ไบโอเทค – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 27 Jan 2022 06:21:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “สิงคโปร์” ดึงเม็ดเงินลงทุนเกินเป้าปี 2021 อุตสาหกรรมผลิต “ชิป” และ “ไบโอเทค” นำโด่ง https://positioningmag.com/1371873 Thu, 27 Jan 2022 06:21:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371873 ประเทศ “สิงคโปร์” ดึงเม็ดเงินลงทุนปี 2021 ได้เกินเป้าหมาย แม้จะลดลง -31% จากปี 2020 โดยอุตสาหกรรมมาแรงคือกลุ่มผลิต “ชิป” และ “ไบโอเทค” บอร์ดพัฒนาเศรษฐกิจคาดสร้างงานเพิ่มได้อีก 17,000 ตำแหน่ง การลงทุนส่วนใหญ่ยังมาจากสหรัฐฯ จับตาบริษัทจีนย้ายฐานออกจากฮ่องกง

ปี 2021 สิงคโปร์ประกาศดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ 11,800 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 2.9 แสนล้านบาท) อุตสาหกรรมที่นำโด่งในการลงทุนคือเซมิคอนดักเตอร์ หลังจากเกิดซัพพลายเชนขาดแคลนซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นยาวไปถึงปี 2023 และบริษัทไบโอเทคที่เพิ่มการลงทุนมากขึ้น จากการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้เกิดดีมานด์สูง

คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ (EDB) เปิดเผยว่า ตัวเลขการลงทุนนี้ลดลง -31% จากปีก่อนหน้า แต่เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้ว เนื่องจากเมื่อปี 2020 มีการลงทุนจากต่างประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 17,200 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 4.23 แสนล้านบาท) ตัวเลขการลงทุนปี 2021 ยังคงทำได้เกินกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะมีการลงทุน 8,000-10,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1.97-2.46 แสนล้านบาท) และ EDB คาดว่า เม็ดเงินปี 2021 นี้จะช่วยสร้างงานให้สิงคโปร์ 17,000 ตำแหน่ง

Beh Swan Gin ประธานบอร์ด EDB กล่าวว่า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดในการลงทุน แต่ที่มากที่สุดในกลุ่มนี้คือ “ชิป” หรือเซมิคอนดักเตอร์

ขณะที่การผลิตด้านไบโอเทคที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจการแพทย์มีสัดส่วน 15% พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในสัดส่วนการลงทุนต่างชาติ แซงหน้าธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์ ธุรกิจไบโอเทคมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปี 2020 มีสัดส่วนเพียง 3.7% เท่านั้น เนื่องจากภาวะโรคระบาดทำให้เกิดความต้องการสินค้าและบริการใหม่ๆ เช่น วัคซีน mRNA, อุปกรณ์การแพทย์

หากแบ่งสัดส่วนการลงทุนตามประเทศต้นทาง สหรัฐอเมริกายังเป็นแหล่งทุนที่ใหญ่ที่สุด สัดส่วน 67% แต่ EDB สังเกตว่า การลงทุนของบริษัทจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากการย้ายฐานจากฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ โดยมีสัดส่วน 1.1% แล้วในการลงทุนต่างชาติทั้งหมด

“บริษัทจีนที่มีสินค้าหรือบริการที่แข่งขันได้นอกประเทศจีน พวกเขาเชื่อว่าจะปรับบริษัทให้เป็นสากลได้ด้วยการย้ายฐานมายังสิงคโปร์ เพราะจะได้เข้าถึงบุคลากรทักษะสูงชาวสิงคโปร์ ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และชาวตะวันตก เพื่อจะแข่งขันให้ได้ในระดับโลก” Beh กล่าว

Beh กล่าวด้วยว่า อนาคตการดึงดูดการลงทุนในสิงคโปร์ จะมีความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนแรงงานเนื่องจาก COVID-19 ทำให้การเดินทางยากลำบากขึ้น รวมถึงต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ตลอดจนประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลก

Source

]]>
1371873
สหรัฐฯ อนุมัติวัคซีน “Pfizer” ป้องกัน COVID-19 เริ่มใช้เร็วสุด 14 ธ.ค. นี้ https://positioningmag.com/1310124 Sun, 13 Dec 2020 13:04:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1310124 สหรัฐฯ อนุมัติฉุกเฉินใช้งานวัคซีนป้องกัน COVID-19 ของบริษัทไฟเซอร์” (Pfizer) และไบโอเอนเทค เอสอี” (BioNTech SE) โดยคาดว่าจะปล่อยวัคซีนสู่สาธารณะได้อีกในไม่กี่วันข้างหน้า เร็วที่สุดก็ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 .. เป็นต้นไป 

องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ระบุว่า เนื่องจากตอนนี้จำนวนวัคซีนยังมีจำกัด จึงจะมีการเเจกจ่ายให้บุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มเสี่ยงอย่างผู้สูงอายุ โดยกลุ่มคนแรกที่จะได้รับการฉีดวัคซีนคือราว 2.9 ล้านโดส ซึ่งทาง Pfizer จะผลิตและจัดส่งให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อนสิ้นปี 2020 

ทั้งนี้ การตัดสินใจในทางปฏิบัติจะขึ้นอยู่กับการกำหนดของแต่ละรัฐว่าจะลำดับความสำคัญต่างๆ อย่างไร

ก่อนหน้านี้ วัคซีนของ Pfizer ได้รับการอนุมัติการใช้งานแล้วในอังกฤษ แคนาดา บาห์เรน และซาอุดีอาระเบีย มีผลการทดลองที่ยืนยันประสิทธิภาพในการป้องกัน COVID-19 สูงกว่า 90% โดยเป็นวัคซีนแบบตัดต่อสารพันธุกรรม หรือที่เรียกกันว่า RNA (mRNA)

สำหรับการใช้วัคซีนดังกล่าว FDA เเนะนำว่า ผู้ที่มีประวัติมีอาการแพ้รุนแรง ยังไม่ควรได้รับวัคซีน ณ เวลานี้ เพราะเคยมีกรณีผู้รับวัคซีนชาวอังกฤษ 2 รายมีอาการแพ้รุนแรง

อย่างไรก็ตาม คำแนะนำสำหรับสตรีมีครรภ์ หรือกลุ่มคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ว่าควรได้รับวัคซีนหรือไม่นั้น FDA ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน โดยขอให้ปรึกษากับแพทย์เป็นการเฉพาะ เเละจำเป็นต้องพิจารณารายๆ ไป

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1310124
เวชสำอาง 48 ปีขอทรานส์ฟอร์ม! “ดร.สมชาย” ลุยธุรกิจยา-ไบโอเทค https://positioningmag.com/1244072 Tue, 27 Aug 2019 07:00:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1244072 จากจุดเริ่มต้น “คลินิก” ต่อยอดสู่โปรดักต์ภายใต้แบรนด์ “ดร.สมชาย” เวชสำอางรายแรกในประเทศไทยที่มีอายุ 48 ปี ในยุคเทคโนโลยี 4.0 เมื่อตลาดเปลี่ยน ธุรกิจต้องปรับวิชั่นใหม่ของทายาทรุ่น 2 ขอทรานส์ฟอร์มสู่ธุรกิจยา พัฒนางานวิจัยระดับดีพเทคโนโลยี

อรอินท์ เรืองวัฒนสุข กรรมการบริหาร บริษัท เอส.เอส.แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ ดร.สมชาย กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจเครื่องสำอางในประเทศไทยมีมูลค่า 1.7 แสนล้านบาท ตลาดหดตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 และคาดว่าจะต่อเนื่องถึงครึ่งปีหลัง จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย

แพทย์หญิง อรอินท์ เรืองวัฒนสุข กรรมการบริหาร บริษัท เอส.เอส.แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด

ส่วนทิศทางเวชสำอางในไทยตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากจำนวน “ผู้เล่น” มากขึ้น จะเห็นได้ว่าในร้านค้าปลีกสเปเชียลตี้สโตร์มีอย่างน้อย 30 – 40 แบรนด์ สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดนี้

“ดร.สมชาย” เดินหน้านวัตกรรมดีพเทค

ปัจจุบันธุรกิจแบบเดิมกำลังถูกท้าทายด้วย “โมเดลสตาร์ทอัป” และ Enterprise Value ใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้บริษัทต้องทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ปรับตัวให้องค์กรยืดหยุ่นและเคลื่อนไหวว่องไวในการทำงาน โดยยังคงเน้นนวัตกรรมและผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เนื่องจากมี R&D เอง และได้ Spin off ทีมวิจัยส่วนหนึ่งออกมาทำนวัตกรรมดีพเทค โดยวางเป้าหมายวิจัยและพัฒนา “ยา” รักษาโรคยากๆ เพื่อแข่งขันในเวทีโลก

“ดร.สมชาย เป็นแบรนด์เวชสำอางเจ้าแรกในประเทศไทย ที่ค้นคว้าและวิจัยมาโดยตลอด มีทีมวิจัยระดับปริญญาเอกหลายสาขา มีห้องปฏิบัติการของเราเอง เรียกว่าไม่น้อยหน้าหน่วยงานวิจัยอื่นๆ ในประเทศ ปีที่ผ่านมาใช้งบ R&D สูงกว่า 6%”

ล่าสุด ได้จดสิทธิบัตรยา Small Molecule สำหรับฆ่าเซลล์มะเร็งที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และปีนี้ มีแผนการจดสิทธิบัตรยาต้นแบบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อีก 2 ตัว และตั้งเป้าไว้ว่าอีก 5 ปี จะจดเพิ่มให้ได้มากกว่า 5 ตัว

รุกเทคโนโลยี “ไบโอเทค”

นอกจากนี้ยังได้ลงทุนด้านการวิจัยด้วยการเปิดบริษัท ไบโอเทค ที่สิงคโปร์ ด้วยโมเดลสตาร์ทอัป เพื่อศึกษาวิจัยการใช้เทคนิคใหม่ CRISPR เพื่อพัฒนากระบวนการใหม่ในการสร้างโปรตีนรักษาโรค โดยมีกลุ่มทุน (Venture Capital : VC) จากประเทศบราซิล และประเทศดูไบให้ความสนใจร่วมทุนด้วย การมีพันธมิตรระดับโลกมาเป็นผู้ร่วมทุน จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทก้าวสู่แบรนด์ระดับโลกได้

ดร.สมชาย ในวันนี้ นอกจากจะผลิตเวชสำอางแล้ว ยังเดินหน้าพัฒนางานวิจัย นำไปสู่การเปลี่ยนแพลตฟอร์มการผลิตยายุคใหม่ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงยาที่จำเป็น

เป้าหมายการทรานส์ฟอร์มธุรกิจจากเวชสำอาง ไปสู่การผลิตยารักษาโรคยากต่างๆ เพราะเห็นโอกาสจากมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ ปี 2568 ตลาดโลกประเมินมูลค่าไว้ 7,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต “เท่าตัว” จากปี 2558 มูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  

เป้า “สกินแคร์” นั่งผู้นำตลาด CLMV  

สำหรับธุรกิจหลักผลิตภัณฑ์เวชสำอางกลุ่มสกินแคร์ ยังคงทำตลาดและขยายธุรกิจต่อเนื่อง ให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) วางเป้าหมายเป็น “ผู้นำ” ผลิตภัณฑ์ดูแลสิวในแต่ละประเทศ และเป็นแบรนด์ระดับภูมิภาค    

ในประเทศไทย ดร.สมชาย มีส่วนแบ่งทางการตลาดราว 30% ติด 1 ใน 3 กลุ่มสกินแคร์

สำหรับธุรกิจคลินิกมี 5 สาขา ไม่มีแผนขยายเพิ่ม.

]]>
1244072