ชา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 14 Nov 2024 08:45:34 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เวียดนาม” ส่งออกชาแซงหน้าญี่ปุ่น 9 เดือนแรกส่งออกชาไปแล้วกว่า 189 ล้านเหรียญสหรัฐ https://positioningmag.com/1498531 Tue, 12 Nov 2024 08:09:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498531 เวียดนาม” ถือเป็นประเทศที่มีการผลิตใบชาและมีความนิยมในการดื่มชาเป็นจำนวนมาก ทำให้ตลาดใบชาเวียดนามได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภายในสิ้นเดือนกันยายนปี 2024 มีการส่งออกใบชาเวียดนามไปแล้วประมาณ 108,000 ตัน เพิ่มขึ้น 31.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 189 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 34.2% เทียบกับช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ที่เวียดนามเป็นผู้ส่งออกชาอันดับ 8 ของโลก และมีรายได้ 135 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการส่งออกชาประมาณ 78,000 ตัน

Hoang Vinh long ประธานสมาคมใบชาเวียดนาม (Vietnamese Tea Associatio) กล่าวว่า เวียดนาม มีจังหวัดที่มีชื่อเสียงในการเพาะปลูกใบชา อย่าง Yen Bai, Ha Giang และ Son La (จังหวัดในภาคเหนือของเวียดนาม) ซึ่งถือเป็นจุดแข็งในการเพาะปลูกใบชาเนื่องจากสภาพอากาศและดินเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นชา ทำให้ได้ผลผลิตในปริมาณที่เยอะแม้จะมีพื้นที่เพาะปลูกที่ลดลง

อีกทั้งมีผู้เชี่ยวชาญและผู้บริโภคจากต่างประเทศที่ชื่นชมคุณภาพใบชา และเชื่อมั่นว่าใบชาเวียดนามสามารถแข่งขันกับใบชาประเทศอื่น ๆ ได้ ทำให้ใบชาเวียดนามมีการส่งออกไปกว่า 100 ประเทศ โดยมีตลาดหลักได้แก่ ปากีสถาน ไต้หวัน รัสเซีย จีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป นอกจากนั้นยังมีการแปรรูปชาประมาณ 15 ประเภท โดยสินค้าหลักคือ ชาดำและชาเขียว

เมื่อเปรียบเทียบการบริโภคชาระหว่างประเทศและในประเทศในปี 2022 พบว่า ภายในประเทศมีการขายใบชาไป 48,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 325 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ด้านการส่งออกมีการส่งออกใบชาไปกว่า 146,000 ตัน สร้างมูลค่าประมาณ 237 ล้านเหรียญสหรัฐ

เนื่องจากใบชาเวียดนามมีราคาส่งออกยังไม่สูงมาก โดยมีราคาส่งออกเฉลี่ยน้อยกว่า ราคาของประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดียและศรีลังกาที่มีราคาสูงกว่าเวียดนามเฉลี่ย 35% และ 55 % จึงทำให้เวียดนามกลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกชารายใหญ่อันดับที่ 5 ของโลก

จากข้อมูลของ TradelMax เผยว่าในปี 2022 เวียดนามอยู่ในอันดับที่ 8 ของผู้ส่งออกชา โดยอันดับ 1 คือ จีน มีมูลค่าการส่งออก 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 2 คือ เคนย่า มูลค่า 1.39 พันล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 3 คือ ศรีลังกา มูลค่า 1.24 พันล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 4 อินเดีย มูลค่า 752 ล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 5 UAE มูลค่า 440 ล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 6 โปแลนด์ มูลค่า 253 ล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 7 เยอรมัน มูลค่า 235 ล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 8 เวียดนาม มูลค่า 223 ล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 9 ญี่ปุ่น มูลค่า 170 ล้านเหรียญสหรัฐ และ อันดับ 10 อังกฤษ มูลค่า 123 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในขณะที่ประเทศไทย สินค้าในกลุ่มชาและผลิตภัณฑ์ชาที่ไทยส่งออกมากที่สุด คือ สินค้าชาสำเร็จรูป โดยในช่วงปี 2560 – 2564 ไทยส่งออกสินค้าชาสด ชาหมักและชาผงสำเร็จรูปเฉลี่ย 47.31 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

ทั้งนี้ Nguyen Quoc Manh รองผู้อํานวยการกรมการผลิตพืชผลของเวียดนาม กล่าวว่า ปริมาณชาที่บริโภคในประเทศมีเพียงหนึ่งในสามของปริมาณการส่งออกชา แต่มูลค่าของการบริโภคภายในประเทศนั้นสูงกว่า เวียดนามจึงต้องหาวิธีเพิ่มมูลค่าการส่งออก ซึ่งยังคงเป็นเรื่องที่มีความท้าทายสําหรับอุตสาหกรรมชาของเวียดนามอย่างมาก

ที่มา : VietnamPlus

]]>
1498531
รู้จัก ‘Mixue’ แบรนด์สุดร้อนแรงของจีนที่เริ่มจาก ‘น้ำแข็งไส’ สู่แบรนด์ ‘ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ’ 3 แสนล้าน https://positioningmag.com/1457984 Tue, 09 Jan 2024 04:02:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457984 เชื่อว่าในช่วงปีที่ผ่านมา หลายคนน่าจะต้องเห็นแบรนด์ที่ขายไอศกรีมและเครื่องดื่มแสนสะดุดตาอย่าง Mixue (มี่เสวี่ย) เพราะด้วยโลโก้ลายตุ๊กตาหิมะสีขาวกับพื้นหลังสีแดงสดแสนสะดุดตา  และชื่อแบรนด์ที่แอบอ่านยาก ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ Mixue จะเป็นแบรนด์ที่คนไทยค้นหาเป็นอันดับต้น ๆ บน Google ซึ่ง Positioning จะพาไปรู้จักกับ Mixue ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

หากวัดจากแบรนด์ที่มีการค้นหาผ่าน Google ในไทย Mixue เป็นรองแค่สุกี้ตี๋น้อยและชาตรามือเท่านั้น โดยหนึ่งในสาเหตุคนไทยให้ความสนใจแบรนด์ Mixue คงหนีไม่พ้น สาขา ที่ขยายอย่างรวดเร็ว และ ราคา ที่เข้าถึงได้ โดยเพียงระยะเวลาแค่ 1 ปี ก็สามารถขยายสาขามากกว่า 200 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คำถามคือ Mixue เป็นใคร ทำไมถึงขยายสาขาได้เร็วขนาดนี้?

จุดเริ่มต้นของ Mixue นั้นต้องย้อนไปเมื่อ 26 ปีก่อน ในปี 1997 นักศึกษาชายปี 4 นามว่า จาง หงเซา (Zhang Hongcho) เป็นผู้ให้กำเนิด ในตอนแรก จางไม่ได้มีไอเดียเปิดร้านไอศกรีม แต่เริ่มต้นจาก ร้านขายน้ำแข็งไส เนื่องจากจากเคยมีประสบการณ์เป็นพนักงานพาร์ตไทม์ในร้านน้ำแข็งไสมาก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่เวิร์ก

จากนั้นจางก็ปรับจากน้ำแข็งไสแบบเดิมมาเป็น บิงซู พร้อมเปิดร้านร้านใหม่ชื่อ Mixue Bingcheng (แปลว่า ปราสาทหิมะรสน้ำผึ้ง) แต่จุดเปลี่ยนสำคัญมาจากกระแส ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ จากญี่ปุ่นกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในจีน ทำให้ Mixue ลองบ้าง แต่จุดสำคัญที่ทำให้แบรนด์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็คือ ราคา โดย Mixue ขายเพียง 2 หยวน หรือประมาณ 10 บาท เท่านั้น จากที่ตลาดขายกันอยู่ประมาณ 10 หยวน หรือประมาณ 50 บาท จากนั้น Mixue ก็เพิ่มสินค้าอื่น ๆ เข้ามา อาทิ ชานมไข่มุก, น้ำผลไม้ และสมูทตี้

โดยสาเหตุที่ทำให้ Mixue สามารถทำราคาได้ดีกว่าคู่แข่งก็คือ การพัฒนาระบบการบริหาร Supply Chain เป็นของตัวเอง ทำให้ Mixue มีต้นทุนที่ถูกกว่าคู่แข่งถึง 20% แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ราคาที่ทำให้ Mixue มาได้ไกลขนาดนี้ แต่การตลาดของแบรนด์ก็เป็นจุดสำคัญ ด้วยโลโก้ ตุ๊กตาหิมะสีขาว ตัดกับพื้นหลังสีแดง และยังมีเพลงโฆษณาฮิตติดหู

จนมาปี 2007 จางก็ตัดสินใจขายแฟรนไชส์ Mixue Ice Cream & Tea ทำให้สามารถขยายสาขาในจีนได้อย่างรวดเร็ว และในปี 2008 ก็ได้ขยับออกจากจีนโดยเปิดสาขาแรกที่ เวียดนาม จนปัจจุบัน Mixue ได้ขยายไปใน 11 ประเทศ มีสาขามากกว่า 30,000 สาขา มากสุดเป็น อันดับ 5 ของโลก เป็นรองเพียงแมคโดนัลด์, ซับเวย์, สตาร์บัคส์ และ เคเอฟซี

ทั้งนี้ รายได้ของ Mixue ปี 2021 อยู่ที่ 1.36 หมื่นล้านหยวน (ราว 6.6 หมื่นล้านบาท) พิ่มขึ้น 31.15% เมื่อเทียบเป็นรายปี กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.3% และช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 1.54 หมื่นล้านหยวน (7.4 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยมีกำไรสุทธิ 51%

และเพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศ ขยายกำลังการผลิต และปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ Mixue มีแผนจะทำ IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยตั้งเป้าจะระดมทุนให้ได้ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.4 หมื่นล้านบาท จากที่ก่อนหน้านี้ Mixue เคยระดมทุนได้รวม 8.5 พันล้านหยวน หรือราว 4.25 หมื่นล้านบาท และหากการ IPO ครั้งนี้สำเร็จ มีการประเมินว่า Mixue จะมีมูลค่าบริษัทกว่า 3.3 แสนล้านบาท

สำหรับประเทศไทย Mixue ตั้งเป้าไว้ว่าจะเปิดแฟรนไชส์ให้ได้ 2,000 สาขา ภายใน 3 ปี สำหรับใครที่สนใจจะซื้อแฟรนไชส์ Mixue ก็อาจจะต้องมีทุนหนาสักหน่อย เพราะต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า 30 ตร.ม. และต้องจ่าย

  • ค่าแฟรนไชส์ 50,000 บาทต่อปี

  • ค่าการจัดการ 25,000 บาทต่อปี

  • ค่าฝึกอบรม 10,000 บาทต่อปี

  • ประกัน 100,000 บาท

  • อุปกรณ์ 450,000 บาท

  • วัตถุดิบ 250,000 บาท

  • ค่าตรวจสอบรายปี ในกรุงเทพฯ 2,500 บาท และ ต่างจังหวัด 5,000 บาท

คงต้องรอดูกันว่าปราสาทน้ำแข็งรสน้ำผึ้งของ King Snowman จะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะด้วยความที่ตลาดส่วนใหญ่มีสินค้าคล้าย ๆ กัน ทำให้การแข่งขันค่อนข้างรุนแรง และหากจะใช้แค่กลยุทธ์ด้านราคาจะยั่งยืนเพียงพอหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป

]]>
1457984
‘สิงห์ปาร์ค’ ปั้นผลไม้เกรดพรีเมี่ยม สร้างการเติบโตต่อยอดแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร https://positioningmag.com/1371481 Fri, 28 Jan 2022 04:00:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371481

‘สิงห์ปาร์ค เชียงราย’ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยขนาดพื้นที่กว่า 8,600 ไร่ถือเป็น 1 ในแลนด์มาร์คสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของเชียงรายตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา และนอกจากได้พัฒนาพื้นที่เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดแล้ว ยังเป็นพื้นที่สำคัญในการจัด Big Event อย่าง ‘ฟาร์ม เฟสติวัล ออน เดอะ ฮิลล์’ มหกรรมคอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ และ ‘เทศกาลบอลลูนนานาชาติ’ ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมทั้งกิจกรรมกีฬาต่าง ๆ แต่ด้วยการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลโดยตรงต่อภาคการท่องเที่ยว แน่นอนว่าคำถามสำคัญจากนี้คือ ทิศทางของสิงห์ปาร์คจะเป็นอย่างไรต่อไป


มากกว่ากำไรขาดทุน คือธุรกิจรอบข้าง

คุณพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เล่าย้อนไปถึงเมื่อปี 2526 ในตอนนั้นยังคงใช้ชื่อว่า ‘ไร่บุญรอด’ ถือเป็นพื้นที่ทำการเกษตรขนาดใหญ่ ด้วยนโยบายของรัฐบาลในสมัยนั้นขอความร่วมมือบริษัทฯ ใหญ่ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ จึงทำให้สิงห์ปาร์คได้จัดหาพื้นที่สำหรับใช้ปลูกข้าวบาร์เลย์ เพื่อลดการนำเข้า แต่อย่างไรก็ดีโครงการที่ว่านี้ ได้ยุติไปด้วยสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกวัตถุดิบดังกล่าว

จนเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา คุณสันติ ภิรมย์ภักดี เล็งเห็นว่าควรพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ประกอบกับจังหวัดเชียงรายมีความโดดเด่นในเรื่องของธรรมชาติ ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดี สวยงาม อากาศดี อีกทั้งวิถีชีวิตของผู้คนที่มีความเรียบง่าย มีศิลปวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ และรวมถึงต้องการให้ความสําคัญกับการพัฒนาชุมชนในเขตพื้นที่โดยรอบ ควบคู่กันไปกับการช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในพื้นที่ จึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “สิงห์ปาร์ค เชียงราย” จนถึงในปัจจุบันได้กลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในจังหวัดเชียงราย


พร้อมรับนักท่องเที่ยว ยืนยันมาตรการเที่ยวแบบปลอดภัย

ก่อนหน้าที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 สิงห์ปาร์คมีแผนที่จะยกระดับงาน Big Event ให้เป็นระดับ World Class Destination แต่ด้วยสถานการณ์ที่ความไม่แน่นอน Big Event อย่าง “ฟาร์ม เฟสติวัล ออน เดอะ ฮิลล์” และ “เทศกาลบอลลูนนานาชาติ” ที่ปกติมีคนมาร่วมงานหลักหมื่นคนก็ต้องชะลอไปก่อน

ด้วยความที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นสถานที่เปิดโล่ง ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก บนพื้นที่ขนาดกว่า 8,600 ไร่ ทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่สามารถเที่ยวได้อย่างปลอดภัยและอุ่นใจ  ดังนั้นหนึ่งในแผนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสิงห์ปาร์คในปีนี้จะเน้นไปทางกลุ่มครอบครัว Family Occasion และท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติมากขึ้น

โดยมีกิจกรรม อาทิ Singha Park Camping ที่พักแบบเต็นท์แคมป์ และลานกางเต็นท์ ให้ได้สัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิด ล่าสุดกับ Cargo Bar-B-Q ลานกิจกรรม outdoor ท่ามกลางบรรยากาศขุนเขา พร้อมด้วยอาหาร เครื่องดื่ม และวงดนตรีสดจากศิลปินท้องถิ่น หมุนเวียนประจำสัปดาห์ รวมถึงเปิดโซนกิจกรรมใหม่ ๆ อย่างเช่น จุดเบลนชา “Blend Your Own Tea”  สวนสัตว์ “Mini Zoo Touching and Feeding” เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น มีกิจกรรมครบครันสำหรับทุกเพศทุกวัย


“เราเป็นภาคเอกชนที่ยังจัดกิจกรรม เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในจังหวัด เพราะหน้าหนาวเป็นช่วงไฮซีซั่น ถ้าเราไม่จัด ผู้ประกอบการคนอื่น ๆ เขาเองก็อยู่ไม่ได้ เพราะเขาต้องปิดมาทั้งปีแล้ว”


มุ่งสู่ผลไม้พรีเมี่ยม

ด้วยความที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ มีพื้นที่ทำการเกษตรขนาดใหญ่ การพลิกให้ภาคเกษตร เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้และสามารถเอื้อประโยชน์ต่อเกษตรกรท้องถิ่น จึงเป็นสิ่งที่อยู่ในแผนการทำงานอยู่แล้ว ดังนั้น สิงห์ปาร์ค จึงจะมุ่ง สร้างแบรนด์ผลไม้พรีเมียมภายใน 5 ปี โดยจะเน้นความพิเศษทั้งเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย รวมถึงควบคุมการปลูกในพื้นที่จำกัด เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี จำหน่ายถึงมือผู้บริโภค ที่ผ่านมา สิงห์ปาร์คได้มีการพัฒนาสินค้าเกษตรเป็นสิ่งที่สิงห์ปาร์คทำมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันผลผลิตทางการเกษตรเด่น ๆ มีมากมาย อาทิ กล้วยหอมทอง, พุทราซื่อหมี่, เมล่อนญี่ปุ่น, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, ข้าวโพดเพียวไวท์ฮอกไกโด, แมคาเดเมีย และผักสลัดออร์แกนิค เป็นต้น

ล่าสุดผลไม้ที่สามารถทำตลาดในต่างประเทศได้ อย่าง กล้วยหอมทอง” ที่ได้รับมาตรฐาน JGAP เป็นรายแรกของประเทศไทย ซึ่ง JGAP เป็นมาตรฐานที่เข้มงวดและดีที่สุดในด้านการจัดการฟาร์มเพื่อให้เกิดความปลอดภัยด้านอาหารและความยั่งยืนทางเกษตรกรรมของญี่ปุ่น สามารถซื้อไปรับประทานได้อย่างมั่นใจ และมีคุณภาพระดับนำไปวางขายที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นได้ โดยมีแผนการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นภายในปี 2565

พุทราซื่อหมี่” พันธุ์นำเข้ามาจากต่างประเทศ ได้นำมาปรับปรุงพันธุ์ จนเป็นสายพันธุ์พิเศษเฉพาะที่สิงห์ปาร์ค มีผลขนาดใหญ่ เนื้อแน่น กรอบ หวาน โดยจะออกผลผลิตช่วงฤดูหนาวเพียงปีละหนึ่งครั้ง ในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์

อีกหนึ่งสินค้าขึ้นชื่อที่เรียกได้ว่าเป็น Product Champion ของสิงห์ปาร์ค นั่นก็คือ “เมลอนญี่ปุ่น” สายพันธุ์โมมิจิ (เนื้อสีส้ม) และสายพันธุ์คิโมจิ (เนื้อสีเขียว) ความพิเศษของสายพันธุ์ดังกล่าว คือ เป็นสายพันธุ์ญี่ปุ่นแท้ ประกอบกับวิธีการปลูกตามแบบฉบับของญี่ปุ่น ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น ให้คำแนะนำและ Know Howในการปลูก ทำให้ผลผลิตที่ได้มีรสชาติใกล้เคียงกับต้นฉบับ รสชาติหวาน ฉ่ำ เนื้อแน่นเนียน กึ่งนุ่มกรอบมีความละมุน กลิ่นหอมติดปาก ด้วยความพร้อมทั้งในเรื่องของโรงเรือนเมล่อนที่ได้มาตรฐานและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ทำให้สิงห์ปาร์ค เชียงราย สามารถปลูกเมลอนได้ตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ยังมี ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ที่ในประเทศไทยยังมีการปลูกไม่มากนัก เริ่มต้นด้วยการนำสายพันธุ์มาจากออสเตรเลีย ทั้งหมด 2 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ Biloxi ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน และพันธุ์ Sharp blue ที่ปลูกยากแต่ให้ผลดก ได้นำมาพัฒนาต่อยอดเพาะพันธุ์เพิ่ม ได้แก่ บลูเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่ และแบล็คเบอร์รี่ ทำให้ได้ผลขนาดใหญ่ รสสัมผัสเข้มข้น โดยผลไม้ตามฤดูกาลต่างๆ เปิดให้สั่งจองผ่านทาง Line Official Account @SinghaParkShop มีบริการจัดส่งทั่วประเทศ

ทั้งพุทราซื่อหมี่ เมลอน และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ของสิงห์ปาร์ค เชียงราย การันตีด้วย ThaiGAP และ GAP การรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารที่มีคุณภาพและความปลอดภัย ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้สำหรับฟาร์มหรือแหล่งปลูกที่ดําเนินการตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสม

ผลผลิตจากสิงห์ปาร์ค เราปลูกในพื้นที่จำกัด เพื่อควบคุมคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานเจาะตลาดพรีเมียม เพราะเราไม่ต้องการไปแข่งขันกับผู้เล่นในท้องถิ่น โดยเราพยายามส่งต่อองค์ความรู้ให้ชาวบ้านเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพเช่นกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลชุมชนรอบข้าง”

 อีกหนึ่งในผลผลิตทางการเกษตรที่โดดเด่นคือ ชา โดยสิงห์ปาร์คมีพื้นที่ใช้ทำการเกษตรอยู่ที่ประมาณ 3,055 ไร่ เป็นพื้นที่การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีไร่ชาครอบคลุมพื้นที่กว่า 600 ไร่

โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นโครงการ ได้แก่

1. สำหรับผลิตชาภายใต้แบรนด์  “สิงห์ปาร์ค เชียงราย” มีทั้งชาอู่หลง, ชาไทย, ชาอัสสัมและชาผลไม้ ผ่านกระบวนการปลูก การผลิต แปรรูป อย่างพิถีพิถันโดยผู้เชี่ยวชาญการเกษตรในด้านชา และทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญธุรกิจชามายาวนานกว่า 30 ปี

2. สำหรับผลิตเป็นชาเขียวมัทฉะและชาเขียวญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์ “มารุเซ็น” ที่ได้รับความร่วมมือจากผู้ผลิตชาเขียวรายใหญ่ จากประเทศญี่ปุ่น ผลิตชาเขียวเกรดพรีเมี่ยมในกระบวนการวิธีการผลิตแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ถือเป็นบริษัทที่ผลิตชาเขียวมาตรฐานญี่ปุ่นแห่งแรกในประเทศไทยและแห่งเดียวในอาเซียน

ด้วยพื้นที่เพาะปลูกและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ปัจจัยการผลิตที่ครบครัน มีโรงงานผลิตและแปรรูปที่ได้มาตรฐานระดับนานาชาติ ทำให้สิงห์ปาร์คเชียงราย วางเป้าหมายสู่การยกระดับมาตรฐานและสร้างอัตลักษณ์ชาไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

“ต่างชาติเขามีอัตลักษณ์ชาของตัวเอง อย่างชาซีลอน ชาอู่หลง ส่วนไทยมีชาสีส้ม ๆ ซึ่งต่างชาติยังไม่ยอมรับ ดังนั้นเราเองก็ต้องสร้างอัตลักษณ์ของตัวเอง และกระบวนการยกระดับก็คือ การแปรรูป” พงษ์รัตน์เสริม

 สุดท้าย เรามองว่าจังหวัดเชียงรายนอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และสร้างรายให้กับจังหวัดเป็นจำนวนมากแล้ว  การพัฒนาพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลไม้เกรดพรีเมี่ยมคุณภาพดีน่าจะเป็นอีกสิ่งที่สร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับพี่น้องจังหวัดเชียงรายได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเติมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องชาวจังหวัดเชียงราย… 

#เชียงราย #สิงห์ปาร์ค #สิงห์ปาร์คเชียงราย #ผลไม้พรีเมียม #กล้วยหอมทอง #พุทราซื่อหมี่ #เมลอน #เบอร์รี่

]]>
1371481
เปิดอินไซต์ ‘ฟู้ดเดลิเวอรี่’ ช่วงโควิดระลอก 3 ‘ปริมณฑล’ ครองแชมป์ ชา-กาแฟ-ตำปูปลาร้า เมนูยอดฮิต https://positioningmag.com/1340078 Thu, 01 Jul 2021 08:53:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1340078 ย้อนไปเมื่อคืนวันที่ 26 มิ.ย. ได้มีราชกิจจานุเบกษา ได้แพร่คำสั่ง ศบค. ฉบับล่าสุดได้ยกระดับ 10 พื้นที่สีแดงใน 10 จังหวัด ประกอบด้วย กทม., นครปฐม, นนทบุรี, นราธิวาส, ปทุมธานี, ปัตตานี, ยะลา, สงขลา, สมุทรปราการ และสมุทรสาคร โดย ‘ห้ามนั่งกินข้าวในร้านอาหาร’ ให้เปิดดำเนินการเฉพาะการซื้อแบบนำกลับไปบริโภคที่อื่นเท่านั้น ทาง ‘LINE MAN Wongnai’ (ไลน์แมนวงใน) ก็ได้ออกมาเปิดข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงโควิดระลอก 3 เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2564 เพื่อเป็นแนวทางในการปรับตัวรับมือ พร้อมออก 6 มาตรการ #Saveร้านอาหาร ช่วยสนับสนุนร้านอาหารในช่วงวิกฤต

ปริมณฑลครองแชมป์แซงกรุงเทพฯ

สำหรับ 5 เขต-อำเภอที่มีคนสั่งมากที่สุด กลายเป็นเขตรอบนอกกรุงเทพฯ ได้แก่

  • อำเภอเมือง สมุทรปราการ
  • อำเภอเมือง นนทบุรี
  • อำเภอบางพลี สมุทรปราการ
  • อำเภอบางบัวทอง นนทบุรี
  • อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี

สำหรับสาเหตุที่พื้นที่นอกกรุงเทพฯ ติดอันดับพื้นที่ที่มีคนสั่งมากที่สุดเนื่องจากคน Work from Home กันมากขึ้น ในขณะที่พื้นที่ กรุงเทพฯ ที่มีคนสั่งมากที่สุด คือ เขตจตุจักรและลาดกระบัง ในขณะที่เขตชั้นใน แชมป์เก่าอย่าง ปทุมวันและวัฒนา กลับไม่ติด Top 10 ซึ่งหมายถึงเป็นโอกาสดีของร้านรอบนอกกรุงเทพฯ ส่วนร้านในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ ก็ลำบากขึ้นเพราะผู้บริโภคหายไปจากในเมือง

วันและเวลาที่มีการสั่งเดลิเวอรี่สูงที่สุด

วันอาทิตย์, วันศุกร์ และวันเสาร์ เป็นวันที่มีออเดอร์สูงที่สุดตามลำดับ ช่วงเวลาที่มีออเดอร์สูงที่สุดคือ

  • 11:00-12:00 น.
  • 12:00-13:00 น.
  • 13:00-14:00 น.
  • 18:00-19:00 น.
  • 19:00-20:00 น.

ขณะที่ระยะทางเฉลี่ยที่ผู้ใช้ LINE MAN สั่งอาหารคือ 3.19 กิโลเมตร ซึ่งลดน้อยลงจากในอดีต

Photo : Shutterstock

กาแฟอาหารจานเดียวนิยมมากสุด

ในส่วนของ 5 ประเภทร้านอาหารที่คนนิยมสั่งเดลิเวอรี่สูงสุด ได้แก่

  • ร้านกาแฟ
  • ร้านอาหารจานเดียว
  • ร้านอาหารตามสั่ง
  • ร้านก๋วยเตี๋ยว
  • ร้านอาหารไทย

ทั้งนี้ เทรนด์ร้านอาหารที่เปลี่ยนไปจากปี 2020 คือ ร้านกาแฟ กลับมาเป็นที่นิยมติด อันดับ 1 จากเดิมอยู่ อันดับ 7 ขณะที่ ร้านก๋วยเตี๋ยว ตกไปอยู่ อันดับ 4 เดิมเป็นอันดับ 1 ส่วน ร้านฟาสต์ฟู้ด ขึ้นมาเป็น อันดับ 7 เดิมไม่ติด Top 10 ในขณะที่ร้านอาหารเกาหลี/ญี่ปุ่น หลุดโผ Top 10 ครั้งแรก

สำหรับ 10 เมนูที่ถูกสั่งเยอะที่สุด ได้แก่ กาแฟ, ชา, โกโก้, ตำปูปลาร้า, คอหมูย่าง, ข้าวมันไก่, ลาบหมู, หมูปิ้ง, หมูสามชั้น และปาท่องโก๋ ตามลำดับ โดยราคาเฉลี่ยต่อจานที่คนกดสั่งมากที่สุด คือ 60-70 บาท

เมนูที่ถูกสั่งตามช่วงเวลาเยอะที่สุด

  • ช่วงเช้า (6:00-9:00 น.) กาแฟ, หมูปิ้ง, ปาท่องโก๋, ชา, โกโก้, ข้าวมันไก่, โจ๊ก, ต้มเลือดหมู, ไข่ลวก และโก๋กรอบ ตามลำดับ
  • ช่วงกลางวัน (9:00-21:00 น.) กาแฟ ยังคงเป็นเมนูที่ถูกสั่งเยอะที่สุดในช่วงกลางวัน ตามมาด้วย ชา, ตำ, คอหมูย่าง, โกโก้, ลาบหมู, ข้าวมันไก่, หมูสามชั้น, ข้าวผัด และแซลมอน/แซลมอนเบิร์น
  • ช่วงค่ำ (หลัง 21:00 น.) นิยมอาหารอีสาน ได้แก่ หมูสามชั้น, ตำ, คอหมูย่าง และลาบหมู ตามมาด้วย ข้าวต้ม, ไส้กรอก, ข้าวมันไก่, ข้าวผัดหมู, ส้มตำ และยำ

ขณะที่อายุของผู้บริโภคที่สั่งเดลิเวอรี่ ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก กลุ่มวัยเรียนและ First Jobber อายุ 20-24 ปีสั่งเดลิเวอรี่สูงสุด (22.8%) ตามด้วย กลุ่มวัยทำงาน อายุ 30-34 ปี (22.4%) และ 25-29 ปี (21.9%) เพศหญิง 71.1% เพศ ชาย 28.89%

6 มาตรการหนุนร้านอาหาร

1.ร้านอาหารสามารถเลือกได้ว่าจะขายแบบ Non-GP หรือ GP หากเลือกขายแบบ Non-GP จะไม่ต้อง เสียส่วนแบ่งรายได้เลย ลูกค้าจ่ายค่าส่งตามระยะทางจริง ส่วนถ้าเลือกขายแบบ LINE MAN GP ลูกค้าจะได้ ค่าส่งเริ่มต้นที่ 0 บาท เลือกสลับระหว่าง Non-GP และ GP ได้เองผ่าน Wongnai Merchant App

2.ร้านใหม่ขายแบบ GP ฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียม 15 วัน สำหรับร้านอาหารที่ไม่เคยเข้าร่วมการขายออนไลน์แบบ GP มาก่อน ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2564 สมัครได้ที่ https://bit.ly/3jwXHov

3.ช่วยร้านกระตุ้นยอดขาย แจกคูปองส่วนลดให้ร้าน โค้ดส่วนลด 80 บาทสำหรับลูกค้าใหม่ พร้อมกับกรอบรูปสำหรับโปรโมตให้ร้านนำไปใช้ได้ฟรี ส่วนลูกค้าทั่วไปมีโค้ดส่วนลด 30 บาท สำหรับการสั่งในทุกออเดอร์จากทั้งร้านอาหาร GP และ Non-GP

4.ยกเว้นค่า GP สำหรับการใช้งานฟีเจอร์ Self Delivery (ระบบร้านรับ-ส่งเอง) และ Pickup (รับที่ร้าน) ไม่คิดค่าธรรมเนียม จากเดิมคิด 5% ของยอดขาย สำหรับร้านที่มีบุคลากรจัดส่งเอง หรือลูกค้าสะดวกมารับที่หน้าร้าน

5.Wongnai Deals #ช่วยเชฟSaveร้าน ช่วยสนับสนุนเชฟร้านอาหารกลุ่มไฟน์ไดนิ่งให้ขายได้ผ่านการขายดีลพรีออเดอร์อาหารล่วงหน้าแบบส่งถึงบ้าน โดยไม่คิดค่า GP

6.ให้พื้นที่สื่อโปรโมตร้านบนช่องทางทั้งหมดของ LINE MAN Wongnai ฟรี และถ่ายภาพอาหารเพื่อโปรโมตร้านให้ฟรีจากช่างภาพมืออาชีพ สำหรับร้านอาหารในพื้นที่ 6 จังหวัดควบคุม กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร

นอกจากนี้ LINE MAN Wongnai ยังได้อุดหนุนร้านอาหารในพื้นที่ควบคุม 6 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากการงดนั่งรับประทานอาหารที่ร้านและมีวัตถุดิบอยู่เป็นจำนวนมากแต่ไม่สามารถค้าขายได้ตามปกติ โดยนำมาปรุงเป็นอาหารเพื่อส่งมอบต่อให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าในโรงพยาบาลพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงได้เป็นตัวกลางในการบริจาคอาหารให้กับชุมชนต่าง ๆ รวมกว่า 50 ชุมชนทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล

]]>
1340078