กสิกรไทย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 02 Oct 2025 23:41:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กสิกรไทยเดินหน้าความยั่งยืน บนแนวคิดยุทธศาสตร์ใหม่ เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม ผสานความยั่งยืนไปในทุกมิติการทำงาน ส่งมอบทั้งการเงินและองค์ความรู้ เพิ่มเป้าอัดฉีดเม็ดเงินความยั่งยืน เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด https://positioningmag.com/1540714 Thu, 02 Oct 2025 12:42:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1540714

· ธนาคารกสิกรไทยจับกระแสความท้าทาย ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ ปัจจัยจากภายนอกด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า รวมทั้งแรงกดดันด้านปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผ่านมาตรการทางการค้าที่ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

· ประกาศปรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืน จากแกน ESG สู่การจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวมเชื่อมโยงทุกด้านที่เกี่ยวข้อง กำหนด ความมุ่งหมายสำคัญเป็นแกนการจัดการ (Issue-based strategy) 3 เรื่อง ได้แก่ การเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น การเสริมความยืดหยุ่นพร้อมก้าวสู่อนาคตร่วมกัน และการสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง

· เผยตัวอย่างผลลัพธ์การทำงานด้านความยั่งยืนที่สำคัญ ทั้งด้านการเสริมศักยภาพ การให้สินเชื่อที่มีคุณภาพและโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ควบคู่กับการส่งมอบองค์ความรู้และเครื่องมือจำเป็น ขับเคลื่อนโดยหลากหลายหน่วยธุรกิจที่ผสานความยั่งยืนในทุกการทำงาน รวมทั้งการผลักดันการลงทุนที่ยั่งยืน ผ่าน KAsset ด้วยกองทุน ESG Fund และ SRI Fund ที่มี AUM เป็นอันดับหนึ่ง

· เร่งเครื่องเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ ตามเป้าหมาย Net Zero Commitment ส่งมอบเม็ดเงินความยั่งยืนไปแล้วกว่า 173,000 ล้านบาท ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2.74 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า พร้อมปรับเพิ่มเป้าหมายการให้สินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนกว่าสองเท่า เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) และตั้งเป้าหมายที่จะเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider – ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด”

ายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ มีทั้งปัจจัยภายในประเทศที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการแข่งขัน อาทิ หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งรวมถึงมาตรการทางการค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ EU CBAM ที่จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันครอบคลุมมูลค่าสินค้า 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 ดังนั้นธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อนจะสร้างความได้เปรียบ

จากการประเมินปัจจัยรอบด้านที่เกิดขึ้น ธนาคารได้ทบทวนกลยุทธ์การทำงานด้านความยั่งยืน เพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและสังคมได้ชัดเจนขึ้น จึงเปลี่ยนจากการดำเนินงานความยั่งยืนด้วยแกนสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG-based Strategy) ไปสู่ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนบนแนวทางใหม่ที่เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม เชื่อมโยงมุมมองทุกด้านที่เกี่ยวข้อง กำหนดความมุ่งหมายชูเป็นแกนกลางของการทำงาน (Issue-based Strategy)


ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนแนวคิดใหม่แบบองค์รวม (Issue-based Strategy)

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพาทุกภาคส่วนเดินหน้าฝ่าคลื่นความท้าทายและเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนธนาคารกสิกรไทย 2568 ถูกออกแบบบนแนวคิด Issue-based Strategy ที่เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม เชื่อมโยงทุกมิติทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล กำหนดเป็นความมุ่งหมาย ที่ธนาคารมุ่งเน้นส่งมอบให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย 3 เรื่องหลัก ได้แก่

o การเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น (Be a Most Trusted Bank) มุ่งเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น พร้อมเคียงข้างผู้มีส่วนได้เสียในการก้าวผ่านความท้าทายเพื่อสร้างการเติบโตที่อย่างยั่งยืน ผ่านการบริการลูกค้า การกำกับดูแลกิจการ และการยึดมั่นในหลักจริยธรรม

o การเสริมความยืดหยุ่นพร้อมก้าวสู่อนาคตร่วมกัน (Reinforce Future-Ready Resilience) เสริมความยืดหยุ่นให้องค์กรและผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อพร้อมรับมือกับทุกความไม่แน่นอน และร่วมก้าวสู่โอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ในอนาคต ผ่านการบริหารความเสี่ยง การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาขีดความสามารถ

o การสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง (Enable Inclusive Growth) ส่งมอบพลังให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าถึงศักยภาพสูงสุดผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ครอบคลุมและทั่วถึง ผ่านการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างทั่วถึง การให้ความรู้และสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพ และการสร้างความเสมอภาคทางการเงิน

ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ได้ส่งเสริมให้ธนาคารกสิกรไทยสามารถขับเคลื่อนการเติบโตควบคู่กับการผสานมิติความยั่งยืนไปด้วยอย่างกลมกลืนในทุกการทำงาน มองเห็นโอกาสการส่งมอบผลลัพธ์เชิงบวกในหลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างการทำงานของธนาคารที่ส่งมอบผลกระทบเชิงบวก | 1. การส่งเสริมศักยภาพเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่ง (Strengthening Capabilities to Enhance Resilience)

ธนาคารไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้สินเชื่อหรือบริการทางการเงิน แต่ยังเป็นผู้เสริมสร้างศักยภาพเพื่อให้ลูกค้า ธุรกิจ และสังคมมีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง ด้วยการส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ควบคู่กับการให้องค์ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

การส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ผ่านการปฏิรูปกระบวนการเครดิตอย่างครบวงจร บนการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก ควบคู่กับการผสานเทคโนโลยี Data & AI ส่งมอบสินเชื่อที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับศักยภาพของผู้รับ มีสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป และ Project Finance ผ่านการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ครบ 100% และเพิ่มเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนเป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) มีการส่งมอบโซลูชันการเงินที่ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การสร้างการเข้าถึงสินเชื่อบุคคลให้แก่ลูกค้าสินเชื่อรายเล็กผ่าน KIV การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่าน KLeasing และการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้เปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทางเลือกผ่านโซลูชันเพื่อธุรกิจโดย KF&E ตลอดจนการเสริมสร้างการลงทุนที่ยั่งยืนผ่าน KAsset ที่เพิ่มโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่ขับเคลื่อนบนหลักการ ESG โดยปัจจุบัน KAsset ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ของประเทศใน ESG Fund และ SRI Fund ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 3.89 หมื่นล้านบาท และ 3.79 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งมี Beacon Impact Fund ที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่สร้างผลกระทบเชิงบวก

การให้ความรู้และการมอบเครื่องมือที่มากกว่าการเงิน ผ่านการดำเนินโครงการให้ความรู้ทางการเงิน ธุรกิจ และการผสานแนวคิดด้าน ESG เข้าไปในทุกจุด ทั้งการให้ความรู้ทางการเงินและไซเบอร์แก่ลูกค้าและสาธารณะผ่านแคมเปญ สติ ที่สามารถสร้างการรับรู้แก่ลูกค้าและประชาชนไปแล้วกว่า 16.4 ล้านราย การเผยแพร่บทความด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และแนวโน้มความยั่งยืนที่ทันต่อสถานการณ์โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่เข้าถึงผู้อ่านกว่า 6.58 ล้านราย การให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการ K SME Care และช่องทางต่าง ๆ รองรับผู้ประกอบการกว่า 1.8 ล้านราย การให้ความรู้การลงทุนภายใต้แบรนด์ K Wealth ที่มีการพัฒนาองค์ความรู้ผ่านความร่วมมือพันธมิตรระดับโลก รวมทั้งเทรนด์การลงทุน ESG มีผู้สนใจเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์กว่า 1.68 ล้านเพจวิว และมีการรับชมคลิปบนยูทูปกว่า 11.19 ล้านวิว อีกทั้งโครงการ SKILLKAMP ที่พัฒนาทักษะและศักยภาพด้านดิจิทัลแห่งอนาคต สำหรับนิสิต นักศึกษาและบุคคลทั่วไป และช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจสามารถเข้าถึงบุคลากรตรงกับความต้องการ ปัจจุบันมีคอร์สเผยแพร่ 355 คอร์สและมีผู้ลงทะเบียน 8,000 ราย และการส่งเสริมความรู้และเครือข่ายให้แก่สตาร์ทอัพผ่านโครงการ KATALYST โดยมีสตาร์ทอัพผ่านการเรียนรู้ในโปรแกรมแล้วจำนวน 155 ราย

ตัวอย่างการทำงานของธนาคารที่ส่งมอบผลกระทบเชิงบวก | 2. การเร่งเครื่องการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อส่งมอบอนาคตที่ยั่งยืน (Accelerating Climate Transition to Secure a Sustainable Future)

ธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาศเจตนารมณ์สู่ Net Zero มาตั้งแต่ปี 2564 และตั้งเป้าหมายที่จะเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider – ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด” ก้าวไป “เหนือกว่าการให้การสนับสนุนทางการเงิน” (Moving beyond finance) เพื่อช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่จำเป็นให้กับลูกค้า


การขับเคลื่อนธนาคารบนพันธกิจสู่ Net Zero สร้างผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดังนี้

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของธนาคาร เพื่อไปสู่เป้าหมาย Net Zero จากการดำเนินงานของธนาคารภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) โดยในปี 2567 ธนาคารสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 17.02% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 (ค.ศ.2020) จาก

การดำเนินโครงการต่างๆ เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟครบทุกอาคารหลัก และสาขาอีก 161 แห่ง พร้อมใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วกว่า 354 คัน รวมทั้งได้รับการรับรองว่าเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอนต่อเนื่องถึง 8 ปี (ปี 2561-2568)

การผลักดันให้พอร์ตโฟลิโอของธนาคารบรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามกรอบที่ประเทศไทยกำหนดสอดคล้องกับเป้าหมาย NDC (Nationally Determined Contribution) และเร่งดำเนินการในส่วนที่สามารถทำได้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยธนาคารได้วางแผน กลยุทธ์รายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) เพื่อเข้าไปควบคุมและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างใกล้ชิด จำนวน 6 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต้นน้ำ กลุ่มเหมืองถ่านหินประเภทเชื้อเพลิงให้ความร้อน กลุ่มซีเมนต์ กลุ่มอลูมิเนียม และกลุ่มยานยนต์ โดยพอร์ตโฟลิโออุตสาหกรรมโรงไฟฟ้ามีระดับความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Intensity per GWh) ลดลง 26% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 (ค.ศ.2020)

การสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ด้วยการสนับสนุนทั้งด้านการเงิน ความรู้ และเทคโนโลยี ผ่านการปล่อยสินเชื่อและการลงทุน โดยมียอดสะสมของสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนกว่า 173,231 ล้านบาท (ณ สิงหาคม 2568) และสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2.74 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประกอบด้วยสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 39,000 คัน สินเชื่อเพื่ออาคารสีเขียวมากกว่า 1 ล้านตารางเมตร สินเชื่อสำหรับโครงการทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนกว่า 500 โครงการ รวมถึงการดำเนินงานในมิติ Beyond Banking

ธนาคารได้ปรับเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืน เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมุ่งมั่นพัฒนา Beyond Banking Solution เพื่อส่งมอบ Climate Solution ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ลูกค้า และส่งเสริมการสร้าง Carbon Ecosystem ที่ครอบคลุมทุกมิติของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคธุรกิจที่ต้องการปรับตัว พร้อมพัฒนาเครื่องมือ KClimate1.5 สำหรับการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก การจัดตั้ง Creative Climate Research Center เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และความร่วมมือเพื่อรับมือกับปัญหาโลกร้อน การริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อสร้าง Carbon Ecosystem ในสังคม เช่น Watt’s Up แพลตฟอร์มสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม Green Pass สำหรับการขอใบรับรอง RECs และแพลตฟอร์ม K-GreenSpace ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชัน Green Living ได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ธนาคารเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จึงร่วมกับพันธมิตรจากภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคการเงิน และภาควิชาการ จัดตั้ง “เครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (Thailand Climate Business Network: Thai CBN) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 34 องค์กร ร่วมกันผลักดันแนวปฏิบัติด้าน Climate ที่นำไปใช้ได้จริง ตั้งแต่ระดับ SME จนถึงข้อเสนอเชิงนโยบายระดับประเทศ โดยเครือข่าย Thai CBN ได้จัดทำ E-Handbook for Greener SMEs และ White Paper – Climate Ecosystem Collaboration เพื่อส่งมอบให้ภาครัฐ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังร่วมระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐในการเร่งการเปลี่ยนผ่านของประเทศอย่างยั่งยืนและมีส่วนร่วม

ส่งเสริมศักยภาพให้ทุกชีวิตและทุกธุรกิจเดินหน้าผ่านพ้นทุกความท้าทาย เติบโตต่อไปได้อีก

นายจงรักกล่าวตอนท้ายว่า ธนาคารกสิกรไทยดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง มีการบูรณาการยุทธศาสตร์ความยั่งยืนแบบองค์รวม สร้างผลกระทบเชิงบวกและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม และเน้นย้ำว่าในทุกพันธกิจที่ธนาคารขับเคลื่อนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เชื่อมโยงกันในระบบนิเวศ สร้างรากฐานที่ยืดหยุ่น แข็งแกร่ง และมีคุณภาพให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล เพื่อให้ทุกชีวิตและทุกธุรกิจเดินหน้าผ่านพ้นทุกความท้าทายไปด้วยกัน เติบโตต่อไปได้อีกอย่างมั่นคงและยั่งยืน

]]>
1540714
‘กสิกรไทย’ เพิ่มเป้าเม็ดเงินความยั่งยืน 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 https://positioningmag.com/1540708 Thu, 02 Oct 2025 05:22:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1540708 ธนาคารกสิกรไทย เดินหน้าฝ่ากระแสความท้าทาย ประกาศปรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนภายใต้แนวคิดใหม่จากแกน ESG สู่การจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม พร้อมปรับเพิ่มเป้าหมายการให้สินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนกว่าสองเท่า เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573

 

ด้วยความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญทั้งปัจจัยภายในประเทศที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งจะส่งผลต่อศักยภาพในการแข่งขัน อาทิ หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง, ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า, การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ฯลฯ

 

รวมไปถึงมาตรการทางการค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ EU CBAM ที่จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ที่คาดว่า จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันครอบคลุมมูลค่าสินค้า 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573

 

จากภาพดังกล่าว ‘จงรัก รัตนเพียร’ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อนจะสร้างความได้เปรียบ และจากการประเมินปัจจัยรอบด้าน ทำให้ธนาคารกสิกรไทยได้ทบทวนกลยุทธ์การทำงานด้านความยั่งยืน จากแกน ESG-based Strategy สู่การจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม (Issue-based Strategy) เพื่อให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น

 

รวมถึงได้เพิ่มเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนเป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 ซึ่งคาดว่า จะมีสัดส่วนประมาณ 20% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด ขณะที่ยอดสะสมของสินเชื่อและการลงทุนด้านความยั่งยืน ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่กว่า 1.7 แสนล้านบาท และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ราว 2 แสนล้านบาท

 

โดยกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืน ธนาคารกสิกรไทยโฟกัสไปในกลุ่ม Corporate Business เพราะเป็นภาคธุรกิจขนาดใหญ่พร้อมปรับตัว และสามารถเป็นตัวอย่างในการดำเนินการให้กับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีได้

 

สำหรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนแนวคิดใหม่แบบองค์รวม จะเน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม เชื่อมโยงทุกมิติทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล กำหนดเป็นความมุ่งหมาย ที่ธนาคารมุ่งเน้นส่งมอบให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย 3 เรื่องหลัก ได้แก่

 

-การเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น (Be a Most Trusted Bank) มุ่งเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น พร้อมเคียงข้างผู้มีส่วนได้เสียในการก้าวผ่านความท้าทายเพื่อสร้างการเติบโตที่อย่างยั่งยืน ผ่านการบริการลูกค้า การกำกับดูแลกิจการ และการยึดมั่นในหลักจริยธรรม

 

-การเสริมความยืดหยุ่นพร้อมก้าวสู่อนาคตร่วมกัน (Reinforce Future-Ready Resilience) เพื่อพร้อมรับมือกับทุกความไม่แน่นอน และร่วมก้าวสู่โอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ในอนาคต ผ่านการบริหารความเสี่ยง การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาขีดความสามารถ

 

-การสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง (Enable Inclusive Growth) ส่งมอบพลังให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าถึงศักยภาพสูงสุดผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ครอบคลุมและทั่วถึง ผ่านการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างทั่วถึง การให้ความรู้และสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพ และการสร้างความเสมอภาคทางการเงิน

 

นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาศเจตนารมณ์สู่ Net Zero มาตั้งแต่ปี 2564 และตั้งเป้าหมายที่จะเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider – ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด” และ  Moving beyond finance เพื่อช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่จำเป็นให้กับลูกค้า

 

สำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของธนาคาร เพื่อไปสู่เป้าหมาย Net Zero จากการดำเนินงานของธนาคารภายในปี 2573 โดยปี 2567 ธนาคารสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 17.02% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 จากการดำเนินโครงการต่างๆ เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟครบทุกอาคารหลัก และสาขาอีก 161 แห่ง พร้อมใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วกว่า 354 คัน รวมทั้งได้รับการรับรองว่าเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอนต่อเนื่องถึง 8 ปี (ปี 2561-2568)

 

ส่วนการสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ด้วยการสนับสนุนทั้งด้านการเงิน ความรู้ และเทคโนโลยี ผ่านการปล่อยสินเชื่อและการลงทุน โดยมียอดสะสมของสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนกว่า 173,231 ล้านบาท (ณ สิงหาคม 2568) และสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2.74 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประกอบด้วยสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 39,000 คัน สินเชื่อเพื่ออาคารสีเขียวมากกว่า 1 ล้านตารางเมตร สินเชื่อสำหรับโครงการทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนกว่า 500 โครงการ เป็นต้น

]]>
1540708
KAsset เปิดตัวพันธมิตรใหม่ “เจ.พี. มอร์แกน” เติมเต็มกองทุนรวมประเภท Multi Asset Fund ให้ลูกค้าชาวไทย https://positioningmag.com/1458218 Wed, 10 Jan 2024 09:49:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458218 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย (KAsset) ได้เปิดตัวพันธมิตรใหม่ซึ่งเป็น บลจ. ระดับโลกอย่าง “เจ.พี. มอร์แกน” โดยการผนึกกำลังครั้งนี้เน้นไปยังกองทุนรวมประเภท Multi Asset Fund ให้ลูกค้าชาวไทย และยังรวมถึงผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ ที่เตรียมนำเสนอให้กับลูกค้าในอนาคต

KAsset ได้ประกาศเปิดตัวพันธมิตรใหม่ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) โดยความร่วมมือของทั้ง 2 ฝ่ายนั้นไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ ที่เตรียมนำเสนอให้กับลูกค้าในอนาคต การให้คำแนะนำด้านการลงทุนแก่นักลงทุนชาวไทย ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง บลจ.

ความร่วมมือดังกล่าวนั้นชี้ให้เห็นโอกาสของตลาดกองทุนรวม หรือแม้แต่การบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทยยังเปิดกว้างอีกมาก

แดน วัตกินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ.พี.มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ทีมงานของ JPMAM รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ KAsset ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้นักลงทุนไทย โดยมองว่าตลาดทุนไทยเป็นตลาดที่มีความคึกคักและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JPMAM ยังได้กล่าวเสริมว่า “ความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั่วโลกของ JPMAM ทำให้พวกเรามีความพร้อมที่จะนำเสนอโซลูชันการลงทุนที่ได้มาตรฐานระดับโลกให้ผู้ลงทุนไทย และเป็นการเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจของ JPMAM ไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าที่มีการลงทุนในกองทุนรวมเกือบ 1 ล้านราย (ณ วันที่ 25 ธ.ค. 2023) และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ดังนั้น ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง KAsset และ JPMAM ตั้งแต่การบริหารจัดการไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตรงความต้องการของลูกค้าธนาคารกสิกรไทย จะช่วยยกระดับประสบการณ์การลงทุนของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

อดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร KAsset กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ JPMAM ถือเป็นการยกระดับการให้บริการของเรา ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการด้านที่ปรึกษาการลงทุน รวมถึงตอบโจทย์ Pain Point ของนักลงทุนในช่วงตลาดผันผวน

ผู้บริหารของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย (ที่ 1-2 จากด้านซ้าย) และ เจ.พี.มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ (ที่ 1-2 จากด้านขวา) – ภาพจาก KAsset

ผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นความร่วมมือสำคัญก็คือกองทุนรวมประเภท Multi Asset Fund ซึ่งมีการลงทุนในหลายสินทรัพย์ในกองทุนเดียว ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในหลากหลายตลาดหุ้นทั่วโลก ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์อื่นๆ ซึ่งประธานกรรมการบริหาร KAsset ชี้ว่าสัดส่วนของนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนประเภทนี้ในต่างประเทศมีสัดส่วนมากถึง 20% ในขณะที่ประเทศไทยนั้นถือว่าสัดส่วนนั้นน้อยมาก

ประธานกรรมการบริหาร KAsset ยังกล่าวเสริมว่า JPMAM ถือเป็นพันธมิตรที่จะเข้ามาเติมเต็ม โดยนำเสนอกองทุนในรูปแบบ Multi Asset Fund ที่มีจุดเด่นในการลงทุนสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทำให้มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนที่ดี และมีผลตอบแทนที่ดีในระดับหนึ่งโดยที่ผ่านมาอยู่ระดับ 3-4% ต่อปี

ทางด้านความร่วมมือด้านองค์กรนั้นมีตั้งแต่การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง 2 องค์กร หรือแม้แต่การใช้ข้อมูลจาก JPMAM นำเสนอให้กับลูกค้าของ KAsset เพื่อจะทำให้เห็นภาพรวมในการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น

ในช่วงปี 2023 ที่ผ่านมามีข่าวลือหลายครั้งเกี่ยวกับอนาคตของ KAsset ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขายกิจการ หรือแม้แต่หาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ซึ่งธนาคารกสิกรไทยได้ชี้แจงในประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้มุมมองของธนาคารฯ นั้นมองว่าธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เป็นหนึ่งในธุรกิจที่สำคัญของธนาคาร

ขณะที่โมเดลการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ JPMAM เฉกเช่นการจับมือของ KAsset มีหลายประเทศด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในออสเตรเลีย หรือแม้แต่ในแอฟริกาใต้ โดยผู้บริหารของ JPMAM ชี้ว่าการจับมือรอบนี้แม้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่โมเดลในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ ก็จะนำมาใช้ในประเทศไทยเช่นกัน

ความร่วมมือดังกล่าวนี้ KAsset ตั้งเป้าหมายมีสินทรัพย์จากการลงทุนในกองทุน Multi Asset Fund มากถึง 100,000 ล้านบาทใน 3 ปี และคาดว่าจะยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ เพิ่มเติมหลังจากนี้ด้วย

]]>
1458218
กสิกรไทยร่วมผลักดัน ASEAN taxonomy ผ่านการประชุมสุดยอดสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน https://positioningmag.com/1444261 Fri, 15 Sep 2023 10:00:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444261

กสิกรไทยเป็นตัวแทนสถาบันการเงินภาคเอกชนไทย ร่วมการประชุมสุดยอดสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN Business Advisory Council Summit Week) เมื่อต้นเดือนกันยายน ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และร่วมการเสวนาหัวข้อ Decarbonizing Southeast Asia: Charting ASEAN’s Pathway to a Net-Zero Future แลกเปลี่ยนมุมมอง บทบาท แนวคิดของภาคเอกชน ในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของแรงขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) พร้อมเชิญชวนกลุ่มประเทศอาเซียนจับมือกันทำเรื่องการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Decarbonization ให้เป็นความร่วมมือในระดับภูมิภาค สร้างมาตรฐานร่วมกัน ผลักดันการเกิด ASEAN Taxonomy

นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยเป็นตัวแทนสถาบันการเงินภาคเอกชนไทย เข้าร่วมงานสัปดาห์การประชุมสุดยอดสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ระหว่างวันที่ 1-6 กันยายน 2566 ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยภายในงานมีกิจกรรม การประชุมสุดยอดธุรกิจและการลงทุนอาเซียน (ASEAN Business and Investment Summit หรือ ABIS 2023) ที่จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด “ASEAN Centrality: Innovating Towards Greater Inclusivity” มีตัวแทนทั้งจากภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ ผู้นำ และผู้บริหารระดับสูงจากภาคธุรกิจทั่วโลกกว่า 2,000 คน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน อีกทั้งยังสร้างโอกาสให้ผู้นำธุรกิจได้มีส่วนร่วมในการเจรจาอย่างสร้างสรรค์กับผู้กำหนดนโยบาย

นอกจากนี้ ธนาคาร ยังได้เข้าร่วมเสวนาภายใต้หัวข้อ Decarbonizing Southeast Asia: Charting ASEAN’s Pathway to a Net-Zero Future เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง บทบาท แนวคิดของภาคเอกชน ในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของแรงขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) รวมถึงแนวทางการกำหนดนโยบายต่าง ๆ ด้านการธนาคาร ที่จะผลักดันให้ธนาคารและลูกค้าทุกภาคส่วน คำนึงถึงการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมความยั่งยืนในระดับภูมิภาค โดยแสดงมุมมองเกี่ยวกับการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกชนิด อื่น ๆ สู่ชั้นบรรยากาศ หรือ Decarbonization ในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายเรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละประเทศในการปรับตัว ทั้งด้านการเงิน ความสามารถทางเทคโนโลยี และองค์ความรู้ ประเทศที่มีความพร้อม เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และประเทศจีน จะเป็นผู้กำหนดแนวทางและกฎเกณฑ์ในระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในกลุ่มประเทศอาเซียนส่วนมากเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและมีความพร้อมที่แตกต่างกัน แต่ยังพึ่งพากันได้ดีผ่านการค้าและการลงทุน ด้วยมูลค่าการค้าภายในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN intra-trade) ที่มีสัดส่วนสูงถึง 23%

ภายใต้บริบทดังกล่าว กลุ่มประเทศอาเซียนสามารถหาโอกาสใหม่ ๆ ร่วมกัน โดยการสร้างความร่วมมือเพื่อทำให้ Decarbonization เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในระดับภูมิภาค (Regional Progressive Dialogue) และสอดรับกับพลวัติการค้าการลงทุนที่เกิดขึ้น โดยการสร้างมาตรฐานการทำงานด้าน Decarbonization เดียวกัน ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ (Hard Infrastructure) ที่แต่ละประเทศสามารถเติมเต็มแหล่งทรัพยากรซึ่งกันและกันได้ และโครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน (Soft Infrastructure) เช่น การกำหนดให้มี ASEAN Taxonomy ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องของ Decarbonization ในกลุ่มประเทศอาเซียน แล้ว จะสามารถทำให้อาเซียนเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืนในระดับเวทีโลกเช่นกัน

ทั้งนี้ สถานการณ์ปัจจุบันของภาคธุรกิจในอาเซียน เรื่องการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ (Large Corporates) มีความสามารถในการปรับตัว และปฏิบัติตามกติกาในระดับนานาชาติได้อย่างทันท่วงที ด้วยความพร้อมด้านทรัพยากร เทคโนโลยี เงินทุน และความรู้ ขณะที่กลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ยังไม่สามารถปรับตัวได้ด้วยตัวเองทั้งหมด ต้องมีการช่วยเหลือจากรัฐบาลและธนาคาร หรือธนาคารเพื่อการพัฒนาแบบพหุภาคี (Multi Development Banks) เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มนี้สามารถเอาตัวรอดได้ สุดท้ายในส่วนของกลุ่มลูกค้ารายย่อย ก็ต้องมีการผลักดันให้เกิดการตระหนักรู้ และสร้างแนวคิดที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้เกิดระบบคุณค่าใหม่ (New Value System) ที่จะคอยผลักดันให้เอสเอ็มอี และธุรกิจขนาดใหญ่ปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

นายพิพิธ กล่าวในตอนท้ายว่า การส่งเสริมการสร้างมาตรฐานร่วมกันด้าน Decarbonization ในภูมิภาคเศรษฐกิจอาเซียน ถือเป็นการตอกย้ำแนวคิดการทำงานตามหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน (Bank of Sustainability) ของธนาคารกสิกรไทย ที่พร้อมจะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน ESG ของกลุ่มธนาคารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยธนาคารจะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและผลักดันลูกค้า ในเรื่องของการเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อม หรือ Decarbonization ในประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ธนาคารกสิกรไทยมีที่ตั้งอยู่ เพื่อให้เป็นตามนโยบายเป้าหมาย Net Zero Commitment ของแต่ละประเทศต่อไปในอนาคต

]]>
1444261
KBank แยก กสิกร อินเวสเจอร์ เป็นบริษัทใหม่ โฟกัสธุรกิจสินเชื่อกับลูกค้ารายย่อยที่แบงก์เข้าไม่ถึง https://positioningmag.com/1439582 Wed, 02 Aug 2023 09:15:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439582 KBank ประกาศแยก “บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด” หรือ KIV เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการรุกธุรกิจให้บริการการเงินกับลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารเข้าไม่ถึง จากการร่วมทุนกับบริษัทต่างๆ

ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBank) กล่าวถึงการดำเนินการของธุรกิจธนาคารในปัจจุบันทั้ง 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านของบริการจ่ายเงิน บริการสินเชื่อทั้งลูกค้าบริษัทและลูกค้ารายบุคคล บริการด้านการลงทุนและประกัน รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวถึงการแยก บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด หรือ KIV นั้นเพื่อสร้างรายได้บนความเสี่ยงที่คุ้มค่า ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และมองว่าธุรกิจ KIV มีความคล้ายคลึงกับธุรกิจของธนาคารใน 4 ด้านในข้างต้น แต่ลูกค้าของ KIV แตกต่างกับธุรกิจของธนาคาร ซึ่งต้องใช้วิธีคิดที่แตกต่างไปจากเดิม

โดยเธอได้กล่าวว่าก่อนที่จะมีการเปิดตัว KIV ในวันนี้ได้มีการทดลอง แยกธุรกิจมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อประสบความสำเร็จจึงค่อยแยกตัวออกมา เธอยังได้กล่าวเสริมว่า KIV คือ Game Changer ของ KBank สามารถเป็นแหล่งรายได้ใหม่ และยังทำให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากกว่าเดิม

ปัจจุบัน บริษัทที่อยู่ในโครงสร้างของ KIV ประกอบด้วย 14 บริษัท มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยบริษัทที่น่าสนใจเช่น การลงทุนใน Grab ของธนาคาร การร่วมทุนกับ LINE ในชื่อ Kasikorn LINE ที่เป็นเจ้าของ LINE BK การร่วมทุนกับกลุ่มคาราบาวภายใต้ชื่อ KBao เป็นต้น

ข้อมูลจาก KBank

พัชร สมะลาภา Group Chairman ของ บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด ได้กล่าวถึงปัญหาของลูกค้ารายย่อยนั้นไม่สามารถที่จะเข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่งเขาให้ข้อมูลว่า 60% ของผู้ขอสินเชื่อนั้นธนาคารไม่แน่ใจว่าจะกลับมาจ่ายเงินหรือไม่ ขณะเดียวกันทางธนาคารเองก็ต้องแบกรับความเสี่ยงจากปัญหาผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้จากการสำรองหนี้

เขาชี้ว่าเป้าหมายของ KIV คือ เพิ่มความสามารถในการให้บริการการเงินกับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ซึ่งมีโจทย์สำคัญคือ ต้องลดต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Cost) และลดต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (Credit Cost) ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินงานในการปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น

นอกจากนี้ KIV ยังได้อาศัยความเชี่ยวชาญของพันธมิตรในแต่ละด้าน รวมกับการใช้โครงสร้างและทรัพยากรของธนาคารกสิกรไทยที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูล ระบบไอที เงินทุนซึ่งมีต้นทุนการเงินที่ถูกกว่า

พัชรยังชี้ว่ากระบวนการทำงานของ KIV ได้แตกต่างไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการใช้พนักงานเข้ามาตรวจสอบลูกค้าว่ามีตัวตนจริงๆ ไม่ใช้เอกสารปลอม หรือแม้แต่กรณีการปล่อยสินเชื่อกับลูกค้าที่หาเช้ากินค่ำนั้นก็ดูวงเงินที่เหมาะสม ซึ่งผลที่ได้คือ NPL ของ KIV ลดลงมาต่ำแล้ว

ขณะเดียวกันในการร่วมทุนกับพันธมิตรนั้นก็ทำให้ KIV สามารถเก็บเงินจากลูกค้าที่เป็นหนี้เสียได้มากขึ้น ส่งผลทำให้ Credit Cost ลดลง

โดย KIV ตั้งเป้าว่าในปีนี้จะมีกำไรราวๆ 900-1,000 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายในปี 2026 จะมีมูลค่าของพอร์ตสินเชื่อ 75,000-80,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่าเมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อในปัจจุบัน และคาดว่าจะมีกำไรมากถึง 4,500-5,000 ล้านบาท

]]>
1439582
KBTG เปิดตัวสำนักงานใหญ่ในเวียดนาม เตรียมปั้นเป็นฮับด้านเทคโนโลยีเพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาค https://positioningmag.com/1435567 Tue, 27 Jun 2023 08:11:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1435567 KBTG ได้เปิดตัวสำนักงานใหญ่ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งผู้บริหารนั้นมองว่าประเทศเวียดนามนอกจากจะมีเศรษฐกิจเติบโตแล้ว ยังมีศักยภาพในเรื่องทรัพยากรบุคคล โดยเตรียมที่จะปั้นให้เป็นฮับด้านเทคโนโลยีเพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาค AEC+3 หลังจากนี้

KBTG ได้เปิดตัวสำนักงานใหญ่ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งถือว่าเป็นสาขาที่ 3 ในทวีปเอเชีย ต่อจากประเทศไทย และประเทศจีน โดยตั้งเป้าเป็นฮับด้านเทคโนโลยีเพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาค AEC+3 หลังจากนี้ ในรูปแบบธนาคารดิจิทัล

ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวถึงประเทศเวียดนามว่ามีเศรษฐกิจโต มีประชากรจำนวนมาก รวมถึงคาดการณ์ภายในปี 2030 ระดับ GDP ต่อหัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ไม่เพียงเท่านี้เวียดนามยังมีการทำ FTA กับหลายประเทศ รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันของชาวเวียดนามส่งผลต่อธุรกิจธนาคาร และยังส่งผลดีต่อผู้ใช้งานในเวียดนาม

CEO ของธนาคารกสิกรไทยยังได้กล่าวเสริมว่าการก่อตั้ง KBTG Vietnam จะช่วยให้ประชาชนได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Mobile Banking หรือแม้แต่ Digital Lending นอกจากนี้ชาวเวียดนามยังมีความสามารถที่เก่ง ทำให้สามารถพัฒนาประเทศ และนอกประเทศได้ เธอมองว่าการเปิดสำนักงานที่นี่ถือเป็นก้าวใหม่ในการเดินทางของ KBTG ด้วย

นอกจากนี้ขัตติยายังวางเป้าหมายของธนาคารกสิกรไทยนั้นจะเป็นธนาคารยุคใหม่แห่งภูมิภาค AEC+3 พร้อมเป้าหมายการเป็น 1 ใน 20 ธนาคารที่ดีที่สุดในประเทศเวียดนามได้ภายในปี 2027

ทักษะคนเวียดนามถือว่าสูงมาก

วรนุช เดชะไกศยะ Executive Chairman ของ กสิกร บิซิเนส- เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ได้กล่าวถึง การที่แรงงานของไทยลดลง เวียดนามเพิ่มขึ้นในช่วงหลังจากนี้ และยังมีคนจบการศึกษาในสาขา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์ (STEM) ที่มีจำนวนสูงอันดับต้นๆ ในอาเซียน นอกจากนี้ทักษะการเขียนโปรแกรมของคนเวียดนามถือว่าดีอันดับต้นๆ ในภูมิภาค รวมถึงยังมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทยด้วย

ผู้บริหารของ KBTG รายนี้ยังกล่าวว่าการที่ KBTG มีบุคลากรมากฝีมือทั้งในประเทศไทย ประเทศจีน รวมถึงประเทศเวียดนาม จะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกัน และยังสามารถดึงศักยภาพและความเชี่ยวชาญในแต่ละส่วนมาประกอบกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคนิค รวมถึงทักษะด้านต่างๆ ที่สำคัญสำหรับองค์กรได้

ชูหลักการ 3S สำหรับสำนักงานในเวียดนาม

ธนุสศักดิ์ ธัญญสิริ Managing Director บริษัท KBTG Vietnam ได้กล่าวถึงหลักการ 3S โดยนำกรณีศึกษาในต่างประเทศหลายแห่งมาใช้ เพื่อที่จะสามารถส่งมอบงานด้านซอฟต์แวร์ให้กับ KBTG ซึ่งประกอบไปด้วย

  1. Speed เขาได้กล่าวถึงว่าทำอย่างไรที่จะทำให้ KBTG Vietnam สามารถที่จะเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน ซึ่งเขาได้ยกตัวอย่างการนำ AI มาช่วยในการเขียนโปรแกรม
  2. Scale การเพิ่มขนาดเพื่อรองรับการขยายธุรกิจหรือรองรับความต้องการทั้งด้านไอทีและองค์กร ธนุสศักดิ์ยังได้เล่าถึงการจ้างงานในประเทศเวียดนามเพื่อที่จะทำให้มีทรัพยากรเก่งๆ เข้ามาทำงาน การเปิดสำนักงานในกรุงฮานอยเพื่อรองรับการทำงาน หรือแม้แต่ความร่วมมือกับสำนักงานในประเทศจีน หรือในไทย เพื่อที่จะพัฒนาความสามารถของ KPlus รองรับการใช้งานของคนเวียดนาม
  3. Sustain ปัจจุบัน KBTG ได้พยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือแม้แต่การพัฒนาบุคคลากร เพื่อที่จะตอบโจทย์ในเรื่องของความยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Positioning เก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปิดสำนักงานของ KBTG ในประเทศเวียดนาม

  • KBTG มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้เหมาะกับคนเวียดนาม ซึ่งหลายอย่างไม่เหมือนในประเทศไทย เช่น ระบบไว้สำหรับไว้ซื้อขายของ โดยทีมงานจะสำรวจว่าคนในท้องที่ต้องการอะไร นอกจากนี้สำนักงานในเวียดนามนี้ยังมีพนักงานเป็นคนท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ มีคนไทยจำนวนไม่มากนัก
  • ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายว่า KPlus Vietnam มีคนใช้งาน 8.4 ล้านคนในปี 2027 จากเป้า 1.3 ล้านคนในปี 2023 และผู้ใช้งาน KPlus รวมกันถึง 100 ล้านคน โดยมองเป็น Regional Digital Bank ไม่ใช่แค่ให้บริการแต่ในประเทศไทยอย่างเดียว
  • KBTG เริ่มหาพนักงานตามเมืองต่างๆ ในเวียดนามเพิ่มขึ้น ล่าสุดผู้บริหารได้กล่าวว่าเริ่มดูเมืองดานังไว้ด้วย หลังจากที่ได้ไปเปิดสำนักงานในกรุงฮานอยมาแล้ว และหลังจากนี้อาจมีการเปิดสำนักงานที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมองถึงศักยภาพที่เหมือนกับประเทศเวียดนามเช่นกัน หลังจากที่ธนาคารกสิกรไทยได้ลงทุนในกิจการของธนาคารแมสเปี้ยน
]]>
1435567
เดอะวิสดอมกสิกรไทย ประสานเสียงกูรู มองจีนมีโอกาสน่าลงทุน หลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบและมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน https://positioningmag.com/1425761 Sat, 01 Apr 2023 10:00:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1425761

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าตลาดหุ้นจีนเองจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีมากนัก รวมถึงตัวเลข GDP จีนที่ต่ำกว่าที่หลายคนคาดไว้ แต่ล่าสุดการเปิดประเทศในช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นเรื่องที่ไวกว่าหลายคนคาดไว้ ส่งผลทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้นกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง

โอกาสในการลงทุน หรือโอกาสในการทำธุรกิจ ปัจจัยอะไรที่น่าติดตามหลังจากนี้ Positioning ได้รวบรวมจากงานสัมมนา โอกาสในการลงทุน หรือโอกาสในการทำธุรกิจ ปัจจัยอะไรที่น่าติดตามหลังจากนี้ Positioning ได้รวบรวมจากงานสัมมนา THE WISDOM Investment Forum ที่บริการเดอะวิสดอม ธนาคารกสิกรไทยจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยการเชิญนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจการลงทุนในแต่ละวงการ มาแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์เศรษฐกิจและโอกาสการ ลงทุนที่น่าจับตา โดยในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ China Insight Unlock Wealth Opportunity in 2023


ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย

ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวเริ่มต้นถึงเศรษฐกิจไทย ในช่วงปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของโควิด หรือสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจต่างๆ ส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทยมี GDP เติบโตแค่ 2.6% สาเหตุหลักที่ชะลอตัวคือภาคการส่งออก ซึ่งเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่หลังจากจีนเปิดประเทศแล้วน่าจะส่งผลมุมมองเชิงบวกหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศ ซึ่ง ดร. พิพัฒน์พงศ์ คาดว่าจะมีมากถึง 4.65 ล้านคน

อีกประเด็นที่สำคัญคือไทยนำเข้าสินค้าจากจีนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ขณะเดียวกันจีนยังเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของประเทศไทย และยังรวมถึงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI สูงเป็นอันดับ 1 ในปีที่ผ่านมา มูลค่าสูงถืง 77,800 ล้านบาท

แต่สถานการณ์ล่าสุดจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐ จากกรณีของ SVB รวมถึง Credit Suisse นั้น ดร. พิพัฒน์พงศ์ กล่าวว่าธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ ก็ยังสามารถใช้คาดการณ์เดิมที่เศรษฐกิจไทยจะโตถึง 3.7% ได้ โดยพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก


ดร.ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย


เศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง และได้ประโยชน์หลังจากจีนฟื้นตัว ไม่ห่วงเรื่อง SVB

ดร.ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงกรณีของ SVB และ Credit Suisse มองว่ายังไม่เป็นความเสี่ยงเชิงระบบ และตลาดน่าจะสงบลงได้ นอกจากนี้เขายังมองว่าในแง่ความผันผวนของตลาดน่าจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีถ้าการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้ตลาดผิดหวังก็ย่อมเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดอีกรอบ

ขณะเดียวกันความผันผวนที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดการเงินโลกตะวันตก รวมถึงปัจจัยลบจากเรื่อง SVB และ Credit Suisse ก็อาจส่งผลทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในประเทศจีน เนื่องจากมีปัจจัยบวกต่างๆ  จากที่จีนเปิดประเทศ ส่งผลให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นปกติ ก็ทำให้เศรษฐกิจไทยได้ผลบวกด้วย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน

อย่างไรก็ดีถ้าหากกรณีของ  SVB และ Credit Suisse ยังจบไม่ได้ ก็จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก และอาจลามมาที่เศรษฐกิจไทยด้วยได้เช่นกัน แต่ ดร. ดอน ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความเข้มแข็ง เนื่องจากมีทุนสำรองที่สูง มีหนี้สาธารณะยังไม่มาก และปัจจุบันเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งกว่าเดิม

ดร. ดอน แนะนำสิ่งที่ต้องจับตามองหลังจากนี้ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยคือแนะนำคือวิกฤตของสถาบันการเงินทั่วโลกจะลุกลามหรือไม่ แต่ก็ยังเชื่อว่าธนาคารไทยยังคงมีความแข็งแกร่งกว่าวิกฤตการเงินในช่วงแฮมเบอร์เกอร์ด้วยซ้ำ

ขณะที่โอกาสของเศรษฐกิจไทยก็คือเป็นที่ตั้งศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ และยังมีเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านที่ยังเติบโต มีประชากรที่อายุน้อยที่สูง ไม่ว่าจะเป็น ลาว กัมพูชา ฯลฯ รวมถึงความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะช่วยดึงเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อได้


ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ยุทธศาสตร์ของจีนจะชัดเจนมากขึ้น แตกต่างกับในอดีต

ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เล่าถึงรัฐบาลจีนได้ตั้งเป้า GDP ในปีที่เศรษฐกิจจีนดีให้ต่ำกว่าที่คาด โดยยกตัวอย่างในปี 2021 ที่เศรษฐกิจจีนไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด แต่จะตั้งเป้า GDP สูงในช่วงที่เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ต่ำ อย่างเช่นในปี 2022 ที่ผ่านมา เพื่อที่จะปลุกความมั่นใจ

เขามองว่าปีนี้ GDP จีนน่าจะเติบโตได้ตามเป้า แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนหลายอย่าง เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ การล็อกดาวน์ในประเทศจีนทำให้หลายธุรกิจปิดตัวไป รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างกรณี SVB หรือ Credit Suisse ที่อาจฉุดเศรษฐกิจจีนลงมาได้เนื่องจากเศรษฐกิจจีนเน้นภาคการส่งออกเป็นหลัก อย่างไรก็ดีถ้าหากเป็นภาคการเงินแล้ว ดร.อาร์ม มองว่าปัญหาของ SVB และ Credit Suisse จะไม่กระทบกับภาคการเงินจีน เนื่องจากรัฐบาลยังควบคุมดูแลอย่างหนัก ขณะที่การเมืองของจีน ดร.อาร์ม มองว่ายุทธศาสตร์ของจีนจะชัดเจนมากขึ้น และคนจีนจะมองภาพบวกมากกว่า แตกต่างกับในอดีต

นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังส่งสัญญาณจะฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจ หลังจากการประชุม 2 สภา โดยให้ความสำคัญกับภาคเอกชน และภาคธุรกิจ รวมถึงกลับมากระตุ้นภาคการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ดี ดร.อาร์ม ชี้ว่าจีนไม่ได้หยุดค้าขายกับต่างประเทศแต่อย่างใด เขาชี้ว่าจีนจะบุกหารายได้จากที่อื่น เช่น ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา หรือแม้แต่อาเซียน แทน

เม็ดเงินจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในจีนอีกครั้ง

คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ นักลงทุนไทย ได้มองถึงโอกาสในการลงทุนในประเทศจีน ซึ่งเขามองโอกาสลงทุนในประเทศจีนระยะยาวว่ายังสดใส แม้ว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนได้ให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี เขายังมองว่ารัฐบาลจีนได้วางพื้นฐานของเศรษฐกิจไว้แล้ว และกำลังปราบปรามคอร์รัปชัน ย่อมเป็นโอกาสก้าวกระโดดหลังจากนี้

เขายังมองว่าด้วยระดับกำไรของหุ้นจีน เงินปันผล และในเคสของ SVB ที่มีปัญหาในสหรัฐอเมริกา นั้นทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลมาที่หุ้นจีนได้ รวมถึงมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้มาก หรือลดดอกเบี้ยลงมาได้

นอกจากนี้คุณทิวายังมองถึงโอกาสของตลาดผู้บริโภคในประเทศจีนที่กำลังเติบโตหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม ไปจนถึงอุตสาหกรรมค้าปลีก หรือแม้แต่ E-commerce แต่ถ้าหากคนทั่วไปที่ไม่อยากลงทุนหุ้นรายตัว ก็สามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมได้


คุณภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย


จีนส่งเสริมอุตสาหกรรมไฮเทคขั้นสูง และนวัตกรรมมากขึ้น

คุณภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้ชี้ว่าจีนได้เปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบแล้ว โดยสังเกตได้จากร้านอาหารนั้นแทบจะไม่มีโต๊ะว่าง และมีการทำธุรกิจแทบจะปกติแล้ว นอกจากนี้จีนยังเน้นเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโต รวมถึงหารายได้จากประเทศที่เป็นมิตรกับจีนมากขึ้น

ในเชิงของ KBank นั้นเขากล่าวว่าจะลงทุนในประเทศจีนมากกว่าเดิม และให้มุมมองว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดของประเทศจีน เนื่องจากชาวจีนมีเงินออมในช่วง 3 ปีเยอะมาก เขาเชื่อว่าชาวจีนจะมาไทยเพิ่มมากขึ้น แต่ต้องให้เวลาอีกสักพัก

นอกจากนี้คุณภัทรพงศ์ ยังได้ชี้ว่าจีนกำลังจะเปลี่ยนเกมโดยการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมาจากการผลักดันโดยรัฐบาลในเรื่องนวัตกรรม ไม่เพียงเท่านี้รัฐบาลจีนยังจะส่งเสริมอุตสาหกรรมไฮเทคขั้นสูง (Deep Technology) ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี 5G เรื่องของ AI ไปจนถึงการผลิตชิป ซึ่งหลังจากนี้เราจะเห็นเทคโนโลยีเหล่านี้ของประเทศจีนจะออกสู่ท้องตลาดมากยิ่งขึ้น

คุณภัทรพงศ์ให้คำแนะนำภาคธุรกิจไทยว่าให้เริ่มค้าขายกับจีนก่อน จนเริ่มเข้าใจประเทศจีนแล้ว ค่อยเริ่มเข้าไปเจาะตามเมือง หรือหาพาร์ตเนอร์ที่เชื่อถือได้ในจีน โดยทางธนาคารได้เชื่อมโยงการชำระเงินให้ง่ายและสะดวกต่อคนที่ทำธุรกิจในจีนมากที่สุด

]]>
1425761
ส่องกลยุทธ์ KBank World Business Group กับเป้าหมายระยะยาวในปี 2027 ในตลาด AEC+3 https://positioningmag.com/1420250 Thu, 23 Feb 2023 11:00:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1420250

ในปี 2022 ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าเศรษฐกิจโลกประสบปัญหาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ความผันผวนของตลาดการเงินที่ไม่เป็นใจ แม้ว่าโลกจะอยู่ในช่วงเวลาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม หรือแม้แต่เรื่องสำคัญอย่างความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็มีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ส่งผลทำให้เศรษฐกิจโลกในภาพรวมไม่เติบโตเท่าที่ควร

อย่างไรก็ดีในปีที่ผ่านมามีหนึ่งในภูมิภาคที่ยังมีศักยภาพทางเศรษฐกิจนั่นก็คือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนนั่นเอง และหนึ่งในหน่วยงานของธนาคารกสิกรไทย นั่นก็คือ KBank World Business Group ซึ่งเป็น หน่วยงานสำคัญในการขยายธุรกิจธนาคารและกิจการที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศของธนาคารฯ ก็ได้ไปลงทุนในอาเซียน รวมถึงประเทศจีนด้วย

Positioning จะพาไปดูกันว่าความสำเร็จในปี 2022 ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง กลยุทธ์อะไรที่ทำให้ KBank World Business Group ประสบความสำเร็จ รวมถึงเป้าหมายระยะยาวในปี 2027


ผลงานในปี 2022 ที่ผ่านมา

ในปี 2022 ที่ผ่านมา KBank World Business Group ได้สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากธุรกิจต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีลูกค้าอยู่มากถึง 2.1 ล้านรายทั่วภูมิภาค จากปัจจัย ในการขยายธุรกิจและการดำเนินงานที่มุ่งสร้างคุณค่าและการเติบโตให้กับผู้คนในทุกประเทศทั่วภูมิภาคที่ธนาคารเข้าไปทำธุรกิจ

สำหรับผลการดำเนินงานนั้น KBank World Business Group  ทำรายได้ไปถึง 4,072 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่นั้นมาจาก ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รองลงมาคือประเทศจีน ไม่เพียงเท่านี้รายได้ดังกล่าวยังเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 9% ทำให้ปี 2022 มีการส่งมอบรายได้สุทธิ (Net Total Income-NTI) ให้ธนาคารกสิกรไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% ไม่เพียงแค่ในเรื่องรายได้เท่านั้น ในปีที่ผ่านมา KBank World Business Group ในประเทศกัมพูชายังคว้ารางวัลองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานที่สุดในเอเชีย หรือ HR Asia Best Companies To Work For In Asia 2022 (Cambodia Edition) อีกด้วย

อีกปัจจัยสำคัญก็คือการให้พนักงานให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ KBank ให้เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือในแต่ละประเทศที่ธนาคารได้เข้าไปทำธุรกิจ


ปัจจัยของความสำเร็จ 5 ข้อ 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ KBank World Business Group สามารถเอาชนะเป้าหมายที่วางไว้  คือกลยุทธ์ที่ผลักดันให้พนักงานสามารถทำงานและเติบโตได้อย่างไร้ขอบเขตเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งประกอบไปด้วย

  1. Play to Win – การมีทีมที่มีความสามารถ มีความหลากหลาย ด้วยแนวคิดที่พร้อมเดินหน้าไปสู่เป้าหมายด้วยกัน โดยได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรให้กับทีมงานเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  1. Prudent Project Management – การบริหารโปรเจ็กต์อย่างรอบคอบ ไม่ใช่การคำนึงถึงโอกาสเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการมองถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกันในอนาคต
  2. Resource Management – การบริหารจัดการทรัพยากรให้เหมาะสมกับธุรกิจและเกิดประโยชน์สูงสุด
  3. Agile Management – การทำงานแบบ Agile โดยเปิดโอกาสให้พนักงานได้ลองผิดลองถูกในงาน เพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเองในหน้างานจริง
  4. Sustainability – การมีปรัชญาในการดำเนินธุรกิจและส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้าและสังคมเพื่อจะเป็นธนาคารที่ยั่งยืน

นอกจากนี้ยังรวมถึงการให้พนักงานให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ KBank ให้เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือในแต่ละประเทศที่ธนาคารได้เข้าไปทำธุรกิจผ่าน KBank World Business Group อีกด้วย

เป้าหมายในปี 2023 ของ KBank World Business Group คือการส่งมอบรายได้สุทธิ ให้ธนาคารกสิกรไทยเพิ่มขึ้นเป็น 4%


มองเป้าหมายปี 2023 รวมถึงเป้าหมายระยะยาวในปี 2027

แม้ว่าในปี 2023 นี้จะมีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมของการแข่งขันภายในประเทศ การเกิดและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมใหม่การเติบโตของเทคโนโลยีแห่งอนาคต รวมถึงสถานการณ์ตลาดแรงงาน แต่ KBank World Business Group ยังคงตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการขยายธุรกิจในทุกประเทศและตั้งเป้ารายได้สุทธิที่ท้าทายยิ่งขึ้นในส่วนของแนวทางการดำเนินธุรกิจ Regional Business ยังคงมุ่งมั่นขยายธุรกิจในตลาด AEC+3 เพื่อเป็นธนาคารแห่งภูมิภาค (A Regional Bank of Choice) โดยเน้นขยายธุรกิจในจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชาและสปป.ลาว ผ่านการพัฒนาบริการบนดิจิทัล ที่จะช่วยให้ลูกค้าในภูมิภาคนี้มีชีวิตที่ดีขึ้นจากบริการทางการเงิน เช่น บริการ K PLUS ในประเทศเวียดนามขณะที่ประเทศจีนยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้าด้วยแนวคิด “Better Me” “Better SME” “AEC Connectivity” และ “ESG” ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นว่าธุรกรรมทางการเงินจากอาเซียนกับประเทศจีนนั้นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับปริมาณการค้าของทั้งอาเซียนและประเทศจีน ขณะเดียวกันในเรื่องของ ESG นั้น ธนาคารกสิกรไทยเองก็เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ต้องการเห็นหลายภาคส่วนในประเทศไทยก้าวเดินไปสู่เรื่องของความยั่งยืนมากขึ้น

ไม่เพียงแต่เป้าหมายทางธุรกิจ แต่ทีมงานก็เป็นอีกกำลังสำคัญ โดย KBank World Business Group มีแผนขยายทีมงานกว่าเท่าตัว เป็น 1,600 คนภายในปี 2023 ซึ่งนอกจากการขยายพนักงานที่เป็นคนไทยแล้ว ยังรวมถึงพนักงานต่างชาติในประเทศต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันแบบ Agile  ทำให้เกิดความคล่องตัว เปิดโอกาสให้พนักงานได้ลองสิ่งใหม่ ด้วยการ Fail Fast, Fail Forward และเรียนรู้ไปพร้อมกันจากการลงมือทำจริงในตลาดแต่ละประเทศ ส่งเสริมให้เกิดการเติบโตร่วมกันพร้อมส่งมอบผลงานที่มีคุณค่าสามารถสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกค้า สังคม และตนเองได้ ผ่านแนวคิด World of Borderless Growth ให้ทุกคนเติบโตไปอย่างไร้ขอบเขต

และด้วยกลยุทธ์ 5 ข้อที่กล่าวไปข้างต้น การผนึกกำลังของพนักงานทุกคน  ทำให้ KBank World Business Group เดินหน้าต่อไปในภูมิภาคนี้เพื่อเป็นธนาคารแห่งภูมิภาค ซึ่งในปี 2027 นั้นธนาคารต้องการที่จะติด Top 20 ธนาคารที่ดีที่สุดในเวียดนามและอินโดนีเซียให้ได้

สนใจร่วมทีม KBank World Business Group ได้ที่ลิ๊งก์นี้ 
https://kbankwbg.co/3I7xHLj

ติดตามความเคลื่อนไหวของทีม KBank WBG ได้ที่ 
https://m.facebook.com/KBANKWBG/

]]>
1420250
กสิกรไทยเปิดแผน “KBank ESG Strategy 2566” พร้อมผสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อความยั่งยืน https://positioningmag.com/1409532 Thu, 24 Nov 2022 10:00:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1409532

อย่างที่เราทราบกันดีว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สภาพภูมิอากาศทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เราจะเห็นข่าวพายุที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ฝนตกหนักมากขึ้นในหลายพื้นที่แบบไม่เคยเป็นมาก่อน หรือแม้แต่คลื่นความร้อนที่ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

ทำให้เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่องความเหลื่อมล้ำ การที่ประชาชนยังเข้าไม่ถึงบริการต่างๆ ฯลฯ หลายปัญหาที่ยังต้องแก้ไขในระยะยาว

สถาบันการเงินเองก็ต้องปรับเปลี่ยนการทำธุรกิจจากปัจจัยเหล่านี้เช่นกัน

แต่หลายคนอาจสงสัยว่าสถาบันการเงินนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) หรือเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) อย่างไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สถาบันการเงินถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยังเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้โลกเรานั้นดีขึ้นได้

เราจะเห็นข่าวว่าหลายสถาบันการเงินทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนนโยบายแทบจะพลิกฝ่ามือ ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปโดยเริ่มมองปัจจัย ESG หรือแม้แต่ผู้จัดการกองทุนก็ให้ความใส่ใจในเรื่อง ESG โดยนำปัจจัยดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการลงทุนด้วย

ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเองก็เป็น 1 ในสถาบันการเงินที่ต้องการเห็นหลายภาคส่วนในประเทศไทยก้าวเดินไปสู่สภาวะแวดล้อมที่ดีมากขึ้น รวมถึงเรื่องของความยั่งยืน

Positioning จะพาไปดูว่าธนาคารกสิกรไทยวางกลยุทธ์ในเรื่องดังกล่าวยังไง


คุณกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย

คุณกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวว่าปัจจุบัน ESG เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก และลูกค้าของธนาคารหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างสนใจในเรื่องนี้อย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยเขาได้ยกตัวอย่างว่ากองทุนจากต่างประเทศได้สอบถมนโยบายเกี่ยวกับเรื่อง ESG ของธนาคารอย่างเข้มข้น แตกต่างจากในอดีตที่ส่วนใหญ่มักสอบถามถึงกลยุทธ์การทำธุรกิจ หรือเป้าหมายการทำกำไร

นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าหน่วยงานกำกับดูแลของแต่ละประเทศเริ่มหันมาออกมาตรการภาษีด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ภาษีคาร์บอน ฯลฯ ฉะนั้นแล้วถ้าหากธนาคารกสิกรไทยไม่สนใจเรื่อง ESG  หรือแม้แต่ลงมือทำช้าไป ตัวของธนาคารเองก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน

ธนาคารกสิกรไทยเป็นอีกสถาบันการเงินในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน มาอย่างต่อเนื่อง จึงมีการวางยุทธศาสตร์เรื่องการขับเคลื่อนธุรกิจบนหลักการ ESG โดยกำหนดกลยุทธ์การทำงานที่เป็นระบบ เน้นการวัดผลที่มีประสิทธิภาพ และดำเนินงานตามหลักการและมาตรฐานสากล

กลยุทธ์ด้าน ESG ของธนาคารกสิกรไทยใน 3 ด้านของปี 2566  (KBank ESG Strategy 2566) ประกอบด้วย

ด้านสิ่งแวดล้อม ธนาคารกสิกรไทยประกาศความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Commitment) จากการดำเนินงานของธนาคารภายในปี 2573 โดยธนาคารได้วางแผนงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เช่น การปรับเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การทยอยปรับเปลี่ยนรถยนต์ของธนาคารให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า การทยอยติดตั้งแผงโซลาร์บนดาดฟ้าของอาคารสำนักงานและสาขาของธนาคารที่มีพื้นที่เป็นของตนเอง

KLOUD by KBank หนึ่งในอาคารที่ใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์

ขณะที่พอร์ตสินเชื่อของธนาคาร เริ่มมีการประเมินในเรื่องปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงจัดทำแผนกลยุทธการลดก๊าซเรือนกระจกรายอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมกลุ่มแรกที่ทางธนาคารได้เริ่มดำเนินการเข้าไปวางแผนในการป รับเปลี่ยนร่วมกับลูกค้าแล้วคือ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและกลุ่มเหมืองถ่านหิน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 27% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในพอร์ตโฟลิโอของธนาคาร (Portfolio Emission) และเตรียมขยายการทำงานร่วมกับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญอื่นๆ ตามลำดับ

คุณกฤษณ์ ยังได้กล่าวถึงโครงการใช้แนวความคิดแบบ Win-Win ในเรื่องพลังงานสะอาดอย่าง SolarPlus ซึ่งช่วยให้ประชาชนประหยัดค่าไฟและได้ใช้ไฟจากแหล่งพลังงานสะอาด และยังสามารถขายไฟในส่วนที่เหลือคืนให้กับธนาคารได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น การให้สินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ไปจนถึงการที่ธนาคารได้ส่งเสริมการเช่าใช้งานรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า EV Bike สนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าให้แพร่หลายมากขึ้น และช่วยให้ไรเดอร์กลุ่มผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสในการประกอบอาชีพด้วยต้นทุนต่ำ เนื่องจากสามารถเช่า EV Bike ได้ในราคาถูก

สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ EV Bike ในพื้นที่สาขาของธนาคาร

ด้านสังคม คุณกฤษณ์ได้กล่าวถึงเรื่องทำให้คนเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้นยังไง โดยเฉพาะสินเชื่อของธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกระบวนการขอสินเชื่อที่ทำได้รวดเร็วมากขึ้น เกิดผลลัพธ์ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยสินเชื่อให้คนตัวเล็กกว่า 5 แสนรายในปี 2565 และตั้งเป้าในปี 2568 จะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ 1.9 ล้านราย

นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้ความเข้าใจความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับลูกค้า ซึ่งเราจะเห็นถึงผลกระทบดังกล่าว เช่น คอลเซ็นเตอร์จากต่างประเทศที่หลอกลวงเงินลูกค้า โดยธนาคารตั้งเป้าในการให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจด้านการเงินและไซเบอร์แก่ลูกค้า 10 ล้านรายในปี 2566 รวมถึงยกระดับการให้บริการที่ปลอดภัย และดูแลอย่างทันท่วงที ด้วยบริการของธนาคารที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง

ด้านธรรมาภิบาล คุณกฤษณ์ได้กล่าวถึงประเด็นหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อตามหลัก ESG เพื่อดูแลให้สินเชื่อที่ปล่อยไปไม่สร้างผลกระทบเชิงลบแก่เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และป้องกันประเด็นการฟอกเขียว (Greenwashing) โดยธนาคารได้มีการกำหนดให้ทุกสินเชื่อโครงการและเครดิตเชิงพาณิชย์ของลูกค้าผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป ต้องเข้าสู่กระบวนการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ทั้ง 100% โดยข้อมูล 9 เดือนแรกของปี 2565 มีสินเชื่อผ่านกระบวนการดังกล่าวไปแล้วกว่า 340,000 ล้านบาท

นอกจากนี้คุณกฤษณ์ยังได้กล่าวว่า ภารกิจด้านความยั่งยืนนั้นเป็นกระบวนการที่ไม่มีที่สิ้นสุด รวมถึงอยากเชิญชวนให้ทุกฝ่ายมาแข่งขันกันในเรื่อง ESG นี้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทุกฝ่าย และเขาได้ย้ำว่าหลายฝ่ายเองก็ต้องจับมือเดินไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทต่างๆ รัฐบาล หรือแม้แต่หน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งธนาคารกสิกรไทยพร้อมที่จะประสานความร่วมมือดังกล่าว เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในระดับของธนาคารและระดับโลก

]]>
1409532
เมื่อ ถูกดี มีมาตรฐาน พลิกโฉมเป็นร้านสะดวกซื้อของชุมชนที่ทำให้คนในพื้นที่เข้าถึงบริการการเงินได้ง่ายและสะดวก https://positioningmag.com/1394408 Tue, 02 Aug 2022 04:00:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1394408

ในอดีตสำหรับร้านโชห่วยเองถือว่าเป็นศูนย์กลางของชุมชน แต่ปัจจุบันร้านโชห่วยเองกลับถูกทอดทิ้ง และเราจะเห็นว่าผู้ประกอบการร้านโชห่วยเองก็ประสบกับปัญหาในการดูแลและจัดการร้านอย่างมาก รวมถึงต้นทุนในการบริหารร้านค้าเองก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ร้านค้าเหล่านี้ต้องปิดตัวลงเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ดีเรื่องนี้กลับกลายเป็นอดีตไปแล้ว

เมื่อความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มคาราบาวกับธนาคารกสิกรไทย กำลังจะทำให้ร้านโชห่วยกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กับคนฐานรากของสังคม

Positioning จะพาไปดูว่าความร่วมมือระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่นี้จะช่วยพลิกฟื้นร้านโชห่วย และยังทำให้ประชาชนฐานรากเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างไรหลังจากนี้

“ถูกดี มีมาตรฐาน” ร้านโชห่วยที่ถูกพัฒนาศักยภาพ เป็นร้านสะดวกซื้อของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน

 Positioning ได้พูดคุยกับเจ้าของร้านโชห่วยที่ก่อนจะมาเป็นพาร์ทเนอร์กับร้าน ถูกดี มีมาตรฐาน โดยหลายคนเปิดเผยว่าในการเปิดร้านโชห่วยนั้นประสบปัญหาหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสต็อกสินค้าที่ต้องออกเงินก่อน ขณะเดียวกันต้องเก็บสินค้าและไม่รู้ว่าสินค้าจะขายหมดเมื่อไหร่ หลายครั้งทำให้ต้นทุนต้องจม นอกจากนี้ยังรวมถึงการที่ไม่ทราบว่าความต้องการสินค้าของคนในชุมชนนั้นคืออะไร ก็อาจทำให้ร้านโชห่วยเองอาจขายสินค้าได้ไม่ดี

สิ่งที่ร้านถูกดี มีมาตรฐาน แตกต่างจากโชห่วยแบบเดิมๆ คือ ไม่ต้องนำเงินไปจมกับสต็อกสินค้า พร้อมทั้งติดตั้งระบบเครื่อง POS ที่เชื่อมต่อกับทางทีดี ตะวันแดง ทำให้ทราบได้ว่าสินค้าไหนขายดี และสามารถรู้สต็อกเพื่อจัดส่งสินค้าเมื่อสต็อกถูกขายออกไป และยังมีการให้คำปรึกษาจากทาง ทีดี ตะวันแดง ด้วย

นอกจากนี้ ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ได้เพิ่มระบบสมาชิกเข้ามา ยิ่งทำให้ลูกค้าของร้านมีสิทธิ์สะสมคะแนน หรือได้ส่วนลดจากทางร้านค้าในอนาคต ทางด้านของร้านค้าเองก็จะทราบถึงความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ทำให้สามารถลงสินค้าในแต่ละร้านให้ถูกใจคนในชุมชนได้เพิ่มมากขึ้น

สำหรับโมเดลของร้านถูกดี มีมาตรฐาน ไม่ใช่การผูกขาดอย่างที่หลายคนกังวล เนื่องจากโมเดลของร้านนั้นเป็นการแบ่งส่วนแบ่งกำไรในสัดส่วน 85-15 นั่นก็คือทางร้านค้าที่เป็นพาร์ทเนอร์ได้กำไรไป 85% ขณะที่ทีดี ตะวันแดงได้ส่วนแบ่งซึ่งเป็นค่าบริหารจัดการเพียงแค่ 15% โดยที่ร้านค้าพาร์ทเนอร์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนให้กับบริษัทฯ

ปัจจุบันร้านถูกดี มีมาตรฐานมีจำนวนร้านค้าที่เปิดไปแล้วทั้งสิ้นราวๆ 5,000 ร้าน โดยตั้งเป้าว่าจะมีร้านค้าให้ได้ถึง 30,000 ร้านค้าทั่วประเทศภายในปี 2567

คุณพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (ซ้าย) คุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด (ขวา)


เมื่อร้านถูกดี มีมาตรฐานกำลังจะพัฒนาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน 

คุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ได้กล่าวว่า ในการพัฒนาร้านถูกดี มีมาตรฐาน นั้น บริษัทไม่ได้มองเพียงการเข้ามาพัฒนาและปรับร้านโชห่วยให้มีความทันสมัยเท่านั้น แต่วางเป้าหมายให้ร้านถูกดี มีมาตรฐาน เป็นเสมือน “แพลตฟอร์ม”และ “โครงข่าย” นอกจากนี้เมื่อร้านถูกดี มีมาตรฐานกลายเป็นศูนย์กลางชุมชนนอกจากเรื่องค้าปลีกแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางที่จะทำให้ ผู้ให้บริการต่างๆ ที่คนในชุมชนเคยเข้าถึงได้ยาก อาทิ บริการทางการเงิน, เป็นจุดรับส่งสินค้าในชุมชน, บริการสินค้าทางการเกษตร ฯลฯ ซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับคนในชุมชนนั้นๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมู่บ้านที่ห่างไกล ที่สิ่งอำนวยความสะดวกเข้าไม่ถึง แต่ทำให้ชุมชนเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้น

ลองนึกภาพว่าร้านถูกดี มีมาตรฐานในชุมชน สามารถที่จะทำธุรกรรมรับฝากเงิน เปิดบัญชีธนาคาร หรือแม้แต่จ่ายบิล ที่แต่เดิมอาจต้องเดินทางไปทำธุรกรรมต่างพื้นที่ เนื่องจากไม่มีผู้ให้บริการในเรื่องนี้ ซึ่งทำให้เสียเวลา ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจฐานรากของชุมชนเข้มแข็งขึ้นมา จึงเกิดความร่วมมือดังกล่าวขึ้น ซึ่งแต่ละฝ่ายมีจุดแข็งแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นฝั่งของทีดี ตะวันแดงที่ทำแพลตฟอร์มถูกดี มีมาตรฐาน และกำลังขยายร้านค้าไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกันธนาคารกสิกรไทยเองก็มีจุดแข็งในการเป็นสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียง มีนวัตกรรมใหม่ๆ และยังเห็นโอกาสที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากกว่านี้

สิ่งที่เกิดขึ้นคือการจับมือระหว่าง 2 องค์กร นอกจากนี้ธนาคารกสิกรไทยยัง ได้ลงทุนกับกลุ่มทุนคาราบาวเป็นเงินมากถึง 15,000 ล้านบาทด้วย


คนในพื้นที่จะได้ใช้บริการทางการเงินจากธนาคารกสิกรไทยได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น

ความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทยกับกลุ่มคาราบาวที่รวมถึง ทีดี ตะวันแดง ยิ่งทำให้ภายในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะเห็นบริการทางการเงินของธนาคารกสิกรไทยนั้นเข้าไปตามชุมชนมากยิ่งขึ้น

คุณพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การร่วมลงทุนกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจ คาราบาว เป็นยุทธศาสตร์ของธนาคารที่ตั้งใจพัฒนาร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในวงจรของไล่ตั้งแต่เจ้าของร้านคู่ค้า ชาวบ้านในชุมชน สามารถจับจ่ายใช้สอยและใช้บริการการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้นโดยความร่วมมือนี้จะทำให้ธนาคารมีจุดบริการเคแบงก์ เซอร์วิส เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 จุด จากเดิมที่มีจำนวนกว่า 27,000 จุด

นอกจากนี้ความร่วมมือดังกล่าวยังทำให้ประชาชนฐานรากนั้นสามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารได้ง่ายขึ้นและจะตอบโจทย์ที่ว่าการที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ ส่งผลทำให้หลายคนเองต้องไปใช้เงินกู้นอกระบบแทนซึ่งพื้นที่ห่างไกลหลายแห่งนั้นมีเรื่องราวแบบนี้จริง ซึ่งในช่วงแรกพาร์ทเนอร์ของถูกดี มีมาตรฐาน จะช่วยกับธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ และในช่วงเริ่มต้นบริการสินเชื่อนั้นคุณเสถียรได้กล่าวว่าอาจเริ่มต้นที่ 5 ถึง 10 ราย ในไม่กี่สาขาทั่วประเทศ ก่อนที่จะขยายเพิ่มมากขึ้น

คุณพัชร ยังชี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความร่วมมือดังกล่าวนี้ไล่ตั้งแต่เจ้าของร้าน คู่ค้า ชาวบ้านในชุมชน สามารถจับจ่ายใช้สอยและใช้บริการการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถเข้าถึงสินเชื่อธนาคารได้ง่ายขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นคือการสร้างรายได้หมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชน

ท้ายที่สุดแล้วสำหรับความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้ประชาชนได้สินค้าคุณภาพดี แม้ต่อให้อยู่ในพื้นที่ห่างไกลก็ตาม ขณะเดียวกันยังทำให้ประชาชนระดับฐานรากที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินนั้นสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน หรือแม้แต่สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งทำให้โอกาสที่ชาวบ้านจะไปใช้บริการของเงินกู้นอกระบบลดลง และเมื่อชาวบ้านระดับฐานรากเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ได้สินค้าที่มีคุณภาพ ส่งผลทำให้เศรษฐกิจในชุมชนเองหมุนเวียน สร้างโอกาสและการพัฒนาใหม่ๆ ได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับร้านถูกดี มีมาตรฐาน คลิก https://bit.ly/3ayuAzd

]]>
1394408