นิวซีแลนด์จัดให้มีการลงประชามติร่างกฎหมาย 2 ฉบับในเดือนนี้ พร้อมๆ กับการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งทำให้นายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น ได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกเป็นสมัยที่ 2
คณะกรรมการการเลือกตั้งนิวซีแลนด์แถลงผลประชามติเบื้องต้นในวันที่ 30 ต.ค. โดยระบุว่ายังคงมีบัตรเลือกตั้งจากผู้ใช้สิทธิ์ในต่างแดนอีกประมาณเกือบ 500,000 ใบที่ยังไม่ถูกนับ ทว่าเสียงเหล่านี้ก็ไม่มากพอที่จะเปลี่ยนผลประชามติว่าด้วยกฎหมายการุณยฆาต ซึ่งประชาชนได้โหวตสนับสนุนมากกว่า 65.2% แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงผลประชามติในส่วนของกฎหมายกัญชาเพื่อสันทนาการได้
สำหรับผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการจะถูกประกาศในวันที่ 6 พ.ย.
กฎหมายอนุญาตให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่แพทย์คาดว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือนสามารถขอจบชีวิตด้วยวิธีการุณยฆาต จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ย. ปี 2021
ทั้งนี้ ผู้ที่จะขอรับการทำการุณยฆาตต้องอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และมีแพทย์ให้การรับรองอย่างน้อย 2 คน
ในส่วนของกฎหมายว่าด้วยการเสพกัญชาเพื่อสันทนาการนั้น คณะกรรมการการเลือกตั้งระบุว่ามีผู้โหวต “คัดค้าน” มากถึง 53.1%
เวลานี้มีเพียงแคนาดา และอุรุกวัยแค่ 2 ประเทศในโลกเท่านั้นที่อนุญาตให้พลเมืองวัยผู้ใหญ่ใช้ และจำหน่ายกัญชาเพื่อสันทนาการได้อย่างถูกกฎหมาย
นายกฯ อาร์เดิร์น เคยประกาศสนับสนุนการทำประชามติว่าด้วยกัญชาเพื่อสันทนาการเมื่อปี 2017 เนื่องจากเวลานั้นเธอจำเป็นต้องระดมเสียงจัดตั้งรัฐบาลผสม
ตลอดการหาเสียง อาร์เดิร์น ไม่เคยกล่าวชัดเจนว่าเธอจะโหวตสนับสนุนหรือคัดค้านร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ทว่าผู้แทนของเธอออกมาให้ข้อมูลว่านายกฯ หญิงโหวต “สนับสนุน” ในทั้ง 2 ประเด็น
]]>หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนรายงานสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า หลังจากที่มีการโต้เถียงยาวนานร่วมปีภายในพรรคร่วมรัฐบาลผสมดัตช์ของนายกรัฐมนตรี มาร์ค รีตเตอ (Mark Rutte) ล่าสุดรัฐบาลของรีตเตอมีแผนบังคับใช้การการุณยฆาต (Euthanasia) กับผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายที่มีอายุไม่เกิน 13 ปี
โดยรัฐมนตรีสาธารณสุขดัตช์ ฮูโก เดอ ยอง (Hugo de Jonge) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในข้อกำหนดนั้นมีความจำเป็นเพื่อช่วยผู้ป่วยกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเป็นเด็กที่ป่วยในระยะสุดท้าย และกำลังอยู่ในความเจ็บปวดทรมานอย่างไร้ความหวัง
รัฐบาลดัตช์ประเมินว่ากฎใหม่จะส่งผลกระทบกับเด็กจำนวนราว 5 – 10 คน/ปี อยู่ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีความหวังว่าอาการป่วยจะดีขึ้น
ทั้งนี้เบลเยียมถือเป็นชาติแรกของโลกที่ใช้วิธีการุณยฆาตกับเด็กในปี 2014 โดยได้ออกกฎหมายให้สามารถทำการุณยฆาตได้กับเด็กในกรณีที่เป็นผู้ป่วยหนักระยะสุดท้าย และอยู่ในความเจ็บปวดสาหัส ซึ่งเด็กชาวเบลเยียมวัย 9 ปีและ 11 ปีกลายเป็นกรณีแรกของโลกที่ถูกทำการการุณยฆาตเมื่อปี 2016 และปี 2017 ตามลำดับ
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยเด็กที่มีอายุเกิน 12 ปี ในเนเธอร์แลนด์นั้นสามารถเข้ารับการุณยฆาตได้ก่อนหน้านั้นแล้วหากได้รับความยินยอมจากตัวเด็ก และจากผู้ปกครองของเด็ก ส่วนทารกตั้งแต่แรกคลอดไปจนถึง 1 ขวบสามารถถูกการุณยฆาตในเนเธอร์แลนด์ได้ตามกฎหมายได้เช่นกันภายใต้การยินยอมของพ่อแม่เด็กเอง
ซึ่งในเวลานี้ที่เนเธอร์แลนด์ผู้ป่วยเด็กอาจได้รับการดูแลระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (Palliative Care) หรือการถูกไม่ได้รับอาหาร เพื่อเร่งให้มีการเสียชีวิตเร็วขึ้น ภายใต้ข้อกำหนดปัจจุบันที่แพทย์อาจต้องเผชิญกับการถูกดำเนินคดีทางกฎหมายหากพวกเขาใช้วิธีอื่นในการจบชีวิตคนไข้
ซึ่งทางแพทย์ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขสำหรับช่องว่างที่เรียกว่า “โซนสีเทา” ในกลุ่มผู้ป่วยเด็กอายุระหว่าง 1 ปี – 12 ปี เดอะการ์เดียนชี้
และกลายเป็นกระแสร้อนทำให้มีการถกเถียงอย่างหนักภายในพรรคร่วมรัฐบาลพรรคผสมนานร่วม 1 ปี ซึ่งมีความเห็นต้านออกมาจากทั้งพรรคคริสเตียน เดโมแครต แอปเพียล ปาร์ตี (Christian Democrat Appeal party) และพรรค คริสเตนยูนี (ChristenUnie)
ในปี 2019 พบว่ามีการเสียชีวิตที่เกิดจากการุณฆาตจำนวน 6,361 ราย คิดเป็นจำนวนกว่า 4% ของจำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งหมดในเนเธอร์แลนด์ และจากจำนวนทั้งหมดของการการุณฆาตพบว่า 91% อยู่ในกลุ่มอยู่ในกลุ่มป่วยขั้นระยะสุดท้าย
]]>