‘สตาร์บัคส์’ ได้ออกมาแถลงว่า ภายในปี 2568 บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนพนักงานที่เป็นคนผิวดำ, คนพื้นเมือง หรือคนผิวสีประกอบขึ้นเป็นอย่างน้อย 30% ของคนงานในทุกของระดับองค์กรตั้งแต่ผู้จัดการจนถึงผู้บริหารระดับสูง ซึ่งในปี 2019 ผู้นำระดับสูงของสตาร์บัคส์มีเพียง 15% เท่านั้นที่เป็นคนผิวสี
“เราหวังว่าเราจะสามารถโน้มน้าวให้บริษัทอื่น ๆ ทำตามเราหรือเข้าร่วมได้เช่นกัน” Roz Brewer ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการกล่าว
นอกจาก สตาร์บัคส์แล้วยังมีอีกหลายองค์กรที่ตระหนักถึงปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ อาทิ Adidas วางแผนที่จะเติมตำแหน่งใหม่อย่างน้อย 30% ให้กับคนผิวดำ, Microsoft ก็ได้ประกาศการลงทุนด้านความหลากหลายรวมมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์ และมีแผนการเพิ่มจำนวนผู้จัดการผิวดำและผู้นำระดับสูงเป็นสองเท่าภายในปี 2568, Wells Fargo ตั้งใจที่จะเพิ่มผู้บริหารระดับสูงที่เป็นคนผิวดำเป็นสองเท่าในอีก 5 ปีข้างหน้าเช่นกัน
]]>การประกาศจุดยืนเพื่อสนับสนุนการรณรงค์เลิกเหยียดสีผิวของ Sephora ในครั้งนี้เป็นการตอบรับเข้าร่วมเเคมเปญ “15% Pledge” ที่เริ่มต้นโดย Aurora James ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์เครื่องประดับ Brother Vellies ที่เรียกร้องให้ธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้คนผิวสี ด้วยการเเบ่งพื้นที่ 15% บนชั้นวางสินค้าในร้านให้ผู้ประกอบการได้ดำเนินธุรกิจต่อไปในระยะยาวและสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนคนผิวสีอย่างแท้จริง
สำหรับที่มาของการเลือกใช้ตัวเลข 15% นั้น James บอกว่าเป็นสัดส่วนประชากรคนผิวสีในสหรัฐฯ ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ระบุว่าอยู่ที่ 13.4% ในปี 2019
โดย James ได้เริ่มรณรงค์เเคมเปญนี้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เเละเรียกร้องไปยังแบรนด์ใหญ่อย่าง Sephora, Target, Whole Foods และ Shopbop หลังความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นประเด็นที่ถูกส่งต่อกันอย่างเเพร่หลายในโลกออนไลน์ Sephora ก็เป็นแบรนด์แรกที่ตอบตกลงเข้าร่วมการขับเคลื่อนนี้
We’re joining @15percentpledge and @aurorajames. We recognize how important it is to represent Black businesses and communities, and we must do better. So, we’re starting now. https://t.co/rmaiUmX2hW pic.twitter.com/3EdsJShRXh
— Sephora (@Sephora) June 10, 2020
Artemis Patrick หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายสินค้า Sephora เปิดเผยกับ CNN ว่าการตัดสินใจเข้าร่วมเเคมเปญ 15% Pledge เป็นความตั้งใจในระยะยาวของบริษัทที่จะร่วมสร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้นกับซัพพลายเชน และสร้างแพลตฟอร์มที่ดีขึ้น เพื่อให้แบรนด์ที่ก่อตั้งโดยคนผิวสีสามารถเติบโตได้ต่อไป
“เราเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมที่จะทำ”
Sephora เป็นเชนค้าปลีกรายแรกที่ตอบรับ แคมเปญ “15% Pledge” และคาดว่าจะมีผู้ค้าปลีกอื่นๆ ตามมาร่วมด้วยอีกหลายเจ้า โดยตลอดการประท้วง Black Lives Matters ที่กระจายไปทั่วอเมริกาในขณะนี้ ได้เรียกร้องให้บริษัทใหญ่เข้าร่วมการสนับสนุนความเท่าเทียมทางชาติพันธุ์
Sephora ร้านขายสินค้าความงามที่เป็นบริษัทลูกในเครือ LVMH ธุรกิจแบรนด์หรูใหญ่สุดในโลก เจ้าของเเบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Céline, Givenchy และ Dior ปัจจุบันมีแบรนด์ความงามที่จำหน่ายใน Sephora มีทั้งหมดราว 290 แบรนด์ เเต่มีเพียง 9 เเบรนด์ที่ก่อตั้งเเละเป็นเจ้าของโดยคนผิวสี ซึ่ง Sephora บอกว่า “จะทำให้ดีกว่านี้ ” คือจะเพิ่มจำนวนเเบรนด์ที่เป็นของคนผิวสีให้มากขึ้นนั่นเอง
ด้าน Adidas เป็นอีกหนึ่งเเบรนด์ใหญ่ที่ประกาศจุดยืนสนับสนุน Black Lives Matter เช่นกัน โดยระบุว่า จากนี้ไปการจ้างพนักงานใหม่ของ Adidas และ Reebok ในสหรัฐฯ ในสัดส่วน 30% จะเป็นคนผิวสีหรือคนละติน
ก่อนหน้านี้ ก็มีเเบรนด์ระดับโลกอย่าง Nike ที่ออกมาเเสดงจุดยืนสนับสนุน “BlackLivesMatter” จนกลายเป็นกรณีศึกษา “การตลาดเเบบเลือกข้าง” ที่น่าสนใจ เเละเคยปรากฏเป็นผลบวกมาแล้ว จากเมื่อ 2 ปีก่อนที่ Nike เลือกทำการตลาดแบบรับความเสี่ยงเต็มประตู โดยการให้ “โคลิน แคปเปอร์นิก” นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลและนักกิจกรรมทางสังคม มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในโอกาสครบรอบ 30 ปี
อ่านเพิ่มเติม : กรณีศึกษา : เมื่อ Nike สนับสนุน ‘BlackLivesMatter’ ยืนหยัดรับความเสี่ยงจากการ ‘เลือกข้าง’
]]>
หากคำนวณด้วยอายุ ผู้ชายผิวสีมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตเนื่องจากโรค COVID-19 มากกว่า 4.2 เท่า และผู้หญิงผิวสีมีแนวโน้มมากกว่า 4.3 เท่า เมื่อเทียบกับคนผิวขาวในประเทศ
ตัวเลขล่าสุดถูกเผยแพร่โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อวันที่ 7 พ.ค. ซึ่งเป็น 1 วันหลังจากสหราชอาณาจักรกลายเป็นประเทศแรกในยุโรปที่มีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เกิน 30,000 ราย โดยผู้ป่วยทั้งหมด 30,615 รายเสียชีวิตในโรงพยาบาล บ้านพักคนชรา และชุมชนรอบนอกหลังจากการติดเชื้อ
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าชนกลุ่มน้อยมีความเสี่ยงต่อการติดโรค COVID-19 มากกว่า ซึ่งนักวิจัยกล่าวว่าความแตกต่างในการเสียชีวิตด้วยไวรัสนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความเสียเปรียบทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสภาวการณ์อื่นๆ
เดวิด แลมมี รัฐมนตรีเงาฝ่ายยุติธรรม เรียกร้องให้สอบสวนจำนวนการเสียชีวิตที่ไม่สมส่วนนี้อย่างเร่งด่วน
เขาทวีตข้อความว่า “เราจำเป็นต้องตรวจสอบสาเหตุของความไม่สมส่วนนี้โดยเร็ว และต้องดำเนินการปกป้องชายหญิงผิวสีจากไวรัส ตลอดจนประชาชนจากทุกภูมิหลัง”
รายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงให้เห็นว่าประชาชนชาวบังกลาเทศ ปากีสถาน อินเดีย และกลุ่มชาติพันธุ์ผสม ต่างมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับประชากรผิวขาว ท่ามกลางการระบาดของโรค COVID-19
อัตราการตายที่ปรับฐานอายุชี้ว่าผู้คนจากทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ยกเว้นผู้หญิงเชื้อสายจีน มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวมากกว่ากลุ่มคนผิวขาว
นักวิเคราะห์จากสำนักงานสถิติแห่งชาติยังพบว่าผู้ชายชาวบังกลาเทศ และปากีสถานมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตด้วยเชื้อไวรัสมากกว่าคนผิวขาว 3.6 เท่า โดยมีตัวเลขเทียบเท่ากับผู้หญิงชาวบังกลาเทศและปากีสถานที่ตั้งไว้ที่ 3.4 เท่า
ด้านผู้ชายชาวอินเดียมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากโรค COVID-19 มากกว่าผู้ชายผิวขาวถึง 2.4 เท่า ในขณะตัวเลขของผู้หญิงชาวอินเดียมากกว่าเล็กน้อย โดยอยู่ที่ 2.7 เท่า
สำหรับคนเชื้อสายจีน ทีมวิเคราะห์พบความเสี่ยงในกลุ่มผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากโรค COVID-19 มากกว่า 1.9 เท่า ในขณะผู้หญิงอยู่ที่ 1.2 เท่า
สำนักงานสถิติแห่งชาติจำลองผลกระทบของไวรัสในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลแจ้งการตายจนถึงวันที่ 17 เม.ย. รวมกับบันทึกการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 นอกจากนี้ยังพิจารณาถึงการเสียชีวิตจากโรค COVID-19 ระหว่างวันที่ 2 มี.ค. – 10 เม.ย. ในอังกฤษด้วย
หนังสือพิมพ์อีฟนิง สแตนดาร์ดในลอนดอนรายงานว่า ทิม เอลเวล-ซัตตัน (Tim Elwell-Sutton) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของมูลนิธิสุขภาพ ให้ความเห็นว่า “นี่เป็นปัญหาที่ซับซ้อน เรายังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าทำไมกลุ่มคนผิวสีและชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ได้รับผลกระทบจากไวรัสอย่างผิดสัดส่วน แต่ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและการกีดกันทางโครงสร้างในสังคมอังกฤษมีแนวโน้มว่าจะมีบทบาทสำคัญ”
“ข้อมูลในวันนี้แสดงให้เห็นผลกระทบของความเสียเปรียบทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสถานภาพทางท้องถิ่นและสถานะสุขภาพ แต่ถึงกระนั้นหลังจากพิจารณาสิ่งเหล่านี้แล้ว กลุ่มคนผิวสีและชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ก็ยังคงมีความเสี่ยงสูงกว่าอยู่ดี”
“กลุ่มคนผิวสี และชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์บางกลุ่มมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพมากกว่าประชากรผิวขาว และอาจมีอาการแย่กว่าหากพวกเขาติดเชื้อไวรัส”
ขณะเดียวกัน โฆษกของกระทรวงสาธารณสุขและการดูแลสังคมก็ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อมูลดังกล่าวว่า “เราตระหนักว่าไวรัสนี้ดูเหมือนจะมีผลกระทบอย่างผิดสัดส่วนต่อผู้คนที่มาจากกลุ่มคนผิวสี เอเชีย และชนกลุ่มน้อย (BAME – Black, Asian, and minority ethnic)”
“เราจำเป็นต้องทราบว่ากลุ่มใดที่มีความเสี่ยงมากที่สุด เพื่อที่จะสามารถดำเนินการปกป้องพวกเขาและลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดตามขั้นตอนที่ถูกต้อง” โฆษกกล่าว
เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ถูกบันทึกไว้ในใบมรณบัตร สำนักงานสถิติแห่งชาติจึงใช้ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 ซึ่งรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่รายงานด้วยตนเอง
สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่ารายงานดังกล่าวชี้ว่าความแตกต่างของความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ นั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเสียเปรียบทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสภาวการณ์อื่นๆ แต่มีเหตุผลบางประการที่ยังคงไม่สามารถอธิบายได้
ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า เมื่อมีการพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ตัวแปรทางสังคมประชากร และปัจจัยภาวะสุขภาพและทุพพลภาพที่มาจากการประเมินตนเอง ความแตกต่างระหว่างคนผิวสีกับคนผิวขาวก็แคบลง แต่ยังคงมีอยู่
โดยความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรค COVID-19 สำหรับผู้ชายและผู้หญิงผิวสีนั้นมากกว่าประชากรผิวขาว 1.9 เท่า ส่วนผู้ชายกลุ่มชาติพันธุ์บังกลาเทศ และปากีสถานมีแนวโน้มเสียชีวิตมากกว่าผู้ชายผิวขาวถึง 1.8 เท่า และมีสัดส่วนเป็น 1.6 เท่าสำหรับผู้หญิง
สำนักงานสถิติแห่งชาติยอมรับว่าเนื่องจากการวิเคราะห์ลักษณะของประชากรนั้นเชื่อมโยงกับการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 จึงอาจจะไม่สามารถสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันในปี 2020 ได้อย่างแม่นยำเต็มที่ ความแตกต่างของความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยไวรัสอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ นอกเหนือจากรูปแบบนี้
ในขณะเดียวกัน กลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มอาจประกอบอาชีพที่ต้องอยู่ในที่สาธารณะมากกว่าและมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อมากกว่า ตัวอย่างเช่น บุคคลในกลุ่มชาติพันธุ์บังกลาเทศและปากีสถานส่วนใหญ่ทำงานเป็นผู้ประกอบการขนส่งมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ
สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยว่ามีแผนที่จะดำเนินงานเพิ่มเติมเพื่อระบุอาชีพที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ
]]>