ของเล่น – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 13 Nov 2025 10:42:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ย้อนรอย ‘Funko’ อาณาจักรของเล่นพันล้าน ที่อาจ ‘ล่มสลาย’ ภายใน 1 ปี จากปัญหายอดขายดิ่งเหว และหนี้สิน https://positioningmag.com/1546704 Thu, 13 Nov 2025 01:52:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546704 แม้จะไม่ใช่นักสะสม แต่เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็น Funko Pop! ฟิกเกอร์ไวนิลที่มีหัวขนาดใหญ่ ดวงตาดำกลมโต ไม่มีปาก สายหัวดุ๊กดิ๊ก ๆ ได้ ยิ่งในช่วงที่กระแส POP Culture กำลังเบ่งบาน แบรนด์ Funko ก็ได้เติบโตกลายเป็นอาณาจักรของเล่นพันล้าน แต่ปัจจุบันอาณาจักรดังกล่าวอาจเหลือเวลาเพียงปีเดียวให้กอบกู้ ก่อนที่จะล่มสลายหายไป

ย้อนรอย Funko

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Funko ต้องย้อนไปในปี 1998 ตอนนั้น Mike Becker ที่ทำอาชีพนักออกแบบเสื้อยืด และมีงานอดิเรกเป็นนักสะสมของเล่น แน่นอนว่าปัญหาที่นักสะสมหลายคนเผชิญก็คือ ตามเก็บของเล่นชิ้นที่ต้องการไม่ได้ Mike ก็เจอปัญหานี้เช่นกัน โดยเขาพยายามจะหาซื้อตุ๊กตา Big Boy ซึ่งเป็นมาสคอตของร้านอาหารชื่อดังในสหรัฐฯ

ในเมื่อหาซื้อไม่ได้ ก็ ผลิตเอง มันซะเลย นี่จึงเป็นจุดเริ่มตัวแบรนด์ Funko โดยสินค้าตัวแรกที่ผลิตออกมาก็คือ ตุ๊กตาหัวสั่น (Bobble head) เจ้า Big Boy ภายใต้ไลน์สินค้าชื่อ Wacky Wobblers

แม้ยอดขายเจ้า Big Boy จะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก แต่ Mike ก็ยังคงผลิตสินค้าใหม่ ๆ ออกมา แต่ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญก็คือ คาแรกเตอร์จากภาพยนตร์ Austin Powers ซึ่งสามารถทำยอดขายได้ถึง 80,000 ตัว จากนั้นบริษัทก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

Mike Becker

เปลี่ยนมือสู่เจ้าของใหม่

จนกระทั่งในปี 2005 Mike ได้ตัดสินใจขาย บริษัท Funko ให้กับ Brian Mariotti หรือ CEO คนปัจจุบันของบริษัท และการซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ Funko เพราะในตอนแรกนั้น แบรนด์ Funko ภายใต้การบริหารของ Mariotti ก็ยังไปได้ไม่สวยนัก จนต้องทดลองทำสินค้าใหม่ ๆ ออกมาขาย

จนมาปี 2010-2011 บริษัทได้เปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ชื่อ Funko Force 2.0 ภายในงาน San Diego Comic Con โดยสินค้าในไลน์นี้จะมีลักษณะเด่นคือ หัวขนาดใหญ่และดวงตากลม จากนั้นสินค้าก็ดังเป็นพลุแตก จากนั้น บริษัทก็ค่อย ๆ พัฒนา Funko Force 2.0 จนกลายเป็น Funko Pop! หรือ Pop! Vinyl ซึ่งได้กลายเป็นภาพจำและสินค้าหลักของแบรนด์ Funko มาจนทุกวันนี้

Brian Mariotti

ลิขสิทธิ์แบบครอบจักรวาล

หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้ Funko ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วนอกเหนือจาก ราคา ที่จับต้องได้ (8-15 ดอลลาร์) แล้วก็คือ การเดินหน้า ทำข้อตกลง ลิขสิทธิ์ กับเกือบทุกแฟรนไชส์ดัง ๆ ในโลกรวมแล้วกว่า 1,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นคาแรกเตอร์จากภาพยนตร์, การ์ตูน, นักกีฬา, ดารา เรียกได้ว่าตอนนั้นอะไรดัง อะไรเป็นกระแส Funko หยิบออกมาลงกล่องขายหมด รวมแล้วบริษัทมีคาแรกเตอร์ให้เลือกมากกว่า 10,000 รูปแบบ เลยทีเดียว

อีกกลยุทธ์ที่ทำเพิ่มความต้องการให้กับสินค้าก็คือ การสร้าง Chase Variants ที่หายากกว่าตัวปกติ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า Limited Edition สำหรับงาน Comic-Con สินค้า Exclusive ของแต่ละร้าน (Target, Walmart ฯลฯ) ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และเกิดความต้องการในหมู่นักสะสม

จนในปี 2017 บริษัทสามารถทำยอดขายถึง 516 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 15,000 ล้านบาท และในช่วงปลายปี บริษัทก็ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ภายใต้สัญลักษณ์ FNKO โดยมูลค่าตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 686 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 23,000 ล้านบาท)

จากรุ่งเรืองสู่รุ่งริ่ง

หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จในการเติบโตมาเวลาหลายปี แต่ในช่วง 3 ปีหลังมานี้ บริษัทก็ประสบปัญหา ขาดทุน มาโดยตลอด

  • 2017: ยอดขาย 516 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 3.94 ล้าน)
  • 2018: ยอดขาย 680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 7.46 ล้าน)
  • 2019: ยอดขาย 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 11.73 ล้าน)
  • 2020: ยอดขาย 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 3.96 ล้าน)
  • 2021: ยอดขาย 1.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 43.90 ล้าน)
  • 2022: ยอดขาย 1.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขาดทุน 8.04 ล้าน)
  • 2023: ยอดขาย 1.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขาดทุน 154.08 ล้าน)
  • 2024: ยอดขาย 1.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขาดทุน 14.72 ล้าน)

จะเห็นว่านับตั้งแต่ปี 2021 ยอดขายของ Funko ค่อย ๆ ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ การผลิตที่มากเกินไป จนสินค้าล้นตลาด นอกจากนี้ ตัวพิเศษที่ออกมามากเกินไป ก็ทำให้ไม่ได้พิเศษเหมือนในอดีต จนในปี 2023 บริษัทเจอปัญหา สต็อกล้น จนถึงขั้นต้อง ทิ้งสินค้า มูลค่ากว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลงหลุมฝังกลบ

อีกปัจจัยก็คือ ความสนใจของผู้บริโภคเริ่มลดลง เพราะต้องยอมรับว่า สินค้าของ Funko นั้นขึ้นอยู่กับ กระแส ของลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ในมือ ถ้าภาพยนตร์หรือการ์ตูนยิ่งดัง ความต้องการยิ่งสูง อย่างเช่นในช่วงที่กระแสภาพยนตร์ในจักรวาลภาพยนตร์ Marvel กำลังได้รับความนิยมสูงสุด ทำให้ฟิกเกอร์ Funko Pop! ขายดีเป็นอย่างมาก แต่ในช่วง 4-5 ปีหลัง แฟรนไชส์ดัง ๆ ก็อยู่ในช่วงขาลงเช่นกัน

นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่า ต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นค่าลิขสิทธิ์ การผลิต และการขนส่ง ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้บริษัทมี หนี้สินสะสม โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา บริษัทรายงานว่ามีหนี้สินถึง 241 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 182.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่รายงานไว้เมื่อสิ้นปี 2024

อาจรอดไม่ถึง 1 ปี

หลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทเคยทำสถิติสูงสุดที่ 27 ดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันเหลือเพียง 2.2 ดอลลาร์สหรัฐ โดยยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 ลดลง -16% อยู่ที่ 635 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขาดทุน 67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัทระบุถึงสาเหตุหลักมาจากความต้องการที่ลดลง ภาษีที่สูงขึ้น และการบริหารสินค้าคงคลังของบริษัทผู้ค้าปลีกที่เข้มงวดขึ้น

ทำให้บริษัท ส่งข้อความให้กับผู้ถือหุ้นว่า บริษัทอาจอยู่รอดได้ถึงแค่ 12 เดือนข้างหน้า หากไม่ได้รับเงินทุนใหม่หรือการเข้าซื้อกิจการ เพราะบริษัทอาจผิดสัญญาเงินกู้และผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทได้แก้ไขข้อตกลงสินเชื่อไปแล้วสองครั้งในปี 2025 เพื่อขอผ่อนผันข้อกำหนดทางการเงิน

หลังจากเคยสร้างปรากฏการณ์และครองใจเหล่านักสะสมมานานนับสิบปี กลายเป็นว่า Funko ในตอนนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายใหญ่ที่สุด ณ ตอนนี้ นาฬิกากำลังนับถอยหลังให้กับ Funko ว่าจะสามารถกอบกู้สถานการณ์และหาทางรอดได้ทันภายในปีหน้า หรือจะกลายเป็นเพียงของเล่นในหมู่ความทรงจำของนักสะสม

]]>
1546704
เด็กน้อย-เด็กหนวดชาวอเมริกันเตรียมหยอดกระปุกเพิ่ม หลังราคา ‘ของเล่น’ อาจแพงขึ้น 20% เพราะ ‘ทรัมป์’ ขึ้นภาษีจีน https://positioningmag.com/1514036 Mon, 10 Mar 2025 06:21:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1514036 อย่างที่รู้กันว่า จีน เปรียบเสมือนโรงงานผลิตสินค้าของโลก อย่างไรก็ตาม จากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนล่าสุด ที่ ขึ้นภาษีสินค้าจากจีน กำลังส่งผลกระทบในหลายอุตสาหกรรม รวมไปถึง ของเล่น

เนื่องจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศว่า เขาวางแผนที่จะเก็บภาษีพิเศษจากการนําเข้าสินค้าทุกชนิดจากจีนเป็น 20% ซึ่งนั่นกำลังจะส่งผลกระทบต่อ ราคาของเล่น ในตลาดสหรัฐฯ เพราะ เกือบ 80% ของของเล่นที่ขายในสหรัฐฯ มาจากจีน ตามรายงานของ The Toy Association

โดย Greg Ahearn ประธานและซีอีโอของ The Toy Association คาดว่า ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 15 – 20% สําหรับเกม ตุ๊กตา รถของเล่น และของเล่นอื่น ๆ โดยขณะนี้ ผู้ผลิตของเล่นจํานวนมากกําลัง เจรจาราคาใหม่ กับร้านค้าปลีก และกำลังพิจารณาถึงการ ลดต้นทุน ได้อย่างไรบ้าง เพราะช่วงราคาที่ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยินดีจ่ายปัจจุบันอยู่ที่ระหว่าง 4.99 – 19.99 ดอลลาร์ (ราว 170 – 670 บาท) ทําให้มีช่องว่างเพียงเล็กน้อยในการขึ้นราคา 

ขณะที่บริษัทของเล่นบางแห่งกําลังมองหาวิธีที่จะหลีกเลี่ยงการขึ้นราคา โดยการ ย้ายฐานการผลิต อาทิ Steve Rad ซีอีโอของผู้ผลิตของเล่น Abacus Brands Inc. กล่าวว่า บริษัทเขา กําลังพิจารณาเปลี่ยนไปใช้โรงงานในประเทศต่าง ๆ เช่น กัมพูชาหรือเวียดนาม

แต่ต้องยอมรับว่า ทั้ง 2 ประเทศยังไม่มีทักษะในระดับเดียวกันกับผู้ผลิตในจีน ดังนั้น เป็นไปได้ว่าอาจหยิบสินค้าบางชนิดกลับมาผลิตในสหรัฐฯ รวมถึงอาจจะ ตัดฟังก์ชัน บางอย่างของของเล่น เพื่อลดต้นทุน รวมถึงการ เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์

ด้าน Jay Foreman ซีอีโอของ Basic Fun เจ้าของคาแรกเตอร์ Tonka และ Care Bears กล่าวว่า เขาพยายามที่จะโน้มน้าวให้ผู้ค้าปลีกแบ่งช่วยแก้ปัญหาต้นทุนจากภาษี เพื่อจะไม่ผลักภาระไปที่ผู้บริโภค ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเล่นเกือบทั้งหมดของ Basic Fun ผลิตในประเทศจีน ยกเว้น K’Nex ซึ่งเป็นชุดก่อสร้างที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ ธุรกิจของเล่นขนาดเล็ก คิดเป็นสัดส่วน 96% ของอุตสาหกรรมของเล่นในอเมริกาเป็นธุรกิจขนาดเล็ก

Source

]]>
1514036
เพราะเด็กเกิดน้อย! ‘Toys R Us’ เดินหมากใหม่เอาใจกลุ่ม ‘Kidult’ ผู้ใหญ่ที่พร้อมเปย์เพื่อของเล่น https://positioningmag.com/1504591 Mon, 23 Dec 2024 06:05:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504591 เพราะผู้ใหญ่ทุกคนต้องเคยเป็นเด็กมาก่อน และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่พ่อ-แม่ผู้ปกครองจะซื้อของเล่นทุกชิ้นที่อยากได้ ในวันที่ตอนเด็ก ๆ ขาด พอโตมาผู้ใหญ่ในวันนี้ก็พร้อมจะ เปย์ เพื่อซื้อของเล่นที่เคยอยากได้ ดังนั้น ในวันที่อัตราการเกิดน้อยลง กลุ่มเด็กหนวด หรือ Kidult นี่แหละที่ยังช่วยขับเคลื่อนตลาดของเล่นอยู่ และแน่นอนว่า Toys R Us ก็เห็นเทรนด์นี้

ย้อนรอย Toys R Us แบรนด์ที่กลับมาจากการล้มละลาย

หากพูดถึง ร้านขายของเล่น ชื่อของ ทอยส์ อาร์ อัส (Toys R Us) น่าจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่หลายคนคิดถึง เพราะเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่เปิดตั้งแต่ปี 1948 และสามารถขยายสาขาไปได้ทั่วโลก อีกทั้งยังเคย ล้มละลาย ในปี 2018 เนื่องจากถูกดิสรัปต์จาก อีคอมเมิร์ซ

จนมาปี 2021 ทอยส์ อาร์ อัสก็กลับมาอีกครั้ง หลังบริษัทที่ปรึกษาแบรนด์ WHP Global ได้เข้าซื้อกิจการ และได้กลับมาเปิดสาขาที่เคยปิดไป พร้อม ๆ กับขยายสาขาใหม่ จนในปี 2023 ทอยส์ อาร์ อัสก็มีสาขากว่า 1,400 แห่ง ใน 31 ประเทศ

เดอะแบกตลาดของเล่นไม่ใช่เด็ก แต่คือ ผู้ใหญ่

ข้อมูลจาก Euromonitor International บริษัทสำรวจข้อมูลทางการตลาดระดับโลก ระบุว่า ยอดขายของเล่นและเกมทั่วโลกในปี 2023 มีมูลค่า 2.73 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต +3.1% เมื่อเทียบกับปี 2022 และคาดว่าในช่วงปี 2023 – 2028 จะขยายตัวต่อเนื่องด้วยอัตราเฉลี่ย +2.4% ต่อปี โดยคาดว่าภายในปี 2028 จะมีมูลค่า 3.48 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดย ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด ที่ 36.48% คิดเป็นมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วย อเมริกาเหนือ มูลค่า 8.40 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 30.80% และยุโรป มูลค่า 6.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 22.40 %

ที่น่าสนใจคือ ในวันที่อัตราเกิดต่ำลง แต่ตลาดของเล่นยังเติบโต ก็เพราะกลุ่มที่ขับเคลื่อนตลาดไม่ใช่เด็กอีกต่อไป แต่เป็นกลุ่ม คิดดัลต์ (Kidult) หรือผู้ใหญ่หัวใจเด็ก ที่กลายเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในการขับเคลื่อนตลาดของเล่นและเกม เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีกำลังซื้อ และยินดีที่จะใช้จ่ายกับของเล่นหรือของสะสมที่ช่วยให้นึกถึงวัยเด็ก ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่แบรนด์ของเล่นใหญ่ ๆ จะหันมาออกสินค้าของสะสมที่พรีเมียมเพื่อจับกลุ่มวัยผู้ใหญ่

ตลาดไทยก็โตเพราะเด็กหนวด

สำหรับตลาดของเล่นประเทศไทย ลีโอ ซอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทอยส์ “อาร์”อัส เอเชีย จำกัด เล่าว่า ตลาดของเล่นประเทศ ไทยถือเป็นตลาดหลักของภูมิภาค โดยคาดว่าตลาดของเล่นในไทยจะมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) +7.5% ต่อเนื่อง 5 ปี

เนื่องจากเทรนด์ Kidult กำลังเติบโต โดยไทยเองมีประชากร อายุน้อยกว่า 35 ปี ถึงกว่า 30 ล้านคน หรือราว 40% ของประชากรทั้งหมด ดังนั้น กลุ่ม Kidult จึงเป็นตลาดที่ทอยส์ อาร์ อัสต้องเร่งเจาะ

“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเป็นกันทั่วโลก ไม่ใช่แค่ไทย และไทยก็ไม่ใช่ประเทศเดียวที่อัตราการเกิดต่ำ ซึ่งทอยส์ อาร์ อัสไม่ใช่คนเดียวที่ต้องแก้ปัญหานี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มเด็ก และต้องขยายไปกลุ่มผู้ใหญ่ เพราะอาจจะใหญ่กว่ากลุ่มเด็กด้วยซ้ำ” ลีโอ ซอย กล่าว

ลีโอ ซอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทอยส์ “อาร์”อัส เอเชีย จำกัด

3 ข้อมัดใจ Kidult มีความแฟชั่น สะสม และใช้ได้

ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของทอยส์ อาร์ อัสจากกลุ่มผู้ใหญ่คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 8 แต่มีโอกาสเติบโตเป็น 1 ใน 3 ในอนาคต แต่แน่นอนว่ากลุ่มผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็ก ดังนั้น ความต้องการซื้อสินค้าจึงแตกต่างกัน โดยเพื่อจับกลุ่มลูกค้า Kidult ลีโอ มองว่า ตัวสินค้าต้องมี 3 องค์ประกอบ ถึงจะมัดใจกลุ่มผู้ใหญ่ ได้แก่

  • มีความเป็นแฟชั่น (fashionable): ความร่วมมือกับนักออกแบบและสัญลักษณ์จากวงการป็อปคัลเจอร์ (pop culture) เพื่อสร้างสินค้าแฟชั่นใช้ได้จริง
  • สินค้าเก็บสะสม (collectible): ฟิกเกอร์รุ่นลิมิเต็ด, โมเดล และของที่ระลึกจากแบรนด์ยอดนิยมต่าง ๆ เช่น หมวกทรานส์ฟอร์มเมอร์ (Transformers) เป็นต้น
  • สินค้าที่ใช้ได้จริง (usable): สินค้าที่มีฟังก์ชันและใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน พร้อมยังคงความสนุกสนาน

ปัจจุบัน สำหรับสินค้าขายดีในกลุ่ม Kidult จำนวน 5 ใน 10 อันดับ เป็นสินค้า กล่องสุ่ม และคาแรกเตอร์ที่ขายดีที่สุดในกลุ่ม Kidult ก็คือ น้องหมีเนย (Butterbear)

เน้นขยายสาขาในเมืองเป็นหลัก

เพื่อรุกตลาดประเทศไทย ล่าสุด ทอยส์ อาร์ อัส ได้เปิดสาขาใหม่ที่ศูนย์การค้า One Bangkok และถือเป็น คอนเซ็ปต์สโตร์ใหม่แห่งแรกในประเทศไทย โดยคอนเซ็ปต์ สโตร์ โฉมใหม่ จะมีพื้นที่เล่น, สินค้ารูปแบบใหม่ และสินค้ารายการพิเศษเฉพาะภายในร้าน เช่น เรนโบว์ คอง (Rainbow Kong) และกำลัง รีโนเวต สาขาไอคอน สยาม โดยจะเปิดอีกครั้งในวันที่ 9 มกราคม 2025

สำหรับการขยายสาขาของทอยส์ อาร์ อัส ในปีหน้า กำลังอยู่ระหว่างดูโลเคชั่น โดยจะยังคงเน้นในตัวเมืองเป็นหลัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ของทอยส์ อาร์ อัสเป็นคนเมือง อีกทั้งไทยยังมีการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่สม่ำเสมอ ซึ่งการเป็นเมืองท่องเที่ยว ถือเป็นปัจจัยบวกของทอยส์ อาร์ อัส อย่างไรก็ตาม การจะเปิดสาขาใหม่หรือไม่ อาจต้องรอดูผลตอบรับจากสาขา One Bangkok และไอคอน สยาม

“แน่นอนว่าของเล่นใคร ๆ ก็หาซื้อออนไลน์ได้ ดังนั้น หน้าร้านเราจะเน้นสร้างประสบการณ์ให้เด็ก ๆ และต้องมีประเภทสินค้าที่ถูกใจลูกค้า และมีความเอ็กซ์คลูซีฟ โดยเรามีการจับมือกับเจ้าของ IP หลายรายเพื่อออกสินค้าลิมิเต็ดขายเฉพาะในทอยส์ อาร์ อัส”

มั่นใจเติบโตได้

นอกเหนือจากการเพิ่มสินค้าที่ตรงใจลูกค้ากลุ่ม Kidult และปรับโฉมสาขา อีกกลยุทธ์ที่ทอยส์ อาร์ อัส จะใช้ก็คือ เทคโนโลยี อาทิ ระบบ POS (Point of sale) ที่ประยุกต์จากของประเทศจีน และ AI ที่ช่วยออกแบบร้าน และวางแผนการตลาด เพราะต้องยอมรับว่าความต้องการของลูกค้ามีความเฉพาะตัวมากขึ้น

ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ทำให้มั่นใจว่าทอยส์ อาร์ อัสในปี 2025 จะสามารถเติบโตได้ โดยจะอยู่ในอัตราระดับเลขหลักเดียว (single-digit growth) โดยเชื่อว่าไทยเป็นประเทศที่มีการเติบโตเร็วเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย เป็นรองเพียง จีน

“เรากำลังใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อฟื้นฟูแบรนด์และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า โดยเน้นที่การสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ การขยายกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน

]]>
1504591
“ผู้ใหญ่” ซื้อของเล่นเพื่อเยียวยาจิตใจ หนีความวุ่นวายจากโลก โมเดล “รถยนต์-เครื่องบิน” ขายดีสุด https://positioningmag.com/1500054 Wed, 20 Nov 2024 12:55:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500054 จากการวิจัยของ Circana ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันยอดขายของสินค้าประเภทของเล่นเด็กลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เนื่องจากอัตราการเกิดที่ลดลง ค่าครองชีพ รวมถึงปัญาเศรษฐกิจ ทำให้งบประมาณการใช้จ่ายของครอบครัวถูกจำกัด ส่งผลให้ยอดขายของเล่นเด็กในสหราชอาณาจักรลดลง 3% จากปีก่อนหน้า 

แต่กลับพบว่าคนในกลุ่มวัยผู้ใหญ่นิยมซื้อของเล่นเด็กเพื่อหนีปัญหาความวุ่นวายในชีวิต และเติมเต็มความฝันในวัยเด็ก ส่งผลให้ kidults (กลุ่มผู้ใหญ่ที่ยังสนใจหรือสะสมของที่ชวนให้นึกถึงวัยเด็กของตัวเอง) เพิ่มจำนวนขึ้น ตามรายงานของกลุ่มวิจัยอุตสาหกรรมของเล่น Circana ระบุว่า 1 ใน 5 ของการซื้อของเล่นและเกมเป็นการซื้อให้ตัวเองและถูกซื้อโดยกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 18 ปี 

Melissa Symonds กรรมการฝ่ายบริหารข้อมูลของ Ciracan กล่าวว่า จากการวิจัยฯ แสดงให้เห็นว่า ผู้คนในวัย “ผู้ใหญ่” กําลังซื้อของเล่นและของสะสมเพื่อ เยียวยาสุขภาพจิตเนื่องจากต้องการหลบหนีจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงยังมีความคิดถึงเรื่องราวความสุขในวัยเด็ก 

โมเดลรถยนต์และเครื่องบิน ถือเป็นของเล่นที่ขายดีสุด 

ด้านสมาคมผู้ค้าปลีกของเล่นได้เปิดเผยรายการสินค้าประจําปี ระบุว่า บริษัทฯ มีการคาดการณ์ว่าจะมีสินค้าราว 20 รายการที่คาดว่าจะขายดีในวันคริสต์มาสนี้ อาทิ รถ Hot Wheels และรถดันดิน จากการ์ตูน Paw Patrol ที่มีของเล่นหลายแบบ ตอบโจทย์กลุ่มคนที่มีอายุหลากหลายช่วงวัยอย่างชัดเจน รวมถึงชุดเลโก้รถ McLaren F1 ที่อาจมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้ใหญ่ และ ปืนลม Fart Blaster ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนวัยผู้ใหญ่มากขึ้น

ตามรายงานฯ ยังระบุว่า ธีมของเล่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ยังคงเป็นธีมรถของเล่น ตามมาด้วยธีมของเล่นประเภทตุ๊กตาสัตว์เลี้ยง โดยสัตว์เลี้ยงที่สามารถโต้ตอบได้กําลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากตุ๊กตาเหล่านี้สามารถลูบ และพูดคําซ้ำจากการอัดเสียงได้

ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองทำให้ของเล่นเหล่านี้มีราคาถูกลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า โดยช่วงราคาของของเล่นกว่า 20 รายการมีการปรับลดลงเหลือ 9.99 –  89.99 ปอนด์ หรือประมาณ 438 – 3,940 บาท

“คริสต์มาส” ช่วงเวลาสําคัญในการทำยอด

ตามรายงานของ Circana ระบุว่า เมื่อช่วงต้นปีถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมของเล่นของสหราชอาณาจักรมียอดขายรวมอยู่ที่ 3.4 พันล้านปอนด์ ทำให้ในช่วงปลายปีที่มีเทศกาลสำคัญอย่างคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการทำยอดขาย เนื่องจากผู้ค้าปลีกต่างตั้งความหวังและมุ่งเป้าไปที่ Black Friday (วันศุกร์หรรษา ที่แบรนด์ดังต่างๆ พร้อมใจกันลดราคาสินค้า)

อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้าปลีกของเล่นกล่าวว่าผู้ขายต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนในอนาคต เนื่องจากนายจ้างของบริษัทต่างๆ มีการเพิ่มเงินประกันแห่งชาติตามที่ประกาศในงบประมาณฯ ของรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อยอดขายและการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค

ทั้งนี้ ตามรายงานของ Circana ระบุว่า ยอดขายของเล่นและเกมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงโควิด-19 เนื่องจากผู้คนใช้เวลาอยู่ที่บ้านกันทั้งครอบครัวในช่วงล็อกดาวน์ และยอดขายได้ลดลงตั้งแต่ปี 2021 อย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันยอดขายของเล่นต่ำกว่ายอดขายในปี 2019 

โดยในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ราคาเฉลี่ยของของเล่นอยู่ที่ 12.95 ปอนด์ หรือประมาณ 567 บาท ซึ่งพุ่งสูงกว่าราคาปกติถึง 6 เท่า โดยเฉพาะในกลุ่มของของเล่นสําหรับเด็กอายุไม่เกิน 10 ปี

ที่มา : BBC

]]>
1500054
ย้อนรอย ‘กาชาปอง’ แคปซูลของเล่น 1.3 หมื่นล้าน ที่ ‘ญี่ปุ่น’ กำลังดันไปโตต่อในต่างประเทศ https://positioningmag.com/1481445 Fri, 05 Jul 2024 06:04:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481445 แม้ยุคนี้ กล่องสุ่มอาร์ตทอย จะเป็นกระแสแรงในบ้านเรา แต่จริง ๆ แล้ว รูปแบบการสุ่มของเล่นนั้นมีมานาน และเชื่อว่าหลายคนก็น่าจะคุ้นเคยกันดีกับตู้ กาชาปอง หรือ แคปซูลของเล่น แม้จะดูเหมือนเป็นอะไรที่เล็กน้อย แต่เจ้ากาชาปองนี้ทำรายได้กว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ให้กับญี่ปุ่นเลยทีเดียว

หากจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของ ตู้กาชาปอง (Gashapon) หรือ แคปซูลของเล่น ต้องย้อนไปไกลถึงยุค 1960 ซึ่งในตอนนั้น Ryuzo Shigeta เจ้าของร้านของเล่น Penny Shokai ได้นำ ตู้กดหมากฝรั่งและของเล่น จากสหรัฐอเมริกา มาวางขายที่ร้าน ก่อนที่จะดัดแปลงเครื่องดังกล่าวให้กด แคปซูลบอลพลาสติก เพื่อลุ้นว่าจะได้อะไร

จนมาปี 1977 แบรนด์ของเล่นรายใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง บันได (Bandai) ก็ได้จดเครื่องหมายการค้ากาชาปอง ซึ่งเป็นคำที่เลียนแบบเสียงของที่จับที่หมุนเวลาไขตู้ และเสียงกระแทกเมื่อแคปซูลหล่นลงมา แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กาชาปองฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองเกิดในปี 1983 เมื่อบันไดออกตู้กาชาปองจากการ์ตูนเรื่อง คินิคุแมน (Kinnikuman) ทำให้เกิดกระแสคลั่งไคล้ในหมู่เด็ก ๆ ส่งผลให้บันไดสามารถขายกาชาปองได้ถึง 180 ล้านชิ้น

สมาคมของเล่นญี่ปุ่น เคยประมาณการว่า ตลาดของเล่นกาชาปองในปี 2022 มีมูลค่า 61,000 ล้านเยน (ราว 1.3 หมื่นล้านบาท) เติบโตประมาณ 35.6% และคาดว่าจะยังสามารถเติบโตได้อีก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าตู้กาชาปองนั้นยังสามารถดึงดูดฐานลูกค้าใหม่ ๆ โดยเฉพาะผู้ใหญ่

โดยจากการสำรวจผู้บริโภคในเดือนเมษายนโดยบริษัท Happinet Corp. ซึ่งดำเนินกิจการเครือร้านขายของเล่น Gashacoco พบว่า ผู้หญิงมากกว่าครึ่งหนึ่งในช่วงวัย 20-30 ปี ซื้อกาชาปองอย่างน้อย 1 ชิ้นนับตั้งแต่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ และจากจำนวนการเกิดที่ลดลง ทำให้ผู้ผลิตหันมาผลิตสินค้าจับกลุ่มผู้ใหญ่มากขึ้น

ปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีบริษัทผู้ผลิตกาชาปองประมาณ 60 ราย และจะมีสินค้าประมาณ 600-700 รายการ ที่ออกสู่ตลาดในทุก ๆ เดือน แสดงให้เห็นว่าตลาดกาชาปองในญี่ปุ่นนั้นมีความหลากหลายมาก รวมถึงจะมีตู้กาชาปองที่ขายเฉพาะในท้องถิ่นนั้น ๆ หรือแม้แต่ตัวสินค้าก็มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นและผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันในรูปแบบย่อส่วน เช่น ผงซักฟอก และมันฝรั่งทอดกรอบ

นอกจากนี้ เทรนด์ กาชาปองอาร์ตทอย ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน โดย ไดสุเกะ โมริคุนิ ผู้อำนวยการแผนกของเล่นกาชาปองของ Yell Co. เล่าว่า แม้ว่ากาชาปองที่ทำจากตัวละครอนิเมะจะทำกำไรได้ดี แต่การขายในต่างประเทศนั้นจะยุ่งยากในเรื่องของลิขสิทธิ์ ดังนั้น พวกสินค้าอาร์ตทอยที่มีความน่ารัก และเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศได้ง่ายกว่า ซึ่งปัจจุบันรายได้จากต่างประเทศของบริษัท Yell คิดเป็น 10% ของยอดขายบริษัท

ปัจจุบัน ผู้เล่นในตลาดหลายรายมุ่งเป้าไปที่ การขยายกิจการไปยังต่างประเทศ เพราะแม้ว่าตลาดญี่ปุ่นจะยังเติบโตได้แต่ว่า พื้นที่เริ่มเป็นข้อจำกัด ในการขยายตู้กาชาปอง โดยบางบริษัทกำลังสนใจขยายไปในตลาด ตะวันออกกลาง เนื่องจากเป็นตลาดที่ตอบรับต่อสินค้าญี่ปุ่น อีกทั้งใน ซาอุดีอาระเบียยังมีแผนจะจัดสวนสนุกธีม ดราก้อนบอล (Dragonball) แห่งแรกของโลก

เราอาจยังมีช่องว่างในตลาดญี่ปุ่นอีกประมาณ 2 ปี เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านพื้นที่ในการตั้งตู้กาชาปอง ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับการเปิดในศูนย์การค้า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่กาชาปองยังเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่ก็คือ มันเป็นของเล่นราคาถูกที่สามารถมอบความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ และความสนุกสนานให้กับผู้คน” ไดสุเกะ โมริคุนิ ทิ้งท้าย

Source

]]>
1481445
คุยกับ ‘ไมค์ ศรีภูมิ’ กับการปลุกปั้น ‘TOYLAXY’ อาร์ตทอยสัญชาติไทยลงบู๊ในสังเวียนโลก! https://positioningmag.com/1480294 Fri, 28 Jun 2024 10:14:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1480294 ในวันที่กระแส อาร์ตทอย กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นแบบสุด ๆ จากการมาของ POP MART แบรนด์อาร์ตทอยจากจีน แต่ในไทยเองก็มีแบรนด์อาร์ตทอยสัญชาติไทยแท้ ที่ถือกำเนิดโดย ไมค์ ศรีภูมิ ทินมณี ที่รู้ตัวตั้งแต่วันแรกแล้วว่าถ้าอยากอยู่รอด ต้องสู้บนสังเวียนตลาดโลกเท่านั้น!

ต้องยืนด้วยขาตัวเอง เพราะไฟท์บังคับ

หลายคนน่าจะเคยเห็นฟิกเกอร์ Marvel, Black Pink หรือคาแรกเตอร์สุดปั่นของคนไทยอย่าง PASULOL ตามห้างสรรพสินค้า หรือในช่องทางออนไลน์ แต่หลายคนอาจยังไม่รู้จัก TOYLAXY Unique Handcraft Studio ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังผลงานฟิกเกอร์เหล่านี้

โดย ไมค์ ศรีภูมิ ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ TOYLAXY ว่า ตอนแรกบริษัทเราทำธุรกิจ นำเข้าส่งออกของเล่น โดยเฉพาะของเล่นในฝั่งอเมริกาที่ยังไม่มีใครนำเข้า แต่พอเริ่มขายดี ก็มีบริษัทที่ใหญ่กว่าติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ตรงจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรง ทำให้ไม่สามารถทำธุรกิจเดิมได้ต่อไป

“จำนวนที่เขาเทคมันสูงมาก ตอนนั้นผมไม่ได้มีเงินทุนขนาดนั้น ผมเลยตัดสินใจว่าจะต้องทำแบรนด์ของตัวเอง” ไมค์ ย้อนความหลัง

ด้วยความที่คลุกคลีอยู่ในวงการของเล่นมาสักระยะ ทำให้ ไมค์ ได้เรียนรู้กระบวนการผลิต การออกแบบของเล่น และเห็นว่าของเล่นหลายชิ้นมี ศิลปินไทยอยู่เบื้องหลัง ไมค์จึงรวบรวมคนเหล่านั้นให้มาร่วมกับพัฒนาโปรดักส์ของตัวเอง โดยตอนนั้น ไมค์ยอม เทหมดหน้าตัก เพื่อสร้างแบรนด์

“ตอนนั้นผมยอมขายรถ เอาบ้านเข้าธนาคาร ทำแผนธุรกิจเพื่อเสนอภาครัฐ เพื่อหาเงินทุน ตอนนั้นผมเดิมพันหมดกับ TOYLAXY เลย เพราะเรามองว่า คนไทยเก่ง ๆ เยอะมากในวงการ แต่ยังขาดเงินทุน การตลาด และแบรนด์ดิ้ง ถ้าใส่ตรงนี้เข้าไปได้มันก็มีสิทธิ์จะโตได้”

ปัจจุบัน TOYLAXY มีสินค้าทั้งฟิกเกอร์ ครีเอทีฟเมอร์ชานไดซ์ และการ์ดเกม รวมถึงรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ให้กับแบรนด์ ศิลปิน และคนดัง อาทิ เฌอปรางค์ BNK48, วง Black Pink และ PASULOL

ของจะขายได้ กระแส สำคัญที่สุด

คาแรกเตอร์แรกที่ TOYLAXY ทำออกมาก็คือ Unleash The Beast สามารถขายได้ 200 ตัวทั่วโลก แม้ว่าจะมีราคาสูงถึง 7,000 บาท ก็ตาม ทำให้ไมค์เริ่มมองว่าไปได้ต่อ และเริ่มหาคาแรกเตอร์ที่ขายได้ทั้งคนไทยและต่างชาติ ทำให้ฟิกเกอร์ชิ้นต่อมาคือคาแรกเตอร์ของ บัวขาว บัญชาเมฆ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์กลับไม่ดีเท่าที่หวัง โดยขายได้เพียง 500 ตัว จากเป้าหมาย 5,000 ตัว

“ตอนแรกเราคิดคาแรกเตอร์เองแล้วมันพอไปได้ เราเลยคิดว่าต่อไปต้องหาคาแรกเตอร์ที่เป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะชาวต่างชาติ เราเลยไปขอลิขสิทธิ์พี่บัวขาว ที่โด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีผู้ติดตามหลักล้าน แต่กลายเป็นว่า 90% ของยอดขายมาจากไทย”

จากจุดเปลี่ยนดังกล่าว ทำให้ไมค์เรียนรู้ว่า กระแส คือสิ่งสำคัญมาก เพราะต่อให้คาแรกเตอร์เป็นที่รู้จัก แต่ถ้าไม่อยู่ในกระแส ก็จะขายได้แค่กับแฟนพันธุ์แท้ ทำให้จากนั้น ไมค์จึงทุ่มเงินขอ License Marvel ซึ่งกลายเป็นชุดฟิกเกอร์ที่ขายดีที่สุดของบริษัท หลังจากนั้นบริษัทก็ซื้อ License คาแรกเตอร์หรือศิลปินที่มีศักยภาพในการทำเป็นสินค้า

ปั้น IP ตัวเอง เพื่อโตอย่างยั่งยืน

หลังจากโยนหินถามทางมา 2-3 ปี ไมค์มองว่าถึงเวลาที่จะต้องปั้น IP (Intellectual property) หรือ ทรัพย์สินทางปัญญา ของตัวเอง โดยจะเริ่มทำ อนิเมชั่น เพื่อเล่าเรื่องราวของคาแรกเตอร์นั้น ๆ เมื่อ IP แข็งแรง ก็จะสามารถต่อยอดเป็นสินค้าต่าง ๆ หรือแม้แต่ เกม ดังนั้น การสร้าง IP มาให้ได้สำคัญที่สุด เพราะจะทำให้ TOYLAXY อยู่อย่างยั่งยืน

“เราทำมา 4-5 ปีกว่าจะเริ่มอยู่ตัว และเราใช้เวลาหลายปีกับการทำ License คนอื่น แต่อะไรที่ไม่ใช่ของเรา มันมีความเสี่ยง ถ้าวันหนึ่งศิลปินไม่ทำงานกับเรา เราก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น มันถึงจุดที่เราต้องทำ IP ของเราเอง เพราะเป้าหมายหลักเราต้องขายของของเรา เราต้องการขายได้ทั่วโลก ตลาดโลกคือสิ่งที่เราเล็งไว้”

อย่างไรก็ตาม การที่ TOYLAXY ต้องมุ่งเป้าไปที่ ตลาดโลก ถือเป็นเป้าหมายที่ถูกบังคับให้ไป แม้ในสายตาคนจะมองว่า TOYLAXY เป็นแบรนด์อาร์ตทอยไทยแบรนด์เดียวในตลาด แต่ตลาดนี้มีแต่ผู้เล่นต่างชาติที่เป็นรายใหญ่ทั้งสิ้น อีกทั้งตลาดไทยยังเป็นเพียงตลาดเล็ก ๆ ดังนั้น ถ้า TOYLAXY จะเติบโตต้องมองที่ตลาดโลกเท่านั้น

“อย่าง POP MART ผลิตสินค้าครั้งละเป็นล้านตัว ดังนั้น เราจะไปแข่งปริมาณหรือราคาไม่ได้ แต่ต้องเน้นที่คุณภาพ ขายจำนวนจำกัด ในราคาที่แฟน ๆ ยอมจ่ายได้”

มองรัฐควรมีมาตรการหนุนอุตสาหกรรม

อุปสรรคสำคัญที่สุดของวงการอาร์ตทอยคือ การคุมคุณภาพ ในประเทศไทยมีโรงงานเพียง 2 แห่งที่สามารถผลิตสินค้าแบบแมสโปรดักชั่นได้ ทำให้จากความตั้งใจที่จะ ผลิตในไทย ไมค์ต้องไปหา โรงงานจีน เพื่อควบคุมคุณภาพและระยะเวลาการผลิต

สิ่งที่ยากที่สุด คือเรื่องของโปรดักส์ชั่นใหญ่ เพราะยิ่งผลิตเยอะ เรายิ่งต้องคุมความผิดพลาดไม่ให้เกิน 1% เพราะที่ผ่านมาเราเคยโดนถล่มเรื่องตำหนิ เรายิ่งต้องคุมให้ได้ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะผลิตทุกอย่างในไทย เพราะคิดว่าจะคุมง่าย แต่กลายเป็นว่าไทยยังไม่สามารถทำอุตสาหกรรมแมสโปรดักส์ชั่นได้ แม้อุปกรณ์หรือเครื่องจักรเครื่องมือจะเหมือนกัน แต่สกิลต่างกันมาก และถ้าเรายังไม่ปรับตัว เวียดนามแซงเราแน่”

นอกจากเรื่องของคุณภาพแล้ว อีกสิ่งที่ทำให้การผลิตในจีนได้เปรียบกว่าก็คือ สามารถขายสินค้าในจีนได้เลย นอกจากนี้ ยังมีต้นทุน การส่งออก ที่ถูกกว่าส่งออกจากไทย ทำให้ปัจจุบัน สินค้าของ TOYLAXY ผลิตจากจีนทั้งหมด

“ถ้าเราจะเอาของเข้าจีนมันยาก เพราะรัฐบาลจีนเขาจะคอยบล็อก เพื่อรักษาสิทธิ์ของในประเทศ ต่างจากไทยที่ของเล่น ของก๊อปเข้าไทยเต็มไปหมด ดังนั้น ไทยเราเอามาหมดทุกอย่าง เราไม่มีสกัดกั้นเขาเลย ไม่เหมือนญี่ปุ่นหรือจีน มันอาจดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ต่อไปเราจะโดนกลืน”

มองกระแสอาร์ตทอยยังไปได้

สำหรับกระแสอาร์ตทอยในไทย ไมค์มองว่า ยังไม่หายไปเร็ว ๆ นี้ ด้วยคาแรกเตอร์ที่น่ารัก ถูกใจคนทุกเพศทุกวัย อีกทั้งด้วยกลยุทธ์ กล่องสุ่ม ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นให้กับนักสะสม และอีกปัจจัยที่ปฎิเสธไม่ได้ก็คือ การรีเซล ที่ยังมีกลุ่มคนซื้อไปเก็งกำไร

“ต้องยอมรับว่าการพนันมันอยู่ในสายเลือดคน ดังนั้น การสุ่มมันก็เป็นความตื่นเต้นอย่างหนึ่ง ทำให้ตลาดมันยังไปได้ ซึ่งเทรนด์อาร์ตทอยมามันก็ดีกับเรา เพราะตอนนี้มีคนติดต่อ OEM เต็มไปหมด”

สำหรับทิศทาง TOYLAXY ในปีนี้ ไมค์มองว่า ต้องการทุ่มเวลาโฟกัสกับการสร้าง IP ของตัวเอง ดังนั้น อาจจะไม่เป็นพาร์ตเนอร์กับศิลปิน แต่จะผลิตสินค้าในฐานะ OEM อย่างเดียว สำหรับใครที่สนใจสินค้าของ TOYLAXY สามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ www.toylaxy.com หรือ Shopee, Lazada, BeTrend Siam Paragon และ King Power เป็นต้น

“ผมก็เหมือนโตไปพร้อมกับบริษัท เพราะทำไปเรียนรู้ไป และพอเรากระโดดมาทำแล้วถึงรู้ว่า ที่คนไทยไม่มีแบรนด์ของเล่นของตัวเอง เพราะมันยาก นำเข้าง่ายกว่าเยอะ แต่ของเรามันทำด้วยแพชชั่น มันต้องคลุกคลี ใช้เวลากับมันตลอด ต้องคิด ต้องบริหาร ผมมองว่าถ้าตายไป ถ้าทำบริษัทแข็งแกร่งได้ก็ถือว่าพอใจแล้ว” ไมค์ ทิ้งท้าย

]]>
1480294
ใครว่าของเล่นเป็นเรื่องของเด็ก! ผลสำรวจชี้ ‘ผู้ใหญ่’ เป็นกลุ่มที่ซื้อ ‘ของเล่น’ มากที่สุดแซงหน้า ‘เด็ก’ https://positioningmag.com/1477273 Mon, 10 Jun 2024 05:59:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477273 อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักหาก เด็กหนวด หรือ ผู้ใหญ่ จะซื้อของเล่นมากกว่าเด็ก ๆ ในยุคนี้ที่เกิดมาในยุคดิจิทัล และสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นก็คือ การเปิดเผยจาก Circana บริษัทวิจัยตลาดที่แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมของเล่นไม่ได้ขับเคลื่อนโดยเด็ก แต่เป็นผู้ใหญ่ ต่างหาก

ผลสำรวจจากบริษัท Circana พบว่า ในช่วงเดือนมกราคา-เมษายน 2024 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคที่มี อายุ 18 ปีขึ้นไป ใช้จ่ายเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 55,500 ล้านบาท) ไปกับการ ซื้อของเล่น แซงหน้ากลุ่ม อายุ 3-5 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มอายุที่ครองตลาดของเล่น

เมื่อย้อนไปในปี 2023 ที่ผ่านมา รายงานระบุว่า ผู้ใหญ่มากถึง 43% ซื้อของเล่นให้ตัวเอง โดยเหตุผลหลักคือเพื่อความสนุกสนานส่วนตัว การเข้าสังคม และการสะสม โดย การ์ดเกม ชุดเลโก้ และของเล่นกีฬา เป็นผลิตภัณฑ์ของเล่นที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในปีดังกล่าว

ทั้งนี้ ตลาดของเล่นในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ลดลง -1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ถือว่าเติบโตขึ้น +38% เมื่อเทียบกับปี 2019

“หนึ่งในจุดสำคัญที่ทำให้ตลาดของเล่นเติบโตมาจากโควิด เนื่องจากตอนนั้นคนมีเงินและมีเวลาอยู่กับบ้านกับครอบครัว และพวกเขาต้องการเชื่อมต่อกับของเล่นที่ทำให้พวกเขามีความสุขเหมือนเด็ก ๆ อีกครั้ง Juli Lennett รองประธานและที่ปรึกษาอุตสาหกรรมของเล่นของ Circana กล่าว

ตอนนี้นักสะสมมีหมดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา แอ็กชั่นฟิกเกอร์ รถเหล็ก บอร์ดเกม ชุดตัวต่อเลโก้ การ์ดสะสม ซึ่งกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้บริษัทผู้ผลิตของเล่นบางรายกำลัง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับกลุ่มผู้ใหญ่โดยตรง

CNN

]]>
1477273
เล่นของเก่าไปก่อน! ตลาด ‘ของเล่น’ ในสหรัฐฯ ปี 2023 หดตัว 8% เพราะต้องรัดเข็มขัดซื้อแต่ของจำเป็น https://positioningmag.com/1462279 Mon, 12 Feb 2024 03:21:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462279 แม้ว่าในช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 และในช่วงที่ COVID-19 ระบาด ตลาด ของเล่น ก็ยังสามารถเติบโตได้ แต่กลายเป็นว่าในปี 2023 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจไปทั่วโลก ส่งผลให้ผู้บริโภคเน้นซื้อแต่ของจำเป็นก่อน ทำให้ของเล่นกลายเป็นสิ่งของท้าย ๆ ที่จะจับจ่าย

ตามรายงานจากบริษัทวิจัยตลาด Circana พบว่า ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ซื้อ ของเล่น น้อยลงตลอดปี 2023 โดยรวมแล้วยอดขายของเล่นในปี 2023 ลดลง 8% ทั้งด้านจำนวนเงินที่ผู้บริโภคจ่ายค่าของเล่นและจำนวน แม้ว่าในไตรมาสที่ 4 ที่มีเทศกาล คริสต์มาส ซึ่งปกติจะเป็นช่วงที่มียอดขายของเล่นจำนวนมากก็ยัง ลดลง 6% ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยลดลง 2% แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคไม่ได้ซื้อของเล่นน้อยลง แต่ยังซื้อของเล่นที่มี ราคาถูกลง ด้วย

“นี่ชี้ให้เห็นชัดเลยว่าผู้บริโภคเลือกของเล่นราคาถูกลง” Juli Lennett รองประธานและที่ปรึกษาอุตสาหกรรมของเล่นของ Circana กล่าว

ที่น่าสนใจคือ เมื่อเทียบกับก่อนเกิดโรคระบาดหรือปี 2019 อุตสาหกรรมของเล่นยังคงมียอดขายเติบโตขึ้น รวมแล้วมีมูลค่า 5.7 พันล้านดอลลาร์ ดังนั้น เห็นชัดว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคนั้น ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากหลายครัวเรือนต้องต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ต้องใช้เงินไปกับการซื้อสินค้าและชำระค่าบริการที่จำเป็น ท่ามกลางแรงกดดันด้านการเงิน ส่งผลให้เงินออมของผู้บริโภคหมดลงและหนี้บัตรเครดิตของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น

จากผลกระทบดังกล่าว ได้ส่งผลต่อผู้เล่นรายใหญ่อย่าง ฮาสโบร (Hasbro) ที่ต้องลดจำนวนพนักงานเกือบ 20% หรือมากกว่า 1,000 คน ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากการซื้อของเล่นที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง

Robby Pettinato COO ของ Wild About Music, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Toy Joy เครือร้านขายของเล่นยอดนิยมในเมืองออสติน กล่าวว่า เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มผู้ปกครอง โดยในปีที่ผ่านมาพบว่า จำนวนครอบครัวที่ซื้อของเล่นใหม่ให้ลูก ๆ ของพวกเขาลดลง และสำหรับ ผู้ปกครองที่มีอายุน้อยจะยิ่งระมัดระวังเรื่องงบประมาณมากที่สุดในตอนนี้

“เราให้ความสำคัญกับพ่อแม่ที่มีเด็กเล็กและลูกค้าผู้ใหญ่ที่เป็นนักสะสม ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าจำนวนครอบครัวที่ซื้อของเล่นใหม่ให้ลูก ๆ ของพวกเขาลดลง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความต้องการของเล่นกำลังลดลง”

แม้ว่าการซื้อของเล่นของผู้ปกครองจะลดลง แต่ในกลุ่มลูกค้า มิลเลนเนียลและ Gen Z ที่ซื้อของเล่นเพราะต้องการสะสมยังคงใช้จ่าย โดยในปีที่ผ่านมาสินค้าเกี่ยวกับ Pokémon, Barbie และ Squishmallows เป็นแบรนด์ที่ขายดีที่สุด

CNN

]]>
1462279
Hasbro’ บริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่เตรียม ‘ปลดพนักงาน’ เพิ่มอีก 900 ตำแหน่ง เหตุรายได้หด เพราะผู้บริโภคเน้นซื้อของจำเป็น https://positioningmag.com/1455558 Wed, 13 Dec 2023 12:06:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455558 ช่วงโควิดระบาด ของเล่น อาจจะเป็นตลาดที่ได้รับอานิสงส์ในด้านบวก เพราะผู้บริโภคโดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่อยู่บ้านมากขึ้น ทำให้ผู้ปกครองต้องหาของเล่นชิ้นใหม่ ๆ ให้ลูก ๆ เล่นแก้เหงา แต่พอการระบาดคลี่คลาย สถานการณ์กลับมาสู่ภาวะปกติ ของเล่นก็กลายเป็นของฟุ่มเฟือยท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจ

ฮาสโบร (Hasbro) เปิดเผยว่า บริษัทจะปลดพนักงานประจำเพิ่มอีก 900 ตําแหน่งทั่วโลก หลังจากที่เคยประกาศไปช่วงเดือนมกราคมว่าจะลดพนักงานลง 15% หรือประมาณ 1,000 ตำแหน่ง เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอลง รวมแล้วบริษัทจะเลิกจ้างงานถึง 1,900 ตำแหน่ง หรือราว 29% ของพนักงานทั้งหมด 

โดยนับตั้งแต่ที่บริษัทเคยประกาศลดพนักงานในช่วงต้นปี ปัจจุบันบริษัทลดจำนวนพนักงานไปแล้วประมาณ 800 ตำแหน่ง จากจำนวนพนักงานทั้งหมดราว 6,490 คนทั่วโลก (ตัวเลข ณ สิ้นปี 2022) และจากข่าวการลดคนอีกระลอกของบริษัท ทำให้หุ้นของบริษัทลดลงประมาณ 6%

ทั้งนี้ ฮาสโบรคาดว่า การลดจำนวนพนักงานคาดว่าจะช่วยประหยัดต้นทุน run-rate ประจําปีขั้นต้นได้ประมาณ 350-400 ล้านดอลลาร์ ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 250-300 ล้านดอลลาร์

“กระแสลมแรงในตลาดมันรุนแรงและต่อเนื่องมากกว่าที่วางแผนไว้ ผู้บริโภคทั่วโลกพยายามดิ้นรนเพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง ทําให้พวกเขาต้องลดการใช้จ่ายตามดุลยพินิจรวมถึงของเล่นและให้ความสําคัญกับการซื้อสิ่งจําเป็นมากขึ้น และแนวโน้มจะยังคงอยู่ถึงปี 2024” คริส ค็อกส์ ซีอีโอ ฮาสโบร กล่าว

ไม่ใช่แค่ฮาสโบร แต่บริษัทของเล่นคู่แข่งอย่าง Mattel ผู้ผลิต ตุ๊กตาบาร์บี้ ก็ออกมาเพื่อเตือนถึงช่วงเทศกาลวันหยุดที่อ่อนแอ และบ่งชี้ว่าผู้บริโภคกําลังประหยัด 

Source

]]>
1455558
‘LEGO’ ล้มแผนผลิตตัวต่อจาก ‘พลาสติกรีไซเคิล’ หลังพบกระบวนการผลิตก่อให้เกิด ‘มลพิษ’ มากกว่าการผลิตแบบเดิม https://positioningmag.com/1445599 Tue, 26 Sep 2023 07:18:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1445599 หลังจาก เลโก้ (LEGO) ใช้เวลาหลายปีในการทดสอบผลิตตัวต่อจาก โพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) หรือ พลาสติกรีไซเคิล ล่าสุด บริษัทพบว่า กระบวนการดังกล่าวกลับก่อให้เกิดมลพิษมากกว่าการผลิตแบบดั้งเดิม

โดยปกติแล้ว เลโก้ ได้ผลิตชิ้นส่วนตัวต่อจาก อะคริโลไนไตรล์ บิวทาไดอีน สไตรีน (ABS) หรือที่เรียกว่าพลาสติกเอบีเอส ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ผลิตของเล่นส่วนใหญ่ของโลกนี่ แต่เพื่อจะลดการก่อให้เกิดลมพิษต่อโลก ทำให้เลโก้ได้ทดลองผลิตตัวต่อจาก โพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) หรือ พลาสติกรีไซเคิลจากขวดพลาสติก

อย่างไรก็ตาม จากการทดลองมาหลายปี เลโก้พบว่าการใช้พลาสติก PET นั้นก่อให้เกิดมลพิษมากกว่าการผลิตพลาสติก ABS เนื่องจากบริษัทต้องลงทุนในอุปกรณ์การผลิตใหม่ และขั้นตอนสุดท้ายเกี่ยวกับกระบวนการผลิตนำไปสู่การก่อมลพิษมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้บริษัทจึงได้ล้มเลิกแผนการใช้พลาสติก PET ในการผลิต แม้ว่าบริษัทจะตั้งเป้าว่าจะผลิตตัวต่อจากวัสดุที่ยั่งยืนภายในปี 2575

“เราได้ตัดสินใจที่จะไม่ดำเนินการผลิตอิฐจาก PET รีไซเคิลหลังจากการทดสอบมานานกว่า 3 ปี เนื่องจากเราพบว่าวัสดุดังกล่าวไม่ได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน”

นอกจากนี้ การทดสอบยังพบว่าพลาสติกรีไซเคิล ไม่ทนทานและปลอดภัยเท่ากับพลาสติก ABS อีกทั้งพลาสติก PET ยังทำให้ตัวต่อหลุดออกจากกันง่ายเกินไป อย่างไรก็ตาม บริษัทจะไม่ลดความพยายามในการผลิตตัวต่อที่ปราศจากการใช้ น้ำมัน และยังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการผลิตตัวต่อเลโก้จากวัสดุที่ยั่งยืนภายในปี 2575

ทั้งนี้ PET รีไซเคิลเป็นเพียงหนึ่งใน หลายร้อยวัสดุ ที่บริษัทได้ทดสอบว่าสามารถ ทดแทน ABS ได้ เช่น อี-เมทานอล ที่ผลิตจากคาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจน แล้วทำการแยกโมเลกุลของน้ำออกด้วยพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทได้ใช้งบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท เพื่อหาวัสดุทดแทน โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง 37% ภายในปี 2575

Source

]]>
1445599