ่ายทีหลัง นับเป็นครั้งแรกของโรงภาพยนตร์ในเมืองไทยที่ลูกค้าสามารถ “ดูหนังก่อนจ่ายทีหลัง” ไร้ดอกเบี้ยไร้ค่าบริการเพิ่มเติม

วิธีการใช้บริการนั้นสะดวกสบายอย่างมาก เพียงซื้อตั๋วหนังผ่านตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ E-Ticket แล้วเลือกชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่น Atome แบ่งจ่ายค่าตั๋วหนังได้ 3 ครั้ง แถมดอกเบี้ย 0% ทุกเรื่องทุกรอบ สามารถแบ่งจ่ายครั้งแรกเป็น 1/3 ของยอดชำระทั้งหมด เพียงแค่มีสมาร์ทโฟนและมีบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต ก็แบ่งจ่ายแบบชิลล์ๆ

นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“เนื่องจากลูกค้าของเราเป็น Smart Shopper ฉลาดใช้ฉลาดเลือก เรามองว่า Buy Now Pay Later (BNPL) เป็นเทรนด์ใหม่ที่คนเลือกใช้ และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเมเจอร์เองอยากสร้างการชำระเงินที่สะดวกสบายที่สุดให้กับลูกค้าทางเมเจอร์จึงร่วมมือกับ Atome เป็นเจ้าแรก ที่ทำเรื่อง BNPL ให้เกิดมิติใหม่แห่งการดูหนังการขยายช่องทางชำระเงินของลูกค้า เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องสร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้ามากที่สุดเราพยายามหานวัตกรรมใหม่ๆ ในการชำระเงินให้กับลูกค้า เพื่อให้รู้สึกว่าการมาชมภาพยนตร์เป็นการซื้อตั๋วที่สะดวกสบายที่สุดนี่คือเป้าในการจ่ายเงินแบบใหม่ต่างๆ ที่เรานำมาเสิร์ฟให้ลูกค้า”


สร้างประสบการณ์ใหม่ เพิ่มทางเลือกในการจ่ายเงิน

ความสำคัญของการร่วมมือกันครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้แก่กลุ่มลูกค้าของเมเจอร์ ให้มีทางเลือกการชำระเงินที่หลากหลายขึ้น สะดวกขึ้น ยังเป็นโอกาสที่ดีให้การขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้ทั้งทางเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์และ Atome อีกด้วย รวมไปถึงการทำระบบ BNPL ร่วมกับทางเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ก็สะดวกสบาย ง่ายต่อการใช้งาน

ทางด้าน ภูมิพงษ์ ตันเจริญผล ผู้จัดการทั่วไป Atome ประจำประเทศไทย เล่าว่า

“จากสถานการณ์ช่วง COVID-19ทำให้วิถีการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนไป เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ และ Atome เห็นว่าหลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ผู้บริโภคก็จะกลับมาใช้ชีวิต และทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้นธุรกิจบันเทิงอย่าง การดูหนัง ก็จะเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักที่ผู้บริโภคจะกลับไปทำ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ Atomeหันมาสนใจธุรกิจด้านนี้ เพื่อเป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ดีขึ้น และเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ให้ทั้ง 2 ฝ่ายลูกค้าจะมีตัวเลือกในการชำระเงินมากขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองได้มากขึ้น”

กลุ่มลูกค้าหลักของเมเจอร์ 70% อยู่ในช่วงอายุประมาณ 15-35 ปี เป็น Gen Z มีพฤติกรรมในการใช้ BNPL อยู่แล้ว การที่เราทำโปรโมชั่นร่วมกับ Atome เป็นการดึงฐานลูกค้าของ Atome ที่มียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมากกว่า 350,000 ครั้งในไทย ให้มาชมภาพยนตร์มากขึ้น

ในขณะเดียวกันลูกค้าเมเจอร์ได้มีทางเลือกมากขึ้นในการชำระเงินที่หลากหลาย ซึ่งทิศทางของเมเจอร์ คือต้องการลดการใช้เงินสดที่ตู้ การมีระบบการจ่ายเงินที่หลากหลาย ทำให้ลูกค้าสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่ง BNPL ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ลูกค้าชื่นชอบ

ปกติแล้วเมเจอร์มีตู้ซื้อตั๋วอัตโนมัติ หรือ E-ticket อยู่ทุกสาขา และสามารถซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ทำให้ปัจจุบันการซื้อตั๋วของลูกค้า 60% ซื้อที่ตู้ E-ticket 35% ซื้อผ่านทางออนไลน์ และอีก 5% ซื้อเงินสดที่ Box Office ในสิ้นปีนี้ทางเมเจอร์ตั้งเป้าการใช้เงินสดเหลือ 0% หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การซื้อตั๋วจะเป็น Cashless 100% ให้ได้ภายในปีนี้

การร่วมมือกับ Atome ก็เป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญในการผลักดันภารกิจนี้ให้รวดเร็วขึ้น รวมถึงอาจจะขยายความร่วมมือจากการซื้อตั๋วหนังไปยังระบบ M Pass ในอนาคตอีกด้วย


สามารถซื้อได้ทุกสาขาทั่วประเทศไทย พร้อมโปรจัดเต็มลด 100 บาท

แน่นอนว่าในความร่วมมือครั้งนี้ ต้องจัดเต็มด้วยโปรโมชั่นอย่างแน่นอน สำหรับลูกค้าใหม่ที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Atome ในครั้งแรก รับทันทีส่วนลดตั๋วหนัง 100 บาท เมื่อชำระค่าตั๋วหนังผ่านแอพพลิเคชั่นอาโตมี่ ตั้งแต่ 200 บาทขึ้นไป ถึงวันที่ 31 ส.ค. 65

ง่ายๆ กับ 3 ขั้นตอนรับสิทธิ์บริการ “ดูหนังก่อนจ่ายทีหลัง” ไร้ดอกเบี้ย

  • ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Atome และลงทะเบียนสมัครสมาชิก
  • ใช้บริการซื้อตั๋วหนังที่ ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ E-Ticket แล้วเลือกชำระค่าตั๋วหนังผ่านแอพพลิเคชั่น Atome
  • ชำระค่าตั๋วหนังเป็น 3 ครั้ง ครั้งละเท่าๆ กันเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยไม่มีดอกเบี้ยสามารถซื้อตั๋วหนังได้ทุกประเภทที่นั่ง ไม่จำกัดจำนวน


จับตาเทรนด์ Buy Now Pay Later กระตุ้นยอดขายได้ 30%

เทรนด์ของ BNPL ในไทยมีศักยภาพในการเติบโตเป็นอย่างมาก จากรายงานของ FIS World Pay 2022 เผยว่าตั้งแต่ปี 2021 จนถึงปี 2025 โซลูชัน BNPL จะเป็นเทรนด์วิธีการชำระเงินที่เติบโตเร็วที่สุดทั้งช่องทางหน้าร้าน และออนไลน์

กลุ่มผู้บริโภคหลักของ BNPL คือกลุ่ม Millennial และ Gen Zซึ่ง BNPL ตอบโจทย์ความต้องการของคนกลุ่มนี้ที่อยากมี ความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายมากขึ้น และควบคุมการใช้จ่ายของตัวเองได้มากขึ้น โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

จากประสบการณ์ของร้านค้าที่มีโซลูชั่นของ Atome พบว่าสามารถช่วยเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มยอดใช้จ่ายต่อบิลของลูกค้า (Basket Size) ประมาณ 30% ซึ่งก็ถือเป็นช่องทางในการขยายธุรกิจได้อย่างดี เพราะผู้บริโภครู้สึกอุ่นใจในการใช้จ่าย ซื้อของได้มากขึ้น แบ่งจ่ายอย่างสบายใจ

สำหรับ Atome มาจากคำว่า Available to me เป็นธุรกิจมาจากประเทศสิงคโปร์ ผู้นำทางด้าน Buy Now Pay Later ในอาเซียน เป็นบริษัทลูกของ Advance Intelligence Group บริษัทเทคโนโลยีซีรีส์ D ซึ่งเป็นยูนิคอร์นจากสิงคโปร์

Atomeได้เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปี 2564 มีจุดเด่นตรงที่ให้ผู้บริโภคแบ่งจ่าย 3 ครั้ง ดอกเบี้ย 0% และไม่มีค่าธรรมเนียม สามารถชำระได้ผ่านทั้งทางหน้าร้าน และช่องทางออนไลน์ โมเดลการหารายได้ของ Atome ก็คือ คิดค่าธรรมเนียมกับทางพาร์ทเนอร์ ไม่ได้คิดค่าบริการกับทางลูกค้า

จุดประสงค์หลักของ Atome ก่อตั้งมาตอบโจทย์กลุ่ม Underserved และ Unbanked พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ กลุ่มที่ไม่สามารถถึงบริการ หรือผลิตภัณฑ์ของแบงค์ได้ อาจจะเป็นกลุ่มฟรีแลนซ์ คนไม่มีบัตรเครดิต ขอสินเชื่อไม่ได้ คนกลุ่มนี้มีจำนวนสูงมากในอาเซียน

นอกจากความร่วมมือในด้านการชำระเงินแล้ว เราอาจจะได้เห็นเมเจอร์ และ Atome ร่วมมือกันในด้านอื่นๆ อีกอาจจะเป็นการจัดเทศกาลภาพยนตร์ร่วมกัน เพื่อโปรโมทภาพยนตร์ไทย หรือเอเชียรวมไปถึงมีแผนในการพัฒนาการชำระเงินของ M pass ผ่าน Atome และขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ อาจจะรวมถึงเครื่องดื่ม ป๊อบคอร์น โบว์ลิ่ง ไอซ์สเก็ต คาราโอเกะ

ต่อไปอาจจะได้เห็น กินป๊อปคอร์นก่อน แล้วแบ่งจ่ายทีหลัง ก็เป็นได้… สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://atome-th.onelink.me/SrPK/MJCATOME

]]>
1396867
‘Cineworld’ เครือโรงหนังเบอร์ 2 โลกยื่น ‘ล้มละลาย’ เนื่องจากหนี้สินสะสมช่วงโควิด https://positioningmag.com/1397363 Wed, 24 Aug 2022 04:22:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1397363 หากดูจากข้อมูลของ Comscore ในช่วงครึ่งปีแรกบ็อกซ์ออฟฟิศในอเมริกามียอดขายตั๋วไปแล้วมากกว่า 4.25 พันล้านดอลลาร์ โดยต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดปี 2019 ที่ 20% ซึ่งถือว่าแนวโน้มของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์เริ่มดูมีความหวังอีกครั้ง แต่สำหรับ Cineworld Group PLC หนึ่งในผู้ดำเนินการโรงภาพยนตร์รายใหญ่กลับต้อง ยื่นล้มละลาย เพราะทนพิษบาดแผลจากโควิดไม่ไหว

Cineworld ถือเป็นเครือโรงภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษที่ใหญ่เป็น อันดับ 2 ของโลก โดยมีโรงภาพยนตร์ในเครือจำนวน 9,000 แห่งใน 10 ประเทศ ได้กำลังพิจารณายื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายโดยสมัครใจในสหรัฐอเมริกาตามในบทที่ 11 เนื่องจากมีหนี้สินกว่า 8,900 ล้านดอลลาร์

โดยย้อนไปปี 2020 ที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ใหม่ ๆ ทำให้หลายประเทศต้องล็อกดาวน์ ขณะที่โรงภาพยนตร์ต้องปิดลงชั่วคราว ส่งผลให้บริษัท Cineworld ต้องประสบภาวะขาดทุน 2,700 ล้านดอลลาร์ และในปี 2021 ที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น แต่บริษัทก็ยังขาดทุนจำนวน 566 ล้านดอลลาร์

โดย Cineworld ระบุว่า ระดับการที่ผู้ชมกลับเข้ามาในโรงภาพยนตร์ยังต่ำกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากจำนวนภาพยนตร์ที่เข้าฉายยังไม่มากเท่าก่อนการระบาด และคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวชัดเจนอีกทีในเดือนพฤศจิกายน และนั่นจะหมายถึงวิกฤตการเงินยังคงลากยาวต่อไป

อย่างไรก็ตาม แม้จะยื่นล้มละลาย แต่โรงภาพยนตร์ของบริษัทยังคง เปิดให้บริการตามปกติ เนื่องจากพิจารณาทางเลือกในการบรรเทาภาระหนี้ นอกจากนี้ จะยังทำให้พนักงานกว่า 28,000 คนไม่ได้รับผลกระทบ แต่การยื่นล้มละลายที่อาจเกิดขึ้นนั้นอาจทำให้นักลงทุนในหุ้นต้อง ขาดทุน จากการถือครองหุ้นทั้งหมด

ปัจจุบัน หุ้นของบริษัทในลอนดอนร่วงลง 21.4% เท่ากับประมาณ 3.8 เซนต์สหรัฐ ซึ่งตามมาด้วยการดิ่งลง 58.3% ในวันศุกร์หลังจาก The Wall Street Journal รายงานว่าบริษัทกำลังเตรียมยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายภายในไม่กี่สัปดาห์

Source

]]>
1397363
กลับมาสดใส! เม็ดเงินอุตสาหกรรม ‘โรงภาพยนตร์’ เริ่มกลับมาเท่าปี 2019 และอาจโตกว่า https://positioningmag.com/1392651 Thu, 14 Jul 2022 13:43:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1392651 เชื่อว่า 2 ปีกว่าที่ COVID-19 ระบาดทำให้หลายคนนอนดูหนังบนโซฟาจนเบื่อ ทำให้หลังจากที่สถานการณ์การระบาดคลี่คลายมากขึ้น อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ก็เริ่มกลับมาไม่เพียงแต่พวกเขาจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะในอเมริกา ที่นอกจากผู้ชมจะกลับเข้าโรงฯ แล้วยังมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายมากขึ้น

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe เรื่องล่าสุดของดิสนีย์อย่าง Thor: Love and Thunder ได้เปิดตัวในอเมริกาได้เกือบ 145 ล้านดอลลาร์ และดึงดูดผู้ชมเข้าโรงฯ ได้กว่า 10 ล้านคน นอกจากนี้ ภาพยนตร์ที่ฉายก่อนหน้าอย่าง Top Gun: Maverick  ของ Paramount และ Skydance, Minions: The Rise of Gru ของ Universal และ Jurassic World: Dominion, Lightyear ของ Pixar ก็ทำรายได้ในระดับเดียวกันในปี 2019 ตามข้อมูลจาก Comscore

“สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี โดยสามารถทำรายได้เทียบกับตอนเปิดตัว ‘Spider-Man: No Way Home’ ที่ฉายในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา” บร็อค แบกบี้ รองประธานบริหารของ B&B Theatres เครือโรงภาพยนตร์ระดับภูมิภาคในมิดเวสต์ กล่าว

ด้วยภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์ใหม่ ๆ ที่ทำให้ผู้คนมาที่โรงภาพยนตร์มากขึ้น ส่งผลให้บ็อกซ์ออฟฟิศในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ช่วงวันที่ 1 พฤษภาคมถึง 10 กรกฎาคม มีรายได้รวมราว 2.27 พันล้านดอลลาร์ ลดลงเพียง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2019 ที่ปิด 2.58 พันล้านดอลลาร์ หรือก่อนจะมีก่อนเกิด COVID-19 ตามข้อมูลจาก Comscore สำหรับครึ่งปีแรกนี้ บ็อกซ์ออฟฟิศในอเมริกามียอดขายตั๋วไปแล้วมากกว่า 4.25 พันล้านดอลลาร์ โดยต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดปี 2019 ที่ 30%

“ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมมีการเปิดตัวภาพยนตร์มากมายที่กระตุ้นให้ผู้ชมกลับเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์ โดยผู้บริโภคจะตอบสนองต่อภาพยนตร์ที่สนุก ตื่นเต้น สมความคาดหวัง” เจฟฟรีย์ คอฟแมน รองประธานอาวุโสฝ่ายภาพยนตร์และการตลาดของ Malco Theatres กล่าว

AMC Entertainment ซึ่งเป็นเครือข่ายโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รายงานว่า ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ชมภาพยนตร์ถึง 5.9 ล้านคน และรายได้ค่าเข้าชมทั่วโลกแซงหน้าวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 ถึง 12%

“ผลงานบ็อกซ์ออฟฟิศทุกสัปดาห์ในฤดูร้อนนี้ได้แสดงให้เห็นสิ่งที่เราเชื่อว่าจะกลับมาตลอด ผู้บริโภคต้องการสัมผัสภาพยนตร์ของพวกเขาผ่านประสบการณ์โรงภาพยนตร์ที่ไม่มีอะไรเทียบได้ ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ เสียงที่กระหึ่ม ที่นั่งใหญ่และสบาย” อดัม อารอน ซีอีโอของ AMC กล่าว

นอกจากนี้ ผู้ชมยังเลือกซื้อตั๋วที่นั่งแบบ พรีเมียม มากกว่าช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด รวมถึงโรง IMAX, Dolby, 3D และอื่น ๆ เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ รวมถึงผู้ชมได้ใช้จ่ายมากขึ้นกับอาหารและเครื่องดื่มเช่นกัน

แม้สถานการณ์อุตสาหกรรมจะกลับมามีทิศทางที่สดใสใกล้เคียงก่อนเกิดการระบาด แต่จำนวนภาพยนตร์ที่เข้าฉายในปี 2022 โดยรวมลดลงมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับปี 2019

]]>
1392651
โรงหนังคัมแบ็ก! “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” เดินหน้าอัปเกรดเครื่องฉาย เร่งขยายสาขา แตกไลน์ธุรกิจใหม่ https://positioningmag.com/1387279 Wed, 01 Jun 2022 10:00:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387279

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจอย่างแพร่หลาย หนึ่งในอุตสาหกรรมที่เจอศึกหนักที่สุดก็คือ “โรงภาพยนตร์” ทั้งเจอมาตรการล็อกดาวน์ ประกอบกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เลื่อนฉาย ทำให้ผู้ประกอบการต้องการกลยุทธ์ใหม่เพื่อประคับประคองธุรกิจ

“เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ผู้นำธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ไม่น้อย เพราะต้องบอกว่าโรงภาพยนตร์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ปิด และรวมคนจำนวนมาก ทำให้เป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยง และอยู่ในมาตรการล็อกดาวน์ แม้จะช่วงที่คลายล็อกดาวน์แล้ว แต่ก็ยังจำกัดคนเข้าใช้บริการ ไม่สามารถสร้างรายได้ได้เต็มที่

เมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดการแพร่ระบาด ประเทศไทยมียอดจำหน่ายตั๋วหนังสูงที่สุดในประวัติการณ์ที่ 36.5 ล้านใบ เรียกว่าทิศทางของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่มาสะดุดเพราะโรคระบาด แม้ว่าในปี 2563 จะเจอกับวิกฤตร้ายแรง แต่เมเจอร์ก็ปรับกลยุทธ์จนสามารถกลับมาเติบโตได้ดังเดิม


“เมเจอร์” คัมแบ็ก ถึงเวลาเทิร์นอะราวด์

หลังจากเริ่มมีมาตรการคลายล็อกดาวน์ในปี 2564 หลายธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดทำการตามปกติตามมาตรการควบคุมโรค พร้อมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยก็เริ่มคลี่คลาย ประชาชนได้กลับใช้ชีวิตได้ปกติมากขึ้น ร้านค้าต่างๆ ไม่ต้องจำกัดเวลาในการเปิด

ทำให้ได้เห็นบรรยากาศของศูนย์การค้าที่เนืองแน่นด้วยผู้คน ต่างออกมาช้อปปิ้ง ทานข้าว ดูหนังกันมากขึ้น เรียกว่าเป็นสัญญาณอันดีในการฟื้นเศรษฐกิจภายในประเทศกลับมาคึกคัก

ธุรกิจโรงภาพยนตร์ก็เริ่มกลับมามีสีสันมากขึ้นจากการที่ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย อีกทั้งหนังที่เข้าโรงภาพยนตร์ก็เต็มไปด้วยหนังฟอร์มยักษ์ ถูกกระตุ้นจากทั้งฝั่งผู้ผลิตหนังเองก็อั้นจากช่วงวิกฤตหนักๆ ต้องเลื่อนการฉาย ส่วนผู้บริโภคเองก็ต้องการเสพภาพยนตร์ ความบันเทิงจากโรงหนังอยู่

ในปี 2565 ถือว่าเป็นฟ้าใหม่ของเมเจอร์ในการ “เทิร์นอะราวด์” เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย ประชาชนเริ่มใช้ชีวิตร่วมกับโรคระบาดได้อย่างมีสติ หลายธุรกิจเริ่มฟื้นตัว กลับมามีผลกำไร ธุรกิจโรงภาพยนตร์เองก็เช่นกัน เริ่มเห็นสัญญาณในการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ลุ้นกลับมามีผลกำไรทุกไตรมาส เป็นการคัมแบ็กของจริง

ปัจจัยสำคัญมีทั้งธุรกิจหลักจากโรงภาพยนตร์ ที่จะได้เห็นหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลิวู้ดต่างตบเท้าเข้าโรงอย่างต่อเนื่อง เช่น The Batman, Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore, Doctor Strange 2, Top Gun : Maverick, Jurassic World : Dominion (8 มิย.), Minions The Rise Of Gru (30 มิย.), Thor : Love and Thunder (6 กค.), Black Panther :Wakanda Forever (10 พย.) และไฮไลท์สุดๆ กับการสิ้นสุดการรอคอยของ Avatar The Way Of Water (15 ธค.) เตรียมทวงบัลลังก์หนังทำเงินสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง พร้อมกับตลาดหนังไทยที่เตรียมเข้าโรงถึง 40 เรื่องเช่นกัน

ส่วนธุรกิจเสริมที่ทางเมเจอร์ไปลงทุนเพิ่มเติมทั้งการเข้าไปถือหุ้นใน บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ก็มีผลประกอบการที่ดีขึ้น เป็นอีกหนึ่งแรงเสริมให้กับเมเจอร์

ทางด้านบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ได้วิเคราะห์ว่า คาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2565 ของเมเจอร์จะเติบโตดีขึ้น เนื่องจากจะมีหนังฟอร์มยักษ์จากฝั่งฮอลลีวูดเข้าฉายจำนวนมากในช่วงหน้าร้อนของสหรัฐ ประกอบกับความกังวลเรื่อง COVID-19 เริ่มคลี่คลาย และผู้บริโภคออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น เชื่อว่าทั้งปีจะพลิกกลับมามีกำไร 677 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนปกติ 832 ล้านบาท

นอกจากประเทศไทยแล้ว ทิศทางของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์เริ่มมีสัญญาฟื้นทั่วโลก อย่างที่สหรัฐอเมริกาตลาดใหญ่ที่สุดของโลกก็เริ่มฟื้นตัว หลังยอดขายตั๋วหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่เข้าโรงในช่วงไตรมาสแรกเติบโตจากปี 2564 มากกว่า 3 เท่าตัว

ทางด้านสตูดิโอค่ายหนังก็เตรียมเข็นหนังฟอร์มยักษ์ออกมาตลอดทั้งปี ทางด้านผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ก็ลงทุนในการอัพเกรดโรงหนังให้ทันสมัยขึ้น พร้อมกับอัดงบการตลาด เพื่อดึงดูดผู้บริโภคออกมาดูหนังในโรงกันมากขึ้น


หนังฟอร์มยักษ์จ่อคิวเข้าโรง

หนึ่งในกลไกสำคัญที่ทำให้ปีนี้ธุรกิจโรงหนังกลับมาสดใส หนีไม่พ้น “คอนเทนต์” หรือภาพยนตร์ที่จ่อคิวเข้าโรง จะเห็นได้ว่าปีนี้มีคิวหนังทั้งไทย และเทศจ่อเข้าคิวแบบเบียดเสียด ชนิดที่ว่าใครอ่อนแอก็แพ้ไป หนังไทยบางเรื่องต้องหลีกทางให้หนังฮอลลีวู้ดเข้าก่อนกันเลยทีเดียว

และที่ผ่านมาไม่นานนี้ เริ่มมีกระแส “หมอแปลกฟีเวอร์” โดยที่ภาพยนตร์ Doctor Strange In The Multiverse Of Madness หรือ Doctor Strange 2จากค่ายมาร์เวล สามารถทำรายได้รวมใน 2 สัปดาห์แรกไปกว่า 291.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (10,200 ล้านบาท) ในสหรัฐอเมริกา และทำรายได้รวมทั่วโลก อยู่ที่ 688 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (24,000 ล้านบาท)

ส่วนในประเทศไทยนั้น หมอแปลกภาค 2 ก็ได้ปลุกกระแสการดูหนังในโรงภาพยนตร์กลับมาคึกคักอีกครั้ง รายได้รวมทั่วประเทศกว่า 337.2 ล้านบาท จากการเข้าฉาย 19 วันสะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น และพร้อมที่จะเสพความบันเทิงในโรงภาพยนตร์มากขึ้นด้วย

แน่นอนเมื่อมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าโรง ย่อมนำพามาด้วยการฟื้นตัวของรายได้จากภาพยนตร์ที่เป็นรายได้หลักของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นอานิสงส์ทางอ้อมก็คือ “โฆษณาในโรงภาพยนตร์” ที่มีการเติบโตไม่แพ้กัน

ข้อมูลในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปี 2565 ในภาพรวมอุตสาหกรรม มีการใช้เม็ดเงินลงโฆษณาไปกับโรงภาพยนตร์ ประมาณ 1,736 ล้านบาท มีการเติบโตขึ้นถึง 43.71% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งถือว่าเป็นประเภทสื่อ ที่มีอัตราการฟื้นตัวและการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาสูงที่สุด

สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์สินค้าต่างๆ เริ่มกลับมาสนใจทำกิจกรรมทางการตลาด ร่วมกับโรงภาพยนตร์นั่นเอง มีความมั่นใจว่าผู้บริโภคหันกลับมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ ประกอบกับไลน์อัพหนังที่จะช่วยดันศักยภาพได้


ลงทุนต่อเนื่อง อัพเกรด IMAX Laser

นอกจากปัจจัยภายนอกที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว เมเจอร์เองก็ประกาศแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุน และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ แก่ผู้บริโภค ล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับ ไอแมกซ์ คอร์ปอเรชั่นหรือ IMAX นำเครื่องฉาย IMAX Laser ระบบทันสมัยที่สุดมาฉายในไทย นำร่อง 3 สาขา ได้แก่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์,  ไอคอน ซีเนคอนิค และเปิดโรงภาพยนตร์ IMAX สาขาใหม่ที่เมกา ซีนีเพล็กซ์

สำหรับระบบฉาย IMAX Laserเป็นระบบการฉายภาพยนตร์ที่ล้ำสมัยที่สุด ผสมผสานการฉายภาพด้วยเลเซอร์ระดับ 4K ด้วยระบบออปติคัลใหม่ เลนส์ที่ออกแบบเอง และชุดเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ให้ภาพที่สว่างกว่าด้วยความละเอียดที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ชมสามารถมองเห็นภาพขนาดใหญ่ และได้ยินเสียงที่ชัดเจนเหมือนกันทุกที่นั่ง สร้างประสบการณ์การชมภาพยนตร์ระดับพรีเมียม

พร้อมกับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เปิดโรงภาพยนตร์ Screen X เพิ่มอีก 1 แห่งที่พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ในปี 2565 เมเจอร์มีแผนขยายโรงภาพยนตร์อีก 25-30 โรง จากปัจจุบันมีโรงภาพยนตร์ทั้งหมด 839 โรง ใน 170 สาขารวมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

นอกจากการลงทุนอัปเกรดเครื่องฉายสุดล้ำแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทางเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ยังเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องก็คือการขยายสาขา ล่าสุดได้เปิดสาขาใหม่ “จันทบุรี ซีนีเพล็กซ์” ที่เซ็นทรัล จันทบุรี เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 แบบสดๆ ร้อนๆ

พร้อมกับการรีโนเวตโฉมใหม่ของ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สุขุมวิท-เอกมัย” เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเดินหน้าทยอยอัปเกรดเครื่องฉายเป็นระบบ Laserplex ในโรงภาพยนตร์ปกติอีกด้วย รวมถึงการเป็นเจ้าภาพงาน CineAsia 2022 ในวันที่ 5 – 8 ธันวาคม 2565 ที่ Icon Siam


ขยาย “ป๊อปคอร์น” เข้าเซเว่นฯ

อีกหนึ่งธุรกิจที่ถือว่าเป็นตัวชูโรงไม่น้อย ก็คือ “ป๊อปคอร์น” โดยปกติแล้วธุรกิจโรงหนัง ต้องคู่กับเครื่องดื่ม และป๊อปคอร์น เป็นตัวสร้างรายได้เสริมให้เมเจอร์ไม่น้อย แต่เมื่อเจอมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก ถึงแม้ว่าจะคลายล็อกดาวน์ ก็ไม่สามารถทานอาหารในโรงหนังได้

ตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤต เมเจอร์เริ่มปรับตัวจากการขายป๊อปคอร์นที่ขายหน้าโรงหนัง แล้วใช้บริการเดลิเวอรี่ส่งตามบ้าน บริการ “Major Popcorn Delivery” รวมถึงการขายผ่าน ‘Major Mall’ ใน Shopee จนได้พัฒนาเป็นป๊อปคอร์นรูปแบบใหม่ๆ ทั้งแบบ Pop To Go ป๊อปคอร์นในถุงซีปล็อก, POP STAR ป๊อปคอร์นพรีเมียมบรรจุในกระป๋อง ขนาด 60 ออนซ์ และป๊อปคอร์น พรีเมียม POPSTAR 3 รูปแบบ คือ ป๊อปสตาร์ สแน็ค ป๊อปคอร์นแบบซอง, ป๊อปสตาร์ ไมโครเวฟ และ ป๊อปสตาร์พรีเมียม ทินแคน ป๊อปคอร์นบรรจุกระป๋อง

แรกเริ่มได้ขยายสู่ช่องทางอื่นๆ อย่างซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ เพื่อขยายช่องทางการขายสู่ผู้บริโภคมากขึ้น และที่น่าสนใจก็คือ เมเจอร์มีแผนที่จะนำป๊อปคอร์นเข้าจำหน่ายในเซเว่นฯ ภายในปีนี้ และเตรียมขยายไปยังโมเดิร์นเทรด และร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ในอนาคต

จะเห็นได้ว่าปีนี้น่าจะเป็นอีกปีหนึ่งที่ธุรกิจโรงหนังเริ่มเห็นแสงสว่าง มีแนวโน้มที่ดีขึ้น มีการประเมินว่าต้องกลับมามีกำไรจากทั้งธุรกิจหลักในการขายตั๋วหนัง พร้อมกับธุรกิจอื่นๆ ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้น ไม่แน่ว่าปีนี้อาจจะพลิกกลับมาเป็นปีทองของเมเจอร์อีกทีก็เป็นได้…

]]>
1387279
นักวิเคราะห์คาด ‘Spider-Man: No Way Home’ ว่าที่ภาพยนตร์ ‘พันล้าน’ เรื่องแรกในยุคโควิด https://positioningmag.com/1368481 Thu, 23 Dec 2021 06:05:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1368481 ย้อนไปปี 2019 อุตสาหกรรมภาพยนตร์แทบจะเป็นอุตสาหกรรมที่รุ่งเรืองสุดขีด เพราะมีภาพยนตร์ที่ทำรายได้ทะลุ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐถึง 8 เรื่อง และอันดับ 1 ที่ทำเงินสูงสุดอย่าง Avengers: End Game ทำรายได้ทะลุ 2.7 พันล้านเหรียญฯ ขึ้นแท่นภาพยนตร์ที่รายได้สูงสุดตลอดกาล แต่มาปี 2020 ที่เกิดการระบาดของ COVID-19 อุตสาหกรรมก็เปลี่ยนไป

เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทำให้หลายคนต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมากขึ้น หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างมากก็คือ โรงภาพยนตร์ ทั่วโลกที่ต้องปิดตัวเกือบครึ่งปี ขณะที่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องก็ต้องเลื่อนฉายไป หรือไม่ก็ลงใน Streaming แทน

โดยในปี 2019 ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลกทำรายได้สูงสุดตลอดการที่ 4.25 หมื่นล้านเหรียญฯ แต่มาปี 2020 มูลค่าตลาดเหลือเพียง 1.24 หมื่นล้านเหรียญฯ ลดลงถึง 71% อย่างไรก็ตาม ในปี 2022 นี้ที่อุตสาหกรรมเริ่มฟื้นตัวเนื่องจากวัคซีน COVID-19 ทำให้มีการคาดการณ์ว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลกน่าจะแตะที่ 2.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

ปัจจุบัน ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปี 2022 คือ The Battle of Lake Changjin ซึ่งเป็นภาพยนตร์จีนที่เข้าฉายในเดือนพฤศจิกายน และกวาดรายได้ไปทั่วโลก 904.9 ล้านเหรียญฯ ตามข้อมูลของ Comscore ภาพยนตร์จีนเรื่องอื่นเรื่อง Hi, Mom ซึ่งเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ ครองอันดับ 2 ด้วยยอดขายตั๋วทั่วโลก 900.4 ล้านเหรียญ

ที่น่าจับตาคือ Spider-Man: No Way Home ที่กำลังฉายในบ้านเราเพิ่งทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศในอเมริกา และในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์สามารถทำรายได้ทะลุ 751.3 ล้านเหรียญทั่วโลก ทำให้เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุด อันดับ 3 ของปี แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจจะทำรายได้ทะลุ 1 พันล้านเหรียญ ได้ไม่ยาก

Paul Dergarabedian นักวิเคราะห์สื่ออาวุโสของ Comscore กล่าวว่า No Way Home ยังคงมียอดขายตั๋วที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในวันจันทร์และวันอังคาร โดยทำเงินได้มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ที่บ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก เมื่อเข้าสู่ช่วงสุดสัปดาห์ และแนวโน้มนี้คาดว่าจะยังร้อนแรงต่อไป โดยคาดว่าในช่วงสุดสัปดาห์นี้ อาจจะทำให้ No Way Home มีรายได้ทะลุ 1 พันล้านเหรียญฯ แบบชิล ๆ

เนื่องจาก สุดสัปดาห์นี้รวมถึงช่วงสัปดาห์หน้าเป็นช่วง 8 วันระหว่างวันคริสต์มาสอีฟและวันส่งท้ายปีเก่า ซึ่งถือเป็นช่วงที่พีคที่สุดช่วงหนึ่งสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยทั่วไปรายได้ของภาพยนตร์ในช่วงเวลานี้จะคิดเป็น 4.5% ของรายรับบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งปีตามข้อมูลจาก Comscore

อย่างไรก็ตาม Dergarabedian มองว่าอุปสรรคใหญ่ของอุตสาหกรรมในตอนนี้คือ การระบาดของ omicron อาจทำให้ยอดขายตั๋วของภาพยนตร์เรื่องนี้ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่โรงภาพยนตร์กลับมาปิดตัวลง โดยเริ่มเห็นโรงภาพยนตร์ในควิเบกปิดแล้วทั่วทั้งจังหวัด แต่แนวโน้มดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ ผู้ชมต่างแห่กันไปที่โรงภาพยนตร์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อรับชม No Way Home ก่อนที่จะโดนสปอยจากโลกออนไลน์ และแฟน ๆ หลายคนก็กำลังกลับมาดูซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe (MCU)

“ภาพยนตร์ที่มีรายได้ 1 พันล้านเหรียญฯ ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะหลายคนเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ในยุคโควิดนี้ ดังนั้น สิ่งนี้ควรได้รับการเฉลิมฉลองโดยแฟนหนังในวงกว้าง” เจฟฟ์ บ็อค นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Exhibitor Relations กล่าว

Source

]]>
1368481
ทุบจริง! “สกาลา” เริ่มรื้ออาคาร ประชาชนใจหาย ‘ไหนว่าจะเก็บอาคารไว้’ https://positioningmag.com/1359570 Mon, 01 Nov 2021 10:05:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1359570
วันที่ 1 พ.ย. 64 อาคารเก่าของโรงภาพยนตร์ “สกาลา” ปรากฏรั้วและผ้าใบล้อมอาคาร เริ่มทุบจากส่วนบนของด้านหน้าตึก ทำให้ประชาชนที่มีความทรงจำดีๆ กับสกาลาและเห็นคุณค่าทางศิลปะรู้สึกใจหายที่มีการรื้อทุบ จากเดิมมีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่า “เซ็นทรัลพัฒนา” ผู้ชนะประมูลที่ดินบล็อก A จากจุฬาฯ จะพยายามเก็บโครงสร้างอาคารไว้ให้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บริเวณโรงภาพยนตร์ “สกาลา” ปากซอย 1 สยามสแควร์ หลังมีกระแสข่าวจากเพจกลุ่มสถาปนิก Foto_momo ตั้งแต่เช้าวันนี้ว่า โรงหนังสกาลาเริ่มทุบทำลายอาคารแล้ว โดยพบว่ามีการทุบอาคารจริง และกำลังทยอยล้อมรั้วและผ้าใบให้มิดชิด

โรงภาพยนตร์สกาลานั้นเคยเป็นโรงหนังแบบสแตนด์อะโลนเก่าแก่อายุกว่า 50 ปี บริหารโดย เครือเอเพ็กซ์ แต่ปิดตัวลงเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2563 เพราะไม่สามารถแข่งขันต่อสัญญาเช่าบนที่ดินทำเลทองของสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) ได้ไหว

อาคารโรงภาพยนตร์สกาลาที่กำลังรื้อทุบ วันที่ 1 พ.ย. 64 เวลาประมาณ 15.00 น.
สกาลา ทุบ
คนงานกำลังทยอยติดตั้งผ้าใบรอบเขตปรับปรุงอาคารเพิ่มเติม

ก่อนหน้าการหมดสัญญา กระแสข่าวที่ว่าเครือเอเพ็กซ์น่าจะไม่ต่อสัญญาเช่ากับทางจุฬาฯ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2559 ยังผลให้เกิดแรงกระเพื่อมในหมู่คนรักศิลปะ-สถาปัตยกรรม และคนที่มีความทรงจำดีๆ กับสกาลา เป็นห่วงกังวลว่าอาคารที่มีความงามเป็นเอกลักษณ์แห่งนี้จะถูกทุบให้เป็นเพียงอดีต

มีกระแสสังคมที่พยายามเรียกร้องให้จุฬาฯ สร้างความมั่นใจว่าอาคารแห่งนี้จะคงอยู่ต่อไป ไปจนถึงความเคลื่อนไหวของ สมาคมสถาปนิกสยามในพระราชูปถัมภ์ เคยยื่นหนังสือต่อกรมศิลปากร ให้ขึ้นทะเบียนสกาลาเป็น “โบราณสถาน” แต่ไม่เป็นผล เพราะกรมศิลปากรมีข้อวินิจฉัยเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ตามคำนิยามใน พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535) มองว่าอาคารที่ตั้งโรงหนังสกาลาไม่ถือเป็นโบราณสถาน

ภายในอาคารโรงหนังสกาลา ก่อนหมดสัญญาเช่า (ภาพจาก MGR Online)

ความงามของสกาลาถูกออกแบบโดย พ.อ.จิระ ศิลป์กนก เป็นศิลปะแบบ Art Deco ฝ้าเพดานสีทอง มีโคมแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่และบันไดโค้งตระการตา สกาลาเปิดฉายครั้งแรกวันที่ 31 ธ.ค. 2512 และตัวอาคารเคยได้รับ รางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่นปี 2555 จากสมาคมสถาปนิกสยาม

เมื่อหมดสัญญาเช่าลง ครอบครัวตันสัจจา เจ้าของเดิมของอาคาร ได้รื้อส่วนประกอบคลาสสิกของโรงภาพยนตร์แห่งนี้ออกไป เช่น โคมแชนเดอเลียร์ เครื่องประดับเพดาน เพื่อจะนำไปประดับที่สวนนงนุช พัทยา อีกหนึ่งธุรกิจของครอบครัว

หลังจากนั้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 สำนักงานทรัพย์สินแห่งจุฬาฯ ได้ประกาศผู้ชนะการประมูลสัมปทานที่ดิน 30 ปีของบล็อก A ขนาด 7 ไร่ คือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ซึ่งบล็อกนี้เป็นเวิ้งในสยามสแควร์ที่ตั้งของโรงหนังสกาลา รวมถึงอาคารพาณิชย์ในบล็อกเดียวกันอีก 79 คูหา ทำให้เกิดกระแสความกังวลขึ้นอีกครั้งว่าสกาลาจะถูกทุบหรือไม่

มุมมองจากด้านข้างอาคารสกาลา มีป้ายระบุว่า “ขออภัยในความไม่สะดวก พื้นที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง”

ในเดือนกันยายน 2564 ทางเซ็นทรัลพัฒนาให้สัมภาษณ์กับ สำนักข่าวมติชน ว่า บริษัทเตรียมปรับปรุงบล็อก A ให้เป็นศูนย์การค้าขนาดเล็ก “และจะพยายามรักษาโครงสร้างเก่าของโรงหนังสกาลาไว้ให้มากที่สุด” ซึ่งทำให้สังคมคลายความกังวลลงไป จนกระทั่งเกิดการรื้อทุบในวันนี้

Positioning ได้สอบถามไปยังเซ็นทรัลพัฒนาถึงการรื้อทุบอาคารในครั้งนี้ โดยยังคงรอข้อมูลตอบกลับอีกครั้งหนึ่ง

สำหรับอาคารพาณิชย์ในบล็อก A ผู้เช่าได้ย้ายออกไปเกือบทั้งหมดแล้ว ร้านค้าที่ยังเหลือบางส่วนเริ่มขึ้นป้ายแจ้งที่อยู่ใหม่ที่จะย้ายไปในเดือนธันวาคมนี้ โดยกำหนดการเดิมของสำนักงานทรัพย์สินจุฬาฯ จะส่งมอบพื้นที่ทั้งหมดให้กับเซ็นทรัลพัฒนาช่วงต้นปี 2565

บล็อก A ไม่ใช่พื้นที่เดียวในสยามสแควร์ที่เกิดความเปลี่ยนแปลง พื้นที่บล็อก H ที่เคยเป็นศูนย์การค้าโบนันซ่า ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นอาคารมิกซ์ยูสออฟฟิศ-รีเทลชื่อ Siamscape ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการแล้ว ถัดมาที่บล็อก I ก็ปิดตำนานฮาร์ด ร็อค คาเฟ่ 30 ปีไปแล้วเมื่อต้นปีนี้ ขณะนี้ได้ทุบอาคารออกทั้งหมด รวมถึงบล็อก J ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาสยามสแควร์มีการปรับปรุงใหญ่ สร้างอาคารใหม่เพื่อให้เป็นแลนด์มาร์ก คาดเปิดบริการธันวาคม 2564

อาคารธนาคารกสิกรไทย สาขาสยามสแควร์ที่กำลังปรับปรุงใหม่ อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงภายในสยามสแควร์
พื้นที่เดิมที่เคยมีฮาร์ด ร็อค คาเฟ่ ทุบอาคารเรียบร้อยแล้ว
]]>
1359570
‘ดิสนีย์’ ยืนยัน! ภาพยนตร์ที่เหลือของปีจะฉายโรง 45 วัน ก่อนสตรีมลง ‘Disney+’ https://positioningmag.com/1351549 Mon, 13 Sep 2021 10:56:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351549 เพราะพิษ COVID-19 ทำให้โรงภาพยนตร์ต้องปิดลงชั่วคราว แม้ว่าในปี 2021 นี้ โรงภาพยนตร์จะเริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง แต่ค่ายภาพยนตร์หลายค่ายก็ตัดสินใจที่จะฉายหนังไปพร้อมกับการสตรีมมิ่งบนแพลตฟอร์มของตัวเอง อาทิ ‘Black Widow’ ของค่ายดิสนีย์ (Disney) แต่ล่าสุด ทางค่ายก็ตัดสินใจจะฉายภาพยนตร์ในโรงก่อนที่จะลงสตรีมมิ่ง 45 วัน

ย้อนไปเดือนกรกฎาคมดิสนีย์ตัดสินใจที่จะฉายภาพยนตร์ Black Widow พร้อมกับลงสตรีมมิ่ง ‘Disney+’ นับเป็นภาพยนตร์จากสตูดิโอ Marvel เรื่องแรกที่เข้าฉายพร้อมกัน แต่เป็นในรูปแบบ Premier Access (ผู้เป็นสมาชิกต้องจ่ายเงิน 30 ดอลลาร์ หรือราว 980 บาท เพื่อรับชม)

แม้ Black Widow จะเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวแรงสุดในยุคโควิด โดยสามารถเก็บเงินไปได้ถึง 140 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นโรงภาพยนตร์ 80 ล้านดอลลาร์ และ Disney+ 60 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากรวมจำนวนเงินที่ทำได้จากการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ประเทศอื่น ๆ อีก 78 ล้านดอลลาร์ ก็จะทำให้ตัวเลขเงินเปิดตัวในสัปดาห์แรกอยู่ที่ 218 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ผ่านไปเพียง 1 สัปดาห์ รายได้ของ Black Widow ในโรงหนังลดต่ำลงมาอยู่ที่ 26.3 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นอัตราที่ลดลงถึง 67% จนนำไปสู่การฟ้องร้องของ ‘สการ์เลตต์ โจแฮนสัน’ นักแสดงนำว่าดิสนีย์ละเมิดสัญญา เพราะนอกจากค่าตัวที่ค่ายหนังจ่ายให้แล้ว เธอจะได้ส่วนแบ่งจากรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศด้วย ซึ่งการนำหนังออกฉายในโรงพร้อมกับทางสตรีมมิ่งจึงเป็นการแบ่งรายได้ที่นักแสดงควรจะได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปนั่นเอง

ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่ล่าสุดค่ายดิสนีย์ประกาศชัดว่า ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เหลือในปีนี้จะ ‘ฉายโรง’ ก่อนเป็นเวลา 45 วัน ถึงจะลงในสตรีมมิ่ง โดยให้ความเห็นว่าเริ่มเห็นทิศทางที่ดีของผู้ชมที่กลับมาชมในโรงภาพยนตร์ แม้ว่าการระบาดจะเริ่มกลับมาอีกครั้งจากสายพันธุ์เดลตา

“ขณะนี้ความมั่นใจในการรับชมภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราหวังว่าจะสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมในโรงภาพยนตร์ ในขณะเดียวกันก็รักษาความยืดหยุ่นในการมอบของขวัญให้กับสมาชิก Disney+ ของเราในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้” Kareem Daniel ประธาน Disney Media & Entertainment Distribution กล่าวในแถลงการณ์

สำหรับปีนี้ ภาพยนตร์ใหม่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เป็นเวลา 45 วัน ได้แก่ Eternals ของ Marvel จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 5 พฤศจิกายน และ West Side Story ฉบับรีเมกจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 10 ธันวาคม ภาพยนตร์อื่น ๆ ที่เข้าฉายในปีนี้ ได้แก่ The Last Duel, Ron’s Gone Wrong และ The King’s Man

ที่ผ่านมา Shang-Chi ของ Marvel ที่เปิดฉายเฉพาะในโรงภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ได้ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศวันแรงงาน ภาพยนตร์มาร์เวลเรื่องแรกที่นำแสดงโดยซูเปอร์ฮีโร่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย โดยทำรายได้ไปทั่วโลก 247.6 ล้านเหรียญนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อสองสัปดาห์ก่อน โดยยังคงครองอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศในช่วงสัปดาห์ที่สองเช่นกัน หลายคนมองว่าการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จนี้เป็นสัญญาณที่ให้กำลังใจแก่โรงภาพยนตร์

ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ในพื้นที่สีแดง เช่น กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใหญ่ ทำให้ภาพยนตร์หลายเรื่องถูกยกเลิกที่จะฉาย อาทิ Black Widow ที่จะไม่ลงฉายในโรงภาพยนตร์ไทย ส่วน Shang-Shi จะฉายในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ แต่อาจจะต้องรอลุ้นอีกทีว่าจะได้ฉายหรือไม่

Source

]]>
1351549