ไฮเออร์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 17 Dec 2021 12:05:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ไฮเออร์” ขึ้นอันดับ 1 ตลาดแอร์ แผนปี’65 เปิดธุรกิจ “Yudee” ผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า 0% 24 เดือน https://positioningmag.com/1367594 Fri, 17 Dec 2021 10:49:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367594
  • ไฮเออร์ (Haier) ประกาศยอดขายปี 2564 โต 29% รวม 7,921 ล้านบาท แต่ตกเป้าเล็กน้อยจากการล็อกดาวน์ปิดห้างฯ ช่วงกลางปี
  • ยอดขายกลุ่ม “แอร์” ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของตลาดหากวัดจากจำนวนเครื่อง ขณะที่ “ตู้เย็น” ขึ้นมาเป็นอันดับ 4 จากเดิมเคยอยู่ในอันดับ 7
  • เตรียมเปิดโมเดลธุรกิจใหม่Yudee” (อยู่ดี) ให้ลูกค้าผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์ได้โดยไม่ต้องผ่านบัตรเครดิต อัตราดอกเบี้ย 0% สูงสุด 24 เดือน จ่ายได้ผ่านโมบายแบงกิ้ง
  • ปี 2565 ตั้งเป้าเติบโตอีก 33% ยังเน้นสินค้าเรือธง คือ แอร์, ตู้เย็น, ตู้แช่ และบุกหนักกลุ่ม “ทีวี” เตรียมออกใหม่ 17 รุ่น
  • “จาง เจิ้งฮุ้ย” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับ “ธเนศร์ บินอาซัน” รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศรายได้ปี 2564 ของ “ไฮเออร์” ประเทศไทย ทำได้รวม 7,921 ล้านบาท เติบโต 29% เทียบกับปีก่อน สวนทางกับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรวมที่เติบโตเพียง 0.3% เทียบกับปีก่อน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ

    อย่างไรก็ตาม รายได้ปีนี้ของไฮเออร์ถือว่าตกเป้าประมาณ 6% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากการปิดล็อกดาวน์ช่วงกลางปี ทำให้แบรนด์ขาดช่องทางขายผ่านโมเดิร์นเทรดไประยะหนึ่ง แต่ก็ยังเป็นผลดำเนินงานที่น่าพอใจ

    ไฮเออร์
    เครื่องปรับอากาศ สินค้ากลุ่มหลักของไฮเออร์

    สำหรับผลดำเนินงานเป็นรายกลุ่มผลิตภัณฑ์ มีดังนี้

    • เครื่องปรับอากาศ ยอดขายรวม 3,117 ล้านบาท เติบโต 9% ขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มตลาดแอร์หากวัดจากจำนวนเครื่อง โดยมีส่วนแบ่งตลาด 7%
    • ตู้เย็น ยอดขายรวม 1,673 ล้านบาท เติบโต 27% ขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 4 มีส่วนแบ่งตลาด 1% จากเดิมเคยอยู่ในอันดับ 7 โดยการเติบโตที่ดีมาจากการขายตู้เย็นหลายประตูที่มีดีมานด์สูง
    • เครื่องซักผ้า ยอดขายรวม 1,166 ล้านบาท เติบโต 39% เป็นแบรนด์อันดับ 4 ในตลาด
    • ตู้แช่ ยอดขายรวม 792 ล้านบาท เติบโต 32% เป็นแบรนด์อันดับ 1 ในตลาด มีส่วนแบ่ง 38%
    • ทีวี ยอดขายรวม 410 ล้านบาท เติบโต 111%
    • เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ ยอดขายรวม 300 ล้านบาท เติบโต 76%
    • เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ยอดขายรวม 178 ล้านบาท เติบโต 89% (ตัวอย่างสินค้า เช่น เตาอินดัคชั่น หม้อหุงข้าว เครื่องปั่น)
    • เครื่องทำน้ำอุ่น ยอดขายรวม 170 ล้านบาท เติบโต 45%

    ทั้งนี้ สำหรับช่องทางขาย ไฮเออร์ทำยอดขายผ่านอี-คอมเมิร์ซไป 643 ล้านบาท เติบโต 132% โดยหมวดสินค้าที่ขายดีผ่านออนไลน์คือกลุ่มแอร์และตู้เย็น โดยเฉพาะตลาดระดับกลางถึงล่าง

     

    Yudee โมเดลใหม่ให้ลูกค้าผ่อน 0%

    “วรลักษณ์ นพวงศ์ ณ อยุธยา” ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอยู่ดี บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงโมเดลธุรกิจใหม่ในปี 2565 บริษัทจะเปิดโมเดล Yudee” (อยู่ดี) ให้ลูกค้าสามารถผ่อน 0% สินค้าไฮเออร์ในกลุ่มแอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ตู้แช่ และโทรทัศน์ ระยะเวลาตั้งแต่ 12-24 เดือน กลุ่มเป้าหมายทั้งลูกค้าที่ไม่มีบัตรเครดิต และลูกค้าที่มีบัตรเครดิตแต่ไม่ต้องการเสียวงเงินในบัตรไปกับการผ่อนสินค้าชิ้นใหญ่

    ไฮเออร์ลูกค้าที่จะผ่อนผ่าน Yudee สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Yudee มาใช้ในการชำระเชื่อมต่อกับโมบายแบงกิ้ง โดยในแอปฯ นี้จะมีฟังก์ชันเชื่อมต่อกับเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT ของไฮเออร์ได้ด้วย สามารถใช้แอปฯ ทำหน้าที่เหมือนรีโมตกับเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ เช่น เปิด-ปิดปรับอุณหภูมิแอร์

    วรลักษณ์วางเป้าหมายลูกค้าผ่อนผ่าน Yudee ปี 2565 เป้ามีผู้ใช้งาน 58,000 ราย มูลค่ายอดขาย 338 ล้านบาท และเติบโตจนถึงปี 2567 มีผู้ใช้งาน 200,000 ราย มูลค่ายอดขาย 1,200 ล้านบาท กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดึงลูกค้า

     

    ปี 2565 วางเป้าโตอีก 33% เน้นกลุ่มทำความเย็น-ทีวี

    ด้าน “ปิยะศักดิ์ ศรีบัว” ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ไฮเออร์ กล่าวถึงตลาดปีหน้าว่า แบรนด์จะยังเน้นตลาดในกลุ่มทำความเย็น คือ แอร์ ตู้เย็น ตู้แช่ ซึ่งแบรนด์มีความแข็งแกร่งในตลาด รวมถึงจะเน้นการทำตลาดกลุ่ม “ทีวี” ซึ่งปีนี้จะเห็นได้ว่ายอดขายเติบโตสูงมากโดยเฉพาะทีวีขนาดใหญ่ ทำให้ปีหน้าไฮเออร์จะลุยออกทีวีรุ่นใหม่ถึง 17 รุ่น

    ไฮเออร์
    ตู้เย็นแบบหลายประตูปีนี้เป็นสินค้ามาแรง หลังจากลูกค้าอยู่บ้านกันมากขึ้น

    ธีมการออกสินค้าในปีหน้าจะเน้นเรื่องฟังก์ชัน Smart Home เป็นสินค้านวัตกรรม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าคำสั่งเสียงที่เชื่อมต่อกับระบบ Google Assistant หรือ Alexa

    ด้านการพัฒนากลยุทธ์การขายและการตลาด จะมีการปรับหน้าร้านดีลเลอร์ให้โชว์นวัตกรรมของไฮเออร์มากขึ้น และจะมีการจัดกิจกรรมวิ่งมาราธอนของแบรนด์เพื่อวางภาพลักษณ์เป็นแบรนด์ที่ใส่ใจสุขภาพลูกค้า เสริมด้วยการใช้ KOL รีวิวสินค้าเพื่อให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าได้ง่ายขึ้น

    ไฮเออร์
    ทีมผู้บริหารไฮเออร์: (จากซ้าย) วรลักษณ์ นพวงศ์ ณ อยุธยา, จาง เจิ้งฮุ้ย, ธเนศร์ บินอาซัน และปิยะศักดิ์ ศรีบัว

    ธเนศร์กล่าวว่า เป้าหมายรายได้ปีหน้าของไฮเออร์จะยังโตต่อเนื่อง ตั้งเป้า 10,500 ล้านบาท เติบโต 33% จากปีนี้ ขณะที่ตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าไทย คาดว่าปี 2564 จะอยู่ที่ 84,000 ล้านบาท และปี 2565 น่าจะขึ้นไปแตะ 86,000 ล้านบาท เติบโต 4% ตามสภาพเศรษฐกิจที่น่าจะฟื้นตัว ยกเว้นว่าไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนจะมีผลกระทบในไตรมาส 1 มากกว่าที่คาดไว้

    ส่วนข้อกังวลสำหรับปีหน้า ยังกังวลเรื่องกำลังซื้อของคนไทย แม้ว่าเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น แต่ผลกระทบจากช่วง COVID-19 อาจจะยังมีอยู่ รวมถึงกังวลในแง่การจัดการต้นทุน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบการผลิตสูงขึ้น ค่าขนส่งสูงขึ้น แต่ไฮเออร์ได้วางแผนรับมือไว้แล้ว และคาดว่าต้นทุนที่กระทบกับทุกเจ้าในตลาดน่าจะทำให้การทำสงครามราคาเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงในปีหน้า

    ]]>
    1367594
    “ไฮเออร์” ขอลุยร้านสะดวกซัก นำร่อง “Mr.Hi Smart+ by Haier” ซอยวิภาวดี 16 https://positioningmag.com/1292981 Mon, 17 Aug 2020 16:27:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1292981 ไฮเออร์ เดินหน้าขยายธุรกิจด้วยการเปิดร้านซักผ้าอัจฉริยะ 24 ชั่วโมง “Mr.Hi Smart+ by Haier” (มิสเตอร์ ไฮ สมาร์ท พลัส บาย ไฮเออร์) สาขาแรกที่ซอยวิภาวดี 16 โดยร่วมมือกับบริษัท ดีที นิว เอ็นเนอร์จี้ จำกัด เพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ และชุมชนใกล้เคียง

    จับตาร้านสะดวกซัก

    กลายเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างหนักสำหรับ “ร้านสะดวกซัก” หรือร้านซักผ้าที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ตอนนี้มีหลายแบรนด์เข้ามาทำตลาด และยังขยายไปยังหลายโลเคชั่นทั่วประเทศไทย

    ล่าสุดแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ขอกระโดดลงมาจัดตลาดนี้กับเขาบ้าง “ไฮเออร์” ได้นำร่องเปิดร้าน “Mr.Hi Smart+ by Haier” สาขาแรกที่ซอยวิภาวดี 16

    จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

    วางแผนเปิดทั้งหมด 50 สาขาภายในปีนี้ ผ่านดีลเลอร์ผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า และแฟรนไชส์ และตั้งเป้าขยายสาขาให้ถึง 200 สาขาภายใน 2 ปี ซึ่งในปี 2563 นี้ จะเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก แล้วจึงเริ่มขยายไปยังจังหวัดหัวเมืองใหญ่ในปีถัดไป

    จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า

    “สมาร์ท พลัส บาย ไฮเออร์ คือ ร้านซักผ้า 24 ชั่วโมง ภายใต้คอนเซ็ปต์ 3C ‘Clean, Care, Convenience’ ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่โดยทำให้การซักผ้าสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้สามารถควบคุมการใช้งานทั้งหมดผ่านแอปพลิเคชัน Smart Plus ของไฮเออร์”

    Mr.Hi Smart+ by Haier

    สำหรับ Mr.Hi Smart+ by Haier สาขาแรกมีพื้นที่ 50 ตารางเมตร ภายในร้านมีบริการเครื่องซักผ้าขนาด 12 กิโลกรัม จำนวน 6 เครื่อง เครื่องอบผ้าขนาด 12 กิโลกรัม จำนวน 6 เครื่อง เครื่องขายน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มจำนวน 1 เครื่อง และระบบกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัยที่ครบครัน รวมงบลงทุนกว่า 3 ล้านบาท

    โดยทางไฮเออร์ได้พัฒนาเครื่องซัก และเครื่องอบผ้าที่ควบคุมการใช้งานด้วยแอปพลิเคชันเต็มรูปแบบ 100% และมีรูปแบบการชำระค่าบริการผ่านแอปพลิเคชันธนาคารต่างๆ แอปพลิเคชัน Smart Plus เติมเงินได้หลายช่องทาง เช่น Prompt Pay, Counter Service, Rabbit Line Pay, TrueMoney Wallet, Alipay, WeChat, บัตรเครดิตและเดบิต เพื่อช่วยลดการสัมผัสกับตัวเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ

    ]]>
    1292981
    เจาะกลยุทธ์ ‘ไฮเออร์’ ผู้เขย่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยแคมเปญ ‘แอร์เติมเงิน’ กับเป้าหมายขึ้นเบอร์ 1 ใน 3 ปี https://positioningmag.com/1289165 Thu, 23 Jul 2020 11:02:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289165 ครึ่งปีแรกก็สามารถเติบโตถึง 31% เรียกได้ว่าสวนกระแสวิกฤติ Covid-19 ดังนั้น ‘ไฮเออร์’ (Haier) จึงมั่นใจในแผนดำเนินงานในครึ่งปีแรก โดยพร้อมจะสานต่อแผนในครึ่งปีหลังทันที โดยเฉพาะโครงการ “เย็นดีแค่ 4 บาท” ที่ให้ทุกคนสามารถติดแอร์ที่บ้านได้ โดยคิดค่าใช้จ่ายที่ 4 บาท/ต่อชั่วโมง เมื่อใช้ครบ 5,200 ชั่วโมง ภายในระยะเวลาสัญญา 3 ปี รับเครื่องปรับอากาศฟรี ที่ถือเป็นแคมเปญที่ประสบความสำเร็จและเรียกเสียงฮือฮาในตลาดอย่างมาก

    มั่นใจรายได้ทะลุ 6,000 ล้านบาท โต 38%

    ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่า 6.9 หมื่นล้านบาท ติดลบประมาณ 5-10% ถือว่าไม่ได้โดนกระทบจาก Covid-19 มากเท่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและภาคบริการ ขณะที่ปัจจุบันไฮเออร์มีส่วนแบ่งตลาด 12% ครองเบอร์ 3 และในช่วงครึ่งปีแรกไฮเออร์สามารถเติบโตถึง 31% ทำรายได้ 3,500 ล้านบาท และคาดว่าครึ่งปีหลังจะเติบโตไม่น้อยกว่า 34% เป็น 2,630 ล้านบาท ดังนั้นจึงมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะทะลุ 6,212 ล้านบาท เติบโตรวม 38% ตามที่ตั้งเป้าไว้

    โดยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ตลาดแอร์มีมูลค่า 27,000 ล้าบาท เติบโต 6% โดยไฮเออร์เติบโต 23% มีสัดส่วน 12% เป็นเบอร์ 3, ตลาดตู้เย็นมี 13,000 ล้านบาท ติดลบ 3% แต่ไฮเออร์เติบโต 50% มีสัดส่วน 9.5% เป็นเบอร์ 6, ตลาดเครื่องซักผ้า 13,000 ล้านบาท ติดลบ 4% ไฮเออร์เติบโต 75% มีสัดส่วน 10% ขึ้นเป็นเบอร์ 3 และ ตลาดตู้แช่ 4,700 ล้านบาท โต 3% ไฮเออร์โต 43% มีสัดส่วน 12%

    “ปัจจัยที่ทำให้เราเติบโตได้ในครึ่งปีแรกมองว่ามาจากเรามีการเตรียมตัวก่อนเกิด Covid-19 ในแง่ผลิตภัณฑ์ มีการวางแผนซับพลายสินค้าไม่ให้ขาด เพราะเรามองว่าเป็นโอกาส ขณะที่แบรนด์อื่นเบรกจะซับพลายสินค้า” จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

    จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

    สานต่อแผนเดิม พร้อมดันตลาดกลาง-บน

    เนื่องจากแผนงานช่วงต้นปีสำเร็จตามเป้า ดังนั้นมองว่าสามารถนำมาปรับต่อได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยจะเริ่มจากการสานต่อโครงการ “เย็นดีแค่ 4 บาท” โดยที่ผ่านมามีผู้ที่สนใจเกือบ 1 หมื่นคน และในเดือนกรกฎาคมคาดว่าจะติดตั้ง 1,000 เครื่อง และในปีหน้าจะขยายไปที่ BTU อื่น ๆ รวมถึงโปรดักส์อื่น ๆ รวมถึงผลักดันตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมาเติบโตจากปกติเกือบ 400% ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 12% ของยอดขายทั้งหมด

    ในปีนี้ ไฮเออร์ได้วางงบการตลาดไว้ 170 ล้านบาท อีกทั้งจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ โดยจะเน้นที่สินค้ากลุ่ม IoT เพราะหลายแบรนด์พูดถึง แต่ยังไม่มีผู้เล่นรายไหนทำตลาดจริงจัง และจากนี้จะเน้นสินค้ากลุ่มกลาง-บน โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนจากกลุ่มนี้ที่ 30% เป็น 50% และจะเพิ่มทีมเซลล์จาก 100 คนเป็น 120 คน ส่วนตัวแทนจำหน่ายจาก 700 รายเป็น 850 ราย

    “เราต้องการขายสินค้าที่มีแวร์ลู่มากขึ้น เพราะความต้องการของผู้บริโภคไม่ได้เติบโตตาม แต่เขาพร้อมจะจ่าย หากสินค้ามีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการ ส่งผลให้ตลาดพรีเมียมเติบโตประมาณ 15% ดังนั้น แผนครึ่งปีแรกกับครึ่งปีหลังคงไม่ต่างมาก ไม่ว่าจะรุกอีคอมเมิร์ซ พยายามโปรโมทสินค้ากลุ่ม IoT โดยพยายามทำให้ตัวแทนจำหน่ายและผู้บริโภคทำความเข้าใจในสินค้ามากขึ้น มีการวางดิสเพลย์สินค้าเหล่านี้มากขึ้น” 

    ตั้งเป้า 3 ปี ขึ้นเบอร์ 1 ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า

    ไฮเออร์วางเป้าหมายระยะยาวในไทยภายใน 3 ปี จากนี้จะต้องขึ้นเป็นผู้นำตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยให้ได้ด้วยยอดขายรวมกว่า 10,000 ล้านบาท โดยอีกจุดแข็งที่ทำให้เชื่อมั่นว่าจะสร้างการเติบโตได้คือ การมีโรงงานผลิตในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นส่วน R&D ที่ทำให้บริษัทเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคไทย โดยปัจจุบัน โรงงานดังกล่าวได้ซับพอร์ตทั้งจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ดังนั้น บริษัทจะสามารถนำสินค้าอื่น ๆ มาเสริมทัพได้ในอนาคต

    ]]>
    1289165
    แมนฯยู ลุ้นเซ็น “Haier” สปอนเซอร์คาดอก ทุบสถิติรับสูงสุดในโลก 2.5 พันล้าน/ปี https://positioningmag.com/1255131 Fri, 29 Nov 2019 08:27:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1255131 “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่อเซ็นสปอนเซอร์คาดอกรายใหม่ที่จะทำเงินสูงเป็นสถิติโลก 70 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,590 ล้านบาท) ต่อปี

    ปัจจุบันสัญญาสปอนเซอร์คาดอกของแมนฯยู กับ เชฟโรเล็ต จะสิ้นสุดลงในปี 2021 ซึ่งมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะไม่ขยายข้อผูกมัดออกไป เพราะบริษัทค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่มองว่าเงิน 64 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,368 ล้านบาท) ต่อปีที่จ่ายให้นั้นไม่คุ้ม อีกทั้งผลงานทีมก็ไม่สู้ดีไม่ได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

    ล่าสุด แมนฯยู เจรจากับสปอนเซอร์รายใหม่ราบรื่นด้วยดีกับทาง “ไฮเออร์” (Haier) บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของสาธารณรัฐประชาชนจีน จากการตีข่าวตรงกันของสื่ออังกฤษแทบทุกสำนัก

    ซึ่งหาก แมนฯยู เซ็นกับ “ไฮเออร์” จะรับเงินมากที่สุดในโลก 70 ล้านปอนด์ต่อปี กระนั้นก็ตามยังมีเวลาถึงปี 2021 ดังนั้นยังเปิดกว้างรับทุกข้อเสนอและสปอนเซอร์เจ้าใหม่ที่จะเข้ามาเจรจา

    Source

    ]]>
    1255131
    จุดพลุแฟรนไชส์ “เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ” รับเทรนด์ “สะดวกซัก” มาแรง ตลาดแมส-พรีเมียมแห่ขยายสาขา https://positioningmag.com/1238942 Sat, 13 Jul 2019 02:40:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1238942 ปัจจุบันเริ่มเห็น “ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ” เปิด 24 ชั่วโมงมีสาขาให้บริการหนาตามากขึ้น โดยเฉพาะช่วง 2 – 3 ปีนี้ จากการขยายแฟรนไชส์ของทั้งผู้ประกอบการแบรนด์ไทยและต่างชาติ ที่เห็นเทรนด์พฤติกรรมคนไทยหันมาใช้บริการ “สะดวกซัก” มากขึ้น อีกทั้งเป็นอีกธุรกิจที่มีผู้สนใจลงทุน เพื่อสร้างแหล่งรายได้อีกทาง

    บริการ “ตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ” ต้องบอกว่ามีมานานแล้ว แต่เป็นรูปแบบให้บริการในสถานที่ปิด เช่น อพาร์ตเมนท์ หอพัก โรงแรม คอนโดมิเนียม เป็นการสั่งซื้อเครื่องซักผ้าแบบคอมเมอร์เชียลที่ใช้ในตลาดผู้บริโภคทั่วไป ทั้งฝาบนและฝาหน้าไปติดตั้งระบบหยอดเหรียญเพื่อให้บริการในสถานที่ต่างๆ

    แต่จุดนี้ยังมี pain point เรื่องสถานที่ใช้บริการเฉพาะ การซักอาจไม่สะอาด ที่สำคัญไม่มีเครื่องอบผ้า ซักเสร็จแล้วก็ต้องนำไปตากให้แห้ง หากเป็นหน้าฝนก็ลำบากไปอีก แต่มีข้อดีเรื่องราคาต่อครั้งอยู่ที่ 20 – 30 บาท

    ธุรกิจร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ 24 ชั่วโมง ที่เป็นรูปแบบอุตสาหกรรมแฟรนไชน์รายแรกๆ ในไทย คือ คลีน โปร เอ็กซ์เพรส” (Clean Pro Express) จากประเทศมาเลเซีย ที่เริ่มในปี 2552 แต่การขยายอยู่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีราว 50 สาขา

    เทรนด์ “สะดวกซัก-อบ” จบที่เดียว เริ่มมา

    แบรนด์ร้านแฟรนไชส์เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่เข้ามาจุดพลุตลาดนี้เมื่อ 3 ปีก่อน คือ Otteri wash & dry จากการเห็นร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญเปิดให้บริการจำนวนมากในประเทศเพื่อนบ้านไทย ทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ ไม่ต้องพูดถึง ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ที่ให้บริการอย่างแพร่หลายมานานมากแล้ว

    กวิน นิทัศนจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ Otteri wash & dry มองว่าสัดส่วนประชากรไทยที่อาศัยในพื้นที่เมืองขยายตัว กลุ่มนี้มีพฤติกรรมชอบความ “สะดวก” จะเห็นได้ว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อทุกแบรนด์ยังเดินหน้าขยายสาขาจำนวนมาก

    บริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ 24 ชั่วโมง ก็เป็นอีกเทรนด์ “สะดวกซัก” ที่เข้ามาตอบโจทย์ความสะดวกสบายในยุคนี้ เป็นบริการที่อยู่ตรงกลางระหว่างตู้หยอดเหรียญ ตามอพาร์ตเมนท์ คอนโด และบริการของร้าน ซัก อบ รีบ โดยเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ มีบริการซักและอบแห้ง ไม่ต้องนำผ้าไปตากอีก เก็บเข้าตู้ได้เลย ราคาซักเริ่มต้น 40 บาท และอบ 40 บาท

    มองว่าบริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ตลาดหลักคือกลุ่มแมส คนที่อาศัยอยู่ในชุมชน อพาร์ตเมนต์ คอนโด กลุ่มนักศึกษา คนทำงานทั่วไป ที่ไม่ต้องการลงทุนซื้อเครื่องซักผ้าและเครื่องอบที่มีราคาแพง รวมทั้งนักท่องเที่ยวก็เป็นอีกกลุ่มลูกค้า บริการนี้สามารถขยายได้ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่ได้แตกต่างกัน

    “ธุรกิจร้านซักผ้าหยอดเหรียญตลาดไทยเพิ่งเริ่มต้น ในตลาดมีราว 300 – 400 สาขา ทั้งแบรนด์ไทย ต่างชาติ ร้านไม่มีเชน หากเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรไทยก็ยังขยายได้อีก เชื่อว่าปีนี้ตลาดโตได้อีก 50%”

    กวิน นิทัศนจารุกุล

    Otteri เจ้าตลาดปูพรม 1,000 สาขา

    สำหรับ Otteri เป็นแบรนด์ไทย ที่เริ่มขยานสาขาแฟรนไชส์ร้านซักผ้าหยอดเหรียญในปี 2559 โดยครอบครัวทำธุรกิจขายเครื่องซักผ้าเพื่ออุตสาหกรรม นำเข้าจากจีนและอเมริกามาทำตลาดขายให้โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม โรงพยาบาล

    ปัจจุบัน Otteri ถือเป็นผู้นำในตลาดแฟรนไชส์ร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ครองส่วนแบ่งตลาด 50% หลังจากเริ่มขยายสาขาเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมี 155 สาขา เป็นสาขาลงทุนเอง 25 สาขา ถึงสิ้นปีนี้จะมีแฟรนไชส์ 300 สาขา และลงทุนเอง 40 สาขา วางเป้าหมายปี 2565 มีสาขารวม 1,000 สาขา สัดส่วนกรุงเทพฯ 60% และต่างจังหวัด 40%

    การลงทุนแฟรนไชส์มี 2 ขนาด คือ ไซส์ M พื้นที่ 40 – 50 ตร.ม. เครื่องซักผ้า 5 เครื่อง เครื่องอบ 4 เครื่อง ลงทุน 2.3 ล้านบาท และ ไซส์ L พื้นที่ 60 – 90 ตร.ม. เครื่องซักผ้า 7 เครื่อง เครื่องอบ 6 เครื่อง ลงทุน 2.9 ล้านบาท รายได้หลัก 70% ของบริษัทมาจากการขายเครื่องซักผ้าและบริการดูแลรักษาหลังการขายให้กับร้านแฟรนไชส์ และ 30% จากค่าแฟรนไชส์และค่าการตลาด

    กลุ่มเป้าหมายผู้ซื้อแฟรนไชส์ ส่วนใหญ่เป็น คนทำงาน ที่ต้องการลงทุนทำธุรกิจเพื่อหารายได้อีกทาง โดยไม่ต้องออกจากงานเดิม เพราะร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญไม่ต้องมีพนักงานดูแล เป็นธุรกิจที่คุ้มทุนราว 3 ปี ขึ้นอยู่กับทำเล

    ปวริศ โพธิวรคุณ

     “มารุ ลอนดรี้” ชิงเปิดแบรนด์ก่อนเรด โอเชี่ยน

    เปิดตัวธุรกิจแฟรนไชส์เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญเป็นรายล่าสุด สำหรับ “มารุ ลอนดรี้” (MARU Laundry) ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมทุนของ “กันยง” บริษัทจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของไทย ร่วมทุนกับ “อัพยัง” บริษัทอิเล็กทรอนิกส์จากไต้หวัน มีธุรกิจเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญในไต้หวันและญี่ปุ่น โดยก่อตั้งบริษัท กันยงอัพยัง จำกัด สัดส่วนถือหุ้นเท่ากัน

    ปวริศ โพธิวรคุณ รองประธานกรรมการ บริษัท กันยงอัพยัง จำกัด กล่าวว่า “มารุ ลอนดรี้” เป็นแบรนด์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นสำหรับทำตลาดไทย เป็นโมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์ “ร้านสะดวกซัก” จากไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่มีความเร่งรีบ ไม่มีเวลาทำงานบ้าน โดยเฉพาะการซักผ้า การอาศัยในคอนโดมิเนียมมีพื้นที่จำกัดต่อการติดตั้งเครื่องซักผ้า ตลาดไทยจึงมีศักยภาพสำหรับธุรกิจบริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ

    “มารุ ลอนดรี้” มองตลาดในกลุ่มพรีเมี่ยม เจาะลูกค้าคอนโดแนวรถไฟฟ้า กลุ่มคนรุ่นใหม่และครอบครัว ที่ต้องการซักเสื้อผ้าปริมาณมากสัปดาห์ละ 1 ครั้ง บริการซักและอบแห้งจบในโปรแกรมเดียว เริ่มที่น้ำหนักผ้า 17 กิโลกรัม ราคา 120 บาท

    แฟรนไชส์ “มารุ ลอนดรี้” พื้นที่ 50 ตร.ม. เครื่องซักผ้า 6 เครื่อง ลงทุน 3 ล้านบาท ใช้แบรนด์อควา (AQUA) ซึ่งเป็นเครื่องซักผ้าหยอดเหรีญอันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น คาดคืนทุน 3.7 ปี ผลตอบแทน 12% ต่อปี เจาะกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการสร้างแหล่งรายได้ที่สองนอกเหนือจากงานประจำ ปีนี้วางเป้าหมายเปิดร้านแฟรนไชส์ 5 – 10 สาขา และปีหน้าเปิดอีก 20 – 50 สาขา ทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

    “มองว่าธุรกิจเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญยังเป็นตลาดบลูโอเชี่ยน จากพฤติกรรมคนไทยเริ่มใช้บริการสะดวกซัก เช่นเดียวกับญี่ปุ่น สหรัฐ ที่มีสาขาให้บริการจำนวนมาก เชื่อว่าตลาดไทยเปิดได้ปีละ 400 – 500 สาขา มารุ ลอนดรี้ จึงต้องการเข้ามาสร้างตลาดก่อนที่จะมีการแข่งขันสูงและเข้าสู่เรด โอเชี่ยน”

    “ไฮเออร์” เปิด Smart Plus ขยายตลาดเครื่องซักผ้า

    เห็นโอกาสในธุรกิจไม่ต่างจากรายอื่นๆ สำหรับ “ไฮเออร์” ที่ได้เปิดตัวเข้าสู่ธุรกิจร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญอีกราย

    จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ ไฮเออร์ จากจีน กล่าวว่าได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ในประเทศไทยคือ สมาร์ทพลัสบายไฮเออร์ (Smart Plus by Haier) ร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ 24 ชั่วโมง เป็นช่องทางขยายการตลาดผลิตภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ไฮเออร์ รูปแบบนี้มีแล้วที่ อินเดีย

    บริษัทลงทุนเปิดสาขาแรกเองที่รามคำแหง ใกล้กับหอพักนักศึกษาที่มีจำนวนมากในย่านนั้น พื้นที่ 50 ตร.ม. ลงทุน 2 ล้านบาท มีเครื่องซักผ้า 10 ตู้ และเครื่องอบผ้า 10 ตู้ เป็นตู้หยอดเหรียญ อนาคตจะเป็นสมาร์ทเซอร์วิส เปิดบริการ 24 ชั่วโมง

    ปีนี้วางแผนลงทุนเองให้ครบ 10 สาขา ในอนาคตจะขายแฟรนไชส์และมอบสิทธิให้กับดีลเลอร์ที่สนใจเปิดร้านเพื่อฐานตลาดเครื่องซักผ้า ที่ขณะนี้ไฮเออร์มียอดขายเครื่องซักผ้า 640 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวมในไทยกว่า 10,000 ล้านบาท

    ]]>
    1238942