ความปลอดภัย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 13 Feb 2023 14:49:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กางแผน ‘AIS Business’ 2023 กับการเป็นดิจิทัลพาร์ทเนอร์ ‘ตัวช่วย’ ให้องค์กร “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” https://positioningmag.com/1419053 Tue, 14 Feb 2023 10:00:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1419053

ในช่วง 3 ปีที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ทำให้หลายองค์กรเริ่มจะทำ ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น เพื่อสร้างการเติบโตและโอกาสทางการแข่งขันของธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ AIS โดยกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กรอย่าง AIS Business ได้พิสูจน์ตัวเอง จนได้รับการยอมรับเป็นอันดับ 1 ในการให้บริการด้าน IT Solution & System Integrator (SI) ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่าย

ทำให้ที่ผ่านมา AIS Business ได้เข้าไปเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญให้หลายองค์กรในการวางระบบดิจิทัลเทคโนโลยี การทำทรานฟอร์มเมชันองค์กรต่างๆ จนกระทั่งหลายธุรกิจเริ่มเห็นภาพและเปิดใจที่จะนำความสามารถของดิจิทัลเทคโนโลยีเข้าไปช่วยยกระดับกระบวนการทำงาน

และในปีนี้ AIS Business ก็ได้ออกมาฉายเทรนด์ และแนวทางการทำงานซึ่งเป็น Post Covid ที่องค์กรต่างมองหาโอกาสในการกลับมาเติบโตอีกครั้ง


ความไว้ใจ คือสิ่งที่ลูกค้ามองหา

แม้การระบาดของ COVID-19 ในปัจจุบันจะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมาแล้ว แต่การทำงานที่ยืดหยุ่น สามารถทำงานที่ไหนก็ได้กลายเป็นเรื่องพื้นฐานของหลายองค์กร ดังนั้น สิ่งที่ เอไอเอส เห็นก็คือ องค์กรต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่มีความพร้อม เพราะองค์กรตระหนักถึง ความปลอดภัย มากขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงเรื่องข้อมูลรั่วไหลที่มีมากตามมา

ดังนั้น วิสัยทัศน์ของเอไอเอสยังไม่เปลี่ยนแปลงคือเป็น Most Trusted ให้กับลูกค้า และต้อง ไปด้วยกัน หรือเป็น Partnership เพื่อสร้างการเติบโตภายใต้แนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” (Growth-Trust-Sustainability) ผ่าน 5 กลยุทธ์ ในการสร้าง Digital Business Ecosystem ให้มีความสมบูรณ์แบบ ได้แก่

  • เชื่อมต่อ5G Ecosystem เพื่อการทำงานของภาคธุรกิจอย่างรอบด้าน
  • ยกระดับการทำงานของโครงข่ายด้วยIntelligent Network
  • มุ่งเสริมความสมบูรณ์ของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและแพลตฟอร์ม
  • เสริมอาวุธด้านการตลาดและเพิ่มโอกาสการเติบโตData-driven Business
  • ส่งมอบบริการด้วยทีมงานมืออาชีพที่ไว้วางใจได้

หนึ่งในจุดแข็งของเอไอเอสที่ใช้สร้างความเชื่อใจ คือ บริการโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นโครงข่าย Data Center, Intelligent Network, Cloud X Platforms, และ Cyber Security ที่สอดรับกับกฎระเบียบของการใช้งานและเป็นไปตามข้อกำหนดของแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงข้อบังคับของประเทศไทยด้วย

“Position เราคือพาร์ทเนอร์ช่วยเรื่องดิจิทัลทรานซ์ฟอร์มของลูกค้า ไม่ใช่ผู้ซื้อ-ผู้ขาย ดังนั้น เราจะมีการคุยกับลูกค้าตั้งแต่ต้นว่าอยากได้อะไร แล้วเราจะไปทำการบ้านเพื่อสร้างโซลูชั่นมารองรับ แต่การจะเป็นพาร์ทเนอร์กับใคร ความเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญ เรายังเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะการเข้าถึงข้อมูล” นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS ย้ำ

 

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS


พร้อมเป็น One Stop Service ให้พาร์ทเนอร์

ปัจจุบัน องค์กรต้องการบริการแบบ One Stop Service ซึ่งสอดคล้องกับเอไอเอสที่เชื่อว่า ไม่มี One size fits all แต่ต้องพร้อมช่วยสร้างโซลูชันใหม่ ๆ เฉพาะอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น Smart Manufacturing, Smart Transportation & Logistics, Smart City & Building, และ Smart Retail ซึ่งเอไอเอสก็สามารถตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าด้วยการบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะ Data Insight & Lifestyle as a Service ซึ่งเอไอเอสช่วยวางแผนตั้งแต่เริ่ม

นอกจากนี้ 5G ก็ถือเป็นอีกโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการแข่งขัน เพราะปัจจุบันเรื่อง Data, AI กลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่ลูกค้าต้องการใช้งาน และโจทย์ของลูกค้ามีแต่ยากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสิ่งที่สร้างความแตกต่างของเอไอเอสก็คือ 5G ที่ไม่ใช่เน็ตเวิร์กแต่เป็นแพลตฟอร์ม AIS 5G NEXTGen ที่เอไอเอสพัฒนาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งลูกค้าสามารถจะลงแอปพลิเคชั่นได้เลย

“เราไม่ได้เล่นในระดับแอปพลิเคชั่น แต่เล่นในระดับ Infrastructure ดังนั้น 5G ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้คุยกันเรื่องครอบคลุมไม่ครอบคลุมอีกต่อไป แต่วัดกันที่เรื่องคุณภาพ เนื่องจากองค์กรต้องการความเสถียร ความยืดหยุ่น และต้องเรียลไทม์ เพราะตอนนี้การแข่งขันเฉือนกันที่ข้อมูล”


Sustainability อีกเทรนด์ที่หลายองค์กรต้องการไป

เรื่อง ความยั่งยืน (Sustainability) กลายเป็นสิ่งที่เอนเตอร์ไพรซ์ให้ความสำคัญมากขึ้น ดังนั้น ส่วนนี้จะเป็นอีกสิ่งที่เอไอเอสจะให้ความสำคัญครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยสามารถพัฒนาโซลูชั่นตั้งแต่ระดับ เก็บข้อมูล, รีพอร์ต และบริหารจัดการพลังงาน

“ที่ผ่านมาเราเคยทำงานร่วมกับ SCG ในการนำ 5G มาใช้คุมรถอีวีในเหมืองโดยไม่ใช้คน ดังนั้น นี่ไม่ใช่แค่ช่วยเรื่องความยั่งยืนแต่ช่วยเรื่องความปลอดภัย และยังเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างให้กับ SCG ในการดำเนินธุรกิจด้วย”


มั่นใจเติบโตกว่าตลาด พร้อมลงทุนต่อเนื่อง

ธนพงษ์ ย้ำว่า เอไอเอสต้องการเป็นผู้ให้บริการ Sustainable Digital Economy ของประเทศไทย ดังนั้น ในแต่ละปีเอไอเอสมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเฉลี่ยนไม่ต่ำกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท และสำหรับเป้าหมายปีนี้ เอไอเอส บิสซิเนสมั่นใจว่าจะเติบโตได้สูงกว่าตลาด และรักษาตำแหน่งเบอร์ 1 ในตลาด

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่เอไอเอสจะเน้นทำตลาดในปีนี้ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก (Retail), การผลิต (Manufacturing), โลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) และ Smart City แต่อีกอุตสาหกรรมที่เอไอเอสเห็นการเติบโตก็คือ การท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นอีกอุตสาหกรรมที่เอไอเอสจะให้ความสำคัญในปีนี้ นอกจากนี้ กลุ่ม SME ก็เป็นอีกกลุ่มที่เอไอเอสให้ความสนใจที่จะช่วยให้ฟื้นตัวจากผลกระทบในช่วงโควิด

“ที่ลูกค้าเลือกเราเพราะเขามั่นใจและคุยกับเราแล้วจบ นอกจากนี้ เรายังมีฐานลูกค้าคอนซูมเมอร์และพาร์ทเนอร์คอมเมอร์เชียลในมือ เราก็ช่วยจับคู่ให้เขาได้ ทำให้เกิดเป็นอีโคซิสเต็มส์ ดังนั้น เขาเลยรู้สึกว่าการทำงานกับเอไอเอสไม่ใช่การขายของแต่มันเติบโตไปด้วยกัน” ธนพงษ์ ทิ้งท้าย

]]>
1419053
UK ออกกฎใหม่ ตรวจประวัติคนขับแท็กซี่ทุก 6 เดือน-ติดกล้องวงจรปิด เพื่อความปลอดภัยผู้โดยสาร https://positioningmag.com/1289364 Thu, 23 Jul 2020 13:50:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289364 สหราชอาณาจักร เตรียมออกกฎหมายใหม่ บังคับให้ผู้ขับรถเเท็กซี่และผู้ขับรถยนต์รับจ้างส่วนบุคคล ต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมทุก 6 เดือน พร้อมต้องติดตั้งกล้องวงจรปิดในรถยนต์ที่ให้บริการทุกคันด้วย

กระทรวงคมนาคมของอังกฤษ ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ ระบุว่า รัฐบาลได้รับคำเเนะนำให้ออกกฎหมายอนุญาตใบขับขี่ที่จะต้องติดตั้งกล้องวงจรปิดในรถยนต์โดยสารสาธารณะ ซึ่งมองว่าเป็นประโยชน์กับผู้โดยสาร หลังมีคดีล่วงละเมิดเกิดขึ้นจำนวนมาก ในหลายเมืองของสหราชอาณาจักร 

เราทราบดีว่า ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญด้านบริการที่ปลอดภัยในชุมชน แต่หลังเกิดเหตุการณ์ที่น่าตกใจที่เกิดขึ้นในหลายเมืองอย่าง Rochdale, Oxford, Newcastle และ Rotherham จึงจำเป็นต้องมีออกมาตรการเพื่อปกป้องผู้โดยสาร นี่เป็นเหตุผลในการออกกฎหมายอนุญาตใบขับขี่ที่บังคับใช้ใหม่อย่างเข้มงวด เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้ขับขี่มีความพร้อมให้บริการผู้โดยสารในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และป้องกันผู้ขับขี่ที่ไม่มีความพร้อมได้ด้วย

โดยคาดว่า ทางการท้องถิ่นจะนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ด้วย ซึ่งจะช่วยปรับปรุงระบบอนุญาตใบขับขี่ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น พร้อมทั้งลดความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กและผู้โดยสารกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ ผู้ขับรถยนต์โดยสาธารณะและผู้ขับรถยนต์รับจ้างส่วนบุคคล จะต้องได้รับการอบรมให้ช่วยค้นหาและช่วยเหลือผู้โดยสารที่อาจถูกทำร้ายด้วย

ก่อนหน้านี้ Uber ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเรียกรถเเบบ Ride Hailing รายใหญ่ของสหรัฐฯ ถูกเพิกถอนใบอนุญาตให้บริการขนส่งผู้โดยสารในกรุงลอนดอนเป็นครั้งที่หลังมีความผิดพลาดด้านความปลอดภัย โดย Uber มีเครือข่ายคนขับราว 45,000 คนในลอนดอน ซึ่งนับว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญของบริษัท เเละตอนนี้ Uber ก็กำลังหาทางเพื่อให้กลับมาได้รับใบอนุญาตให้บริการอีกครั้ง

 

ที่มา : Reuters

]]> 1289364 ปัดขวาอย่างปลอดภัย! Tinder ออกฟังก์ชัน “เตือนภัย” กดปุ่มเดียวเรียกตำรวจระหว่างเดต https://positioningmag.com/1261822 Fri, 24 Jan 2020 08:25:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1261822 แมตช์กันได้อย่างสบายใจมากขึ้น หลัง Tinder เปิดฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัย “Panic Button” ให้ผู้ใช้กดปุ่มเดียวบนหน้าจอมือถือเพื่อร้องขอความช่วยเหลือหากการเดตเกิดความเสี่ยงขึ้น พร้อมเปิดฟีเจอร์ป้องกันการใช้บัญชีปลอมหรือหลอกลวง

Tinder ในสหรัฐอเมริกาประกาศเพิ่มฟีเจอร์กดปุ่มเดียวเพื่อรายงานความเสี่ยงระหว่างออกเดต โดยเป็นความร่วมมือกับแอปพลิเคชัน Noonlight แอปฯ ที่ Match บริษัทแม่ของ Tinder ลงทุนอยู่

ผู้ใช้ที่สนใจต้องดาวน์โหลดแอปฯ Noonlight มาติดตั้งเพิ่ม จากนั้นเมื่อจะออกเดต ต้องพิมพ์ข้อมูลการเดต เช่น วัน เวลา สถานที่ คู่เดต เข้าไปในแอปฯ ด้วยตนเองก่อน โดยภายในแอปฯ นี้เราสามารถแชร์ข้อมูลการเดตให้เพื่อนทราบได้ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในการออกเดต

ฟังก์ชันการทำงานของ Noonlight

ถ้าหากผู้ใช้ออกเดตแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย สามารถกด “Panic Button” บนแอปฯ Noonlight จากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำงานเป็น 3 ขั้น ขั้นแรกคือแชทผ่านแอปฯ มาสอบถามก่อนว่าต้องการให้ช่วยเหลือทันทีไหม ถ้าไม่มีการตอบรับ เจ้าหน้าที่จะโทรศัพท์มา หากยังไม่มีการตอบรับอีก เจ้าหน้าที่จะแจ้งตำรวจทันที

อย่างไรก็ตาม ตัวแอปฯ นี้จะติดตามโลเคชั่น ของผู้ใช้ผ่านระบบ GPS ด้วย ดังนั้นเพียงกดปุ่มเดียวแอปฯ จะรู้ทันทีว่าโลเคชั่นอยู่ที่ไหน และที่มีฟังก์ชันให้แชทตอบโต้ก่อน เพื่อทำให้การขอความช่วยเหลือง่ายขึ้น ไม่ ‘แหวกหญ้าให้งูตื่น’ ท่ามกลางสถานการณ์เสี่ยง

สำหรับคนที่เป็นกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว Noonlight ยืนยันว่าไม่มีการขายข้อมูลโลเคชั่นให้ผู้ใด และผู้ใช้สามารถปิดการแชร์โลเคชั่นได้ในช่วงที่ไม่มีการออกเดต

นอกจากมีปุ่มเรียกตำรวจแล้ว ยังมีการให้คำแนะนำในการปิดความเสี่ยงในการคุยกับคนแปลกหน้าด้วย เช่น แนะนำไม่ให้บอกที่อยู่ของตนเองอย่างเฉพาะเจาะจงให้คู่แมตช์ออนไลน์

นอกจากฟังก์ชัน Panic Button แล้ว แอปฯ Tinder ยังทดลองใช้ฟีเจอร์ใหม่ ให้ผู้ใช้ยืนยันตัวตนว่าเป็นคนเดียวกับรูปภาพที่ลงในแอปฯ หรือไม่ โดยระบบ AI ในฟีเจอร์นี้จะให้เจ้าของบัญชีถ่ายรูปเซลฟี่ ของตัวเองในท่าทางต่างๆ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับรูปที่เพิ่งอัพโหลดลงไปว่าตรงกันหรือไม่

ฟีเจอร์นี้เกิดขึ้นเพื่อป้องกันการสร้างบัญชีปลอมหรือหลอกลวง ซึ่งเป็นปัญหาที่พบมาเนิ่นนานในโลกของการหาคู่ออนไลน์ แม้ว่ายังไม่สามารถกรองได้ละเอียดถึงประวัติทั้งหมด แต่อย่างน้อยรูปที่เห็นในแอปฯ จะต้องเป็นตัวจริงแล้วหลังจากนี้

ฟีเจอร์ให้เซลฟี่ตามแบบที่กำหนดเพื่อประมวลว่ารูปที่อัพโหลดลงในแอปฯ ใช่คุณจริงๆ หรือเปล่า

สารพัดฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัยเหล่านี้ บริษัท Match มองว่าในอนาคตจะนำไปใช้กับแอปฯ และเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์อื่นๆ ของบริษัทด้วย ได้แก่ OkCupid, Hinge และ Match.com ส่วนการนำมาใช้กับแอปฯ Tinder ในประเทศอื่นๆ นอกสหรัฐฯ นั้นยังไม่มีแผนอย่างชัดเจน

ความตื่นตัวเพื่อช่วยรับผิดชอบสังคมของแอปฯ หาคู่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนที่กระแสสังคมต่างจับจ้องไปที่แอปฯ บริการเรียกรถอย่าง Uber และ Lyft ว่าควรจะทำได้ดีกว่านี้เพื่อปกป้องความปลอดภัยของผู้โดยสาร และทั้งสองบริษัทดังกล่าวก็มีปุ่มแจ้งตำรวจในแอปฯ แบบเดียวกันไปแล้วก่อนหน้านี้

ส่วนในประเทศไทยนั้น แอปฯ ที่มีระบบกดปุ่มเดียวเรียกตำรวจได้เลยก็มีเช่นกัน ในชื่อแอปฯ “Police I lert U” โดยข้อมูลผู้ลงทะเบียนกับโลเคชั่นขณะนั้นจะถูกส่งไปในวอร์รูมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่โทรศัพท์ติดต่อกลับมาทันที

Source

]]>
1261822
โพลชี้ คนไทยความปลอดภัยในชีวิตแย่ลง หวั่นโดนจี้ปล้น รัฐแก้ปัญหาฝุ่นไร้ประสิทธิภาพ https://positioningmag.com/1261198 Sun, 19 Jan 2020 07:41:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1261198 ฟังความเห็นประชาชน จากผลสำรวจ ‘สวนดุสิตโพล’ เผยคน 67.69% มองความปลอดภัยในชีวิตเเละทรัพย์สินแย่ลง สะท้อนสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ หวั่นโดนโจรผู้ร้าย จี้ปล้น ชิงทรัพย์ ฝั่ง ‘นิด้าโพล’ เผยคนกรุงเทพฯ มองหน่วยงานรัฐแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไร้ประสิทธิภาพ จี้มาตรการจริงจังที่เป็นรูปธรรมในการควบคุม

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต รายงานผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศเรื่อง “ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ณ วันนี้” โดยสำรวจประชาชน จำนวนทั้งสิ้น 1,365 คน ระหว่างวันที่ 15-18 ม.ค. 2563 เพื่อสะท้อนความคิดเห็นประชาชนจากกรณีสังคมไทยหลังมีข่าวอาชญากรรมและปัญหาสังคมต่างๆ เกิดขึ้นทุกวัน เช่น ข่าวฆ่าข่มขืน จี้ชิงทรัพย์ ค้ายาเสพติด หรือเหตุการณ์ปล้นร้านทอง จ.ลพบุรี เป็นต้น ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในปัจจุบันเป็นอย่างมาก สรุปผลได้ ดังนี้

1.เมื่อเปรียบเทียบความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในช่วงนี้ กับเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา ประชาชนคิดว่าเป็นอย่างไร

  • อันดับ 1 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแย่ลง 67.69% เพราะมีข่าวให้เห็นทุกวัน รุนแรงมากขึ้น มาจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ สังคมเสื่อมโทรม คนขาดคุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ
  • อันดับ 2 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเหมือนเดิม 27.47% เพราะสังคมมีปัญหามานาน แก้ไขได้ยาก ชีวิตความเป็นอยู่ลำบาก ทำให้ประชาชนต้องดูแลตัวเอง ระมัดระวัง ฯลฯ
  • อันดับ 3 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินดีขึ้น 4.84% เพราะสังคมตื่นตัว ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ภาครัฐมีมาตรการเข้มแข็งมากขึ้น กฎหมายเข้มงวดเอาจริงเอาจัง ฯลฯ

2.ประชาชนคิดว่าปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ณ วันนี้ สะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง

อันดับ 1 สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ คนหมดหนทาง ต้องต่อสู้ดิ้นรน ยอมกระทำผิด 53.87%
อันดับ 2 สภาพสังคมเสื่อมโทรม มีความเหลื่อมล้ำสูง คุณภาพชีวิตแย่ 24.46%
อันดับ 3 รัฐบาลยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ประชาชนต้องพึ่งพาตนเอง 21.36%
อันดับ 4 คนขาดคุณธรรม จริยธรรม เห็นแก่ตัว ไม่มีจิตสำนึก 18.27%
อันดับ 5 การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด เอาผิดไม่ได้ 14.55%

3.ประชาชนวิตกกังวลกับปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ณ วันนี้ มากน้อยเพียงใด

  • อันดับ 1 ค่อนข้างวิตกกังวล 42.20% เพราะกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัว สังคมมีภัยรอบด้าน สภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ย่ำแย่ส่งผลให้คนมีปัญหามากขึ้น ฯลฯ
  • อันดับ 2 วิตกกังวลอย่างมาก 40% เพราะมีข่าวให้เห็นทุกวัน คนจิตใจโหดเหี้ยมมากขึ้น ปืน อาวุธผิดกฎหมายหาซื้อได้ง่าย ตำรวจไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง ฯลฯ
  • อันดับ 3 ไม่ค่อยวิตกกังวล 14.07% เพราะพยายามใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีความเสี่ยง เพิ่มความระมัดระวัง รอบคอบมากขึ้น ฯลฯ
  • อันดับ 4 ไม่วิตกกังวลเลย 3.73% เพราะดูแลตัวเองได้ ไม่ค่อยได้ออกไปไหน อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย ป้องกันตนเองเสมอ ไม่พกสิ่งของมีค่าติดตัว ฯลฯ

4.กรณีปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เรื่องใดที่ประชาชนวิตกกังวลมากที่สุด พร้อมแนวทางแก้ไข

  • อันดับ 1 โจรผู้ร้าย จี้ปล้น ชิงทรัพย์ 67.59% แนวทางแก้ไข คือ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย บทลงโทษรุนแรง ฯลฯ
  • อันดับ 2 การใช้ความรุนแรง พกอาวุธ ปืน มีด สิ่งผิดกฎหมาย 32.76% แนวทางแก้ไข คือ เจ้าหน้าที่ดูแลกวดขัน เข้มงวด ตรวจตราการใช้อาวุธผิดกฎหมาย ไม่ละเว้นโทษแก่ผู้ใด ฯลฯ
  • อันดับ 3 การแพร่ระบาดของยาเสพติด 25.17% แนวทางแก้ไข คือ กวาดล้างให้หมดสิ้น ถอนรากถอนโคน จับกุมผู้ค้ารายใหญ่ ครอบครัวต้องดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ฯลฯ
  • อันดับ 4 ล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขืน 21.38% แนวทางแก้ไข คือ เพิ่มโทษให้หนัก ประหารชีวิต จับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ มุ่งเน้นปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ
  • อันดับ 5 ปัญหามลพิษ ฝุ่น ควัน 15.17% แนวทางแก้ไข คือ ภาครัฐแก้ปัญหาอย่างจริงจัง รักษาสิ่งแวดล้อม ประชาชนดูแลตัวเอง ใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ ฯลฯ

5.สิ่งที่อยากฝากบอกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ

อันดับ 1 บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ปรับปรุงบทลงโทษให้เหมาะสม 46.51%
อันดับ 2 ตรวจสอบการทำงานของกล้องวงจรปิดทุกจุดให้ใช้งานได้จริง 43.41%
อันดับ 3 เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน 20.54%
อันดับ 4 ทุกคดีที่เกิดขึ้นควรเร่งติดตาม จับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็ว 18.60%
อันดับ 5 นำเสนอข่าวที่เป็นจริง สร้างสรรค์ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน 16.67%

 

ประชาชนมองหน่วยงานรัฐแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไร้ประสิทธิภาพ จี้มาตรการจริงจังที่เป็นรูปธรรมในการควบคุม

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘การจัดการวิกฤตฝุ่นละออง’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15 – 16 ม.ค. 2563 จากประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร กระจายทุกระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,256 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการจัดการวิกฤติฝุ่นละอองในเขตกรุงเทพ สรุปผลดังนี้

เมื่อถามถึงการปฏิบัติตัวเมื่อเผชิญปัญหาจากวิกฤตฝุ่นละอองของประชาชน

ร้อยละ 69.98 สวมหน้ากากอนามัยเวลาออกนอกบ้าน
ร้อยละ 21.50 หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้าน
ร้อยละ 10.59 งดทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ร้อยละ 6.61 ใช้เครื่องฟอกอากาศ
ร้อยละ 5.41 ปิดประตู-หน้าต่างกันฝุ่น
ร้อยละ 3.66 ใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ทำอะไรเลย
ร้อยละ 3.50 ไม่สนใจ เพราะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง
ร้อยละ 3.18 ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ
ร้อยละ 2.23 ไม่สนใจ เพราะเป็นปัญหาเล็ก ๆ
ร้อยละ 1.83 ไม่สนใจ เพราะคิดว่าร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานดี
ร้อยละ 0.64 เดินทางไปอยู่ต่างจังหวัดที่ไม่มีฝุ่น
ร้อยละ 0.48 ไม่ได้ทำอะไร ไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้ออุปกรณ์ป้องกันฝุ่นละออง
ร้อยละ 0.32 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ปลูกต้นไม้ ฉีดน้ำบริเวณรอบบ้าน ขณะที่บางส่วนระบุว่า ซื้อเครื่องตรวจจับค่า pm 2.5 มาใช้

ด้านประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

ร้อยละ 2.47 มีประสิทธิภาพมาก เพราะ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีการจัดการแก้ปัญหาที่ดี

ร้อยละ 17.60 ร้อยละ ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ เพราะ มีการพ่นละอองน้ำเพื่อลดฝุ่น มีการแจ้งเตือนเขตพื้นที่สีแดง ทำให้ประชาชนได้เตรียมพร้อมรับมือ ขณะที่บางส่วน ไม่ได้เกี่ยวกับหน่วยงานภาครัฐ แต่เป็นที่ตัวบุคคลในการทำให้เกิดฝุ่นละออง

ร้อยละ 40.84 ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เพราะ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังแก้ไขได้ไม่ตรงจุด ทำงานไม่จริงจัง ไม่ต่อเนื่อง ควรมีมาตรการอย่างจริงจังที่เป็นรูปธรรมในการควบคุม เช่น การก่อสร้าง รถควันดำ หรือผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษ

ร้อยละ 36.22 ไม่มีประสิทธิภาพเลย เพราะ การจัดการของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังไม่มีการตื่นตัว ไม่มีการเเก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม ไม่มีความชัดเจน ปัญหายังเดิม ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น งานก่อสร้างต่าง ๆ รถประจำทาง/รถส่วนตัวยังมีควันดำ และร้อยละ 2.87 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อถามถึงการมีส่วนช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองของประชาชน

ร้อยละ 30.57 ช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการขับรถส่วนตัว
ร้อยละ 24.20 ฉีดน้ำล้างฝุ่นละอองหน้าบ้านตนเอง
ร้อยละ 23.09 หยุดเผาขยะ ใบไม้ เศษวัสดุ
ร้อยละ 21.66 ไม่มีส่วนช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง เพราะ การใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ทำอะไรหรือสร้างปัญหาอะไรเกี่ยวกับฝุ่น อยู่แต่ที่บ้าน/อาคารไม่ได้ไปไหน ขณะที่บางส่วนระบุว่า เนื่องจากจำเป็นต้องใช้รถส่วนตัวเพื่อไปทำงาน

ร้อยละ 16.96 ดับเครื่องยนต์ ทุกครั้งเวลาจอดรถ
ร้อยละ 8.20 หยุดการจุดธูป ประทัด
ร้อยละ 7.48 นำรถไปเข้าอู่เพื่อแก้ไขปัญหาควันดำ
ร้อยละ 2.23 หยุดการก่อสร้าง
ร้อยละ 3.50 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ใช้รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน หรือเดินแทนการใช้รถยนต์ ปลูกต้นไม้ และอยู่บ้านเพื่อลดการใช้รถ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ลดการใช้รถที่เติมน้ำมันดีเซล เปลี่ยนมาใช้รถที่เติมน้ำมันเบนซิน หรือ E20 แทน

 

 

 

]]>
1261198
ตลอดปี 2019 เมืองหลวงของนอร์เวย์ มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนน เพียง 1 คนเท่านั้น https://positioningmag.com/1259486 Mon, 06 Jan 2020 09:12:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259486 ความปลอดภัยบนถนนมีอยู่จริง (เเต่ไม่ใช่ในเมืองไทย) โดยตลอดปี 2019 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเฉพาะในกรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ เพียง 1 คน จากเหตุขับรถพุ่งชนรั้ว เเละนับเป็นครั้งเเรกที่ “ทั่วประเทศนอร์เวย์” ไม่มีเด็กอายุต่ำว่า 16 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเลย

อย่างไรก็ตาม สถิติภาพรวมของทั้งประเทศ มียอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอยู่ที่ 110 คน เทียบกับ 2018 อยู่ที่ 108 คน เพิ่มขึ้นมา 2 คน

จากตัวเลขที่เปิดเผยโดยสำนักบริหารความปลอดภัยสาธารณะของนอร์เวย์ดังกล่าว เเสดงให้เห็นว่า ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนในกรุงออสโลลดลงอย่างมาก จากที่เคยมีผู้เสียชีวิต 41 คนในปี 1975

โดยนอร์เวย์มียอดผู้เสียชีวิตจากการจราจร “ต่ำที่สุด” ในยุโรป เมื่อปี 2017 เเละมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุเพียง 20 เหตุการณ์ต่อประชากร 1 ล้านคนเท่านั้น

หากเปรียบเทียบกับกรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร ในปี 2019 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 126 คน ซึ่งเพิ่มขึ้น 22 คนจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2018 ก่อนหน้านี้สหราชอาณาจักร เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยทางถนนมากที่สุดในยุโรป เนื่องจากอุบัติเหตุทางจราจรที่มีผู้เสียชีวิตไม่ถึง 30 รายต่อประชากรหนึ่งล้านคน

ส่วนประเทศที่อันตรายที่สุดในยุโรปด้านความปลอดภัยทางถนน คือ “บัลแกเรีย”และ “โรมาเนีย” ซึ่งมีผู้เสียชีวิตโดยเฉลี่ยกว่า 90 คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน

บรรยากาศการสัญจรในกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ (Photo : Shutterstock)

Vision Zero : ลดอุบัติเหตุทางถนนในนอร์เวย์

นับตั้งเเต่ปี 2002 รัฐบาลนอร์เวย์ ดำเนินโครงการ “Vision Zero” ต่อเนื่องเเละยังคงบรรจุให้เป็นหนึ่งในแผนงานขนสาธารณะแห่งชาติของปี 2018-2029 โดยมุ่งสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนทั้งประเทศ มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบการขนส่งที่ไม่มีใครเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสจากการจราจร

ทางการมีการให้คำเเนะนำ ข้อจำกัดต่างๆ กับประชาชนเกี่ยวกับเขตการขับขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในใจกลางเมือง โรงเรียนหลายเเห่งในกรุงออสโลยังส่งเสริมความรู้ด้านความปลอดภัยบนถนนให้กับนักเรียน เเละทำงานกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อกำหนดโซนเเละเวลาจำกัดความเร็วใกล้สถานศึกษา นอกจากนี้รัฐยังเริ่มสร้างทางจักรยานที่เชื่อมต่อกันเป็นอย่างดี เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเดินทางด้วยรถสองล้อแทนที่จะเป็นสี่ล้อ

ด้าน Sadiq Khan นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน ก็เคยประกาศเป้าหมายที่จะทำให้การเดินทางทั้งหมดในเมืองหลวงปลอดรถยนต์ให้ได้ในปี 2041 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขนส่งในเมืองที่สอดคล้องกับ Vision Zero

‘อุบัติเหตุบนถนน’ ไทยติดอันดับ 9 ของโลก คร่าชีวิตเฉลี่ย 2 หมื่นคนต่อปี

mgronline รายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดทำรายงานสถานการณ์โลกด้านความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2018 พบว่า จากข้อมูลปี 2016 ทั่วโลกมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนประมาณ 1.35 ล้านคนต่อปี เฉลี่ย 3,700 คนต่อวัน เป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่คร่าชีวิตของเด็กและเยาวชนทั่วโลก โดยครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนน

สำหรับประเทศไทย องค์การอนามัยโลกได้ประมาณการอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 32.8 ต่อประชากรแสนคน เฉลี่ยปีละ 22,491 คน วันละ 60 คน ซึ่งอยู่อันดับที่ 9 ของประเทศสมาชิกทั้งหมด จากเดิมที่เคยอยู่อันดับ 2   

เเละหากดูยอดสถิติล่าสุดกว่านั้นก็คือช่วงฉลองปีใหม่ 2020 ที่ผ่านมา โดย ผลสรุปการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 7 วันอันตรายในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.2019 – 2 ม.ค. 2020 เกิดอุบัติเหตุรวม 3,421 ครั้ง
ผู้เสียชีวิตรวม 373 ราย ผู้บาดเจ็บ รวม 3,499 คน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ดื่มแล้วขับ รองลงมาคือขับรถเร็ว และไม่สวมหมวกนิรภัย

 

ที่มา : Only one person died on Oslo’s roads in 2019

]]>
1259486
Mastercard ซื้อกิจการ RickRecon สตาร์ทอัพประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย https://positioningmag.com/1258448 Wed, 25 Dec 2019 07:31:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258448 Photo : Pixabay

Mastercard ประกาศซื้อกิจการ RickRecon สตาร์ทอัพประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเเละเสริมเเกร่งความปลอดภัยขององค์กร

ความปลอดภัยไซเบอร์ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินรายใหญ่ของโลกอย่าง Mastercard

“ด้วยการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพของ AI และเทคโนโลยีขั้นสูงที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล RiskRecon จะเข้ามาเสริมกลยุทธ์และเทคโนโลยีที่มีอยู่ของเราเพื่อรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์” Mastercard ระบุในเเถลงการณ์

ด้าน Kelly White ซีอีโอของ RiskRecon มองว่าการเข้าร่วมกับ Mastercard ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้มีส่วนร่วมในองค์กรขนาดใหญ่ สามารถทำการขยายโซลูชั่นของบริษัทและช่วยบริษัทในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ในแต่ละภูมิภาคให้จัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับ RiskRecon สตาร์ทอัพดาวรุ่งจาก Salt Lake City ดำเนินธุรกิจโดยการนำเอาข้อมูลที่มีอยู่บนอินเทอร์เน็ตเข้ามารวมกันเพื่อประเมินความเสี่ยงโดยรวมขององค์กร เปิดตัวเมื่อปี 2015 สามารถระดมทุนได้ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูล Crunchbase โดยมีผู้ลงทุนรายใหญ่อย่าง Accel, Dell Technologies Capital, General Catalyst และ F-Prime Capital

อย่างไรก็ตาม Mastercard ไม่ได้เผยมูลค่าดีลในการเข้าซื้อ RiskRecon ครั้งนี้เนื่องจากต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ซึ่งคาดว่าจะปิดดีลได้ในไตรมาสแรกของปี 2020

 

ที่มา : techcrunch

]]>
1258448