การวางแผนทางการเงิน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 02 May 2025 06:20:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘คนทำงาน’ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไร? เพื่อรับยุคเศรษฐกิจตกต่ำ และอะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน https://positioningmag.com/1520122 Thu, 01 May 2025 09:25:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1520122 ก่อนหน้านี้ทาง ‘สมาคมนักวางแผนการเงินไทย’ ได้เตือนให้คนไทยต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อรับมือกับยุคแห่งความไม่แน่นอน จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า แถมโดนภาษีทรัมป์มา กระหน่ำ ซึ่งกระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึง ‘ไทย’ ที่ปีนี้คาดการณ์ว่า จะโตไม่ถึง 2.0% และมูดีส์ ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยลงสู่มุมมอง ‘เชิงลบ’ จากเดิมที่มี ‘เสถียรภาพ’

 

คำถามคือ แล้วคนทำงานอย่างเรา ๆ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไร เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

 

เงินสำรองคืออะไร

 

เงินสำรองฉุกเฉิน คือ เงินที่สะสมไว้เพื่อใช้ในเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน ซึ่งเงินส่วนนี้ต้องมี ‘สภาพคล่องสูง-เบิกถอนได้ง่าย-เอามาใช้ได้อย่างรวดเร็ว’ ได้แก่ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือกองทุนรวมตลาดเงิน ฯลฯ

 

อย่างไรก็ตามเงินสำรองฉุกเฉินไม่จำเป็นต้องเป็น ‘เงิน’ เท่านั้น อาจเป็นทรัพย์สินในการลงทุนระดับความเสี่ยงต่ำๆ ประเภทกองทุนตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน ฯลฯ

 

ส่วนความสำคัญของเงินสำรองฉุกเฉินนั้น ถือเป็นหนึ่งในกองเงินที่สำคัญและมีประโยชน์มากสำหรับตัวเราเองและครอบครัว เนื่องจากจะช่วยให้คลี่คลายปัญหาความเดือดร้อนเรื่องเงินในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างไร้กังวล

 

นอกจากนี้แล้วยังช่วยควบคุมการใช้จ่ายไม่จำเป็นได้และวางแผนทางการเงินได้ดีขึ้น เช่น เมื่อต้องหักเงินบางส่วนไปสะสมเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน จะทำให้เราคิดและไตร่ตรองในการใช้เงินที่เหลืออยู่มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินไม่คาดฝัน ก็มีเงินใช้โดยไม่ต้องไปหยิบยืมคนอื่นหรือก่อหนี้เพิ่มเติมนั่นเอง

 

แล้วเงินสำรองฉุกเฉินต้องมีเท่าไรถึงจะพอ?

 

ทางกสิกรไทยแนะนำว่า นอกจากอาชีพแล้ว จำเป็นต้องนำค่าใช้จ่ายรายเดือนตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมาคิดประกอบด้วย  

 

กลุ่มอาชีพข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ : เป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงในหน้าที่การงานและมีโอกาสตกงานต่ำ ทำให้ในการสะสมเงินสำรองสำหรับคนกลุ่มนี้เงินเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายรายเดือนเผื่อในอนาคตสัก 2-4 เดือน ก็เพียงพอแล้ว

 

ตัวอย่างเช่น ได้เงินเดือน 40,000 บาท มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนรวม 20,000 บาท การเก็บเงินสำรองฉุกเฉินควรมี 40,000-80,000 บาท

 

กลุ่มอาชีพพนักงานเอกชน : กลุ่มที่มีเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง มีความมั่นคง แต่เพื่อป้องกันการตกงานในอนาคต หรือต้องเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จนอาจทำให้เกิดภาวะความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน จำเป็นต้องสะสมเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือนเป็นอย่างน้อย

 

ตัวอย่างเช่น หากมีรายได้ต่อเดือน 60,000 บาท แต่สัดส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท ต้องมีการเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอยู่ที่ 90,000-180,000 บาท

 

กลุ่มอาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนช์ : เป็นกลุ่มคนที่มีอัตราความเสี่ยงสูงที่สุด เนื่องจากมีความไม่มั่นคงในอาชีพการงานมากกว่าสองกลุ่มแรก และมีความไม่แน่นอนในรายได้ หากต้องการสะสมเงินสำรองฉุกเฉินจำเป็นจะต้องวางแผนสำรองเงินอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อป้องกันการหางานยาก และสถานการณ์ที่ยากเกินจะคาดเดาในอนาคต

 

ตัวอย่างเช่น กรณีมีรายได้ต่อเดือน 30,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนราว 15,000 บาท การเก็บเงินสำรองต้องอยู่ที่ 90,000-180,000 บาท เพื่อให้สามารถรองรับกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม จำนวนเดือนของการวางแผนสำรองเงินดังกล่าวอาจจะเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายแค่ตัวเราเองเท่านั้น ยังไม่รวมถึงคนในครอบครัวของเรา ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยไม่ว่าจะอาชีพไหน ควรต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน

 

นอกจากการเก็บเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินหรือเกิดเหตุไม่คาดฝันแล้ว บรรดาคนทำงาน ควรต้องกระชับพื้นที่การใช้จ่าย ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และพยายามอย่าก่อหนี้เพิ่มเติม รวมถึงควรเพิ่มทักษะต่าง ๆ เพื่อหารายได้เพิ่มเติม และกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ด้วย

]]>
1520122
“ไทยประกันชีวิต” เตรียม IPO สยายปีกสู่การเป็น Life Solutions Provider เพื่อเป็นทุกคำตอบของประกันชีวิต https://positioningmag.com/1375778 Fri, 04 Mar 2022 10:00:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375778

บิ๊กมูฟครั้งใหญ่ของบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)(“ไทยประกันชีวิต”) เตรียม IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”)ด้วยวิสัยทัศน์ “มุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน” วางจุดยืนเป็นมากกว่าบริษัทประกันชีวิตโดยจะเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล หรือLife Solutions Provider


เติบโตเคียงข้างคนไทยตลอด80ปี

ถ้าพูดถึงตลาดประกันชีวิต ประกันสุขภาพ แน่นอนว่าแบรนด์แรกๆ ที่นึกถึง ต้องมี “ไทยประกันชีวิต” อยู่ใน Top of Mind ของคนไทยอย่างแน่นอน ต้องบอกว่าไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทประกันชีวิตซึ่งก่อตั้งโดยคนไทยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย¹ อยู่เคียงข้างคนไทยมาตลอด 80 ปี และยังคงยึดมั่นที่จะดูแลคนไทยในทุกช่วงเวลา

o จากยุคบุกเบิก ไทยประกันชีวิตใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เข้าถึงประชาชนในระดับเกษตรกรด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบชำระเบี้ยประกันภัยแบบรายเดือน พร้อมสร้างอาชีพให้กับคนไทยในต่างจังหวัด

o ต่อมาในยุคสร้างสรรค์ ไทยประกันชีวิตมุ่งสร้างแบรนด์ของคนไทยให้ได้รับความเชื่อมั่น และไว้วางใจ สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในสังคม พร้อมนำเสนอนวัตกรรมสินค้าและการบริการที่หลากหลาย

o มาจนถึงปัจจุบันยุคคิดต่าง ซึ่งไทยประกันชีวิตพร้อมก้าวสู่การเป็น Life Solutions Providerเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล

พร้อมฝ่าฟันมาทุกอุปสรรค เติบโตท่ามกลางวิกฤติสำคัญๆ ของประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาดด้วยวัฒนธรรมองค์กร ที่ปลูกฝังให้ทุกคนมีความเชื่อ และค่านิยมเดียวกันว่าไทยประกันชีวิตคือ บ้าน ไม่ใช่แค่องค์กร โดยไทยประกันชีวิตให้คุณค่ากับทุกคนอย่างเท่าเทียม ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน คู่ค้าหรือคนในสังคม ขณะเดียวกันก็นำความมีน้ำใจ มาผสมผสานให้เห็นคุณค่าของความรัก ความเอาใจใส่กัน สร้างจิตวิญญาณให้คนไทยประกันชีวิต เป็นองค์กรที่ เข้าใจ จริงใจ ไม่ทิ้งกัน

ตลอด 80ปีที่ผ่านมา ไทยประกันชีวิตได้ส่งต่อภาพลักษณ์ของความเป็น “คู่คิด เพื่อทุกชีวิต รู้รอบ รอบรู้ คนดี มุ่งมั่นทำดี และ มองไกลและทุ่มเท” มาโดยตลอด ทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องของมนุษยนิยม โดยเชื่อมั่นในคุณค่าความเป็นคน สร้างคุณค่าสูงสุดให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะเชื่อว่า คน คือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ

และนับจากนี้ ไทยประกันชีวิตเตรียมมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับทุกชีวิต เพื่อมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตชั้นนำในระดับสากลที่เป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิตจากข้อมูลผลการสำรวจคุณภาพของแบรนด์ (Brand Health Check) ซึ่งจัดทำในเดือนพฤศจิกายน2563โดย Nielsen ซึ่งแบรนด์ไทยประกันชีวิต ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมประกันชีวิตในประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากดัชนีชี้วัดคุณค่าของแบรนด์ (Brand Equity Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์ของการเป็นบริษัทประกันชีวิตที่อยู่ในใจผู้บริโภค เมื่อพิจารณาจากความชื่นชอบของแบรนด์ และความเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพื่อใช้บริการของแบรนด์

จุดเด่นที่สำคัญของไทยประกันชีวิตก็คือ การมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทำให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างแท้จริง คีย์แมนคนสำคัญหนีไม่พ้น “ไชย ไชยวรรณ” กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารซึ่งทุ่มเททำงานให้กับไทยประกันชีวิตมาเกือบ 40 ปีรวมไปถึงรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารทั้ง 2 ท่าน คือ วรางค์ ไชยวรรณ วิญญู ไชยวรรณ และผู้จัดการใหญ่ คือ เคียน ฮิน ลิม ซึ่งทุกท่านล้วนมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ และอยู่กับไทยประกันชีวิตมาอย่างยาวนานมีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของไทยประกันชีวิต ที่มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งตลอดมา พร้อมด้วยคณะผู้บริหารทั้งคนไทย และต่างชาติที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในแต่ละสาขาการผสานทีมผู้บริหารทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่นำจุดแข็งที่แตกต่างของผู้บริหารในแต่ละ Generation มาเป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อนให้ไทยประกันชีวิตบรรลุ Business Purpose ที่มุ่งสู่การเป็น Life Solutions Provider

นอกจากนี้ ไทยประกันชีวิต ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรคือ Meiji Yasuda Life Insurance Company (“MY”) ในการเติบโตสู่ระดับนานาชาติโดย MYเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตชั้นนำที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นที่มีบริษัทในเครือทั้งในสหรัฐอเมริกาสหราชอาณาจักร จีน อินโดนีเซีย โปแลนด์ และประเทศไทยโดยปัจจุบันMY เป็นผู้ถือหุ้นและถือหุ้นในไทยประกันชีวิตคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.0 ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วของบริษัทฯ ก่อน IPO

ซึ่ง MY ได้แสดงความสนใจและความพร้อมที่จะสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจในอนาคตของไทยประกันชีวิตไปยังประเทศเมียนมา กัมพูชา ลาว และช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดจำหน่ายและการขยายตลาดกับองค์กรญี่ปุ่นในประเทศไทย(Japanese Worksite Marketing)รวมถึงช่วยต่อยอดจากประสบการณ์ของ MY ในการเปลี่ยนผ่านสู่การทำธุรกิจแบบ Digitalization ของไทยประกันชีวิต


ต้องเป็นทุกคำตอบของประกันชีวิต

ใครว่าบริษัทประกันชีวิตจะต้องมีผลิตภัณฑ์แค่เพียงประกันชีวิตอย่างเดียวเท่านั้น ไทยประกันชีวิตมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ครบวงจร ซึ่งครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ประเภทบุคคลและผลิตภัณฑ์ประเภทกลุ่ม โดยมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งด้านการคุ้มครองชีวิต คุ้มครองสุขภาพ การออม การลงทุน และการวางแผนมรดกและสามารถออกแบบตามความต้องการของลูกค้าเฉพาะบุคคลได้ และจะเห็นได้ว่าไทยประกันชีวิตมักเป็นผู้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเป็นรายแรกๆ อย่างสม่ำเสมอ

ปัจจุบันไทยประกันชีวิตมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบ่งได้เป็น 6 กลุ่ม ได้แก่

1. ประกันชีวิตประเภทสามัญ (Basic Ordinary Life Insurance) แบ่งออกเป็นแบบสะสมทรัพย์(Endowment) แบบตลอดชีพ (Whole Life) แบบชั่วระยะเวลา (Term Life) และแบบเงินได้ประจำหรือแบบบำนาญ (Annuity)

2. ประกันชีวิตประเภทควบการลงทุน (Investment-linked) แบ่งออกเป็นแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) และแบบยูนิต ลิงค์ (Unit-linked)

3. ประกันชีวิตประเภทอุตสาหกรรม (Industrial Life Insurance)

4. ประกันชีวิตประเภทกลุ่ม (Group Life Insurance) แบ่งออกเป็นแบบชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียว (Single Premium Policy)และแบบชั่วระยะเวลาต่ออายุรายปี (Yearly Renewable Term Policy)

5. ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident)

6. สัญญาเพิ่มเติม (Riders)ครอบคลุมถึงสัญญาเพิ่มเติมที่หลากหลาย เช่น สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ (Health Rider) สัญญาเพิ่มเติมชดเชยรายได้ระหว่างเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล (Hospital Benefit Rider) และสัญญาเพิ่มเติมประกันอุบัติเหตุในกรณีที่เสียชีวิต / สูญเสียอวัยวะ / ทุพพลภาพถาวร (Accidental Death /Dismemberment / Total Permanent Disability Rider)สัญญาเพิ่มเติมประกันโรคร้ายแรง (Critical Illness Rider) และสัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองผู้ชำระเบี้ยประกันภัย (Payer Benefit Rider)

ไทยประกันชีวิตมุ่งสู่การเป็น Life Solutions Provider ด้วยกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ได้แก่

  •  การขับเคลื่อนองค์กรสู่ Data Driven Company – ไทยประกันชีวิตปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อเปลี่ยนสู่การเป็น Life Solutions Provider อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานแบบครบวงจร (End-to-end) จากความได้เปรียบที่ไทยประกันชีวิตมี Big Data จากฐานลูกค้าโดยอ้างอิงจากจำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับใช้กว่า 4,500,000 กรมธรรม์²นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่จะตอบสนองความต้องการของผู้เอาประกันแบบเฉพาะบุคคล (Personalization) ในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกการใช้ชีวิต (Lifestyle)
  •  การเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ – ไทยประกันชีวิตมีกลยุทธ์ในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดด้วยการพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่หลากหลายและครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นช่องทางตัวแทนประกันชีวิตที่แข็งแกร่งกว่า 60,000 รายและเป็นบริษัทประกันชีวิตสัญชาติไทยเพียงแห่งเดียวที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเครือข่ายตัวแทนประกันชีวิตที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

ขณะเดียวกันไทยประกันชีวิตยังร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารและองค์กรของรัฐ บริษัทลีสซิ่งและเช่าซื้อ และบริษัทสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ซึ่งทำให้ไทยประกันชีวิตมีความยืดหยุ่นทางธุรกิจในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางของพันธมิตรที่หลากหลาย และสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย

นอกจากนี้ยังมีการขายผลิตภัณฑ์ผ่านทางโทรศัพท์ (Telesales) และขยายสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)

    •  การยกระดับประสบการณ์ของผู้เอาประกัน –ไทยประกันชีวิตมุ่งพัฒนาบริการที่มากกว่าการประกันชีวิต ใช้เทคโนโลยีเสริมสร้างความโดดเด่นในการให้บริการ โดยเป็นบริษัทประกันชีวิตเพียงแห่งเดียวที่ให้บริการไทยประกันชีวิตฮอตไลน์ ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินทางการแพทย์ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม การเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้เอาประกันในการเข้าถึงข้อมูลกรมธรรม์ การตรวจสอบความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ การชำระค่าเบี้ยประกันภัย และการค้นหาชื่อคลินิกและโรงพยาบาลคู่สัญญา ตลอดจนฟังก์ชันอื่นๆ ผ่านแอปพลิเคชันไทยประกันชีวิต และการมอบสิทธิพิเศษด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ การพักผ่อน การเดินทาง และบริการต่างๆ แก่ผู้เอาประกันผ่านไทยประกันชีวิต Privilege นอกจากนั้น ยังมีการนำเสนอการให้บริการที่ยกระดับประสบการณ์และความพึงพอใจของผู้เอาประกันอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตไทยประกันชีวิตจะพัฒนาการจัดทำแพลตฟอร์มด้านไลฟ์สไตล์ที่เป็นประโยชน์ตามความสนใจของลูกค้า (Interest-based)

แบรนด์ประกันชีวิตสัญชาติไทยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ไทยประกันชีวิตขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์ประกันชีวิตสัญชาติไทยที่ก่อตั้งโดยคนไทยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากรายได้เบี้ยประกันภัยรับรวมสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และสำหรับรอบระยะเวลา6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564³ เป้าหมายสำคัญก็คือ การก้าวขึ้นเป็นบริษัทประกันชีวิตที่ยั่งยืนผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบครบวงจร เพื่อเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต การประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล หรือ Life Solutions Provider ในทุกช่วงชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกการใช้ชีวิต (Lifestyle) ของลูกค้า

ด้วยบริการ และผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนไทย ทำให้ไทยประกันชีวิตครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงเป็นหนึ่งในสามของบริษัทประกันชีวิตชั้นนำในประเทศไทยด้วยรายได้เบี้ยประกันภัยรับรวมคิดเป็น 13.7% ของตลาดประกันชีวิต 4

อีกทั้งจุดแข็งสำคัญก็คือ ไทยประกันชีวิตมีเครือข่ายตัวแทนประกันชีวิตที่ครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่า 60,000 ราย และจากข้อมูลของสมาคมประกันชีวิตไทย ณ เดือนมิถุนายน 2564 ตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทฯ คิดเป็นจำนวนมากกว่า 25% ของจำนวนตัวแทนประกันชีวิตทั้งหมดในประเทศไทยแต่ไม่ใช่แค่มีจำนวนเยอะอย่างเดียวเท่านั้นตัวแทนประกันชีวิตของไทยประกันชีวิตพร้อมที่จะดูแลลูกค้าด้วยหัวใจ ด้วยการสร้างจิตวิญญาณแห่งการบริการ หรือ Heart Made เสมือนการดูแลคนในครอบครัว

ไทยประกันชีวิตมีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งและการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นจากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างยั่งยืนและสามารถทำกำไรได้ในทุกๆ วงจรธุรกิจอันเป็นผลมาจากความสามารถในการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์การจัดการการลงทุนที่สามารถบรรลุผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว

โดยไทยประกันชีวิตสามารถรักษาประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจได้แม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากมีการเตรียมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้โครงสร้างการกำกับดูแลกิจการที่ดี


เตรียม IPO สยายปีกสู่การเป็น Life Solutions Provider เพื่อเป็นทุกคำตอบของประกันชีวิต

เรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของไทยประกันชีวิตเลยก็ว่าได้ ด้วยการเตรียมตัวเพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในชื่อย่อว่า TLI โดยอยู่ระหว่างการขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)

เป้าหมายของการระดมทุนในครั้งนี้ แน่นอนว่าส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการลงทุน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ดียิ่งขึ้นไป มีทั้งการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) และการทำการตลาด

รวมไปถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านทางพันธมิตร ที่เป็นจุดเชื่อมต่อกับลูกค้าทั่วประเทศไทย และสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุน และสำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียนและวัตถุประสงค์อื่นๆ

ไทยประกันชีวิตเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าจับตามองจากทั้งผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบครบวงจร รวมไปถึงผู้ลงทุนที่มองหาบริษัทที่มั่นคง มีการเติบโตอย่างยั่งยืน เชื่อว่าการ IPO ในครั้งนี้ ยิ่งช่วยติดสปีดให้ไทยประกันชีวิตมุ่งสู่เป้าหมายในการเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนได้อย่างแน่นอน

หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ในประเทศไทยเท่านั้น และไม่ถือเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ ห้ามมิให้มีการทำซ้ำ ส่งต่อ หรือเผยแพร่เอกสารฉบับนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต

¹จากข้อมูลของสมาคมประกันชีวิตไทย เมื่อพิจารณาจากรายได้เบี้ยประกันภัยรับรวมสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และสำหรับรอบระยะเวลา  6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน2564

² ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564

³ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย

4 ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย สำหรับรอบระยะเวลา 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน2564

]]>
1375778