ขนส่งเอกชน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 18 Aug 2021 07:15:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 DHL ลุยขนส่ง “ทางถนน” ทดแทนทางเรือ-เครื่องบิน ตั้งเป้าลดคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050 https://positioningmag.com/1347437 Wed, 18 Aug 2021 06:26:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1347437 ยักษ์ขนส่ง DHL เปิดภารกิจ “Mission 2050” ตั้งเป้าลดคาร์บอนเป็นศูนย์ โดยจะหันมาเน้นใช้การขนส่ง “ทางถนน” สนับสนุนร่วมกับการขนส่งทางเรือและเครื่องบินให้มากที่สุด รองรับอนาคตเปลี่ยนมาใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า-ไฮโดรเจน ชี้เป็น “จุดตรงกลาง” ระหว่างเรือและเครื่องบิน เร็วกว่าเรือ ถูกกว่าเครื่องบิน ติดตามสินค้าง่าย ยืดหยุ่นในการเปลี่ยนเส้นทาง

อี-คอมเมิร์ซที่เติบโตขึ้นทุกมุมโลก ส่งผลให้ธุรกิจโลจิสติกส์เติบโตตามไปด้วย “ด๊อยช์โพสต์ ดีเอชแอลกรุ๊ป” หรือ DHL ขนส่งรายใหญ่จากเยอรมนีจึงวางเป้าหมายภารกิจ “Mission 2050” ลดปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ในภารกิจนี้ เป้าหมาย ‘ครึ่งทาง’ ในปี 2025 ของ DHL ต้องการจะลดการปล่อยคาร์บอนลง 50% เมื่อเทียบกับปี 2007 โดยจะเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 80,000 คันในระยะแรก และต้องการผลักดันโซลูชันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มีสัดส่วน 50% ของยอดขายบริษัท

 

ใช้ขนส่งทางถนน “จุดตรงกลาง” ของโลจิสติกส์

“เคลวิน เหลียง” ซีอีโอ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง เอเชียแปซิฟิก, “โทมัส ทีเบอร์” ซีอีโอ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ “บรูโน่ เซลโมนี่” รองประธาน การขนส่งทางถนนและขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน 85% ของการขนส่งสินค้าอี-คอมเมิร์ซ ใช้ระบบขนส่งทางเรือ ราง และรถ มีเพียง 15% ที่ใช้การขนส่งทางเครื่องบิน

เมื่อ DHL ต้องการมุ่งตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม “บรูโน่” ระบุว่า การขนส่งทางถนนคือ “จุดตรงกลาง” ที่เหมาะสม เพราะการส่งทางถนนลดคาร์บอนได้ง่ายกว่าทางเครื่องบิน ปัจจุบันการใช้รถประหยัดน้ำมันกว่าเครื่องบินอยู่แล้ว และเทคโนโลยีอนาคตที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นยานยนต์ไฟฟ้าหรือไฮโดรเจนจะยิ่งทำให้ปล่อยคาร์บอนน้อยลง

ขณะเดียวกันยังทำราคาได้ถูกกว่าเครื่องบิน แม้ว่าจะแพงกว่าการขนส่งทางเรือประมาณ 30% (ขึ้นอยู่กับจุดส่งสินค้าและจุดหมายปลายทางด้วย) แต่การขนส่งทำได้เร็วกว่า รวมถึงมีความผันผวนเรื่องราคาน้อยกว่า ดังที่ลูกค้าน่าจะพบประสบการณ์ราคาขนส่งทางเรือและทางอากาศผันผวนสูงมาแล้วเมื่อปี 2020 จึงมองว่าการใช้ขนส่งทางถนนมาสนับสนุนจะเป็นหนทางที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ DHL มีการทดสอบการใช้ขนส่งทางถนนสนับสนุนการขนส่งทางอากาศ (air-road shipment) จากจาการ์ตาไปยังกรุงเทพฯ ผ่านทางสิงคโปร์ เทียบกับการขนส่งทางเครื่องบินแบบบินตรงจาการ์ตา-กรุงเทพฯ พบว่าลดการปล่อยคาร์บอนได้ 50% และลดต้นทุนได้ 35%

นอกจากนี้ DHL ยังนำเสนอว่าการขนส่งทางถนนมีความปลอดภัยและยืดหยุ่นกว่า เนื่องจากสามารถใช้ GPS ติดตามสินค้าได้ตลอดเวลา รวมถึงเปลี่ยนเส้นทางได้ง่ายกว่าหากเส้นทางประจำเกิดเหตุขัดข้อง โดยปัจจุบันบริษัทมีแพลตฟอร์ม myDHLi ไว้ให้ลูกค้าติดตาม Tracking สินค้าได้แบบเรียลไทม์

 

ความร่วมมือในภูมิภาค ผ่านด่านศุลกากรเร็วขึ้น

สำหรับความท้าทายหลักนอกจากโครงสร้างพื้นฐานคือตัวถนนแล้ว การขนส่งด้วยรถจะต้องผ่านพิธีการศุลกากรหลายประเทศ ซึ่งจุดนี้ “โทมัส” ให้ข้อมูลว่าความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงประเทศจีนมีความก้าวหน้าอย่างมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีข้อตกลงระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน (ACTS) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ช่วยสนับสนุนให้การขนส่งทางถนนรวดเร็วและราบรื่น และบริษัท DHL จะมุ่งเน้นลดเวลาการทำพิธีการศุลกากรให้ได้มากที่สุด

(ที่มา: DHL)

ปัจจุบันบริษัทเล็งเห็นว่าเส้นทางขนส่งทางถนนระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับประเทศจีนมีความสำคัญมาก และเส้นทางอนาคตที่เล็งเห็นศักยภาพคือการขนส่งทางถนนระหว่างจีนกับภูมิภาคยุโรป ทั้งนี้ เฉพาะประเทศกลุ่มอาเซียน DHL คาดว่าจะมีการขนส่งทางถนนเพิ่มขึ้น 8% ช่วงปี 2020-2025

 

พร้อมใช้เทคโนโลยี “ยานยนต์ไฟฟ้า”

สำหรับอนาคตการใช้รถบรรทุกและรถกระบะไฟฟ้า “เคลวิน” กล่าวว่า อาจต้องรอเวลาอีกสักพักกว่าที่เทคโนโลยีแบตเตอรีจะรองรับได้ เนื่องจากการใช้รถบรรทุกสินค้าจะแตกต่างจากรถยนต์ส่วนบุคคล แบตเตอรีจะต้องรองรับได้ทั้งน้ำหนักขนส่งผนวกกับระยะทางไกล แต่เมื่อใดก็ตามที่เทคโนโลยีมีความสามารถเพียงพอ DHL จะนำมาใช้งานทันที

ขณะที่การใช้เทคโนโลยีรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติ ปัจจุบันเริ่มทดลองใช้แล้วในเยอรมนี เนื่องจากทางด่วนหรือ ‘ออโตบาห์น’ ของเยอรมนีมีโครงสร้างพื้นฐาน สัญญาณและป้ายจราจรที่รองรับการใช้รถอัตโนมัติแล้ว ส่วนการนำไปใช้ในประเทศอื่นหรือภูมิภาคอื่นจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้นๆ พร้อมรองรับแล้วหรือไม่

DHL มองว่า อี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตต่อเนื่อง 70% ภายในปี 2070 แม้ว่าสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายแต่ผู้บริโภคจะยังนิยมสั่งสินค้าออนไลน์อยู่ ทำให้การลงทุนเพื่อตอบสนองเป็นทิศทางที่ถูกต้อง

]]>
1347437
“แฟลช” ปิดดีลระดมทุนซีรีส์ E กว่า 4,700 ล้าน ขึ้นแท่นยูนิคอร์นตัวแรกของไทย https://positioningmag.com/1334676 Tue, 01 Jun 2021 02:55:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1334676 กลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) ผู้ให้บริการ E-commerce สัญชาติไทย และเป็นบริษัทแม่ของ แฟลช เอ็กซ์เพรส ผู้ให้บริการด้านขนส่งเอกชน ปิดดีลยักษ์จากการระดมทุนรอบซีรีส์ D+ และ ซีรีส์ E คว้ากลุ่ม Buer Capital Limited และ SCB 10X ร่วมทุน พร้อม eWTP -โออาร์-เดอเบล-กรุงศรีฟินโนเวต ลงเพิ่มได้เม็ดเงินรวมไปกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,700 ล้านบาท สู่ยูนิคอร์นตัวแรกของไทย

คมสันต์ ลี ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) เปิดเผยข้อมูลล่าสุดจากการระดมทุนรอบซีรีส์ D+ ที่ได้ผู้ร่วมทุนรายใหม่อย่าง SCB 10X  พ่วงด้วย บริษัทจันวาณิชย์ ซีเคียวริตี้พริ้นท์ติ้ง จำกัด เข้าสนับสนุน โดยในส่วนของซีรีส์ E ก็ยังคว้า Buer Capital กลุ่มทุนจากสิงคโปร์ ร่วมด้วย SCB 10X ที่ให้การสนับสนุนทั้งซีรีส์ D+ และ E

ตามด้วยผู้ลงทุนเดิมอย่าง eWTP, บริษัท ปตท. น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์, บริษัท เดอเบล จำกัด (Durbell) ภายใต้กลุ่มธุรกิจ TCP, บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด (Krungsri Finnovate) ในเครือกรุงศรี กรุ๊ป ที่ตบเท้าลงเพิ่มในซีรีส์ E

ซึ่งดีลใหญ่นี้ทำให้กลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) สามารถระดมทุนไปได้สูงถึง 150 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,700 ล้านบาท โดยคาดว่าเม็ดเงินลงทุนจะถูกกระจายไปในหลายสัดส่วนทั้งด้านการบริหาร และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ครอบคลุมไปถึงการลงทุนในด้านแพลตฟอร์ม eCommerce ที่จะตอบโจทย์ และสร้างความแตกต่างให้แก่ตลาด รวมถึงการเพิ่มช่องทางการขาย ขยายบริการ และสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ

กลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิด การเป็นผู้ให้บริการ E-commerce สัญชาติไทยแบบครบวงจร โดยได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มนักลงทุนหลายอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมสนับสนุน ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมธุรกิจในเครือหลากหลายประเภท อาทิ Flash Express ผู้ให้บริการขนส่งแบบครบวงจร

โดยปัจจุบัน Flash Express มียอดจัดส่งพัสดุต่อวันสูงสุดร่วม 2 ล้านชิ้น นอกจากนี้ยังมีบริการ Flash Fulfilment คลังสินค้าแบบครบวงจร ที่มีบริษัทชั้นนำเป็นพันธมิตร และใช้บริการมากมาย รวมถึงบริษัทในเครืออีกหลายบริษัทที่สอดคล้องกับธุรกิจ E-commerce และรูปแบบตลาดของประเทศไทย รวมไปถึงบริการใหม่ที่เตรียมขยายออกสู่กลุ่มประเทศใน SEA ซึ่งรอการเปิดเผยหลังจากนี้

มร.เหลียง จี้ ผู้อำนวยการ กลุ่ม Buer Capital (Buer) ในฐานะนักลงทุนเชิงกลยุทธ์รายหลักของซีรีส์ E กล่าวว่า

“Buer เป็นนักลงทุนที่มุ่งเน้นเรื่องการเปลี่ยงแปลงโครงสร้างด้านการบริโภค Buer มีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจขนส่งเป็นหนึ่งในระบบสาธารณูปโภคหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจยุคดิจิทัล เมื่อระบบขนส่งถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ และยกระดับขึ้นไปอีกขั้นจะทำให้มีการเปลี่ยนแนวคิด space-time ของธุรกิจค้าปลีก รวมถึงมีความมั่งคั่ง รวดเร็ว และประหยัด ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับกลยุทธ์การลงทุนของแฟลชทั้งในด้านเทคโนโลยี และด้านบริหาร รวมไปถึงศักยภาพในด้านฐานข้อมูล (Data base) ที่จะช่วยผลักดัน และพัฒนาธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดได้อย่างระยะยาว”

ด้าน SCB 10X ผู้ร่วมทุนรายใหม่ที่ให้การสนับสนุนทั้งรอบซีรีส์ D+ และ ซีรีส์ E โดยนางปิติพร พนาภัทร์ Chief Business Development and Financial Officer บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า

หนึ่งในภารกิจหลักของ SCB 10X คือ มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพทั่วโลก รวมถึงสนับสนุนและผลักดันสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพให้สามารถเติบโตและก้าวสู่เวทีโลกได้ ด้วยความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจแฟลช ที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด รวมถึงเป้าหมายในการขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้ร่วมลงทุนหลักในการระดมทุนรอบ Series D+ และลงทุนเพิ่มเติมต่อเนื่องในรอบ Series E ร่วมกับนักลงทุนชั้นนำ นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์และกลุ่มธุรกิจแฟลช ยังมีแผนในการต่อยอดความร่วมมือเพื่อร่วมกันพัฒนาโซลูชันและบริการทางการเงิน ตลอดจนเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) และสร้างประสบการณ์การเงินรูปแบบใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าในอนาคตอันใกล้

ศิระ ศรีสุกใส ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรม บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ ผู้ลงทุนหลักจากรอบซีรีส์ D เผยถึงการตัดสินใจลงทุนเพิ่มในซีรีส์ E

การร่วมลงทุนและการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง โออาร์ และแฟลช จะเป็นการเสริมศักยภาพซึ่งกันและกันเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านขนส่งและพลังงาน อีกทั้งยังสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจอื่น ๆ ของโออาร์ เชื่อมต่อธุรกิจแบบ Online to Offline เพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคในอนาคตที่มีไลฟ์สไตล์ปรับตัวสู่โลกออนไลน์มากขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริม Startup ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

ปัจจุบัน โออาร์ และ แฟลช ได้มีความร่วมมือทางธุรกิจในด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและต่อยอดธุรกิจหลักของทั้งสองบริษัท เช่น การที่โออาร์ให้บริการน้ำมันแก่รถที่ใช้ในการขนส่งของ Flash Express หรือการที่ Flash Express เริ่มเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ขนส่งผลิตภัณฑ์ของโออาร์ และยังมีแผนเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจ ทั้งความร่วมมือในการทดลองเปิดให้บริการจุดรับส่งพัสดุของ Flash Express ภายในร้าน Café Amazon บางสาขา

และการวางแผนในการพัฒนาพื้นที่ภายในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น บางแห่ง เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าของ Flash Express เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษาความเป็นไปได้ในความร่วมมือทางธุรกิจเพิ่มเติมในประเทศต่าง ๆ ผ่านบริษัทย่อยในต่างประเทศของกลุ่มโออาร์ตามแผนการขยายธุรกิจของแฟลชอีกด้วย

บริษัท เดอเบล จำกัด (Durbell) ผู้นำด้านการกระจายสินค้าและโลจิสติกส์ในประเทศไทย ในเครือกลุ่มธุรกิจ TCP ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนเงินทุนแก่แฟลชทั้งรอบ ซีรีส์ D และE โดยนางสาวนุชรี อยู่วิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า

การเติบโตของธุรกิจขนส่งในประเทศไทยและกลุ่มประเทศในแถบ SEA สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal นี้ และแฟลช กรุ๊ปก็สามารถตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างดีเยี่ยมแม้ในสภาพการแข่งขันที่ดุเดือด ด้วยบริการขนส่งพัสดุครบวงจรที่ก่อกำเนิดมาจากความเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง และระบบปฏิบัติงานที่แข็งแกร่ง รวดเร็ว

ซึ่งเป็นแนวทางการทำงานเดียวกันกับบริษัท เดอเบล จำกัด บริษัทกระจายสินค้าและโลจิสติกส์ในเครือกลุ่มธุรกิจ TCP ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจ TCP ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำของโลกและประเทศไทย เช่น กระทิงแดง (เรดบูล) เรดดี้ สปอนเซอร์ แมนซั่ม เพียวริคุ และอื่นๆ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงทุนและเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของแฟลช กรุ๊ปในทั้ง 2 ซีรีส์

แฟลช กรุ๊ป (Flash Group) นับเป็น Startup ไทยรายแรกที่สามารถระดมทุนรวมได้มากที่สุดในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี ซึ่งทำให้ธุรกิจมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 30,000 ล้านบาทไทย

]]>
1334676