ปี 2021 สิงคโปร์ประกาศดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ 11,800 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 2.9 แสนล้านบาท) อุตสาหกรรมที่นำโด่งในการลงทุนคือเซมิคอนดักเตอร์ หลังจากเกิดซัพพลายเชนขาดแคลนซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นยาวไปถึงปี 2023 และบริษัทไบโอเทคที่เพิ่มการลงทุนมากขึ้น จากการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้เกิดดีมานด์สูง
คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ (EDB) เปิดเผยว่า ตัวเลขการลงทุนนี้ลดลง -31% จากปีก่อนหน้า แต่เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้ว เนื่องจากเมื่อปี 2020 มีการลงทุนจากต่างประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 17,200 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 4.23 แสนล้านบาท) ตัวเลขการลงทุนปี 2021 ยังคงทำได้เกินกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะมีการลงทุน 8,000-10,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1.97-2.46 แสนล้านบาท) และ EDB คาดว่า เม็ดเงินปี 2021 นี้จะช่วยสร้างงานให้สิงคโปร์ 17,000 ตำแหน่ง
Beh Swan Gin ประธานบอร์ด EDB กล่าวว่า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดในการลงทุน แต่ที่มากที่สุดในกลุ่มนี้คือ “ชิป” หรือเซมิคอนดักเตอร์
ขณะที่การผลิตด้านไบโอเทคที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจการแพทย์มีสัดส่วน 15% พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในสัดส่วนการลงทุนต่างชาติ แซงหน้าธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์ ธุรกิจไบโอเทคมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปี 2020 มีสัดส่วนเพียง 3.7% เท่านั้น เนื่องจากภาวะโรคระบาดทำให้เกิดความต้องการสินค้าและบริการใหม่ๆ เช่น วัคซีน mRNA, อุปกรณ์การแพทย์
หากแบ่งสัดส่วนการลงทุนตามประเทศต้นทาง สหรัฐอเมริกายังเป็นแหล่งทุนที่ใหญ่ที่สุด สัดส่วน 67% แต่ EDB สังเกตว่า การลงทุนของบริษัทจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากการย้ายฐานจากฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ โดยมีสัดส่วน 1.1% แล้วในการลงทุนต่างชาติทั้งหมด
“บริษัทจีนที่มีสินค้าหรือบริการที่แข่งขันได้นอกประเทศจีน พวกเขาเชื่อว่าจะปรับบริษัทให้เป็นสากลได้ด้วยการย้ายฐานมายังสิงคโปร์ เพราะจะได้เข้าถึงบุคลากรทักษะสูงชาวสิงคโปร์ ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และชาวตะวันตก เพื่อจะแข่งขันให้ได้ในระดับโลก” Beh กล่าว
Beh กล่าวด้วยว่า อนาคตการดึงดูดการลงทุนในสิงคโปร์ จะมีความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนแรงงานเนื่องจาก COVID-19 ทำให้การเดินทางยากลำบากขึ้น รวมถึงต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ตลอดจนประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลก
]]>หลังการเปิดประตูสู่ถนนประชาธิปไตยในเมียนมา เงินลงทุนจากต่างประเทศเริ่มไหลเข้าสู่เมียนมามากขึ้น โดย ธนาคารโลก ประเมินว่ารอบปีบัญชี ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 มีเม็ดเงินมูลค่าถึง 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐจากต่างประเทศเข้าลงทุน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 33% จากรอบปีก่อนหน้า
นำโดยประเทศ “สิงคโปร์” คิดเป็นสัดส่วน 34% ของเงินลงทุนจากต่างประเทศ ตามด้วย “ฮ่องกง” คิดเป็นสัดส่วน 26% ส่วนอันดับสามคือนักลงทุน “ญี่ปุ่น” สัดส่วน 14% กลุ่มธุรกิจที่ต่างชาติมีการลงทุนมากที่สุดคือ อสังหาริมทรัพย์ และ ภาคการผลิต โดยมีสัดส่วนอย่างละ 20% เท่าๆ กัน (*ทุนญี่ปุ่นบางส่วนลงทุนผ่านบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในสิงคโปร์)
Vriens & Partners ที่ปรึกษาด้านการลงทุน ดูแลโครงการในเมียนมาเกี่ยวกับพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และโทรคมนาคม มูลค่ารวมกว่า 3,000-4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มองว่าการรัฐประหารครั้งนี้จะเป็น “ความเสี่ยง” ที่เพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ กลายเป็นปัจจัยลบซ้ำเติมโรคระบาด COVID-19 ที่ผลักให้บริษัทต่างชาติชะลอการลงทุนอยู่แล้ว
ท่าทีของสหรัฐอเมริกาตอบโต้แรงต่อการรัฐประหารครั้งนี้ โดย “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ประณามการรัฐประหาร และกล่าวว่ากำลังพิจารณา “คว่ำบาตร” เมียนมา
แต่การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ หรือแม้แต่ชาติตะวันตกอาจไม่มีผลกับการลงทุนทางตรงในเมียนมาเท่าใดนัก เพราะการลงทุนส่วนใหญ่มาจากชาติในเอเชีย โดยสำนักข่าว BBC สัมภาษณ์นักธุรกิจในเมืองย่างกุ้งรายหนึ่งโดยขอไม่เปิดเผยชื่อ เขามองว่าการคว่ำบาตรจากตะวันตกอาจจะมีผลทางจิตวิทยา แต่สำหรับตัวเลขเม็ดเงินที่เข้ามาจริงๆ นั้นเมียนมาไม่เคยพึ่งพิงการลงทุนตะวันตกอยู่แล้ว
สอดคล้องกับ Vriens & Partners ที่เชื่อว่าหากสหรัฐฯ คว่ำบาตร เมียนมาจะหันไปพึ่งพิงการลงทุนจากจีนมากขึ้นเพราะเป็นประเทศเดียวที่สามารถพึ่งได้
อย่างไรก็ตาม Fitch Solutions บริษัทข้อมูลการเงิน มองอีกมุมหนึ่งว่า สำหรับจีนแล้วการเข้าลงทุนในเมียนมาหลังรัฐประหารจะเป็น “สถานการณ์ที่ไม่น่าสบายใจ” เพราะถึงแม้ว่าเมียนมาจะเป็นหนึ่งในกุญแจของเส้นทางการลงทุน Belt and Road ของจีน แต่จีนมักจะรู้สึกกังวลทันทีที่การเมืองในประเทศที่เข้าลงทุนเกิดความไม่แน่นอนขึ้น
“สุพันธุ์ มงคลสุธี” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นักลงทุนไทยกำลังติดตามอย่างใกล้ชิดว่าตะวันตกจะกดดันกองทัพเมียนมาด้วยการคว่ำบาตรสินค้าหรือไม่ เพราะหากเกิดขึ้นจริงจะมีผลเชิงลบกับนักลงทุนของไทยที่เข้าไปสร้างฐานผลิตเพื่อส่งออก จะทำให้การส่งออกไปประเทศตะวันตกลำบากมากขึ้น
มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ-เมียนมาช่วง 11 เดือนแรกปี 2563 นั้นอยู่ที่ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ (ข้อมูลจาก U.S.Census Bureau)
โดย Panjiva บริษัทวิจัยในเครือ S&P Global Market Intelligence ระบุว่า หากวัดจากมูลค่าสินค้านำเข้าสู่สหรัฐฯ เมียนมาจะเป็นประเทศอันดับ 84 สินค้าส่วนใหญ่ที่สหรัฐฯ นำเข้าจากเมียนมาคือกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้าคิดเป็นสัดส่วน 41% รองลงมาคือกระเป๋าเดินทาง 30% สุดท้ายคือสินค้าประมง ซึ่งคิดเป็น 4% เท่านั้น
บริษัทที่นำเข้าสินค้าผลิตจากเมียนมามากที่สุดในสหรัฐฯ เช่น Samsonite, L.L. Bean, H&M และ Adidas
ดังนั้น ผลกระทบหนักจริงๆ ที่จะเกิดขึ้นคือเมื่อสหรัฐฯ คว่ำบาตรไม่รับสินค้าทั้งหมดที่ผลิตจากเมียนมา และผู้ที่จะได้รับผลกระทบพ่วงด้วยก็คือเหล่าซัพพลายเออร์ ทั้งที่มีเจ้าของเป็นชาวเมียนมาเอง หรือบริษัทสัญชาติอื่นที่เข้าไปลงทุนเพื่ออาศัยค่าแรงที่ถูกของเมียนมา
ขณะเดียวกัน หากมีการแบนสินค้าจากเมียนมาจริง นักธุรกิจที่จะปวดหัวจะรวมถึง “กลุ่มผู้นำเข้าในสหรัฐฯ” ด้วย โดยเฉพาะบริษัท “เสื้อผ้าแฟชั่น” เพราะหลายปีที่ผ่านมาบริษัทต้องย้ายฐานผลิตจากจีนมาเมียนมากันหลายเจ้า เนื่องจากปัญหาสงครามการค้า ทำให้กำแพงภาษีการนำเข้าสินค้าจากจีนแพงขึ้น
Grab แอปฯ เรียกรถจากสิงคโปร์เปิดเผยกับ Nikkei Asia ว่า บริการในเมียนมาไม่สามารถใช้การได้ชั่วคราวเนื่องจากสัญญาณโทรศัพท์มือถือมีปัญหา
ด้านบริษัทการลงทุน Yoma Strategic Holdings ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ต้องแขวนป้าย “ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ชั่วคราว” เพราะบริษัทเน้นการลงทุนในเมียนมาเป็นหลักโดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อาหารและเครื่องดื่ม ยานยนต์ และบริการด้านการเงิน ทันทีที่เกิดรัฐประหาร กองทัพเมียนมามีการตัดสัญญาณโทรศัพท์จนบริษัทแม่ไม่สามารถติดต่อหาข้อมูลใดๆ ได้เลย จึงต้องห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ไปก่อน
ด้านบริษัทที่มีฐานการผลิตในเมียนมาส่วนใหญ่จะกล่าวตรงกันว่า ช่วงนี้บริษัทยังโฟกัสกับการตรวจสอบว่าทุกคนในบริษัทปลอดภัยดี โดยยังไม่มีการหยุดงานหรือเปลี่ยนแผนการลงทุนในอนาคตที่ได้วางไว้ ยกตัวอย่างเช่น H&M โฆษกบริษัทระบุว่า แบรนด์ยังไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนแหล่งผลิต แต่มีการมอนิเตอร์ติดตามสถานการณ์กับซัพพลายเออร์อย่างใกล้ชิด
สำหรับกลุ่มบริษัทญี่ปุ่นในเมียนมา รายงานโดย Nikkei Asia บริษัท Toyota ที่กำลังจะเปิดฐานผลิตที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในเดือนกุมภาพันธ์นี้แล้ว บริษัทยังคงวางเป้าเริ่่มผลิตตามแผน
สอดคล้องกับ Suzuki Motor บริษัทยานยนต์ของญี่ปุ่นรายแรกที่เข้าไปตั้งฐานผลิตในเมียนมาตั้งแต่ปี 2556 ระบุว่ายังไม่ได้รับแจ้งผลกระทบการทำงานของฐานผลิตที่เมียนมา และแผนการตั้งโรงงานแห่งใหม่ในทวายที่จะเริ่มดำเนินการเดือนกันยายนนี้ก็จะยังเป็นไปตามแผน
ขณะที่ Mitsubishi Corp. กล่าวว่าบริษัทยังอยู่ระหว่างมอนิเตอร์สถานการณ์ บริษัทนี้มีส่วนร่วมกับโครงการภาครัฐจำนวนมาก เช่น สัญญาตู้รถไฟเมื่อเดือนธันวาคม 2563 มีส่วนร่วมในกลุ่มผู้รับบริหารจัดการสนามบินมันฑะเลย์ รวมถึงมีส่วนในโครงการพัฒนาเมือง Yoma Central นอกจากนี้ ยังมีบริษัทย่อย Mitsui & Co. ที่จำหน่ายปุ๋ยและ
อุปกรณ์การเกษตรในเมียนมาด้วย
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย “ผกายมาศ เวียร์ร่า” ประธานสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-เมียนมา ระบุว่าด่านชายแดนไทย-เมียนมา ที่ จ.เชียงราย ปิดเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น โดยปิดไปเมื่อเวลา 10.30 น. วานนี้ ก่อนจะกลับมาเปิดอีกครั้งในเวลา 13.30 น. หลังจากกองทัพไทยเข้าเจรจากับทางเมียนมา หลังจากนั้นการค้าชายแดนและขนส่งสินค้ากลับมาดำเนินการได้ตามปกติ
ด้าน สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตฯ มองว่า สำหรับทุนไทยที่ได้รับสัมปทานดำเนินการต่างๆ ในเมียนมาไปแล้ว
คาดว่ากองทัพเมียนมาไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงใบอนุญาตต่างๆ ที่ตกลงแล้ว
ก่อนหน้าเกิดรัฐประหาร ธนาคารโลกมีการประเมินไว้แล้วว่าเศรษฐกิจเมียนมาจะเติบโตลดลงเหลือ 2% ในรอบปีบัญชีตุลาคม 2563 – กันยายน 2564 เนื่องจากโรคระบาด COVID-19 และจะทำให้สัดส่วนผู้มีฐานะยากจนในเมียนมาพุ่งขึ้นเป็น 27% จากเมื่อสิ้นปี 2562 ที่มี 22.4%
ขณะที่ Fitch Solutions เคยประเมินก่อนหน้านี้ว่าเศรษฐกิจเมียนมาปี 2564 จะฟื้นมาโต 6% ได้ แต่เมื่อเกิดรัฐประหาร Fitch ประเมินใหม่ทันทีว่าการเติบโตจะลดลงครึ่งหนึ่งคือเหลือเพียง 3%
Source: BBC, Nikkei Asia, Reuters
]]>