ย้อนไปในปี 2566 มีผู้บริโภคร้องเรียนไปยัง กสทช. ว่า แอปพลิเคชัน ทรูไอดี (TrueID) มีการ แทรกโฆษณาในช่องรายการทีวีดิจิทัล ซึ่งขัดต่อหลักเกณฑ์ มัสต์แครี่ (Must Carry) ที่กำหนดให้ต้องเผยแพร่สัญญาณโทรทัศน์โดย ห้ามไม่ให้มีเนื้อหาแทรก ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้อนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์จึงแจ้งให้กสทช. ออกหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล 127 ราย ให้ตรวจสอบการนำช่องรายการไปออกอากาศผ่านโครงข่ายต่าง ๆ
เนื่องจาก TrueID ถือเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งวิดีโอแบบ OTT (Over the top) ทำให้หนังสือดังกล่าวไม่ได้แจ้งไปยัง บริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทมองว่า การออกหนังสือเตือนดังกล่าวเป็นการ สร้างความเสียหายแก่บริษัท เพราะอาจทำให้ผู้ได้รับอนุญาตเข้าใจว่า เป็นผู้ทำผิดกฎหมาย และอาจทำให้ไม่มีทีวีดิจิทัลไปออกอากาศ ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทจึงมองว่า การกระทำของ ศ.ดร.พิรงรอง แสดงถึงความ มีอคติ และ ไม่เป็นกลาง ในการปฏิบัติหน้าที่
นำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 รวมถึงยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลฯ ให้ ศ.ดร.พิรงรอง ยุติการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช. และประธานอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาในคดีนี้
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.พิรงรอง เองก็ยืนยันว่า ไม่ได้เลือกปฏิบัติ เพราะทาง กสทช. ได้มีการออกหนังสือในรูปแบบเดียวกันไปยังผู้ประกอบการอีกรายที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกัน และการออกหนังสือเตือนของ กสทช. เป็นการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค
ล่าสุด (6 ก.พ. 2568) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้มีคำพิพากษาให้ จำคุก ศ.ดร.พิรงรอง เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา โดยศาลฯ ได้เผยแพร่ รายละเอียดคำพิพากษา ดังนี้
อย่างไรก็ตาม ทาง ศ.ดร.พิรงรอง ได้ ยื่นขอประกันตัวเพื่อต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ และได้รับการประกันตัวในเวลาต่อมาโดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ดังนั้น คดีนี้จึงยังอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์
จากคดีการฟ้องร้องที่เกิดขึ้น รวมถึงการตัดสินของศาลที่พิพากษาจำคุก ศ.ดร.พิรงรอง ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชาวโซเชียลเป็นจำนวนมาก โดยความเห็นส่วนใหญ่เป็นการ ให้กำลังใจและสนับสนุน ศ.ดร.พิรงรอง และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กสทช. ที่ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ รวมไปถึงมองว่าการฟ้องร้องครั้งนี้อาจเป็นการใช้อำนาจของบริษัทใหญ่เพื่อปิดกั้นการตรวจสอบหรือไม่ จนเกิดเป็นแฮชแท็ก #saveพิรงรอง #freeกสทช และแฮชแท็ก #แบนทรู
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งคำถามถึงกฎมัสต์แครี่ที่ถูกบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2555 ทำให้ยังมี ช่องโหว่ ในเรื่องของ OTT รวมถึงกฎบางข้อที่เริ่มไม่สอดคล้องกับโลกในปัจจุบัน
สำหรับ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต ถือเป็นบุคคลสำหรับในวงการสื่อสารและการกำกับดูแลสื่อในไทย โดยเริ่มจากการเป็นอาจารย์ประจําภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2535 และดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีด้านการสื่อสารบริการสังคมและพันธกิจสากล ตำแหน่งบริหารจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2559-2563 และมีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบายสื่อในระดับประเทศและนานาชาติ และการผลักดันนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ศ.ดร.พิรงรอง ยังเคยเป็น เสียงส่วนน้อยในการคัดค้านการควบรวมกิจการของ ทรู-ดีแทค โดยมองว่าการควบรวมกิจการดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแง่การลด หรือจำกัดการแข่งขัน และการคุ้มครองผู้บริโภค
ทั้งนี้ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตอดีตกรรมการ กสทช. ให้ความเห็นกับ Thai PBS ในรายการ FlashTalk อย่างน่าสนใจว่า โดยปกติบริษัทเอกชนจะไม่สามารถดำเนินคดีทางแพ่งกับเจ้าหน้าที่รัฐได้โดยตรง ต้องฟ้องผ่านหน่วยงานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทเอกชนก็มีสิทธิ์ทางกฎหมายในการดำเนินคดีทางอาญาได้
ซึ่งช่องโหว่ดังกล่าวอาจทำให้ต้องแลกด้วยผลประโยชน์สาธารณะ เพราะอาจทำเจ้าหน้าที่รัฐเองไม่อยากจะทำอะไรที่มีโอกาสจะทำให้ตกเป็นจำเลย ดังนั้น มองว่าวิธีการแก้คือ ตีแผ่คดีให้สังคมตัดสินก่อน ว่าเป็นการ ฟ้องปิดปาก หรือฟ้องข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐ หรือ เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจริง เพื่อให้สังคมช่วยกันตรวจสอบ หรือควรมีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลก่อนรับฟ้อง เพราะแม้จะมีการยื่นอุทธรณ์ได้ แต่อาจทำให้เจ้าหน้าที่หมดกำลังใจในการทำงาน
]]>นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ประโยชน์ของการควบรวมบริษัทมีอยู่ 2 ประการ คือ ทำให้บริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีนวัตกรรมมากขึ้น ประหยัดต้นทุนมากขึ้น ผู้บริโภคมีโอกาสได้ของดีราคาถูก อีกมุมคือ เพิ่มอำนาจการผูกขาด ทำให้ผู้บริโภคอาจเสียผลประโยชน์ ดังนั้น ในทางเศรษฐศาสตร์ต้องชั่งน้ำหนักของ 2 ข้อนี้
“ตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา องค์กรที่กำกับดูแลจะพิจารณาจาก ผลกระทบต่อผู้บริโภคเท่านั้น ว่าการควบรวมก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียกับผู้บริโภคมากกว่ากัน ถ้าเกิดผลเสียอย่างร้ายแรงก็จะ ห้ามการควบรวม แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นร้ายแรงก็จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์เพิ่มเติม”
สำหรับการควบรวมของ ทรู-ดีแทค นั้นส่งผลดีหรือผลเสียให้ผู้บริโภคในทางเศรษฐศาสตร์นั้นพิจารณาจาก ผู้ประกอบการรายที่เหลือ (เอไอเอส) มีท่าทีอย่างไร ถ้ามีการ คัดค้าน หน่วยงานกำกับดูแลควรอนุญาตให้ควบรวม แต่ถ้า ไม่คัดค้านหรือสนับสนุน ควร ห้ามการควบรวม กรณีนี้ไม่มีใครคัดค้าน เพราะจะทำให้ตลาดกระจุกตัวเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์
หลักฐานที่ชัดเจนคือ ราคาหุ้นของทั้ง 3 บริษัทเพิ่มขึ้น แม้ว่าเอไอเอสไม่ได้เกี่ยวข้องกับการควบรวมก็ตาม นอกจากนี้ การควบรวมทรู-ดีแทค ยังถือว่าเป็นการผูกขาดในระดับ อันตรายมาก ดังนั้น จึงไม่ควรอนุญาตให้ควบรวม
“ทุกอย่างชี้ว่าการควบรวมครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ แต่เป็นผลเสียกับผู้บริโภค รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่ต้องดีลกับผู้ประกอบการที่จะเหลืออยู่ 2 รายในตลาด ไม่ว่าจะเป็นดีลเลอร์ที่เหลือแค่ 2 ทางเลือก ผู้พัฒนานวัตกรรมหรือสตาร์ทอัพก็มีทางเลือกน้อยลง จะเห็นว่าทุกฝ่ายแย่ลงหมดยกเว้นผู้ประกอบการ ดังนั้น ควรระงับไม่ให้เกิดการควบรวม”
ด้าน นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ สอบ. กล่าวว่า การควบรวมกิจการ มีผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน เพราะเมื่อทางเลือกลดลงย่อมส่งผลต่อราคา อีกทั้งยังทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล สิทธิในด้านกิจการโทรคมนาคมก็จะลดลงตามไปด้วย ดังนั้น หวังว่าบอร์ดใหม่กสทช. จะพิจารณาให้ถี่ถ้วน
“จากงานวิจัยในอังกฤษพบว่า เมื่อผู้เล่นลดลงจาก 4 เหลือ 3 ราย ผู้บริโภคต้องรับภาระเพิ่มขึ้นถึง 20% ดังนั้นจาก 3 เหลือ 2 ย่อมส่งผลต่อผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ตั้งแต่ที่ทั้งทรู-ดีแทคออกมาประกาศว่า “อยู่ระหว่างการหารือเรื่องควบรวม” แต่กลับมีการเรียนอัตราการแลกหุ้นอย่างชัดเจน แสดงว่าทั้ง 2 บริษัทได้คำนวณเรื่องการควบรวมไว้แล้วแสดงว่า มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน มีการเจรจากัน ก่อนที่จะมีการประกาศการควบรวม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้ง 2 บริษัทตั้งใจจะควบรวมกิจการ ลึกที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
ไม่ว่าจะมีการควบรวมหรือไม่นั้น กสทช. เป็นองค์กรที่ต้องออกมากำกับดูแลหากเห็นพฤติกรรมที่ส่องเค้าที่จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน ดังนั้น กสทช. ไม่ควรรีรอบอร์ดกสทช. ชุดใหม่ ควรจะวางกระบวนการตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศควบรวม ต้องเรียกขอดูข้อมูล และอีกปัญหาคือ ประกาศกสทช. ฉบับปี 2561 มีช่องว่างก่อให้เกิดความเสี่ยงในการควบรวมเมื่อเทียบกับประกาศของปี 2553 จากเดิมจะ ต้องมาขออนุญาตก่อน แต่ประกาศฉบับปี 61 แค่รายงานให้ทราบ
“เห็นชัดเจนว่าถ้าจาก 3 เหลือ 2 การแข่งขันน้อยลงอย่างแน่นอน ดังนั้น ถ้าปล่อยให้ทั้ง 2 บริษัทเดินหน้าควบรวมโดยที่ไม่มีหน่วยงานไหนเลยเข้ามากำกับก็จะนำไปสู่ภาวะการผูกขาดหรือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจเกิดได้ตั้งแต่ก่อนที่การควบรวมจะสิ้นสุดด้วยซ้ำ เพราะแค่เจรจาก็สุ่มเสี่ยงแล้ว”
นพ. ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช ยอมรับว่า ตั้งแต่มีข่าวการควบรวม กสทช. ได้เรียกผู้ประกอบการมาชี้แจงบ้าง รวมถึงได้ประสานงานกับคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) แต่ช่วง 3 เดือนที่มีข่าว ทางกสทช. ไม่เคยนำเสนอเรื่องการควบรวมให้เป็นวาระการประชุมเลย เพิ่งมี 2 ครั้งหลังสุดที่มีการรายงานด้วยวาจา โดยไม่มีเอกสารวาระก่อนปิดประชุมทั้ง 2 ครั้ง
ดังนั้น กรรมการกสทช. จึงไม่มีเวลาถกแถลง หรือ หารือว่าจะทำอย่างไรต่อ และเป็นปัญหาที่ตัวข้อเท็จจริงยังอยู่ในชั้นสำนักงานทั้งหมด ซึ่งปัญหาที่เกิดถือเป็น จุดอ่อนของการบริหารของสำนักงานกสทช. อีกปัญหาคือ ตัวกฎหมายผู้ร่างคือสำนักงานกสทช. ซึ่งประกาศฉบับแก้ไขการรวมกิจการปี 61 ก็ร่างโดยสำนักงานกสทช. ซึ่งส่วนตัวนั้น ไม่เห็นด้วย เพราะกฎหมายปี 53 มีความเสี่ยงในการควบรวมได้ทันที
“หลายคนไม่เอะใจเลยว่า กฎหมายปี 61 เป็นแค่การรายงานให้ทราบ แต่ไม่มีอำนาจในการพิจารณา ถือเป็นประกาศที่อำนวยความสะดวกให้ธุรกิจไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบในการควบรวม ดังนั้น ตรงนี้ตรงไปตรงมามาก และผมไม่ได้เห็นด้วย”
อีกปัญหาสำคัญคือ การควบรวมมาในช่วงคาบเกี่ยวการแต่งตั้ง กสทช. ชุดใหม่ ซึ่งทางกรรมการชุดปัจจุบันไม่ใช่เป็นผู้มีอำนาจในการอนุมัติเรื่องการควบรวม ดังนั้น เมื่อมีการเสนอคำขอควบรวม จึงทำให้เกิดความอิหลักอิเหลื่อหากบอร์ดทั้ง 2 ชุดเห็นไม่ตรงกัน อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ใน 1-2 สัปดาห์จากนี้ ขณะที่การควบรวมคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 65
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาเรื่องการควบรวมจำเป็นต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากมาประกอบว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ไม่เช่นนั้นจะเกิดการลำเอียงในการพิจารณาในภายหลัง ผู้ที่ขอยื่นอาจขอค้านทางปกครองในภายหลังว่าเราไม่มีความเป็นกลาง ดังนั้น โดยหลักแล้วทำให้กสทช. ต้องรอข้อมูลผลการศึกษาให้ครบถ้วน ซึ่งปัจจุบันข้อถกเถียงเรื่องผลดีผลเสียจากการควบรวมของทรู-ดีแทค ยังเป็นแค่การพยากรณ์ทั้งสิ้น เพราะยังไม่เกิด แต่ถ้าปล่อยให้ควบรวมก็จะสายเกิดไปในการรับมือ
และทางกสทช. ไม่ได้นิ่งนอนใจโดยมีการประสานงานกับ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า โดยได้หารือว่าจะรับมืออย่างไร นอกจากนี้ คณะสภาผู้แทนราษฎรณ์ก็มีการแต่งตั้งตัวแทนเพื่อศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งทางกสทช. ก็ได้หารือกันทุกสัปดาห์ มีการศึกษาผลระยะยาวสภาพตลาด ภายหลังจากการควบรวม เบื้องต้นพยายามรวมประเด็นเพื่อทำการวิเคราะห์ในทุกด้าน
“โดยสรุปแล้ว กสทช. ยังไม่ได้ฟันว่าจะไม่ให้ควบรวม หรือให้ควบรวม แต่ต้องปกป้องประโยชน์ต่อประชาชน และต้องคำนึงถึงมาตรการในระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้น สิ่งที่เป็นไปได้คือ ถ้าจะพิจารณาเรื่องนี้ต้องวิเคราะห์โครงสร้างตลาดที่เหมาะสมในประเทศไทย มีมาตรการเชิงโครงสร้าง และสิ่งสำคัญต้องติดตามผลกระทบจากการควบรวมจริง ๆ”
ดร. สมเกียรติ ได้เสนอ 3 แนวทาง สำหรับป้องกันการผูกขาดที่จะเกิดจากการควบรวมทรู-ดีแทค ดังนี้
สุดท้าย ผศ.ดร. กมลวรรณ จิรวิศิษฏ์ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายพาณิชย์และธุรกิจ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้จะยังไม่ควบรวมแต่การมีการ แบ่งปันข้อมูล อาจนำไปมาซึ่งการ ไม่แข่งขัน เพราะอาจมีการ ฮั้ว กันเกิดขึ้นได้ ดังนั้น เรื่องนี้หน่วยงานกำกับดูแลต้องนำมาพิจารณาด้วย
]]>อย่างที่เกริ่นไป อินเทอร์เน็ตดาวเทียมทั้งในประเทศไทยและหลายประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีมากว่า 20 ปีแล้ว โดยเป็นการใช้ดาวเทียมวงโคจรค้างฟ้า โดยข้อดีของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมคือ ให้บริการครอบคลุมกว้างไกล แต่ข้อเสียคือ แบนด์วิดท์ที่จำกัดเพราะดาวเทียมหนึ่งดวงให้บริการพื้นที่แทบทั้งทวีป โดยดาวเทียมค้างฟ้าแค่ 3 ดวงก็สามารถให้บริการครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลกเลยทีเดียว นอกจากนี้ ดาวความที่ดาวเทียมอยู่ไกล ความหน่วง (latency) จึงสูงมาก ทำให้การใช้งานไม่สะดวกนัก อีกทั้ง บริการนี้ ‘คนทั่วไปเข้าถึงไม่ง่ายนัก’ เนื่องจากเน้นการใช้งานแบบพาณิชย์มากกว่า ทำให้มีค่าบริการที่สูง ติดตั้งยุ่งยาก
จะเห็นว่าอินเทอร์เน็ตดาวเทียมนั้นมีจุดอ่อนที่ใหญ่มาก เมื่อเทียบกับ 4G-5G หรือไฟเบอร์ ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับ ‘Starlink’ โครงการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของ ‘อีลอน มัสก์’ กันว่ามันพิเศษกว่าตรงไหน
Starlink นั้นเป็นอีกหน่วยธุรกิจของ ‘SpaceX’ บริษัทของอีลอน มัสก์ที่พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและจรวดที่ขึ้นไปแล้วสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง โดยอีลอน มัสก์นั้นก่อตั้ง Starlink มาก็เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตจากดาวเทียมให้กับ ‘ประชาชนทั่วไป’ โดยใช้ ‘ดาวเทียมวงโคจรต่ำ’ ซึ่งต่ำกว่าดาวเทียมทั่ว ๆ ไปที่ถึง 60 เท่า ซึ่งนั่นทำให้ Starlink แก้จุดอ่อนด้าน latency ให้ต่ำได้จนเหลือเพียง 20-40Ms เทียบเท่ากับอินเทอร์เน็ตบ้านเลยทีเดียว และแถมยังให้สปีดดาวน์โหลดของอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วที่ 50–150Mb/s
อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำทำให้ Starlink ต้องใช้ดาวเทียมหลักหมื่นดวงถึงจะครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งตั้งแต่ปี 2015 จนปัจจุบัน Starlink ได้ปล่อยดาวเทียมไปแล้วกว่า 400 ดวง จากเป้าหมายที่จะมีดาวเทียมทั้งหมดถึง 42,000 ดวง
ปัจจุบันประชากรโลกมีกว่า 7.6 พันล้านคน แต่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ 4.54 พันล้านคน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบางพื้นที่ของโลก สัญญาณอินเทอร์เน็ตยังไม่ถึง ดังนั้น Starlink จะช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร้ข้อจำกัด ล่าสุด Starlink ก็ได้เคาะราคาค่าบริการแล้วที่ 99 ดอลลาร์หรือประมาณ 3,000 บาท แต่จะมีค่าอุปกรณ์เพิ่มเติมอีก 499 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 15,000 บาท โดยปัจจุบันในอเมริกามีผู้ลงทะเบียนให้ความสนใจที่จะใช้บริการแล้วกว่า 700,000 รายเลยทีเดียว ส่วนประเทศไทยเองมีข่าวว่าจะเริ่มใช้งานได้ในปี 2022
หลังจากที่มีข่าวว่าจะให้บริการในไทย ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้ออกมาระบุว่า การให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมต่างชาติในประเทศไทย ต้องได้รับการอนุญาตจาก กสทช. ก่อนเริ่มให้บริการ โดยกรณีนี้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม และการอนุญาตให้ใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างชาติเพื่อให้บริการในประเทศ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีผู้ยื่นขอรับอนุญาตเพื่อให้บริการดังกล่าวในประเทศไทย มีแต่เพียงการขอข้อมูลและปรึกษาการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมต่างชาติ เท่านั้น
ซึ่งทำให้หลายคนมองว่า กสทช. ออกมาสั่งเบรกบริการ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การขออนุญาตให้บริการเป็นเรื่องปกติของหลายประเทศไม่ใช่แค่ไทย ดังนั้น กสทช. ไม่น่าจะมาเบรกอะไร
ย้อนไปปี 2011 Google เปิดตัวโครงการ ‘Loon’ เพื่อส่งบอลลูนให้ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าและควบคุมให้เคลื่อนที่อยู่ในบริเวณที่ยังขาดการเชื่อมต่อด้านอินเทอร์เน็ต อาทิ ในขุนเขา มหาสมุทร ทะเลทราย ขณะที่ Facebook เองก็มีโครงการ ‘Aquila’ ซึ่งทดลองส่งเครื่องโดรนให้ล่อนอยู่ในท้องฟ้าเป็นเวลานาน เพื่อส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล แต่ทั้ง 2 โครงการต่างก็เงียบหายไปตามกาลเวลา
นอกจากนี้ยังมี โครงการ ‘Project Kuiper’ ของ ‘Amazon’ ที่ต้องการสร้างเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวน 3,236 ดวงเพื่อให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตกับผู้คนในพื้นที่ที่อยู่ระหว่างพิกัด 56 องศาเหนือถึง 56 องศาใต้ หรือระหว่างสกอตแลนด์และบริเวณอเมริกาใต้ ซึ่งคาดว่าครอบคลุมพื้นที่การใช้งานของประชากรกว่า 95% แต่โครงการดังกล่าวก็เงียบไปอีกเช่นกัน
มีความเป็นไปได้ว่าโครงการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมความเร็วสูงนั้นใช้เงินลงทุนมหาศาลเลยทำให้ต้องเบรกไป เพราะโครงการ Starlink ก็ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท แต่ทางอีลอน มัสก์ก็คาดว่าจะทำเงินได้ถึงปีละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9 แสนล้านบาทเลยทีเดียว
สำหรับคนไทยก็รอดูแล้วกันว่าในปี 2022 จะได้ใช้บริการไหม สำหรับใครที่อยากลองใช้ก็อดใจรออีกสักนิดนะ
]]>พล.อ. สุกิจ ขมะสุนทร ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ประธาน กสทช.) เปิดเผยว่า
“มาตรการที่จะลดการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 หรือหยุดการแพร่กระจาย คือการที่ทำให้คนอยู่กับที่ อยู่กับบ้าน ไม่เคลื่อนที่ หรือเดินทางสัญจร จึงเกิดมาตรการทำงานที่บ้านหรือ Work from Home ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้ในการติดต่อสื่อสาร ทำงาน คือบริการทางด้านโทรคมนาคม จึงเป็นที่มาของมติ กสทช.ว่าด้วยมาตรการช่วยเหลือประชาชนในช่วงวิกฤต COVID-19 เพื่อรองรับมาตรการส่งเสริมการทำงานที่บ้านหรือ Work from Home ของรัฐบาล และเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเห็นชอบโดยเร่งด่วน”
ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า ที่ประชุม กสทช.ได้นัดประชุมวาระพิเศษเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือประชาชนทุกระดับ โดยที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชนและผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยการลดค่าใช้จ่ายด้านโทรคมนาคม และส่งเสริมการทำงานที่บ้าน รวมทั้งสนับสนุนการทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตเพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไป ดังนี้
1. สนับสนุนให้ประชาชนสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์เคลื่อนที่ (Mobile Broadband) เพิ่ม 10 GB ต่อคน ต่อเดือน ให้แก่ผู้ใช้งานในปัจจุบัน โดยผู้ใช้บริการ 1 คนจะได้รับการสนับสนุน 1 เลขหมาย ต่อ 1 ผู้ให้บริการ โดยจะสนับสนุนเป็นระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเห็นชอบมาตรการดังกล่าว จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2563
โดยใช้ฐานลูกค้าที่มีผู้ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ณ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เท่านั้น ให้หักจากเงินที่ผู้ให้บริการมีหน้าที่ จะต้องชำระค่าประมูลคลื่นความถี่ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใบอนุญาตที่ กสทช.กำหนด จนกว่าจะครบจำนวน และให้ กสทช.นำเงินส่วนที่เหลือส่งเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป โดยประชาชนจะสามารถรับสิทธิได้ด้วยการลงทะเบียนผ่านระบบ USSD ของผู้ให้บริการแต่ละค่ายที่ตนใช้งานอยู่
2. สนับสนุนการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจำที่ (Fixed Broadband) ให้แก่ผู้ใช้งานในปัจจุบัน โดยปรับเพิ่มขนาดความจุ (Capacity) เท่าที่ผู้ให้บริการจะสามารถดำเนินการได้ กล่าวคือ กรณีบริการ ADSL/VDSL/Copper ให้ปรับเพิ่มความเร็วสูงสุดที่สามารถทำได้ และกรณีบริการ FTTX ให้ได้ระดับความเร็ว (Download) 100Mbps โดยหักเป็นค่าใช้จ่ายจากเงินที่ต้องนำส่งกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)
]]>ก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รองเลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า
“จากการจัดระเบียบสายสื่อสารที่ผ่านมา ยังพบปัญหาการติดตั้งสายสื่อสารอย่างไม่เป็นระเบียบ และมีการพาดสายสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนมาก สำนักงาน กสทช. จึงได้ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ให้เป็นผู้จัดทำโครงการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ตรวจสอบสายสื่อสาร รวมทั้งพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการตรวจสอบสายสื่อสารอย่างเป็นระบบ ในรูปแบบตัวครอบสายสื่อสารที่มีอุปกรณ์ RFID คอยส่งสัญญาณติดกริ่งที่ตัวครอบท้าย เพื่อให้สามารถทราบข้อมูลสายสื่อสารที่พาดบนเสาไฟฟ้า หากเกิดกรณีมีการละเมิดนำสายสื่อสารมาพาดเพิ่มโดยไม่ได้ขออนุญาต”
กสทช. ได้เลือกพื้นที่ในการทดสอบติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบสายสื่อสาร บนเส้นทางถนนชัยพฤกษ์ ตั้งแต่หน้าร้านแก๊สรถยนต์ ถึงโตโยต้า เมืองนนท์ สาขาชัยพฤกษ์ ฝั่งทิศเหนือ ระยะทาง 1 กิโลเมตร บนเขตพื้นที่การไฟฟ้านครหลวง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ได้มีการดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารตามแผนงานแล้ว
โดยการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว จะสามารถป้องกันการพาดสายสื่อสารที่ไม่ได้รับอนุญาตและตรวจสอบข้อมูลสายสื่อสารที่พาดบนเสาไฟฟ้าในเส้นทางที่สำนักงาน กสทช. ได้มีการจัดระเบียบสายสื่อสารร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและ ผู้ประกอบกิจการสื่อสาร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เมื่อการติดตั้งอุปกรณ์แล้วเสร็จและการทดสอบระบบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำนักงาน กสทช. จะต่อยอดไปยังพื้นที่อื่นทั่วประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการพาดสายโดยไม่ได้รับอนุญาตเพิ่มขึ้น พื้นที่ ๆ จัดระเบียบสายแล้วจะมีการใส่ตัวครอบเพื่อจะได้ไม่ต้องกลับมาทำอีก และสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชน”
]]>นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) เปิดเผยว่า
จากกรณีที่มีสื่อมวลชนบางรายนำเสนอรายงานสดเหตุการณ์ที่คนร้ายกราดยิง รวมถึงการรายงานแผนปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติการจับกุมคนร้ายที่ จ.นครราชสีมา สำนักงาน กสทช. ตระหนักถึงความเสียหายจากการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสถานีโทรทัศน์ในลักษณะดังกล่าว
เมื่อได้ศึกษาข้อมูลที่มีการนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ และสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในลักษณะเดียวกันของสื่อมวลชนในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา กรณีเหตุการณ์ยิงกราด เหตุการณ์สะเทือนขวัญต่างๆ และหลักการนำเสนอข่าวสารลักษณะนี้ของสื่อมวลชนที่องค์การอนามัยโลกได้เคยให้ไว้ พบว่า
หลายประเทศมีการเลิกนำเสนอรูปคนร้ายในสื่อ เลิกการรายงานสดเหตุการณ์ ยกเลิกการนำเสนอคลิปเหตุการณ์สะเทือนขวัญต่างๆ แล้ว
เพราะในต่างประเทศมีผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยา และอาชญาวิทยา ออกมาเตือนถึงการนำเสนอข้อมูลข่าวสารแบบนี้ว่านำไปสู่พฤติกรรมการเลียนแบบ ซึ่งจากผลการศึกษาจำนวนมากพบว่า ข้อสันนิษฐาน ข้อสังเกตที่ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยา และอาชญาวิทยาเหล่านั้น ออกมาเตือนนั้นเป็นความจริง
นายฐากร กล่าวว่า ผมเห็นด้วยกับแนวทางการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเหตุการณ์ยิงกราด เหตุการณ์สะเทือนขวัญต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกาและองค์การอนามัยโลกข้างต้น ที่การนำเสนอข่าวสารเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ควรมีการนำเสนอภาพคนร้าย รายละเอียด แผนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ คลิปเหตุการณ์สะเทือนขวัญต่างๆ เพราะการนำเสนอข้อมูลข่าวสารดังกล่าว จะทำให้คนร้ายทราบข้อมูลในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ส่งผลกระทบให้เจ้าหน้าปฏิบัติงานได้ยากขึ้น ทำเหตุการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ
และไม่ควรนำเสนอข่าวถี่จนเกินไป ไม่ควรลงข่าวโดยใช้พาดหัวตัวโตๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่นำเสนอข่าวดัดแปลงให้มีลักษณะน่าตื่นเต้น เร้าใจ ไม่ชี้แจงรายละเอียด ลงลึกในรายละเอียดทุกขั้นตอนว่าฆ่าตัวตายยังไง ไม่ลงรูป หรือลงคลิปมาก โดยเฉพาะกรณีการนำเสนอข่าวบุคคลที่มีชื่อเสียง ดารา ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอข่าวมากเป็นพิเศษ
นอกจากนั้นยังไม่ควรลงชื่อคนร้ายในสื่อ หรือลงให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น อย่าให้พื้นที่สื่อกับคนร้าย อย่าขุดคุ้ยเรื่องราวของคนร้ายมานำเสนอ ให้คนสนใจ ตื่นเต้น จนเกินเหตุ เพื่อให้ขายข่าวได้ และอย่าลงการแถลงคำพูด คำสารภาพผิดของคนร้าย ต้องไม่ให้ความสำคัญกับคนร้าย จนคนร้ายกลายเป็นฮีโร่ และจะนำแนวทางดังกล่าว เสนอที่ประชุม กสทช. เพื่อพิจารณาใช้เป็นแนวทางในการทำข่าวลักษณะนี้ต่อไป
นายฐากร กล่าวว่า จากเหตุการณ์การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนบ้านเราบางช่อง โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์บางสถานี ตั้งแต่ครั้งนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายของ อาจารย์สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง จนกระทั่งการรายงานสดเหตุการณ์กราดยิงที่ จ.นครราชสีมาในครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ กระทบต่อจิตใจของประชาชนผู้รับชมข้อมูลข่าวสาร ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ รวมถึงอาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบ โดยมองแบบผิดๆ ว่าเป็นฮีโร่ การกระทำดังกล่าวทำให้ตัวเองโด่งดังได้ ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมไทยได้ ผมเห็นว่า เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก และสังคมไทยไม่ควรเกิดเหตุการณ์การสูญเสียเช่นนี้อีกแล้ว การนำเสนอข่าวสารต่างๆ ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ เปลี่ยนมุมมองใหม่ ไม่ใช่นำเสนอในแนวที่เสมือนให้ผู้ชมอยู่ในเหตุการณ์อย่างเดียว แต่ต้องคิดถึงผลจากการนำเสนอข่าวสารในรูปแบบนั้นๆ ว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้างด้วย
ดังเช่นกลยุทธ์การนำเสนอข่าวของสหรัฐอเมริกา อย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าสื่อมวลชนบ้านเราควรนำมาปรับใช้ คือ การกระทำของคนร้ายในแง่ลบเสมอ และเน้นย้ำถึงความน่าอับอายและขี้ขลาดของการกระทำของคนร้าย อย่าลงข่าวถึงเหตุผล หรือตรรกะ จนละเอียดยิบว่าทำไมคนร้ายลงมือก่อเหตุ เพราะคนร้ายคนต่อๆ ไป มันจะรู้สึกว่าเรื่องราวที่ดู หรืออ่านจากการนำเสนอข่าวคล้ายกับตัวเอง และอย่านำเสนอข่าวเหตุการณ์เช่นนี้นานไป อย่ามีการนำเสนอคลิปเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ควรนำเสนอข่าวสั้นๆ กระชับ และอย่านำเสนอข่าวในรูปแบบอนิเมชั่น หรือนำเสนอเป็นรายงานข่าว จำลองเหตุการณ์ให้ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก จนอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ
อ้างอิง : https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5296697/
https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0117259
https://www.latimes.com/california/story/2019-08-11/mass-shooters-seek-notoriety-in-media
https://psmag.com/social-justice/does-naming-the-shooter-in-the-media-lead-to-more-mass-violence
]]>