การพัฒนาอย่างยั่งยืน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 10 Jan 2022 04:33:01 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จัก “Blue Finance” แหล่งเงินทุนเชื่อมโยงการอนุรักษ์มหาสมุทรจาก “ไทยยูเนี่ยน” บริษัทอาหารทะเลระดับโลก https://positioningmag.com/1369771 Mon, 10 Jan 2022 10:00:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1369771

เครื่องมือทางการเงินแบบใหม่ที่ผูกโยงกับเป้าหมายด้านการอนุรักษ์ สะท้อนความตั้งใจในการทำงานด้านความยั่งยืน “ไทยยูเนี่ยน” เปิดช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุนแบบ Blue Finance” ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการอนุรักษ์มหาสมุทรโดยเฉพาะ มีการออกหุ้นกู้ลักษณะ Step up / Step down อัตราดอกเบี้ยจะขยับขึ้นลงตามความสำเร็จของเป้าหมายด้านความยั่งยืน โดยไทยยูเนี่ยนวางเป้าจะเพิ่มแหล่งเงินทุน Blue Finance นี้ให้มีสัดส่วนถึง 75% ภายในปี 2568

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ถือเป็นบริษัทอาหารทะเลไทยที่ก้าวไปสู่ระดับโลก สร้างยอดขาย 44% จากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา 29% จากยุโรป 10% จากประเทศไทย และ 17% จากกลุ่มประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย แอฟริกา และอเมริกาใต้

ปี 2563 ที่ผ่านมาแม้จะเกิดวิกฤต COVID-19 แต่ไทยยูเนี่ยนยังสร้างยอดขายได้ถึง 132,400 ล้านบาท เติบโต 4.9% และมีกำไรสุทธิ 6,246 ล้านบาท เติบโตถึง 63.7%

ขณะที่รอบ 9 เดือนแรกของปี 2564 ยอดขายยังทำได้ 102,547 ล้านบาท เติบโต 3.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และกำไรสุทธิ 6,083 ล้านบาท เติบโต 27% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

ไทยยูเนี่ยนมีธุรกิจหลัก 3 ส่วนคือ 1) ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องและบรรจุภัณฑ์อื่นๆ 2) ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น 3) ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า โดยเป็นเจ้าของแบรนด์ทั้งในระดับโลก เช่น Chicken of the Sea, John West, Petit Navire และแบรนด์ชื่อดังในไทย เช่น ซีเล็ค, QFresh และโมโนริ เป็นต้น


ไม่มีทะเล ไม่มีไทยยูเนี่ยน

เห็นได้ว่าธุรกิจของไทยยูเนี่ยนเชื่อมโยงกับ “มหาสมุทร” ตลอดทั้งห่วงโซ่ ทำให้ไทยยูเนี่ยนตระหนักถึงความสำคัญของการรับผิดชอบที่ต้องมีต่อมหาสมุทร เพราะเล็งเห็นว่า หากไม่มีทะเลแล้ว ก็จะไม่สามารถดำเนินธุรกิจอาหารทะเลได้

นี่จึงเป็นต้นธารของแนวคิด Healthy Living, Healthy Oceans กล่าวคือ ไทยยูเนี่ยนจะดูแลความเป็นอยู่ของผู้คน รวมถึงการดูแลทรัพยากรทางทะเลด้วย โดยยึดเป้าหมายด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องไปกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSDG

เพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่ชัดเจน ไทยยูเนี่ยนมีการวางกลยุทธ์ SeaChange® ซึ่งเป็นกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2558 เน้นด้านการดูแลแรงงานตลอดห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับการจ้างงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายและทำงานอย่างปลอดภัย เพื่อให้การจัดหาวัตถุดิบของบริษัทมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ และมีผลที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจากกลยุทธ์นี้แล้ว เช่น บริษัทได้เข้าร่วมในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) เป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) รวมถึงเป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่ 8 ปีติดต่อกัน

จากแนวคิดของไทยยูเนี่ยนและการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ปี 2564 นี้บริษัทได้ยกระดับไปอีกขั้นโดยการนำเรื่องความยั่งยืนมาเชื่อมโยงกับแหล่งเงินทุนของบริษัท เพื่อสะท้อนให้เห็นความตั้งใจจริงที่จะสร้างผลลัพธ์ให้เกิดขึ้น ผ่านการใช้เครื่องมือทางการเงินแบบ “Blue Finance”


Blue Finance คืออะไร?

โดยทั่วไปแล้วในวงการการเงินมีเครื่องมือทางการเงินประเภทที่เรียกว่า การเงินที่ส่งเสริมความยั่งยืน” (Sustainability Linked Financings) หมายถึงเครื่องมือทางการเงินชนิดใดก็ได้ที่ทางผู้ออกได้ตกลงในข้อกำหนดว่าจะต้องมีเป้าหมายด้านความยั่งยืน หรือ ESG ที่มีผลกระทบอย่างสำคัญต่อการพัฒนาด้านความยั่งยืน และเป็นเป้าหมายที่ท้าทายที่ต้องดำเนินให้สำเร็จตามเป้าในช่วงอายุของเครื่องมือทางการเงินนั้นๆ ซึ่งผลสำเร็จหรือไม่สำเร็จตามเป้าหมายจะมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยที่จะจ่ายให้กับนักลงทุน

สำหรับบริษัทไทยยูเนี่ยนซึ่งมีเป้าหมายหลักด้าน ความยั่งยืนในการอนุรักษ์มหาสมุทร รักษาทรัพยากรในทะเล และสร้างความยั่งยืนในห่วงโซ่ของอุตสาหกรรม การใช้เครื่องมือทางการเงินที่ส่งเสริมความยั่งยืนตามเป้าหมายของบริษัทจึงเรียกว่า “Blue Finance”

การจัดหาแหล่งเงินทุนแบบ Blue Finance นั้นทำได้ผ่านหลายช่องทาง เช่น สินเชื่อธนาคาร การออกหุ้นกู้ โดยเฉพาะหุ้นกู้นั้นมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบ Step up / Step down อัตราดอกเบี้ยจะขยับขึ้นลงตามความสำเร็จของเป้าหมายด้านความยั่งยืน หากบริษัททำได้สำเร็จตามเป้าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง ซึ่งไทยยูเนี่ยนระบุ ดัชนีชี้วัด 3 ด้าน ที่จะมาวัดผลว่าบริษัททำได้สำเร็จตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนหรือไม่ ดังนี้

  • การได้รับการจัดอันดับในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์หรือ DJSI ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
  • การลดปริมาณความเข้มข้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้า
  • บริษัทต้องซื้อปลาจากเรือที่มีเครื่องมือการตรวจสอบอิเล็คทรอนิคส์และ/หรือผู้ตรวจสอบความโปร่งใสของซัพพลายเชนในจัดหาปลาทูน่าทั่วโลก

กลยุทธ์ดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว ตลอดปี 2564 ที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนจัดหาแหล่งเงินทุนแบบ Blue Finance ไปเป็นจำนวนมาก ดังนี้

  • ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Loan) เป็นครั้งแรกทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย สินเชื่อที่ออกในประเทศไทยเป็นสกุลเงินไทยบาทและดอลล่าร์สหรัฐ และสินเชื่อนินจา/ซามูไรในประเทศญี่ปุ่นเป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐและเยน โดยสินเชื่อทั้งสองจำนวนนี้รวมกันเป็นจำนวนเทียบเท่า 12,000 ล้านบาท ระยะเวลาในการกู้ยืม 5 ปี ซึ่งมีการกู้ยืมครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยการขอสินเชื่อในครั้งนี้ของไทยยูเนี่ยนได้รับการตอบรับมากกว่าสินเชื่อที่ต้องการมากกว่า 2 เท่า
  • การออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย มูลค่า 5,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.47% ต่อปี ให้กับผู้ลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 โดยมีจำนวนยอดจองซื้อมากกว่า 2 เท่า
  • การออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond) ต่อเนื่องจากครั้งแรก มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการออกหุ้นกู้จำนวน 2 รุ่นเพื่อกระจายให้คลอบคลุมกลุ่มนักลงทุนระยะสั้นและระยะยาวได้ดียิ่งขั้น ประกอบด้วย รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.27% ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.36% ต่อปี ให้กับผู้ลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 โดยมีจำนวนยอดจองซื้อมากกว่า 2 เท่าเช่นกัน
  • การออกสินเชื่อนินจาที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเป็นครั้งที่สองที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 โดยเป็นสินเชื่อสกุลเงินเยนทั้งหมดจำนวน 14,000 ล้านเยน ระยะเวลา 5 ปี และจากผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก JCR อยู่ที่ A- ทำให้ไทยยูเนี่ยนได้รับการตอบรับจากสถาบันการเงินมากกว่าสองเท่าตัวจากจำนวนสินเชื่อที่ต้องการ
  • สินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้นเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ท้องทะเล จำนวน 2,000 ล้านบาท จากธนาคารชั้นนำในประเทศไทย เมื่อ 13 ธันวาคม 2564 รวมทั้ง บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับบางธนาคารในประเทศไทย เพื่อปรับเปลี่ยนวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้นและตราสารอนุพันธ์ให้เป็นวงเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนมากขึ้น

จากการดำเนินงานตลอดปี 2564 ไทยยูเนี่ยนคาดว่าสัดส่วนแหล่งเงินทุนแบบ Blue Finance จะขึ้นไปแตะ 50% ของสัดส่วนหนี้สินระยะยาวทั้งหมดของบริษัทได้ภายในเดือนมกราคม 2565

รวมถึงตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนของ Blue Finance ต่อหนี้สินระยะยาวทั้งหมดให้ไปแตะ 75% ภายในปี 2568 อีกด้วย

“Blue Finance สะท้อนให้เห็นว่าเราสามารถร่วมกับภาคการเงินในการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยให้เราสามารถอนุรักษ์ท้องทะเลได้อย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการผลิตสินค้าอาหารที่ดีมีคุณค่าต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลกไปพร้อมกัน” นายยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ด้านการบริหารการเงินและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว “เรามีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเรื่องการเงินเพื่อความยั่งยืนในตลาดทุนในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนไทยยูเนี่ยนและพันธกิจในการทำงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป”

 

 

]]>
1369771
สุดปลื้ม! “เทสโก้ โลตัส” บรรลุเป้าความยั่งยืนปี 2020 นำค้าปลีกไทยสู่การบริโภคที่ยั่งยืน https://positioningmag.com/1308388 Fri, 04 Dec 2020 04:00:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1308388

แม้ในปีนี้อุตสาหกรรมค้าปลีกจะเจอศึกใหญ่จากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้การดำเนินธุรกิจท้าทายขึ้นไปอีก แต่ “เทสโก้ โลตัส” ก็ยังสามารถเดินหน้าตามแผนงานด้านความยั่งยืนที่วางไว้ เพื่อสร้างการเติบโตและสนับสนุนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า เพื่อนพนักงาน คู่ค้า ชุมชน และสิ่งแวดล้อม

เทสโก้ โลตัส ได้กำหนดแผนความยั่งยืน ให้ความสำคัญกับ 4 ด้านหลัก ได้แก่ People (เพื่อนพนักงาน) Products (สินค้า) Places (ชุมชน) และ Planet (สิ่งแวดล้อม) ซึ่งจะมีเป้าหมายทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

เป็นที่น่ายินดีสำหรับวงการค้าปลีกในไทย เทสโก้ โลตัส ได้บรรลุเป้าหมายการดำเนินงานยั่งยืนสำหรับปี 2020 ที่สร้างประโยชน์ให้ทุกภาคส่วน พร้อมยังมุ่งมั่นนำภาคค้าปลีกไทยสู่การผลิต และบริโภคที่ยั่งยืน ด้วยโครงการที่โดดเด่น เช่น สินค้าอาหารที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืน การลดใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก และลดขยะอาหาร ตามกรอบเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UNSDG)

สลิลลา สีหพันธุ์ ประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า

“เทสโก้ โลตัส ในฐานะห้างค้าปลีกชั้นนำ ตระหนักถึงบทบาทของเราในการส่งเสริมความยังยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม จึงได้ตั้งเป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UNSDG) โดยมีความคืบหน้าที่ดีในการบรรลุเป้าหมายตั้งแต่ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว สำหรับในปี 2020 แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID -19 ได้สร้างความท้าทายในหลายมิติ แต่เทสโก้ โลตัส ยังคงบรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้สำหรับปีนี้”

ผลการดำเนินงานทั้ง 4 ด้านในปี 2020 มีดังนี้

เพื่อนพนักงาน (People)

  • เทสโก้ โลตัส ยังคงเดินหน้าจ้างงานในโครงการ “60 ยังแจ๋ว” อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้และมอบสังคมที่ดีให้คนวัยเกษียณ เรียกว่าเป็นห้างค้าปลีกห้างแรกที่จ้างงานผู้เกษียณอายุเป็นจำนวนมาก

 

  • ส่งเสริมการยอมรับความหลากหลายและการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมของเพื่อนพนักงาน (Diversity & Inclusion) โดยมอบโอกาสในการจ้างงาน และความก้าวหน้าที่เท่าเทียมกันให้พนักงานทุกคน พร้อมเดินหน้าอบรมพนักงานให้เปิดรับความคิดและลักษณะที่แตกต่าง
  • เทสโก้ โลตัส ได้รับรางวัลสุดยอดนายจ้างดีเด่นแห่งประเทศไทย (Best Employer Thailand 2020) 4 ปีติดต่อกัน

สินค้า (Products)

  • การจัดหาสินค้าอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Sourcing) บรรลุเป้าหมายในการช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้มีรายได้ที่เป็นธรรมและยั่งยืน ด้วยการรับซื้อผลผลิตโดยตรงจากเกษตรกรครบ 1,000 ราย จากในทุกภูมิภาค พร้อมให้ความรู้ในการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ปลอดภัยไร้สารเคมีที่เป็นอันตรายตกค้าง

  • การจัดหาสินค้าจากแหล่งที่ยั่งยืน (Sustainable Sourcing) เป็นห้างค้าปลีกรายแรกในประเทศไทย ที่พัฒนาสินค้าน้ำมันปาล์มบรรจุขวดที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) รับประกันปาล์มมาจากแหล่งที่ไม่ตัดไม้ทำลายป่า
  • สวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare) เพิ่มปริมาณไข่ไก่ที่มาจากแม่ไก่ไม่ขังกรง (cage-freeeggs โดยในปี 2020 ได้เปลี่ยนไข่ไก่แบรนด์เทสโก้ แพ็ค 10 ฟองทั้งหมด เป็นไข่ไก่ cage-free และจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นทุกปีจนบรรลุเป้าหมายที่จะจำหน่ายไข่ไก่ที่มาจากแม่ไก่ไม่ขังกรงทั้งหมดภายในปี 2028

  • ขยะอาหาร (Food waste) เป็นห้างค้าปลีกรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่วัด และเปิดเผยข้อมูลขยะอาหารในธุรกิจอย่างโปร่งใสเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยในปี 2020 สามารถลดปริมาณขยะอาหารลงจากปีก่อน และมีความคืบหน้าที่จะบรรลุเป้าหมายการลดขยะอาหารลงให้ได้ 50% ภายในปี 2030 นอกจากนี้ได้ขยายการบริจาคอาหารที่จำหน่ายไม่หมดภายใต้โครงการ “กินได้ไม่ทิ้งกัน” ไปสู่จังหวัดภูเก็ตอีกด้วย

  • บรรจุภัณฑ์ (Packaging)

ยกเลิกการแจกถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งตั้งแต่ 1 มกราคม 2020

ยกเลิกการใช้หลอดพลาสติกทั้งหมดในทุกสาขา

บรรจุภัณฑ์สินค้าแบรนด์เทสโก้ที่ผลิตขึ้นในปี 2020 ยกเลิกการใช้วัสดุที่ยากต่อการรีไซเคิล ก้าวสู่เป้าหมายให้บรรจุภัณฑ์สินค้าแบรนด์ของห้างทั้งหมดต้องสามารถรีไซเคิลได้ 100% ภายในปี 2025

สร้างระบบปิดของบรรจุภัณฑ์ (closed loop packaging system) เพื่อลดขยะ และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า แบบ Circular Economy ผ่านโครงการต่างๆ

  • ถุงคืนชีพ ถุงพลาสติกสำหรับใช้ซ้ำ รับเปลี่ยนคืนเมื่อชำรุดโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ถุงที่ชำรุดแล้วนำกลับมารีไซเคิลเป็นถุงใบใหม่
  • ตู้รับคืนขวดพลาสติก ติดตั้งใน 15 สาขา โดยตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2020 สามารถเก็บขวดพลาสติกจำนวนเกือบ 800,000 ใบกลับเข้าระบบ

  • โครงการถังวนถุง รับถุงและฟิล์มพลาสติกสะอาด นำกลับมารีไซเคิล มีจุดรับ 40 จุด
  • จุดรับกล่องและลังกระดาษใช้แล้ว ติดตั้งที่สาขาขนาดใหญ่ทุกแห่ง เพื่อนำกระดาษ กลับเข้าระบบเพื่อนำมารีไซเคิล
  • สุขภาพและโภชนาการ (Health and diets)

พัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานที่ดีต่อสุขภาพ ที่ได้รับตราเครื่องหมาย Healthier Choice มีฉลากผลิตภัณฑ์ให้ข้อมูลโภชนาการอาหารชัดเจน ไขมันต่ำ โปรตีนสูง พร้อมพัฒนากลุ่มอาหารเจพร้อมทานปลอดผงชูรส

จัดกิจกรรมตรวจเบาหวานด้วยตนเองฟรีให้กับลูกค้าและประชาชนเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน รวมประชาชนที่ได้รับบริการเพื่อป้องกันตนเองจากโรคร้ายแล้วกว่า 30,000 คน

ชุมชน (Places)

  • บริจาคอาหารครบ 1 ล้านมื้อ เพื่อช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และช่วยให้เยาวชนไทยได้รับโภชนาการที่ดี

สิ่งแวดล้อม (Planet)

  • เป็นห้างค้าปลีกที่ใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์มากที่สุด ด้วยการติดตั้งโซลาเซลล์ (Solar PV Rooftop) บนหลังคาไฮเปอร์มาร์เก็ต 47 สาขา และศูนย์กระจายสินค้า 6 แห่ง มีขนาดติดตั้งรวม 40 เมกะวัตต์
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 18% เมื่อเทียบกับปีฐาน ปี 2015/16 มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 60% ในปี 2025

 

จะเห็นได้ว่าแผนความยั่งยืนของเทสโก้ โลตัส มีความใส่ใจดูแลครอบคลุมครบทุกภาคส่วน ตั้งแต่พนักงาน ลูกค้า ชุมชน และสิ่งแวดล้อม นโยบายต่างๆ ล้วนก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน ดีต่อโลก และดีต่อทุกๆ คน เรียกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมาก ที่เทสโก้ โลตัสสามารถบรรลุเป้าหมายแผนความยั่งยืนทั้งหมดได้ในปี 2020 ยิ่งสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าจริงๆ

]]>
1308388