คลังสินค้าให้เช่า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 04 Oct 2025 01:56:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อสังหาอุตฯ ดีมานด์ต่างชาติทะลัก โรงงานให้เช่า-Data Center บูม สวนทางคลังสินค้า เจอภาวะซัพพลายล้น https://positioningmag.com/1540989 Fri, 03 Oct 2025 05:35:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1540989 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมไทย ณ ไตรมาส 3 ปี 2568 ร้อนแรงต่อเนื่อง จากแรงส่งย้ายฐานการผลิตที่ต่อเนื่องจากปีก่อน!

ต่างชาติลงทุนเพิ่ม 75%

พงษ์พันธ์ พลอยเพ็ชร หัวหน้าฝ่ายโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ประเทศไทย กล่าวว่า ข้อมูลจาก BOI ช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม – มิถุนายน) 2568 มีการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนของชาวต่างชาติ จำนวน 1,063 โครงการ มูลค่า 629,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% (YoY) โดยนักลงทุนหลัก 3 สัญชาติแรก ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน

อุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ

  1. ดิจิทัล
  2. เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
  3. เครื่องจักรและยานยนต์
พงษ์พันธ์ พลอยเพ็ชร หัวหน้าฝ่ายโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรม คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ประเทศไทย

โรงงานให้เช่าเต็มเกือบทุกแห่ง ราคาที่ดินนิคมเพิ่ม 20-30%

ช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 โรงงานสำเร็จรูปให้เช่า มีพื้นที่รวม 3.42 ล้านตารางเมตร มีอัตราว่างเพียง 11.71% โดยอานิสงส์มาจากภาคการผลิตเติบโตดี ส่งผลให้โรงงานให้เช่า มีอัตราเช่าเกือบเต็ม 100%

“ดีมานด์ต่างชาติเข้ามาสูงมาก โดยเฉพาะไต้หวันและฮ่องกง ตั้งแต่หลังเดือนสิงหาคม 2568 เป็นต้นไป แต่ละรายต้องการพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปให้เช่าสูงถึง 4,000 – 20,000 ตารางเมตร ส่วนใหญ่เป็นพวกซัพพอร์ตอุตฯ รถ EV”

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ ราคาที่ดินนิคมอุตสาหกรรมขยายตัว โดยมีราคาเฉลี่ย 8.04 ล้านบาท/ไร่ เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน

ส่วนที่ดินนิคมฯ ราคาขึ้นสูงสุดจะเป็นโซนปลวกแดง-ระยอง เพิ่มขึ้น 20-30% จาก 5.5 ล้านบาท/ไร่ เป็น 7.5 ล้านบาท/ไร่

ส่วนในพื้นที่นิคมฯ อื่น ๆ มีราคา ดังนี้ อยุธยา 6 ล้านบาท/ไร่, สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรีโซนเหนือ 12-14 ล้านบาท/ไร่ และชลบุรีโซนล่าง-ระยอง ราคา 5.5 – 7.5 ล้านบาท/ไร่

นิคมอุตสาหกรรม

แวร์เฮ้าส์โอเวอร์ซัพพลาย บางแห่งอัตราเช่าว่าง 30-40%

สวนทางกับ ธุรกิจคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่า หรือ แวร์เฮ้าส์ ที่มีการเร่งพัฒนาโครงการจำนวนมากในช่วงโควิดราวปี 2563 เพื่อเร่งรองรับอีคอมเมิร์ซเติบโต ซึ่งในอดีตแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสเจ้าดัง จะใช้ Third-party เป็นพาร์ตเนอร์ในการจัดเก็บสินค้าและขนส่ง

แต่ปี 2565 จากการแข่งขันรุนแรง ทำให้อีมาร์เก็ตเพลส ลดต้นทุนอย่างหนัก เพื่อให้แข่งขันได้ จึงหันมาทำแวร์เฮ้าส์ของตัวเอง

ทำให้ดีมานด์แวร์เฮ้าส์หายไปหลักแสนตารางเมตร กระทบต่ออัตราพื้นที่ว่างบางโรงงานในพื้นที่สมุทรปราการและชลบุรีสูงถึง 30-40% ขณะที่ธุรกิจ Third-party ของอีมาร์เก็ตเพลสก็ได้ล้มหายตายจากไป

“ปัจจุบันตลาดแวร์เฮ้าส์ยังถือว่าโอเวอร์ซัพพลาย และยังไม่ดีขึ้น อัตราค่าเช่าก็คงที่มาประมาณ 10 ปีแล้ว หรือถ้าขึ้นก็เล็กน้อยที่ 2-3%”

Data Center โตแรง 2-3 เท่าตัว

นรศักดิ์ ศุภกรธนกิจ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุนและการลงทุน คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่า อีกหนึ่งอสังหาอุตฯ ที่ไปได้ดี คือ Data Center ไทย ที่เติบโตขึ้น 2-3 เท่าตัว จากปี 2567 จากดีมานด์ต่างชาติ ด้วยความพร้อมรองรับอุตฯ นี้ ในด้านไฟฟ้าและระบบน้ำ

โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลก ประกาศลงทุนในไทย รวม 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อาทิ AWS, Google, Microsoft, ByteDance เป็นต้น

ปัจจัยนี้ผลักดันให้ กทม. ก้าวสู่เมืองศูนย์กลางภูมิภาค Data Center แห่งใหม่ ในระดับเดียวกับกัวลาลัมเปอร์ และจาการ์ตา ส่วนสิงคโปร์ เริ่มขยายตัวได้ยากแล้ว จากปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอ

นรศักดิ์ ศุภกรธนกิจ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุนและการลงทุน คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์

ที่ผ่านมาธุรกิจ Data Center มีการขยายตัวที่น่าสนใจ

  • กำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เพิ่มขึ้น 267% จาก 46 เมกะวัตต์ เป็น 169 เมกะวัตต์
  • กำลังการผลิตตามแผน เพิ่มขึ้น 177% จาก 186 เมกะวัตต์ เป็น 515 เมกะวัตต์

ปัจจุบัน กทม. มีสต๊อก Data Center รอก่อสร้างอีก 800 เมกะวัตต์ มีโอกาสโตเพิ่มอีก 1-2 เท่าตัว จากไฟฟ้าที่เหลือเพียงพอกว่า 12-13 กิกะวัตต์ (GW)

“อัตราว่างของ Data Center ช่วงครึ่งปีแรก 2568 เหลือ 16% เท่านั้น ลดลงจากครึ่งปีหลัง 2567 ที่มีอัตราว่าง 24%“

Modern server room interior in datacenter

ปัจจุบันไทยมีผู้ให้บริการ Colocation Data Center รายใหญ่’ ที่กระจายพอร์ตฯ ในเอเชียแปซิฟิก ลงทุนในไทย เช่น NTT, CDC, Princeton Digital Group, BDx เป็นต้น

และมีบางราย ‘อยู่ระหว่างดีลเจรจา’ เข้ามาเปิดในไทย อาทิ Equinix, Kopall Data Centres, CtrlS

อย่างไรก็ดี หากอยากส่งเสริมอุตฯ นี้ให้เติบโต ภาครัฐต้องเร่งอัปเกรดสร้างสถานีจ่ายไฟฟ้าย่อยขึ้นมา แต่อาจจะต้องสำรวจดีมานด์ก่อน เพราะใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ส่วนความสนใจตั้ง Data Center หลัก ๆ ยังอยู่ใน กทม. และ EEC

]]>
1540989
เสนา x มิตซูบิชิฯ ปั้น คลังสินค้า-โรงงานให้เช่า ดันรายได้ประจำขึ้นเป็น 50% https://positioningmag.com/1522561 Tue, 20 May 2025 14:14:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1522561 ตลาด “คลังสินค้าให้เช่า” ประมาณการปี 2568 (อ้างอิง SCB EIC) พบว่า

  • ซัพพลายรวม 5.41 ล้านตร.ม. เติบโต 7.5% (YoY)
  • อัตราการเช่าพื้นที่แตะ 88% หรือคิดเป็น 4.76 ล้านตร.ม. จากปี 2567 อยู่ที่ 86.6% ประมาณ 4.36 ล้านตร.ม.

ส่วน “โรงงานให้เช่า” ประมาณการปี 2568 (อ้างอิงข้อมูล CBRE) พบว่า

  • ซัพพลายรวม 2.55 ล้านตร.ม. เพิ่มขึ้น 2.8% (YoY)
  • อัตราเช่าพื้นที่ 91.2% หรือคิดเป็น 2.32 ล้านตร.ม. เพิ่มขึ้นจากปี 2567 อยู่ที่ 90.5% คิดเป็นพื้นที่ 2.26 ล้านตร.ม.

เสนา

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า กลุ่มคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า เซกเตอร์ที่ยังคงเติบโตสวนกระแสภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวลง

ที่น่าสนใจ คือ คลังสินค้าและโรงงานให้เช่า ซัพพลายโต 6-7% แต่ดีมานด์โตสูงกว่าที่ 9% ทำให้ยังมีช่องว่างการเติบโตทางธุรกิจ

เบื้องต้น เสนาฯ ร่วมทุน (JV) มิตซูบิชิ โลจิสติคส์ ในสัดส่วน 51% : 49% เปิดบริษัทย่อย คือ บริษัท เสนา เอ็มแอลซี 1 จำกัด ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 180 ล้านบาท

โดยใช้งบลงทุน 600 ล้านบาท ลุนธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า ชื่อโครงการ “SENA MLC 1” ทำเลบางนา กม.23 จำนวน 25 ไร่ พื้นที่เช่ารวม 23,000 ตร.ม. ราคาเช่าเฉลี่ย 165-215 บาท/ตร.ม.

“บางนา กม.23 เป็นทำเลยุทธศาสตร์ เชื่อมต่อสนามบินและท่าเรือ ตลอดจนเป็นประตูสู่โซน EEC ขณะที่ SENA MLC 1 เป็นที่ดินผังสีม่วง รองรับการทำอุตสาหกรรม สามารถรองรับความต้องการจากนักลงทุนต่างชาติได้ โดยโครงการนี้ จะเริ่มก่อสร้างปลายปี 2568 คาดแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2569“

เสนา SENA MLC 1
คลังสินค้าและโรงงานให้เช่า SENA MLC 1 พื้นที่บางนา กม.32

การรุกน่านน้ำรายได้ใหม่อย่างคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าแล้ว ช่วยให้เสนาฯ บาลานซ์พอร์ตฯ รายได้ประจำ (Recurring Income) จากเดิม 30% ขึ้นมาเป็นสัดส่วน 50% เทียบเท่าธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ภายใน 5 ปีนี้

ฮิเดชิกะ ไซโตะ ประธานบริษัท บริษัทมิตซูบิชิ โลจิสติคส์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2568 – 2573) ของบริษัทฯ คือ มุ่งขยายธุรกิจที่อยู่อาศัยควบคู่กับธุรกิจอสังหาโลจิสติกส์ ไม่เพียงแต่ในประเภทญี่ปุ่น แต่ยังรวมถึงในต่างประเทศด้วย

ดังนั้น การลงทุนในไทยเป็นหนึ่งในแผนสำคัญ ด้วยไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียนทั้งในด้านอุตสาหกรรมและการเกษตร ซึ่งที่ผ่านมามิตซูบิชิฯ เข้ามาทำตลาดในไทยร่วม 36 ปีแล้ว

ฮิเดชิกะ ไซโตะ ประธานบริษัท บริษัทมิตซูบิชิ โลจิสติคส์ คอร์ปอเรชั่น
ฮิเดชิกะ ไซโตะ ประธานบริษัท บริษัทมิตซูบิชิ โลจิสติคส์ คอร์ปอเรชั่น

“นอกจากการทำคลังสินค้าและโรงงานให้เช่ากับเสนาฯ แล้ว เรามองเรื่องขยายการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเติมอย่างน้อย 2 แห่งในอนาคต เพื่อรองรับดีมานด์”

อย่างไรก็ดี จากมาตรการทางการขึ้นภาษีนำเข้าจากไทย 36% ของทรัมป์ และภาครัฐไทยยังไม่มีการเจรจาที่ชัดเจนนั้น ยอมรับว่ามีลูกค้าที่ยังหวั่น ๆ กับมาตรการนี้อยู่บ้าง แต่โดยรวมมองว่าส่งผลกระทบซัพพลายสินค้าจากจีนที่นำเข้ามามากกว่า

]]>
1522561
เฟรเซอร์ส เผย อัตราการเช่าโรงงานแตะ 93% สูงสุดตั้งแต่เปิดบริษัทมา รับจีนย้ายฐานผลิต https://positioningmag.com/1521673 Wed, 14 May 2025 10:08:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1521673 อสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรมในประเทศไทย ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนจีน ตามนโยบาย CHINA + 1

ปัจจัยดังกล่าว ผลักดันเงินลงทุน FDI ไหลเข้าสู่อาเซียน โดยเฉพาะไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 8.2% ต่อปี สะท้อนจากข้อมูลปี 2567 ดังนี้

  • ไทย มูลค่า FDI อยู่ที่ 24,510 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • เวียดนาม มูลค่า FDI อยู่ที่ 38,226 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • อินโดนีเซีย มูลค่า FDI อยู่ที่ 55,330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

“พีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์” กรรมการผู้จัดการ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT กล่าวว่า ปี 2568 ยอดส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในไทยจากบริษัทสัญชาติจีนนิวไฮรอบ 10 ปี สะท้อนจากอัตราการครอบครองพื้นที่ของโรงงานและคลังสินค้า ดังนี้

1.ตลาดโรงงานให้เช่า

  • ก่อนโควิด (ปี 2561-2562) ซัพพลายรวม 2.5 ล้านตร.ม. อัตราการเช่า 76-80%
  • ช่วงโควิดแพร่ระบาดหนัก (ปี 2563-2564) ซัพพลายรวม 2.7 ล้านตร.ม. อัตราการเช่า 81-82%
  • ช่วงหลังโควิด-เทรนด์ย้ายฐานผลิต (ปี 2565-2567) ซัพพลายรวม 2.9 ล้านตร.ม. อัตราเช่า 84-93%

2.ตลาดคลังสินค้าให้เช่า

  • ก่อนโควิด (ปี 2561-2562) ซัพพลายรวม 4.1 ล้านตร.ม. อัตราการเช่า 80-83%
  • ช่วงโควิดแพร่ระบาดหนัก (ปี 2563-2564) ซัพพลายรวม 4.8 ล้านตร.ม. อัตราการเช่า 87-90%
  • ช่วงหลังโควิด-เทรนด์ย้ายฐานผลิต (ปี 2565-2567) ซัพพลายรวม 6.8 ล้านตร.ม. อัตราเช่า 89-90%

“ตลาดโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเติบโตต่อเนื่อง แม้มีปัจจัยลบจากซัพพลายล้นในบางพื้นที่ และความไม่แน่นอนจากการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ค่าแรง-ต้นทุนแพง กดดันความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน”

โรงงานของเฟรเซอร์ส
Frasers Property Last Mile Hub (Puchao Saming Phrai)

สำหรับ เฟรเซอร์ส ช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 มีอัตราเช่าโรงงาน 93% และคลังสินค้า 89% เฉลี่ยทั้ง 2 กลุ่มมีอัตราเช่าราว 91% ทำนิวไฮสูงสุดตั้งแต่มีเฟรเซอร์สประเทศไทย (หลังเทกโอเวอร์กลุ่มไทคอน) จากช่วงสิ้นปี 2567 มีอัตราเช่าเฉลี่ย 87% เท่านั้น

ขณะที่อินโดนีเซียทำคลังสินค้าอย่างเดียวมีอัตราเช่าเต็ม 100% ส่วนเวียดนามโรงงานใหม่คาดเต็ม 100% ปลายปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 85%

ปี 2568 มองว่าโรงงานสำเร็จรูป และ Build to Suit ยังไปได้ดี เพราะมีผู้เล่นน้อย สวนทางกับคลังสินค้าให้เช่าที่มีผู้เล่นหน้าใหม่ อาทิ ดีเวลลอปเปอร์ชิงตลาดมากขึ้น เพื่อเฟ้นหารายได้ประจำ ชดเชยตลาดที่อยู่อาศัยที่กำลังชะลอตัว

เบื้องต้น ปีนี้วางแผนลงทุนเพิ่มราว 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • ขยายโรงงานในไทย 2,000 ล้านบาท
  • ลงทุนในเวียดนามและอินโดนีเซีย 1,000 ล้านบาท

”ขณะนี้มี 2 ดีล อยู่ระหว่างเจรจาสร้างโรงงานสำเร็จรูปให้ลูกค้า จำนวน 160,000 ตร.ม. เฉลี่ย 80,000 ตร.ม./แห่ง ใช้ที่ดิน 100 ไร่/แห่ง บริเวณรอบพื้นที่ กทม. คาดรับรู้รายได้ในปีถัด ๆ ไป“

โรงงานเฟรเซอร์ส FPT
Built-to-Suit Sorting Center ของเฟรเซอร์ส

ส่วน แผนระยะ 5 ปี มองพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มประมาณ 2.5 ล้านตร.ม. (ปัจจุบันมีที่ดินเปล่า 5 ล้านตร.ม.) เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต จาก ณ สิ้นปี 2567 มีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าภายใต้การบริหารกว่า 3.77 ล้านตร.ม.

ด้านที่ดินที่เหลือ จะนำออกมาขาย โดยช่วง 6 เดือนแรกของปีงบ 2568 ของเฟรเซอร์ส (ต.ค. 67 – เม.ย. 68) ขายที่ดินได้ 300 ไร่ เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขายที่ดินเปล่าได้ 100 ไร่

โดยมีผู้ซื้อรายใหญ่เป็นนักลงทุนจีน สิงคโปร์ และไต้หวัน ในกลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ต้องการสร้างโรงงานในพื้นที่ของตนเองมากกว่าเช่า

“นโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ไม่กระทบ sentiment การลงทุนย้ายฐานการผลิตมากนัก มีลูกค้าจีนเพียง 10% เท่านั้นที่ชะลอการลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์”

ทั้งนี้ ปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ 4,000 ล้านบาท จากพอร์ตฯ อสังหาอุตสาหกรรมรวม 3.78 ล้านตร.ม. คงอัตราการเช่ามากกว่า 90% ขึ้นไป และส่งมอบพื้นที่ให้ลูกค้าได้กว่า 150,000 ตร.ม.

“หากสถานการณ์การขายที่ดินยังคงเพอร์ฟอร์แมนซ์เท่าเดิม อาจทำรายได้ปี 2568 เกิน 4,000 ล้านบาทได้”

]]>
1521673
เรื่องน่ารู้ของ ‘กองทรัสต์ WHART’ เพิ่มทุนครั้งที่ 6 ลงทุนเพิ่มเติม 5.55 พันล้านกับ ‘ทำเลทอง’ โลจิสติกส์เมืองไทย https://positioningmag.com/1358105 Tue, 26 Oct 2021 11:00:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1358105

‘อีคอมเมิร์ซ’ เติบโตอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในช่วงวิกฤตโควิดความนิยมยิ่งพุ่งพรวด เมื่อผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมครั้งใหญ่ บรรดาบริษัทขนส่งต่างเเข่งขันกันดุเดือด เพื่อชิงความเป็นเจ้าตลาด

เเน่นอนว่า ‘ธุรกิจคลังสินค้าให้เช่า’ ก็เติบโตตามไปด้วย จากความต้องการพื้นที่ในการเก็บสินค้าที่มากขึ้นจากเเต่ก่อน เเละยิ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพ ก็ช่วยส่งเสริมให้สินค้าส่งถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มีข้อได้เปรียบทางธุรกิจมากขึ้น

ล่าสุดกับการเพิ่มทุนครั้งที่ 6 มูลค่าลงทุนเพิ่มเติม 5.55 พันล้านบาทของ ‘กองทรัสต์ WHARTเพื่อเข้าลงทุน 3 โครงการ ในทรัพย์สินบนทำเลจุดยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ โดยมีผู้เช่าที่เป็นบริษัทชั้นนำอย่าง Alibaba Group , Shopee XPress เเละทีดีตะวันแดง

นับเป็นความเคลื่อนไหวในตลาดที่น่าจับตามอง วันนี้เราจะมาทำความรู้จัก กองทรัสต์ WHART กับการลงทุนในทำเลทองโลจิสติกส์เมืองไทยให้มากขึ้นกัน


รู้จัก กองทรัสต์ WHART

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) เป็นกองทรัสต์ที่มุ่งลงทุนในทรัพย์สินประเภท ‘คลังสินค้าและโรงงาน’ ที่มีมาตรฐานระดับสากลในรูปแบบ Built-to-Suit และ Ready-Built บนทำเลโลจิสติกส์ที่สำคัญ เช่น ถนนบางนา-ตราด , วังน้อย เเละพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

เมื่อมองโดยภาพรวมเเล้ว จุดเเข็งที่เห็นได้ชัดของกองทรัสต์ WHART คือการเป็นหนึ่งในผู้นำ REIT ในกลุ่มอุตสาหกรรม ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อย เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ อย่างออฟฟิศ ค้าปลีก โรงแรม ดังนั้นจึงมีความเสี่ยง ‘Downside Riskต่ำกว่า

ปัจจุบันกองทรัสต์ WHART มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 31 โครงการ พื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 1,398,352 ตรม. โดยภายหลังการเพิ่มทุนครั้งที่ 6 ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะทำให้กองทรัสต์มีทรัพย์สินเพิ่มเติมเป็น 34 โครงการ พื้นที่เช่าอาคารรวมถึง 1,582,681 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนทำเลสำคัญๆ ของประเทศไทย


ปัจจัยสำคัญ : อัตราการเช่า- สัญญาระยะยาว- ธุรกิจที่โตขึ้นเรื่อยๆ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้ ‘ธุรกิจคลังสินค้าให้เช่า’ เติบโตได้อย่างมั่นคง นั่นก็คือการมี ‘อัตราการเช่าสูงและผู้เช่ามีสัญญาระยะยาว’

โดยกองทรัสต์ WHART มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยในระดับสูงประมาณร้อยละ 90 ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ย และมีอายุสัญญาเช่าที่ผู้เช่าคลังสินค้าเฉลี่ย (WALE) หลังการลงทุนเพิ่มเติมในปีนี้ อยู่ในระดับสูงถึง 3.5 ปี

ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าโครงการที่กองทรัสต์ลงทุนส่วนใหญ่เป็นประเภท BuilttoSuit (BTS) จึงมีสัญญาเช่าของผู้เช่าที่ค่อนข้างยาว โดยอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยของทรัพย์สินที่กองทรัสต์จะลงทุนเพิ่มเติมในปีนี้อยู่ที่ 10.7 ปี

ยิ่งไปกว่านั้น การมีผู้เช่าพื้นที่โครงการต่างๆ ของกองทรัสต์ WHART ที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ จากหลายสัญชาติและหลากหลายอุตสาหกรรม อย่างเช่น E-Commerce, FMCG เเละ Logistics ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจเติบโตสูง เเละได้รับผลกระทบ ‘เชิงบวก’ จากวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้กองทรัสต์  WHART ยังสามารถจ่ายผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ นับเป็น ‘ทางเลือก’ การลงทุนสำหรับนักลงทุนที่สนใจกอง REIT ได้เป็นอย่างดี

ดังนั้น การที่มีสัญญาเช่าส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาว เเละผู้เช่าพื้นที่ของกองทรัสต์เป็นผู้เช่าในกลุ่มธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่องเเละมีชื่อเสียง มีฐานลูกค้าจำนวนมหาศาลในไทย รวมไปถึงมีความหลากหลายทางธุรกิจ นับเป็นการ ‘กระจายความเสี่ยง’ ไม่กระจุกตัวหรือพึ่งพาอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในยามนี้ที่เศรษฐกิจโลกผันผวน

เพิ่มทุนครั้งที่ 6 กับ 3 ทำเลทองโลจิสติกส์

สำหรับการเพิ่มทุนของกองทรัสต์ WHART ครั้งที่ 6 นี้ จะออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์ใหม่ จำนวนไม่เกิน 385.90 ล้านหน่วย เพื่อลงทุนในทรัพย์สินหลักเพิ่มเติม มูลค่ารวมไม่เกิน 5,549.72 ล้านบาท

โดยทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHART กำลังจะเข้าไปลงทุนนั้น จะเน้นไปที่ความโดดเด่นในด้านทำเลศักยภาพที่เป็น ‘จุดยุทธศาสตร์’ ศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญของประเทศ เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว

เเบ่งเป็นโครงการคลังสินค้าประเภท Built-to-Suit จำนวน 2 โครงการ และโครงการประเภท Ready-Built อีก 1 โครงการ โดยมีพื้นที่เช่าอาคารรวม 3 โครงการ ประมาณ 184,329 ตารางเมตร ซึ่งมีผู้เช่า ได้แก่ Alibaba Group, Shopee Xpress และ ทีดี ตะวันแดง มีรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้

1.โครงการ WHA Mega Logistics Center (วังน้อย 62)

ตั้งอยู่ที่ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 24,150 ตารางเมตร และพื้นที่เช่าหลังคารวมประมาณ 23,205 ตารางเมตร

จุดเด่นของทำเลบริเวณอำเภอวังน้อย คือเป็นแหล่งของศูนย์กระจายสินค้าหลักสู่กรุงเทพฯ รวมถึงภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่ 3 ในบริเวณอำเภอวังน้อยที่กองทรัสต์ได้เข้าลงทุน อีกทั้งปัจจุบันโครงการในบริเวณนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม (ต.ค.64)

2.โครงการ WHA Mega Logistics Center (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3)

ตั้งอยู่ที่อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 30,040 ตารางเมตร จุดเด่นของทำเลบริเวณถนนบางนา-ตราด คือเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญ เนื่องจากใกล้กับกรุงเทพชั้นในและท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ อีกทั้งยังสามารถออกสู่ถนนสายหลักที่สำคัญต่าง ๆ ได้สะดวก


3.โครงการ WHA ECommerce Park

ตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่บนพื้นที่ EEC และโครงการนี้ได้รับการกำหนดให้เป็นพื้นที่ส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ กลุ่มพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์บางปะกง ด้วยเช่นกัน โดยมีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 130,139 ตารางเมตร

จุดเด่นของทำเลบริเวณอำเภอบางปะกง คือการตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC และมีระยะทางที่ใกล้กับกรุงเทพฯ จึงมีความสะดวกในการเดินทางและขนส่ง กระจายสินค้าไปยังที่ต่างๆ ได้รวดเร็ว


หนุนทรัพย์สินแตะ 4.8 หมื่นล้าน

หลังการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้ จะส่งผลให้กองทรัสต์  WHART มีมูลค่าทรัพย์สินรวมแตะที่ระดับกว่า 48,000 ล้านบาท (จากเดิมอยู่ที่ระดับ 42,639 ล้านบาท) ซึ่งจะทำให้กองทรัสต์ WHART เป็นกองทรัสต์ที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมมากที่สุดในกองทรัสต์ประเภทอุตสาหกรรมในประเทศไทย

และจะมีพื้นที่เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นจาก 1.40 ล้านตารางเมตรเป็น 1.58 ล้านตารางเมตร คงความเป็นผู้นำของกองทรัสต์ประเภทศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้าและโรงงาน

มีการประเมินว่า ภายหลังการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม กองทรัสต์ WHART จะสามารถจ่ายประโยชน์ตอบแทนได้ไม่ด้อยกว่าเดิม โดยประมาณการจ่ายประโยชน์ตอบแทนและเงินลดทุนอ้างอิงงบกำไรขาดทุนและการจ่ายประโยชน์ตอบแทนตามสถานการณ์สมมุติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ประมาณ 0.80 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้นจาก 0.79 บาทต่อหน่วยก่อนการเพิ่มทุนครั้งนี้


จองซื้อได้เมื่อไหร่ ?

สำหรับระยะเวลาการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งนี้ ผู้ถือหน่วยเดิมที่มีสิทธิ จะอยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 8-12 พ.ย. 2564 เเละสำหรับประชาชนทั่วไป* จะอยู่ในช่วงวันที่ 16-19 พ.ย. 2564

โดยผู้ถือหน่วยเดิมที่มีสิทธิ จะจองซื้อที่ราคาเสนอขายสูงสุด ซึ่งจะมีการคืนส่วนต่างหากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่า ส่วนประชาชนทั่วไป จะจองซื้อที่ราคาเสนอขายสุดท้าย โดยราคาเสนอขายสุดท้ายกำหนดโดยกระบวนการ bookbuilding

ด้านช่องทางการจองซื้อ ทำได้ง่ายๆ ผ่าน K-My Invest  https://www.kasikornbank.com/kmyinvest และสาขาของธนาคารกสิกรไทย

ผู้สนใจลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทรัสต์ WHART เพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือ www.whareit.com

* การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่าย

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

]]>
1358105