จิราธิวัฒน์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 25 Nov 2025 06:30:12 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘พีช-พชร จิราธิวัฒน์’ เวลานี้คือโอกาสทองที่ SMEs จะโตเร็วที่สุด ถ้าว่องไวและทำให้เกิด Value มากพอ https://positioningmag.com/1548198 Fri, 21 Nov 2025 11:28:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548198 ไม่บ่อยนักที่ ‘พีช-พชร จิราธิวัฒน์’ จะขึ้นมาแชร์มุมมองในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด ที่พา Potato Corner ในไทยเติบโตได้เร็วมาก ยังไม่รวม UNO Coffee และข้าวโซอิ ซึ่งขณะที่หลายคนกำลังบ่นและกังวลเรื่องสภาพเศรฐกิจ เขากลับบอกว่า เวลานี้คือโอกาสทองที่ SMEs จะสามารถโตได้อย่างเร็ว ถ้าว่องไวและพยายามทำให้เกิด Value มากพอ

นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า แม้ Personal Branding หรือการมีชื่อเสียง จะส่งผลต่อการรับรู้แบรนด์และทำให้ธุรกิจเติบโต แต่นั่นเป็นสิ่งสำคัญเฉพาะช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เพราะในระยะยาวแล้ว แบรนด์ต้องสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง

เรื่องราวเหล่านี้ ‘พีช-พชร’ ได้แชร์บนเวทีเสวนาเรื่อง ทางรอด SMEs ไทย ในงาน BITKUB SUMMIT 2025 โดยเริ่มต้นเล่าถึงการเข้ามาในธุรกิจอาหารว่า เป็นความฝันตั้งแต่เป็นเด็กประถมที่อยากมีร้านอาหารเป็นอย่างตัวเอง เพราะเป็นคนชอบกิน และเมื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เจอเพื่อนกลุ่มนึงจึงอยากลองทำธุรกิจดู

“ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเลือกเรียนด้านธุรกิจ แล้วช่วงนั้นมีเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาชวนว่า อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ ซึ่งถ้าเป็นวัยรุ่นทั่วไปอาจจะตั้งวงดนตรี แต่เพื่อนเล่นดนตรีไม่เป็น เลยมองหากิจกรรมอื่นทำด้วยกันแทน”

กิจกรรมที่ว่า ก็คือ การทำร้านอาหาร โดยตอนแรกลองทำหลายโมเดล ทั้งร้านอาหารแบบ full service, ร้าน dining เต็มรูปแบบ แต่ด้วยประสบการณ์น้อยเมื่อลงมือทำจริงกลับพบปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็น การบริหารจัดการ ทั้งสต็อกวัตถุดิบและต้นทุนที่คุมยาก ทำให้ปรับโมเดลเรื่อย ๆ

กระทั่งเจอโปรดักต์ที่เหมาะกับตัวเอง นั่นคือ ‘ของกินเล่น’ ที่บริหารจัดการง่าย ไม่ซับซ้อน และตรงกับความชอบส่วนตัวของเขาที่ชอบกินสแน็กอยู่แล้ว จึงรวมตัวกันทำธุรกิจ ‘Potato Corner’ แฟรนไชส์ชื่อดังจากประเทศฟิลิปินส์

“โชคดีที่เพื่อนเล่นดนตรีไม่เป็น เพราะนั่นทำให้ได้มาทำธุรกิจด้วยกันจนถึงทุกวันนี้” 

เขาเล่าอีกว่า Potato Corner ในฟิลิปปินส์ จะเป็นร้านรถเข็นหรือคีออสขนาดเล็กมีรูปแบบง่าย ๆ ตั้งขายอยู่ตามตลาด ไม่มีที่นั่งกิน และแม้แบรนด์ดังกล่าวจะมี Playbook จาก Global Brand อยู่แล้ว แต่ด้วยคนไทยรสนิยมและพฤติกรรมการกินแตกต่างจากประเทศอื่น ทำให้การนำ Potato Corner เข้ามาไทยต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องสูตรอาหารและบรรยากาศของร้าน

สำหรับรสชาติอาหาร แบรนด์จะมี 4 รสชาติหลักที่เป็นเอกลักษณ์และเปลี่ยนไม่ได้ แต่ในรายละเอียดของรสชาติเรามีการปรับสูตรใหม่ทั้งหมดใช้เวลาทำ R&D นานถึงปีครึ่ง เพื่อให้ตรงกับรสนิยมการกินของคนไทยถึงเปิดตัวจริง และทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก จนได้สิ่งที่ถูกปากถูกใจลูกค้าไทย

ดังนั้น Potato Corner ในไทย จึงเป็นการ Localization ปรับให้เข้ากับคนในพื้นที่ ซึ่งนอกจากสูตรอาหารแล้ว    ยังรวมไปถึงรูปแบบร้าน และวิธีทำการตลาด ที่เรียกว่า ต้องออกแบบขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคไทยโดยเฉพาะ

“การแข่งขันของตลาด F&B ในไทยดุเดือดมาก ดังนั้นต้องจัดหนักกว่าตลาดอื่น ๆ ทั้งความคิดสร้างสรรค์และความละเอียดในการสื่อสาร แบบที่เรียกได้ว่า แทบจะต้องรื้อ Playbook จากต่างประเทศทิ้ง แล้วเขียนขึ้นใหม่ให้เหมาะกับบริบทของบ้านเรา”

หลายคนอาจมองว่า การเป็นคนดังมีชื่อเสียง พ่วงด้วยตำแหน่ง ‘ทายาทตระกูลจิราธิวัฒน์’ น่าจะเป็นใบเบิกทางชั้นดีกับธุรกิจของพีช-พชร ซึ่งเขาบอกว่า Personal Branding เป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ แต่ในระยะยาวแล้ว แบรนด์ต้องสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง

“ผมมองว่า Personal Branding ช่วยให้การเริ่มต้นของแบรนด์เดินได้เร็วขึ้น เพราะคนรู้จักเรา แต่วันหนึ่งถ้าเราไม่อยู่ แบรนด์จะไปต่อยังไง ถ้ามันผูกติดอยู่กับตัวเรามากเกินไป โดยสิ่งที่ผมคิดถึงความยั่งยืนในระยะยาวของธุรกิจ คือจะสร้างระบบยังไงให้แบรนด์อยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งตัวเรา”

เพราะในฐานะเจ้าของธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อทีมงาน ต่อคนที่ร่วมเดินทางกับเรา หากวันหนึ่งหากอยากไปทำอย่างอื่น หรือหลีกไปทำบทบาทอื่น ระบบที่สร้างไว้จะทำให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อได้ด้วยตัวเอง เป็นของที่ส่งต่อให้เขาได้จริง ๆ

ส่วนการใช้ Personal Branding เข้ามาช่วยสร้างธุรกิจจะดีหรือไม่ดี?

พีช-พชร มองว่า ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแต่ละธุรกิจและแนวคิดของแต่ละคน แต่สิ่งที่เขาเชื่อ คือ ถ้าไม่ผูกตัวเองกับแบรนด์มากเกินไป จะมีอิสระในการสร้างสรรค์มากขึ้นเพราะแบรนด์จะมี flexibility และ agility ในการเติบโต

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจไม่ดี จนหลายคนออกปาก ‘เป็น SMEs ลำบาก’ ทว่าเขากลับมองต่างออกไป โดยเชื่อว่า เวลานี้คือช่วงเวลาที่ SMEs จะโตได้เร็วที่สุด เพราะองค์กรใหญ่จะขับเคลื่อนได้ยากลำบากกว่า จากต้นทุนและภาระต่าง ๆ ที่แบกเอาไว้สูง

ขณะที่ SMEs สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า คล่องตัวกว่า และถ้าว่องไว พยายามทำให้เกิด Value ให้มากสุด ซึ่งพีช-พชร บอกว่า นั่นคือโอกาสทอง

“ช่วงนี้หลายคนเหนื่อย หลายคนท้อ ผมอยากให้กำลังใจว่า มันคือเวลาของเราจริง ๆ คือเวลาที่ทุกคนต้องสู้”

เมื่อมองย้อนมาดูผลประกอบการของบริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์จะพบว่า มีการเติบโตที่ดี

  • ปี 2564 รายได้ 414.2 ล้านบาท กำไร 1.7 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 528.2 ล้านบาท กำไร 25.3 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 652.9 ล้านบาท กำไร 35.4 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 790.5 ล้านบาท กำไร 62.1 ล้านบาท
]]>
1548198
ถอดแนวคิด ‘จิราธิวัฒน์’ ทำอย่างไรถึงลบคำสาป ‘รุ่น 3’ https://positioningmag.com/1542083 Wed, 08 Oct 2025 12:38:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542083 จากธุรกิจห้องแถว วันนี้ ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ได้เดินทางมาครบรอบ 78 ปี มีธุรกิจหลากหลายอยู่ใน 15 ประเทศ มียอดขายปีที่ผ่านมาแตะ 4 แสนล้านบาท ทำให้ใครๆ ต่างสนใจว่า ‘ตระกูลจิราธิวัฒน์’ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 5 ทำอย่างไรถึงพาธุรกิจเติบโตได้ขนาดนี้ภายใต้การเปลี่ยนผ่านจาก ‘รุ่นสู่รุ่น’ ขณะที่ธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่มักจะจบที่ ‘รุ่น 3’

 

ประเด็นนี้ ‘ปริญญ์ จิราธิวัฒน์’ รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล ได้มาแชร์แนวคิดการบริหารธุรกิจครอบครัวของตระกูลจิราธิวัฒน์ ในงานสัมมนาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย The 3rd SET Annual Conference on Family Business : Transforming Family Business ภายใต้หัวข้อ ‘ถอดรหัสความสำเร็จทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้ชนะอนาคต’

ปริญญ์เริ่มต้นเล่าว่า จิราธิวัฒน์ไม่เหมือนครอบครัวอื่น เพราะเป็นครอบครัวใหญ่ เนื่องจากคุณปู่ (เตียง จิราธิวัฒน์) เดินทางจากเมืองจีนมาเพียงลำพัง จึงอยากมีครอบครัวใหญ่เอาไว้ช่วยเหลือพึ่งพากัน ทำให้คุณปู่มีภรรยา 3 คน มีลูก 26 คน และตอนนี้จิราธิวัฒน์ได้เดินมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 5 รวมคนในตระกูลแล้ว 250 คน

 

สำหรับกลุ่มเซ็นทรัลปีนี้ครบรอบ 78 ปี เริ่มต้นจากธุรกิจห้องแถว และปัจจุบันมี 4 บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนยอดขายของกลุ่มปีที่ผ่านมาแตะ 400,000 ล้านบาท และมีธุรกิจใน 15 ประเทศ เป็นรายได้จากต่างประเทศ 35-40% แต่ทำกำไรให้ยังไม่ถึง 10%

 

กติกาต้องชัดเจน-โปร่งใส-เป็นธรรม

 

ส่วนวิธีบริหารธุรกิจครอบครัวของจิราธิวัฒน์ที่ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลเติบโตมาถึงจุดนี้ ประเด็นแรก ‘ต้องมีกฎกติกาชัดเจน โปร่งใสและเป็นธรรม’ โดยพยายามแยก ‘ครอบครัว’ และ ‘ธุรกิจ’ ออกจากกัน เพราะการมีโครงสร้างชัดเจน จะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งและทำให้การบริหารงานเป็นมืออาชีพมากขึ้น

 

รวมถึงได้มีการตั้ง ‘สภาครอบครัว’ และคณะกรรมการภายใน เพื่อบริหารเรื่องต่างๆ ภายในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการวางกฎกติกา, บริหารจัดการสวัสดิการ ไปจนถึงการหารือประชุมเรื่องต่างๆ ทั้งลงทุน คัดคน แต่งตั้งผู้บริหาร และกำหนดนโยบาย ซึ่งจะมีการประชุมภายในก่อนจะนำไปสู่ภายนอก หรือ Public company

 

“สภาครอบครัวและคณะกรรมการภายใน จะเน้นให้ครอบครัวแต่ละสายเข้ามาให้ครบเพื่อความโปร่งใสและยุติธรรม เรื่องนี้สำคัญมากจะช่วยลดความขัดแย้ง”

 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำ ‘ธรรมนูญครอบครัว’ ขึ้นมา เป็นกฎกติกาและแนวทางปฏิบัติที่ถือเป็น ‘กฎเหล็ก’ ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม

 

“ก่อนหน้านี้ตระกูลจิราธิวัฒน์เคยมียุคที่ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจ 1- 2 คน แต่พอเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ปรับครั้งใหญ่ และเราโชคดีได้ ‘วิโรจน์ ภู่ตระกูล’ มาให้ข้อคิดและเป็นกรรมการ รวมถึงทำธรรมนูญครอบครัวขึ้นมา ซึ่งมีกฎกติกามากมายเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับทุกคนในครอบครัว”

‘ความสามารถ’ สำคัญกว่า ‘อาวุโส’

 

การบริหารธุรกิจครอบครัวเรื่องสำคัญที่สุด คือ ต้องให้ทุกคนกินดี อยู่ดี มีเงินใช้ไม่ขัดสน เพื่อให้ทุกคนมีความสุข และการจะเป็นเช่นนั้นได้ ต้องมี ‘ผู้บริหารที่ดี ทำงานเก่ง’ เพื่อพาบริษัทและธุรกิจเติบโตไปข้างหน้า

 

เพราะเมื่อบริษัทหรือธุรกิจมีปัญหา ทุกคนจะเดือดร้อน และปัญหาครอบครัวจะตามมา ดังนั้น การคัดเลือก ‘คน’    เข้ามาทำงานหรือบริหารธุรกิจในเครือเซ็นทรัลจึงสำคัญมาก

 

ปริญญ์เล่าว่า ด้วยมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวถึง 250 คน แต่ใช่ว่า ‘ทุกคน’ จะเข้ามานั่งบริหาร โดยหลักการคัดเลือก จะมีกติกาและแนวทางปฏิบัติชัดเจนอยู่แล้ว นั่นคือ ‘ธรรมนูญครอบครัว’ ไม่ใช่ว่าเป็นเบอร์ 1 หรือผู้บริหารแล้วจะสั่งหรือทำตามใจได้

 

หนึ่งในหลักที่พูดถึง คือ เน้น ‘ความสามารถ’ มากกว่า ‘ความอาวุโส’ ยกตัวอย่าง การขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัลของ ‘ทศ จิราธิวัฒน์’ ที่ ณ ตอนนั้นมีอายุ 50 ปี ขณะที่มีผู้อาวุโสอายุมากกว่าถึง 20 คน นั่นก็มาจากการให้ความสำคัญกับเรื่องความสามารถ ไม่ใช่ยึดหลักอาวุโส 

 

“การลำเอียงและการทะเลาะเป็นเรื่องปกติ ถึงต้องสร้างกฎกติกาที่ยุติธรรม โปร่งใส ให้ทุกคนมีความสุข ไม่เช่นนั้นเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยๆ และต้องบาลานซ์แต่ละครอบครัวเข้ามาอยู่ในคณะกรรมการ

 

“ที่สำคัญต้องพยายามสร้างความปรองดองในครอบครัวให้เกิดขึ้นมาก ๆ และต้องสั่งสอนให้คนในครอบครัวรู้ด้วยว่า ความเป็นพี่เป็นน้อง คนอายุมากกว่าไม่จำเป็นต้องขึ้นมาเสมอไป ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถ”

 

บ่มเพาะความพร้อมทายาท

 

การเตรียมความพร้อมให้ทายาทรุ่นต่อไปที่จะเข้ามาสานต่อธุรกิจ เป็นอีกเรื่องที่ทางจิราธิวัฒน์ให้ความสำคัญ โดยจะมี Mentor อยู่ 7-8 คนที่นอกจากจะเป็นคนในตระกูลแล้ว บางครั้งจะมีคนนอกด้วย

 

Mentor แต่ละคนจะดูแลทายาท 5-6 คน และต้องเจอกันทุก 3 เดือน เพื่อเล่าให้ฟังว่า ทำงานอะไร อยากทำอะไร จากนั้น Mentor จะให้คำแนะนำ และทุกๆ 2-3 ปี ทายาทจะมีการหมุนเปลี่ยน Mentor ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เรียนรู้และได้รับการพัฒนาที่หลากหลาย

 

ขณะเดียวกันก็จะมีคอร์สอบรมทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงให้เรียนรู้จากการทำงานจริงตั้งแต่ระดับล่างค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมา เพื่อให้หมุนเวียนทำความรู้จักโปรดักต์และเรียนรู้ธุรกิจทั้งหมดของกลุ่ม เพื่อบ่มเพาะให้ทายาท ‘เก่ง’ และมี ‘ความพร้อม’ มากที่สุด

 

นอกจากนี้ ยังพยายามสร้างให้มีการแข่งขัน เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีความอยากเติบโต มีความกระตือรือร้น และอยากสร้างผลงาน แต่หลักสำคัญ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการแข่งขันแบบ ‘ไม่รักกัน’

 

ห้ามขายหุ้นให้คนนอก

 

แม้ธรรมนูญครอบครัว จะเป็นกฎเหล็กที่ทุกคนในจิราธิวัฒน์ต้องปฏิบัติตาม แต่ก็มีการปรับปรุงเรื่อยๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเหมาะสมกับช่วงเวลาในแต่ละยุค โดยที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงไปแล้ว 3-4 ครั้ง

 

ทว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่จะไม่มีการเปลี่ยนหรือปรับเด็ดขาด นั่นคือ ‘ห้ามขายหุ้นให้คนนอก’ เพราะสำคัญมากในการคงอยู่ของธุรกิจครอบครัวเพื่อไม่ให้เสียคอนโทรล รวมไปถึงทำให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจที่ถูกสร้างมาตั้งแต่รุ่นที่ 1 จะยังคงอยู่ในมือของครอบครัวต่อไป  

 

สุดท้าย ปริญญ์ฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัวในอนาคตว่า ผู้นำไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แต่ต้อง ‘ยุติธรรม’ และ ‘โปร่งใส’ เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นๆ ในครอบครัวได้เห็นและปฏิบัติตาม

 

ส่วนตอนนี้ที่ ‘ทายาทรุ่น 4 จิราธิวัฒน์’ ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล เขา ยังไม่ได้ให้โจทย์อะไรเป็นพิเศษ เพียงต้องการให้แต่ละคนพัฒนาตัวเองให้เก่ง ให้มีความรู้มากที่สุด ซึ่งทุกๆ 2 ปี ทายาทแต่ละคนจะต้องโยกย้ายไปทำงานในยูนิตต่างๆ ของกลุ่ม เพื่อในอนาคตจะสามารถพากลุ่มเซ็นทรัลเติบโตไปข้างหน้าได้

]]>
1542083
‘เซ็นทรัล ทำ’ สานต่อภารกิจความยั่งยืน สร้างการเปลี่ยนแปลงจาก ‘พลังร่วมมือทำ’ https://positioningmag.com/1516001 Tue, 25 Mar 2025 10:45:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1516001 เพราะความยั่งยืน เป็นหนึ่งนโยบายที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ บวกกับความเชื่อมั่นที่ว่า ‘การเติบโตของธุรกิจ ต้องเดินไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล’ ทำให้ ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ได้ขับเคลื่อนนโยบายนี้ผ่านโครงการ ‘เซ็นทรัล ทำ’ ภายใต้แนวคิด ‘เซ็นทรัล ทำ ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ’ ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 8 ปี

 

โครงการดังกล่าว เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกัน (Creating Shared Values : CSVs) ให้ธุรกิจและสังคมเติบโตไปพร้อม ๆ กันอย่าง ‘ยั่งยืน’ ตาม 6 แนวทาง ประกอบด้วย

 

แนวทางที่ 1 Community – พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

แนวทางที่ 2 Inclusion – การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม

แนวทางที่ 3 Talent – พัฒนาศักยภาพที่เป็นเลิศของบุคลากร

แนวทางที่ 4 Circularity – ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

แนวทางที่ 5 Climate – การฟื้นฟูสภาพอากาศ

แนวทางที่ 6 Nature – การอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

 

ปัจจุบันเซ็นทรัล ทำ ได้ดำเนินงานใน 44 จังหวัด โดยปี 2567 ได้สร้างงานและสนับสนุนอาชีพให้แก่คนพิการกว่า 1,100 คน, สร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 1,700 ล้านบาท, ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในชุมชนมากกว่า 150,000 ราย, สนับสนุนและพัฒนาโรงเรียน 192 แห่ง, เพิ่มพื้นที่สีเขียวและฟื้นฟูป่ากว่า 19,385ไร่

 

ลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารกว่า 19,254 ตัน, ลดปริมาณขยะที่เข้าสู่หลุมฝังกลบกว่า 43,663 ตัน, ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 1,430 สถานที่, ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา 215 แห่ง และผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากถึง 207,176 เมกะวัตต์-ชั่วโมง

พิชัย  จิราธิวัฒน์  กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า ในปี 2568 เซ็นทรัล ทำยังเดินสานหน้าต่อภารกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยหลักคิดที่ว่า เน้น ‘คุณภาพ’  มากกว่า ‘ปริมาณ’ โดยพยายามสร้างให้แต่ละชุมชนที่เข้าไปให้กลายเป็น ‘ชุมชนแข็งแรง’ อย่างยั่งยืน มากกว่าจะเน้นเพิ่มจำนวนชุมชนหรือจำนวนจังหวัดให้มากขึ้น

 

สำคัญไปกว่านั้น ทุกที่ที่เซ็นทรัล ทำ เข้าไป ชาวบ้านต้องร่วมมือและลงมือทำไปด้วยกัน เพื่อให้พวกเขารู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ เกิดความภูมิใจ และพร้อมใจกันช่วยพัฒนาต่อได้ในระยะยาว ซึ่งแต่ละที่จะมีการตั้ง KPI วัดความสำเร็จจาก Pain Point ของแต่ละพื้นที่

 

“ก่อนเราจะเข้าไปทำโครงการที่ไหน เราจะลงไปสัมผัสในพื้นที่นั้นก่อนว่าเป็นอย่างไร มี Pain point อะไร โดยเราจะเริ่มจากจังหวัดที่มีธุรกิจของเซ็นทรัล เพราะเราต้องใช้คนในเซ็นทรัลเป็นคนทำ และดึงให้ทุกคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมสร้างการพัฒนาแบบยั่งยืน”

 

ความคืบหน้าในปี 2568 ของ 4 จังหวัดต้นแบบ

 

1.จังหวัดน่าน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ อ.นาน้อย ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ปลูกไม้ยืนต้น ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และพัฒนาผลผลิตเพื่อเตรียมเข้าสู่การจดทะเบียนเป็นสินค้า GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) เช่น ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า โกโก้ มะม่วงหิมพานต์ รวมถึงส่งต่อไปยังธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล เช่น ท็อปส์ ฯลฯ โดยในปี 2567 สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชน 10 ล้านบาท

 

ด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมสร้างฝาย แหล่งน้ำ ระบบกระจายน้ำ ช่วย 50 ครัวเรือนทำเกษตรอินทรีย์ ลดภัยแล้ง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 2,800 ไร่ ส่วนด้านการศึกษา พัฒนาโรงเรียนชุมชนบ้านอ้อยครบวงจร สนับสนุนห้องเรียน ICAP ทักษะ EF, STEM, ห้องสมุด จัดตั้งห้องทักษะอาชีพ สนับสนุนห้องกีฬาปันจักสีลัต และคอมพิวเตอร์ ฯลฯ

 

2.จังหวัดอยุธยา ความสำเร็จของเกษตรกรบ้านหมู่ใหญ่ใน หรือ ‘กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา’ ต.คู้สลอด อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ผลิตเมล่อนภายใต้ชื่อ Smile Melon” สามารถเปิดช่องทางการขายในตลาดไปยังประเทศสิงคโปร์ และยังคงมียอดการสั่งต่อเนื่องมาถึงปี 2568 รวมยอดที่ส่งออกไปสิงคโปร์ 25.2 ตัน รายได้รวม 2 ล้านบาท

ด้านสิ่งแวดล้อม เน้นยกระดับการจัดการของเสียทางการเกษตร โดยฟาร์มเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนานำเมล่อนที่เน่าเสียมาเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงไก่ โดยมีแผนขยายโครงการไปยังชุมชนเกษตรและโรงเรียน รวมถึงเพิ่มการใช้ประโยชน์จากของเสียทางการเกษตร เช่น ฟางข้าวและผักตบชวา ฯลฯ

 

นอกจากนี้ได้พัฒนาโรงเรียนวัดหนองไม้ซุง สนับสนุนฐานเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ทักษะกีฬาเทเบิลเทนนิส และความเป็นอยู่ของนักเรียน พร้อมขยายเครือข่ายคนพิการเข้าสู่โครงการส่งเสริมอาชีพ โดยมีเป้าหมายปี 2568 ต้องการขยายเครือข่ายคนพิการที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพให้มากขึ้น

 

3.จังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา อ.แม่ออน ได้พัฒนา ‘พื้นที่วิถียั่งยืนแม่ทา’ ตั้งแต่ปี 2560 สร้างเกษตรอินทรีย์ต้นแบบและผลักดันคนรุ่นใหม่สู่บทบาทเกษตรกรรุ่นใหม่ พร้อมสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคารอบรมห้องคัดแยกเมล็ดพันธุ์ อาคารคัดบรรจุผักมาตรฐาน อย. ตลอดจนรถขนส่งห้องเย็น ฯลฯ

 

นอกจากนี้ได้ดำเนินการจัดการขยะ ณ ตลาดจริงใจ แปรรูปขยะอินทรีย์ 7.52 ตัน เป็นปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ รีไซเคิลวัสดุ 8.74 ตัน เตรียมเปิดศูนย์การเรียนรู้ด้านการจัดการขย ปี 2568 และพร้อมขยาย “กาแฟสร้างป่า” ที่แม่แจ่ม ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,570 ไร่ ในปี 2568 จะเริ่มดำเนินโครงการความริเริ่มไม่เผา Zero Burning Initiatives ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อต่อสู้กับมลพิษ PM2.5 ในเชียงใหม่ เป็นต้น

 

4.จังหวัดชัยภูมิ วิสาหกิจชุมชนปลูกพืชเศรษฐกิจบ้านเทพพนา อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เป็น 1 ใน 7 ของผู้ปลูกอะโวคาโด พันธุ์แฮสส์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นสายพันธุ์คุณภาพระดับโลกสู่เกษตรอัจฉริยะแบบยั่งยืน และเพาะเห็ดเรืองแสง  สิรินรัศมี เพื่อแก้ปัญหาโรคพืชในการปลูกอะโวคาโด ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้แก่สมาชิกวิสาหกิจชุมชน 40 ล้านบาท และขยายผลเครือข่ายผู้ปลูกอะโวคาโดเป็น 1,000 ราย

 

นอกจากนี้ ได้พัฒนาต่อยอดด้านการท่องเที่ยวชุมชนเชิงเกษตรอินทรีย์ ร่วมกับสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด โดยสร้างศูนย์การเรียนรู้ 2 อาคาร สามารถรองรับผู้เข้าอบรมและนักท่องเที่ยวรวมทั้งหมด 14,000 คน โครงการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวและส่งเสริมนวัตกรรมเกษตรยั่งยืน ครอบคลุม 5,000 ไร่ ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาดินเสื่อมโทรมและรายได้ไม่มั่นคง โดยส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง เช่น อะโวคาโด, แมคคาเดเมีย, ทุเรียน และกาแฟโรบัสต้า เป็นต้น

“หัวใจสำคัญของเซ็นทรัล ทำ คือได้ขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า และสะท้อนถึงแนวคิดการเติบโตของธุรกิจต้องเดินไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น ชุมชน คู่ค้า ลูกค้า หรือพนักงาน นำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน” พิชัยทิ้งท้าย

]]>
1516001
เปิดจดหมาย “กลุ่มเซ็นทรัล” ตอบนายกฯ อัดงบ 550 ล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจศูนย์การค้าในเครือ https://positioningmag.com/1276801 Tue, 05 May 2020 04:41:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1276801 กลุ่มเซ็นทรัลตอบรับนโยบายรัฐบาลภายหลังได้รับจดหมายจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยทุกธุรกิจในเครือยินดีให้การสนับสนุน ชูแนวทางฟื้นฟูสังคม และเศรษฐกิจทั้ง 3 มิติ ได้แก่ การสร้างอาชีพเสริมรายได้ การลดค่าครองชีพ และการส่งเสริมสุขภาพ

ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า

“สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและเป็นวิกฤตที่ทั่วโลกต้องเผชิญ ครอบครัวจิราธิวัฒน์ และกลุ่มเซ็นทรัลได้ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญต่อความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการปรับแนวทางการแก้ปัญหา เข้ากับแผนของความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมบูรณาการให้เกิดความยั่งยืน เริ่มตั้งแต่มาตรการช่วยเหลือพนักงานในเครือกว่า 74,000 ราย โดยคงสถานะการจ้าง และการมอบประกันภัยโควิด-19 ให้กับทุกคน รวมถึงได้มีการริเริ่มโครงการต่าง ๆ ภายในปี 2563 โดยมุ่งไปที่กระบวนการ ภายใต้ความต้องการพื้นฐานทั้ง 3 ส่วน อันได้แก่

1. มาตรการสร้างอาชีพ เสริมรายได้

  • กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างรายได้ โดยการให้พื้นที่ขาย 90,000 ตร.ม. ใน 100 ศูนย์การค้าใน 44 จังหวัด และผ่านช่องทางออนไลน์ มูลค่ารวมกว่า 550 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจในเครือของเซ็นทรัล อาทิ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า โรบินสันพลาซ่า ท็อปส์พลาซ่า และ ไทวัสดุ ให้พื้นที่ฟรี เพื่อสนับสนุนให้ชุมชน เกษตรกร และผู้ประกอบการขนาดเล็ก กว่า 16,000 รายใน 44 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้เข้ามาขายสินค้า เป็นเวลา 3-6 เดือน คาดว่าจะเกิดการหมุนเวียนในเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้เกษตรกร และผู้ค้ารายย่อย กว่า 3,500 ล้านบาท ในปี 2563 นอกจากนี้ยังจัดช่องทางการขายออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ ท็อปส์ออนไลน์ JD central เซ็นทรัลออนไลน์ และโรบินสันออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น อีกทั้งยังสนับสนุนการประชาสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มยอดขาย
  • อนุมัติวงเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อรับซื้อสินค้าโดยตรงจากเกษตรกร และชุมชน เป็นการรับซื้อสินค้าโดยตรงจากเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน สินค้าเกษตร โอทอป เอสเอ็มอี นำมาจำหน่ายในศูนย์การค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ สนับสนุนให้ชุมชนและเกษตรกรมีรายได้ 25,000 ครัวเรือน ใน 42 จังหวัด
  • สร้างอาชีพแก่ชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่น รวมถึงการช่วยเหลือคนพิการให้มีอาชีพ ใช้ งบประมาณ 150 ล้านบาท

โครงการ เซ็นทรัล ทำ เป็นโครงการด้านความรับผิดชอบสังคม ของกลุ่มเซ็นทรัล ที่ได้ดำเนินการแล้วและยังคงทำต่อเนื่อง เร่งขยายวงกว้างเพื่อสร้างอาชีพ อาทิ การให้ความรู้ในด้านการเกษตร พัฒนาผลิตภัณฑ์ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยการสนับสนุนการสร้างอาชีพให้คนพิการ พัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และอื่น ๆ ซึ่งสนับสนุนเกษตรกร ชุมชน คนพิการ นักเรียน รวมกว่า 30,000 ครัวเรือน ใน 50 จังหวัด

  • สร้างแพลตฟอร์มระดมทุนออนไลน์ (Crowdfunding Platform) ให้คนที่ต้องการเริ่มธุรกิจใหม่แต่ยังขาดเงินทุน รวมถึงสนับสนุนนักเรียน โรงเรียน โรงพยาบาล และงานวิจัย ตั้งเป้าการระดมทุนกว่า 100 ล้านบาท

2. มาตรการลดค่าครองชีพ

  • ลดและตรึงราคา สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นกว่า 3,000 รายการ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยซูเปอร์มาร์เก็ต ในกลุ่มเซ็นทรัล ร่วมโครงการกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และผู้ผลิตสินค้าในการลดราคา 5-68% ในท็อปส์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตลอดปี 2563 และการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอีกกว่า 23,000 รายการ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม โดยจะไม่มีการขึ้นราคาในช่วง 90 วัน
  • ลดราคาอาหาร 20% ในศูนย์อาหาร 87 แห่ง ใน 43 จังหวัด โดยจัดให้มีอาหารราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 19 บาท ที่เซ็นทรัลฟู้ดคอร์ท 33 แห่ง โรบินสันฟู้ดคอร์ท 24 แห่ง และ ท็อปส์ฟู้ดคอร์ท 30 แห่ง
CentralPlaza RM2

3. มาตรการส่งเสริมสุขภาพ

  • สร้างมาตรฐานใหม่เพื่อเป็นแผนแม่บทในการทำธุรกิจให้ปลอดภัยเพื่อป้องกันการระบาดโดยใช้มาตรการ สะอาด ปลอดภัย ในศูนย์การค้าและผู้เช่าทุกราย ทุกตารางเมตร โดยกลุ่มเซ็นทรัลได้จัดทำมาตรการเชิงรุกในการสร้างมาตรฐานสุขอนามัยใน 5 ด้าน 75 มาตรการ เพื่อถือปฏิบัติสำหรับทุกธุรกิจในศูนย์การค้าเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัส
  • งบประมาณรวมกว่า 40 ล้านบาท ในการสนับสนุนเงินและอุปกรณ์ทางการแพทย์ มอบให้กับ 30 โรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อบุคลากรทางการแพทย์รับมือกับโรคโควิด-19 ผ่านทางแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมอีก 15 ล้านบาท สำหรับการจัดทำห้องปลอดเชื้อ ให้โรงพยาบาล และมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่เดือดร้อน
]]>
1276801