คนผิวสี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 15 Oct 2020 14:13:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Starbucks’ ตั้งเป้าเพิ่มพนักงาน ‘ผิวสี’ เป็น 30% ภายในปี 68 เพื่อสนับสนุนความหลากหลาย https://positioningmag.com/1301722 Thu, 15 Oct 2020 13:39:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1301722 ตั้งแต่เกิดการประท้วงต่อต้านความไม่เท่าเทียมกันทางเชื้อชาติและความโหดร้ายของตำรวจในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ทำให้ ‘องค์กรสัญชาติอเมริกันรายใหญ่’ หลายรายหันมาหาทางสนับสนุนความหลากหลายทางเชื้อชาติมากขึ้น โดยล่าสุด ‘สตาร์บัคส์’ (Starbucks) เชนร้านกาแฟรายใหญ่ของโลกก็พยายามแก้ปัญหาอคติทางเชื้อชาติโดยเริ่มจากองค์กรตัวเอง

‘สตาร์บัคส์’ ได้ออกมาแถลงว่า ภายในปี 2568 บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนพนักงานที่เป็นคนผิวดำ, คนพื้นเมือง หรือคนผิวสีประกอบขึ้นเป็นอย่างน้อย 30% ของคนงานในทุกของระดับองค์กรตั้งแต่ผู้จัดการจนถึงผู้บริหารระดับสูง ซึ่งในปี 2019 ผู้นำระดับสูงของสตาร์บัคส์มีเพียง 15% เท่านั้นที่เป็นคนผิวสี

“เราหวังว่าเราจะสามารถโน้มน้าวให้บริษัทอื่น ๆ ทำตามเราหรือเข้าร่วมได้เช่นกัน” Roz Brewer ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการกล่าว

Photo : Shutterstock

นอกจาก สตาร์บัคส์แล้วยังมีอีกหลายองค์กรที่ตระหนักถึงปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ อาทิ Adidas วางแผนที่จะเติมตำแหน่งใหม่อย่างน้อย 30% ให้กับคนผิวดำ, Microsoft ก็ได้ประกาศการลงทุนด้านความหลากหลายรวมมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์ และมีแผนการเพิ่มจำนวนผู้จัดการผิวดำและผู้นำระดับสูงเป็นสองเท่าภายในปี 2568, Wells Fargo ตั้งใจที่จะเพิ่มผู้บริหารระดับสูงที่เป็นคนผิวดำเป็นสองเท่าในอีก 5 ปีข้างหน้าเช่นกัน

Source

Source

]]>
1301722
Sephora ยกพื้นที่ 15% บนชั้นวางสินค้าให้แบรนด์ของคนผิวสี ขับเคลื่อน Black Lives Matter https://positioningmag.com/1283189 Thu, 11 Jun 2020 13:22:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1283189 Sephora ร้านขายเครื่องสำอางมัลติแบรนด์รายใหญ่ ประกาศจะยกพื้นที่ 15% บนชั้นวางสินค้าภายในร้านให้กับแบรนด์ที่เจ้าของเป็นคนผิวสี เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อน Black Lives Matter

การประกาศจุดยืนเพื่อสนับสนุนการรณรงค์เลิกเหยียดสีผิวของ Sephora ในครั้งนี้เป็นการตอบรับเข้าร่วมเเคมเปญ “15% Pledge” ที่เริ่มต้นโดย Aurora James ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์เครื่องประดับ Brother Vellies ที่เรียกร้องให้ธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้คนผิวสี ด้วยการเเบ่งพื้นที่ 15% บนชั้นวางสินค้าในร้านให้ผู้ประกอบการได้ดำเนินธุรกิจต่อไปในระยะยาวและสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนคนผิวสีอย่างแท้จริง

สำหรับที่มาของการเลือกใช้ตัวเลข 15% นั้น James บอกว่าเป็นสัดส่วนประชากรคนผิวสีในสหรัฐฯ ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ระบุว่าอยู่ที่ 13.4% ในปี 2019

โดย James ได้เริ่มรณรงค์เเคมเปญนี้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เเละเรียกร้องไปยังแบรนด์ใหญ่อย่าง Sephora, Target, Whole Foods และ Shopbop หลังความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นประเด็นที่ถูกส่งต่อกันอย่างเเพร่หลายในโลกออนไลน์ Sephora ก็เป็นแบรนด์แรกที่ตอบตกลงเข้าร่วมการขับเคลื่อนนี้

Artemis Patrick หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายสินค้า Sephora เปิดเผยกับ CNN ว่าการตัดสินใจเข้าร่วมเเคมเปญ 15% Pledge เป็นความตั้งใจในระยะยาวของบริษัทที่จะร่วมสร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้นกับซัพพลายเชน และสร้างแพลตฟอร์มที่ดีขึ้น เพื่อให้แบรนด์ที่ก่อตั้งโดยคนผิวสีสามารถเติบโตได้ต่อไป

“เราเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมที่จะทำ”

Sephora เป็นเชนค้าปลีกรายแรกที่ตอบรับ แคมเปญ “15% Pledge” และคาดว่าจะมีผู้ค้าปลีกอื่นๆ ตามมาร่วมด้วยอีกหลายเจ้า โดยตลอดการประท้วง Black Lives Matters ที่กระจายไปทั่วอเมริกาในขณะนี้ ได้เรียกร้องให้บริษัทใหญ่เข้าร่วมการสนับสนุนความเท่าเทียมทางชาติพันธุ์

Sephora ร้านขายสินค้าความงามที่เป็นบริษัทลูกในเครือ LVMH ธุรกิจแบรนด์หรูใหญ่สุดในโลก เจ้าของเเบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Céline, Givenchy และ Dior ปัจจุบันมีแบรนด์ความงามที่จำหน่ายใน Sephora มีทั้งหมดราว 290 แบรนด์ เเต่มีเพียง 9 เเบรนด์ที่ก่อตั้งเเละเป็นเจ้าของโดยคนผิวสี ซึ่ง Sephora บอกว่า “จะทำให้ดีกว่านี้ ” คือจะเพิ่มจำนวนเเบรนด์ที่เป็นของคนผิวสีให้มากขึ้นนั่นเอง

ด้าน Adidas เป็นอีกหนึ่งเเบรนด์ใหญ่ที่ประกาศจุดยืนสนับสนุน Black Lives Matter เช่นกัน โดยระบุว่า จากนี้ไปการจ้างพนักงานใหม่ของ Adidas และ Reebok ในสหรัฐฯ ในสัดส่วน 30% จะเป็นคนผิวสีหรือคนละติน

ก่อนหน้านี้ ก็มีเเบรนด์ระดับโลกอย่าง Nike ที่ออกมาเเสดงจุดยืนสนับสนุน “BlackLivesMatter” จนกลายเป็นกรณีศึกษา “การตลาดเเบบเลือกข้าง” ที่น่าสนใจ เเละเคยปรากฏเป็นผลบวกมาแล้ว จากเมื่อ 2 ปีก่อนที่ Nike เลือกทำการตลาดแบบรับความเสี่ยงเต็มประตู โดยการให้ “โคลิน แคปเปอร์นิก” นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลและนักกิจกรรมทางสังคม มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในโอกาสครบรอบ 30 ปี

อ่านเพิ่มเติม : กรณีศึกษา : เมื่อ Nike สนับสนุน ‘BlackLivesMatter’ ยืนหยัดรับความเสี่ยงจากการ ‘เลือกข้าง’

 

ที่มา : Forbes , CNN 

]]>
1283189
งานวิจัยอังกฤษชี้ “คนผิวสี” เสี่ยงเสียชีวิตจาก COVID-19 มากกว่าคนขาวถึง 4 เท่า https://positioningmag.com/1277633 Sat, 09 May 2020 07:20:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1277633 ข้อมูลวิเคราะห์เฉพาะกิจของสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เผยว่าคนผิวสีที่เป็นผู้ใหญ่มีแนวโน้มเสียชีวิตเนื่องจากการติดเชื้อโรค COVID-19 มากกว่าคนผิวขาวในสหราชอาณาจักรถึง 4 เท่า

หากคำนวณด้วยอายุ ผู้ชายผิวสีมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตเนื่องจากโรค COVID-19 มากกว่า 4.2 เท่า และผู้หญิงผิวสีมีแนวโน้มมากกว่า 4.3 เท่า เมื่อเทียบกับคนผิวขาวในประเทศ

ตัวเลขล่าสุดถูกเผยแพร่โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อวันที่ 7 พ.ค. ซึ่งเป็น 1 วันหลังจากสหราชอาณาจักรกลายเป็นประเทศแรกในยุโรปที่มีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เกิน 30,000 ราย โดยผู้ป่วยทั้งหมด 30,615 รายเสียชีวิตในโรงพยาบาล บ้านพักคนชรา และชุมชนรอบนอกหลังจากการติดเชื้อ

ชนกลุ่มน้อยเสี่ยงกว่า

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าชนกลุ่มน้อยมีความเสี่ยงต่อการติดโรค COVID-19 มากกว่า ซึ่งนักวิจัยกล่าวว่าความแตกต่างในการเสียชีวิตด้วยไวรัสนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความเสียเปรียบทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสภาวการณ์อื่นๆ

เดวิด แลมมี รัฐมนตรีเงาฝ่ายยุติธรรม เรียกร้องให้สอบสวนจำนวนการเสียชีวิตที่ไม่สมส่วนนี้อย่างเร่งด่วน

เขาทวีตข้อความว่า “เราจำเป็นต้องตรวจสอบสาเหตุของความไม่สมส่วนนี้โดยเร็ว และต้องดำเนินการปกป้องชายหญิงผิวสีจากไวรัส ตลอดจนประชาชนจากทุกภูมิหลัง”

รายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงให้เห็นว่าประชาชนชาวบังกลาเทศ ปากีสถาน อินเดีย และกลุ่มชาติพันธุ์ผสม ต่างมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับประชากรผิวขาว ท่ามกลางการระบาดของโรค COVID-19

Photo : Xinhua

อัตราการตายที่ปรับฐานอายุชี้ว่าผู้คนจากทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ยกเว้นผู้หญิงเชื้อสายจีน มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวมากกว่ากลุ่มคนผิวขาว

นักวิเคราะห์จากสำนักงานสถิติแห่งชาติยังพบว่าผู้ชายชาวบังกลาเทศ และปากีสถานมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตด้วยเชื้อไวรัสมากกว่าคนผิวขาว 3.6 เท่า โดยมีตัวเลขเทียบเท่ากับผู้หญิงชาวบังกลาเทศและปากีสถานที่ตั้งไว้ที่ 3.4 เท่า

ด้านผู้ชายชาวอินเดียมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากโรค COVID-19 มากกว่าผู้ชายผิวขาวถึง 2.4 เท่า ในขณะตัวเลขของผู้หญิงชาวอินเดียมากกว่าเล็กน้อย โดยอยู่ที่ 2.7 เท่า

สำหรับคนเชื้อสายจีน ทีมวิเคราะห์พบความเสี่ยงในกลุ่มผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากโรค COVID-19 มากกว่า 1.9 เท่า ในขณะผู้หญิงอยู่ที่ 1.2 เท่า

สำนักงานสถิติแห่งชาติจำลองผลกระทบของไวรัสในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลแจ้งการตายจนถึงวันที่ 17 เม.ย. รวมกับบันทึกการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 นอกจากนี้ยังพิจารณาถึงการเสียชีวิตจากโรค COVID-19 ระหว่างวันที่ 2 มี.ค. – 10 เม.ย. ในอังกฤษด้วย

ปัญหาอันซับซ้อน

หนังสือพิมพ์อีฟนิง สแตนดาร์ดในลอนดอนรายงานว่า ทิม เอลเวล-ซัตตัน (Tim Elwell-Sutton) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของมูลนิธิสุขภาพ ให้ความเห็นว่า “นี่เป็นปัญหาที่ซับซ้อน เรายังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าทำไมกลุ่มคนผิวสีและชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ได้รับผลกระทบจากไวรัสอย่างผิดสัดส่วน แต่ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและการกีดกันทางโครงสร้างในสังคมอังกฤษมีแนวโน้มว่าจะมีบทบาทสำคัญ”

“ข้อมูลในวันนี้แสดงให้เห็นผลกระทบของความเสียเปรียบทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสถานภาพทางท้องถิ่นและสถานะสุขภาพ แต่ถึงกระนั้นหลังจากพิจารณาสิ่งเหล่านี้แล้ว กลุ่มคนผิวสีและชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ก็ยังคงมีความเสี่ยงสูงกว่าอยู่ดี”

Photo : Xinhua

“กลุ่มคนผิวสี และชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์บางกลุ่มมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพมากกว่าประชากรผิวขาว และอาจมีอาการแย่กว่าหากพวกเขาติดเชื้อไวรัส”

ขณะเดียวกัน โฆษกของกระทรวงสาธารณสุขและการดูแลสังคมก็ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อมูลดังกล่าวว่า “เราตระหนักว่าไวรัสนี้ดูเหมือนจะมีผลกระทบอย่างผิดสัดส่วนต่อผู้คนที่มาจากกลุ่มคนผิวสี เอเชีย และชนกลุ่มน้อย (BAME – Black, Asian, and minority ethnic)”

“เราจำเป็นต้องทราบว่ากลุ่มใดที่มีความเสี่ยงมากที่สุด เพื่อที่จะสามารถดำเนินการปกป้องพวกเขาและลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดตามขั้นตอนที่ถูกต้อง” โฆษกกล่าว

เหตุผลที่ไม่อาจอธิบาย

เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ถูกบันทึกไว้ในใบมรณบัตร สำนักงานสถิติแห่งชาติจึงใช้ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 ซึ่งรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่รายงานด้วยตนเอง

สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่ารายงานดังกล่าวชี้ว่าความแตกต่างของความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ นั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเสียเปรียบทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสภาวการณ์อื่นๆ แต่มีเหตุผลบางประการที่ยังคงไม่สามารถอธิบายได้

ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า เมื่อมีการพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ตัวแปรทางสังคมประชากร และปัจจัยภาวะสุขภาพและทุพพลภาพที่มาจากการประเมินตนเอง ความแตกต่างระหว่างคนผิวสีกับคนผิวขาวก็แคบลง แต่ยังคงมีอยู่

Photo : SANJAY KANOJIA / AFP

โดยความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรค COVID-19 สำหรับผู้ชายและผู้หญิงผิวสีนั้นมากกว่าประชากรผิวขาว 1.9 เท่า ส่วนผู้ชายกลุ่มชาติพันธุ์บังกลาเทศ และปากีสถานมีแนวโน้มเสียชีวิตมากกว่าผู้ชายผิวขาวถึง 1.8 เท่า และมีสัดส่วนเป็น 1.6 เท่าสำหรับผู้หญิง

สำนักงานสถิติแห่งชาติยอมรับว่าเนื่องจากการวิเคราะห์ลักษณะของประชากรนั้นเชื่อมโยงกับการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 จึงอาจจะไม่สามารถสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันในปี 2020 ได้อย่างแม่นยำเต็มที่ ความแตกต่างของความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยไวรัสอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ นอกเหนือจากรูปแบบนี้

ในขณะเดียวกัน กลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มอาจประกอบอาชีพที่ต้องอยู่ในที่สาธารณะมากกว่าและมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อมากกว่า ตัวอย่างเช่น บุคคลในกลุ่มชาติพันธุ์บังกลาเทศและปากีสถานส่วนใหญ่ทำงานเป็นผู้ประกอบการขนส่งมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ

สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยว่ามีแผนที่จะดำเนินงานเพิ่มเติมเพื่อระบุอาชีพที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ

]]>
1277633