ชิค-อะ-บูม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 29 Apr 2022 11:25:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ชำแหละกลยุทธ์ ‘ชิค-อะ-บูม’ จากเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ลั่นกลองรบด้วย ‘ไก่ชิ้นใหญ่’ ท้าชน ‘KFC’ https://positioningmag.com/1383453 Fri, 29 Apr 2022 09:45:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383453 ย้อนไปช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา The Pizza Company ก็ได้แตกแบรนด์ไก่ทอด ‘ชิค-อะ-บูม’ (Chick-A-Boom) จากปกติที่ร้านได้มีขายเมนู ปีกไก่บาร์บีคิว ซึ่งถือว่าเป็นเมนูที่หลายคนสั่งคู่กับพิซซ่าจนครองสัดส่วนยอดขายถึง 10% แต่จากการที่ทดลองขายได้ประมาณ 1 ไตรมาส ก็ถึงเวลาที่จะรุกตลาดไก่ทอดอย่างจริงจัง โดยไม่ได้ขายแค่ไก่ชิ้นเล็ก แต่มาขายไก่ใหญ่เต็มตัว

ก้าวสู่สงครามไก่ทอดเต็มตัว

ในตอนแรกที่ The Pizza Company เปิดตัว ไก่ทอด ชิค-อะ-บูม หลายคนอาจจะมองว่าเป็นแค่กิมมิกทางการตลาด มาเพื่อสร้างสีสัน เพราะก่อนนี้เมนูไก่ก็มีแค่ ปีกไก่บาร์บีคิว, ปีกไก่ทอดสไตล์เกาหลี แถมไก่ทอดชิค-อะ-บูม ยังทำแค่ ปีกไก่ชิ้นเล็ก แต่พอชิค-อะ-บูม หันมาจับตลาดไก่ชิ้นใหญ่ด้วย Chick-A-Boom Big Chick (ชิค-อะ-บูม บิ๊กชิค) แปลว่าแบรนด์กำลังก้าวเข้าสู่ตลาดไก่ทอด (QSR) เต็มตัว

สาเหตุที่ชิค-อะ-บูมเริ่มมาทำไก่ใหญ่ ภานุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป็นเพราะฟีดแบ็กจากลูกค้า ที่บ่นว่า “ทำไมไม่ทำไก่ทอดชิ้นใหญ่ รู้ไหมว่าเขาต้องเสียเวลาสั่งไก่ทอดอีกรอบ” ขณะที่ช่วงไตรมาสแรกที่เปิดตัวไก่ทอดชิค-อะ-บูมไป ก็ได้ผลตอบรับที่ดี มีอัตราการเติบโตถึง 70% จนทำให้ยอดขายปีกไก่บาร์บีคิวลดลงไปถึง 10%

“เราแตกเป็นชื่อแบรนด์ชิค-อะ-บูม เพราะต้องการให้คนแยกระหว่างเรากับพิซซ่า เพราะ The Pizza มาทำไก่ ความรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวจริงมันก็ยังอยู่ เราเลยต้องแตกแบรนด์ที่สื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไก่ออกมาจริง ๆ แต่เราก็มีศักดาที่ออกมาจากแบรนด์ใหญ่”

ภานุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด จำกัด (มหาชน)

ขายความพรีเมียม เน้นสร้างแบรนด์

ปัจจุบัน ตลาดไก่ทอด QSR มีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แบรนด์เบอร์ 1 มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 65% อย่างไรก็ตาม ในตลาดไก่ทอดมีความน่าเบื่อ มีรสชาติเดิม ๆ แถมตลาดยังเน้นที่โวลุ่มมากกว่าคุณภาพ ดังนั้น จะเห็นว่าแต่ละแบรนด์อัดโปรกันอย่างหนักเพื่อช่วงชิงตลาด จนปัจจุบันราคาเฉลี่ยเหลือแค่ชิ้นละไม่ถึง 30 บาท ดังนั้น ชิค-อะ-บูมจะเน้นไปจับตลาดพรีเมียมมากกว่าจะไปเล่นเรื่องราคา โดยจะโฟกัสลูกค้า The Pizza เป็นหลักก่อน

“เราก็พยายามทำราคาให้ดีเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาลอง โดย Chick-A-Boom Big Chick เริ่มต้นที่ชิ้นละ 45 บาท, 2 ชิ้น ราคา 89 บาท, 5 ชิ้น ราคา 219 บาท และ 10 ชิ้น ราคา 419 บาท จะเห็นว่าราคาสูงกว่าคู่แข่งเกือบเท่าตัว แต่เราจะไม่ลดราคาเพื่อเน้นทราฟฟิก หรือให้ความสำคัญกับการขายมากกว่าสร้างแบรนด์”

ที่ผ่านมา ยอดใช้จ่ายของลูกค้า The Pizza ในร้านเฉลี่ยอยู่ที่ 600 บาท/บิล หรือ 200 บาท/คน ส่วนใหญ่มา 3-4 คน ส่วนช่องทางเดลิเวอรี่จะมียอดการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 500 บาท/บิล ส่วนแบรนด์เบอร์ 1 ในตลาดไก่ทอดมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 150 บาท จะเห็นว่ากลุ่มลูกค้าของ The Pizza มีกำลังซื้อมากกว่า

“เราเล่นตลาดเดียวกับเขาไม่ได้ เพราะต้นทุนเราแพงกว่า เหมือนกับตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีแบรนด์พรีเมียมออกมา ก็สร้างความปั่นป่วนให้ตลาด เราเลยเชื่อว่าเอาโปรดักส์ที่ใช่ไปในกลุ่มที่ใช่จะสามารถสร้างความต่างได้ ซึ่งถ้าของดีจริงลูกค้าพร้อมจะจ่าย เพราะเขามองหาความอร่อย”

ขอเวลา 3 ปีพิสูจน์ตัวเอง

ที่ผ่านมา The Pizza ได้เปิดขายไก่ทอดชิค-อะ-บูม ในสาขาของ The Pizza Company ที่เป็นรูปแบบ Restaurant กว่า 220 สาขา (จากสาขา The Pizza Company ทั้งหมด 416 สาขา) โดยให้บริการในรูปแบบ Dine-in และ Take Away รวมทั้งมี ‘Chick-A-Boom Pop-up Store’ (ชิค-อะ-บูม ป็อปอัพ สโตร์) โดยออกแบบเป็น Shop in Shop จำนวน 15 สาขาภายในร้าน The Pizza Company ที่เป็นรูปแบบ Full Service Restaurant ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

อย่างไรก็ตาม The Pizza มองว่าถ้า 3 ปีจากนี้แบรนด์ชิค-อะ-บูม ได้รับการตอบรับที่ดี สามารถรักษาการเติบโตของตัวเองได้ก็ มีโอกาสที่จะแตกแบรนด์ออกมา ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้จากสินค้ากลุ่มไก่ที่มีประมาณ 9 SKU ที่ 1,500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาทำรายได้ 800 ล้านบาท โดยคาดว่าจะใช้งบการตลาดประมาณ 50 ล้านบาท

“ในตลาด Food ตอนนี้ถ้าภายใน 3 ปีอยู่ไม่ได้ก็ไปต่อไม่ได้ ถ้าเราสามารถสร้างการเติบโตของตัวเองได้ สร้างกำไรได้เราก็มีโอกาสแตกแบรนด์ออกมา ซึ่งเรามั่นใจว่าสินค้าเราดี เราอาจไม่ได้ทำไก่มาเป็นร้อยปี แต่เรามั่นใจเรื่องแป้ง เพราะเราทำพิซซ่า เราอยู่กับแป้งมาเป็นร้อยชนิด และเรารู้ว่าลูกค้าเราต้องการอะไร”

เลิกหวังลูกค้ากลับร้าน

แม้ว่าปีที่ผ่านมา The Pizza Company จะมีการเปิดโมเดลใหม่ The Pizza Company Signature เรียกว่าเป็นการปรับโฉมทั้งตัวร้าน และเมนู เพื่อกระตุ้นยอดขายการมาทานที่ร้านโดยเฉพาะ ซึ่งเมนูของที่นี่จะไม่มีบริการเดลิเวอรี่ แต่ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายโดยรวมของ The Pizza Company มาจากช่องทาง Delivery ถึง 50% Take Away 30% ส่วน Dine-in 20% จากก่อนที่เกิดสถานการณ์ COVID-19 ทั้ง 3 ส่วนเท่า ๆ กันหมด

ทำให้ The Pizza Company เริ่มมองว่าควร ไปตามน้ำ มากกว่า เพราะมองว่าตอนนี้คงไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว อย่างก่อนหน้านี้เมนูไก่ชิค-อะ-บูมจากเดิมที่ขายเฉพาะ Dine-in ปัจจุบันก็ให้บริการผ่าน Delivery แล้ว

“ตอนนี้คนเปลี่ยนพฤติกรรมไปแล้ว เราจะไปเปลี่ยนกลับคงไม่ถูก ดังนั้นลูกค้าชอบแบบไหนเราควรไปอยู่ตรงนั้นมากกว่า เราเลยไปเน้นในส่วนที่มันเติบโตดีกว่า โดยจะเน้นที่ชาแนลของเป็นหลัก เพราะเราควบคุมคุณภาพและเวลาได้ จากนี้จะมีแคมเปญใหญ่ด้านเดลิเวอรี่ออกมา”

Photo : Shutterstock

ความท้าทายใหญ่พิซซ่าไม่ใช่ตัวเลือกแรก

สำหรับตลาดพิซซ่าในไทยนีลเซ่นระบุว่ามีมูลค่าราว 15,000 ล้านบาทเติบโต 3% ส่วน The Pizza Company ครองส่วนแบ่งการตลาด 75% โดยในปีที่ผ่านมาเติบโตประมาณ 6% สำหรับในปี 2022 แม้ไตรมาสแรกจะสามารถเติบโตได้ 7% แต่เพราะมีแคมเปญ ซื้อ 1 แถม 1 ช่วยกระตุ้น ดังนั้น ในช่วงไตรมาส 2-3 คงจะไม่ได้เติบโตเท่ากับไตรมาสแรก และอาจจะเริ่มกลับมาช่วงไตรมาส 4 หากมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น ดังนั้น ตั้งเป้าว่าภาพรวมทั้งปีจะทรงตัวที่ 7,000 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมา

แม้ The Pizza จะยังเติบโตได้แต่ความท้าทายคือ ตลาดอาหารเริ่มเปิด พิซซ่าไม่ใช่ตัวเลือกแรกอีกต่อไป ดังนั้น แบรนด์เองก็ต้องพยายามหาเมนูใหม่ ๆ แคมเปญใหม่ ๆ มาเพื่อกระตุ้นตลาด ส่วนอีกความท้าทายของการตลาดไก่ทอดคือ การแข่งขันกับเบอร์ 1 ที่งบในการทำตลาดเยอะกว่า แต่เชื่อว่าด้วยกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนจะสร้างโอกาสให้กับแบรนด์

]]>
1383453
The Pizza Company ลุยเปิด “ชิค-อะ-บูม ป็อปอัพ สโตร์” 15 สาขา เสริมทัพ “เมนูไก่ทอด” https://positioningmag.com/1371707 Wed, 26 Jan 2022 04:33:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371707 หลังจากที่เดือนธันวาคม 2564 The Pizza Company ได้เปิดตัวแบรนด์ลูกน้องใหม่อย่าง “ชิค-อะ-บูม” (Chick-A-Boom) เป็นการบุกตลาดไก่ทอดอย่างเต็มตัว ล่าสุดได้ปูพรมขยายสาขาแบบป็อปอัพสโตร์ภายในร้านของ The Pizza Company เอง 15 สาขา

เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของแบรนด์ The Pizza Company เดินหน้าขยายสาขา ชิค-อะ-บูม ป็อปอัพ สโตร์ ในรูปแบบไดน์อินครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดจำนวน 15 แห่ง พร้อมเปิดขายในรูปแบบไดน์อิน และบริการซื้อกลับบ้าน (Take Away) ที่ร้านอีกกว่า 220 สาขาทั่วประเทศ

ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี กล่าวว่า

“จากความสำเร็จของ The Pizza Company ที่เปิดตัว “ชิค-อะ-บูม” (Chick-A-Boom) แบรนด์ไก่ทอดน้องใหม่ไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่า ได้รับกระแสตอบรับที่ดีและได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากผู้บริโภค จึงเป็นจุดเริ่มต้นการต่อยอดจนเกิดเป็นชิค-อะ-บูม ป็อปอัพ สโตร์ ขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย”

ในเดือนมกราคมมีการเปิดตัวชิค-อะ-บูม ป็อปอัพสโตร์ รวมกว่า 15 สาขา ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ พัทยา ขอนแก่น นครราชสีมา ฯลฯ ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2565 เป็นต้นไป คาดการณ์ว่าจากการขยายการให้บริการดังกล่าวจะสามารถเสริมทัพยอดขายเมนูไก่ในร้านเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ให้เติบโตขึ้นได้อีกเท่าตัว

ชิค-อะ-บูม ได้วางจุดยืนเป็นแบรนด์ไก่ทอดสไตล์อเมริกัน ชูดจุดเด่นด้วยน้ำซอสหลายรสชาติ โดยที่ชิค-อะ-บูมจะขายควบคู่ภายในร้าน The Pizza Company ไม่เปิดร้านแยกออกมาและเป็นการเปิดแบรนดืที่รองรับการนั่งทานในร้าน และซื้อกลับบ้านเท่านั้น ไม่มีบริการเดลิเวอรี่ เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า

ชิค-อะ-บูม ป็อปอัพ สโตร์ 15 สาขา

  1. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
  2. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9
  3. ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ
  4. ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า
  5. ศูนย์การค้าริเวอร์ไซด์ พลาซ่า
  6. ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สมุทรปราการ
  7. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ชลบุรี
  8. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีช
  9. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ระยอง
  10. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น
  11. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่
  12. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่
  13. ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ นครราชสีมา (เดอะมอลล์โคราช)
  14. ศูนย์การค้ายูดี ทาวน์ อุดรธานี
  15. ศูนย์การค้าบิ๊กซี นครสวรรค์ 2
]]>
1371707
บิ๊กมูฟ! The Pizza Company ปั้น “ชิค-อะ-บูม” บุกตลาดไก่ทอด กระตุ้นนั่งทานที่ร้าน https://positioningmag.com/1368533 Thu, 23 Dec 2021 08:04:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1368533 เป็นการขยับตัวครั้งใหญ่ในรอบ 21 ปี ของ The Pizza Company เปิดโมเดลใหม่ The Pizza Company Signature มีเมนูที่มากกว่าพิซซ่า ขายเฉพาะนั่งทานที่ร้าน พร้อมแตกแบรนด์ลูก “ชิค-อะ-บูม” บุกตลาดไก่ทอดเต็มตัว พร้อมจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย

ดันไก่ทอดบุกตลาด 40,000 ล้าน

ถ้าพูดถึงตลาดร้านอาหาร QSR หนึ่งในเซ็กเมนต์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องก็คือ “ตลาดไก่ทอด” ปัจจุบันมีมูลค่าราวๆ 40,000 ล้านบาท สำหรับคนไทยแล้ว ไก่ทอดเป็นเมนูที่ทานได้ทุกวัยตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ เป็นอาหารโลคอลก็ได้ เพราะมีไก่ทอดสไตล์ไทยๆ ทานกับข้าวเหนียว หรือจะเป็นอาหารสไตล์เกาหลี หรืออเมริกันก็ได้

ปัจจุบันเราจึงได้เห็นแบรนด์ไก่ทอดเกิดขึ้นมากมาย ทั้งสไตล์เกาหลี และอเมริกัน มีทั้งแบรนด์ใหญ่ และแบรนด์ย่อยระดับ SME ทำให้ The Pizza Company ต้องลงมาจับตลาดนี้บ้าง ด้วยการแตกแบรนด์ “ชิค-อะ-บูม” เน้นขายแต่เมนูไก่ทอด แต่จะอยู่ภายใต้ร้าน The Pizza Company ไม่ได้ขายแยกสาขากัน

เหตุผลที่ทางแบรนด์ได้ลุยตลาดไก่ทอดนั้น มองเห็นเทรนด์การเติบโต ปกติที่ร้านได้มีขายเมนูปีกไก่บาร์บีคิวอยู่แล้ว คิดเป็นสัดส่วน 10% ถือว่าเป็นเมนูที่แข็งแกร่งพอสมควร อีกทั้งยังพบว่าในตลาดไก่ทอดมีความน่าเบื่อ มีรสชาติเดิมๆ เป็นไก่ชุบแป้งทอด

จึงปั้น ชิค-อะ-บูม เป็นแบรนด์ไก่ทอดสไตล์อเมริกัน เน้นแต่เมนูปีกไก่ทอด มีซอส 7 รสชาติ และซอสลับเดือนละ 1 ซอส ราคาเริ่มต้นที่ 169 บาท ไปจนถึง 389 บาท มีเมนูไฮไลต์อย่าง เดอะ คิลเลอร์ (The Killer) เอาใจสายกิน และสายคอนเทนต์ชอบแชะ มีไก่ที่จัดมาแบบอลังการ 4 ไม้ เสิร์ฟพร้อมคอร์นด็อก ราคา 499 บาท

ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“The Pizza Company นอกจากจะเป็นผู้นำตลาดพิซซ่าแล้ว ยังถือเป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำด้านปีกไก่ทอด ทั้งไก่เกาหลี ไก่บาร์บีคิว จึงได้เปิดตัวไก่ทอด “ชิค-อะ-บูม” (Chick-A-Boom) แบรนด์ไก่ทอดอเมริกันน้องใหม่ ชูจุดเด่นด้วยซอส 7 รสชาติ สร้างความแปลกใหม่ให้ผู้บริโภค เน้นตอบโจทย์พฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มเฟิร์สจ็อบเบอร์ ที่ไม่ชอบความจำเจ และชอบลองอะไรใหม่ และกระตุ้นการมาทานที่ร้านบ่อยขึ้นด้วย”

ชิค-อะ-บูม จะเริ่มขายสาขาแรกที่ The Pizza Company Signature ที่ศูนย์การค้าซีคอน ศรีนครินทร์ มีแต่เมนูที่นั่งทานในร้านอย่างเดียว ไม่มีบริการเดลิเวอรี่

แบรนด์นี้มีแผนที่จะเข้าไปเปิดภายในร้าน The Pizza Company ทุกสาขาในอนาคต จะเริ่มขยายในเดือนมกราคม 2565 แต่จะไม่มีการทำร้านแยกออกจากกัน หรืออยากมากก็ทำเป็นคีออสเล็กๆ ขายภายในร้านเท่านั้น

นำร่อง The Pizza Company Signature

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวของ The Pizza Company ในปีนี้ก็คือ การเปิดโมเดลใหม่ The Pizza Company Signature เรียกว่าเป็นการปรับโฉมทั้งตัวร้าน และเมนู เพื่อกระตุ้นยอดขายการมาทานที่ร้านโดยเฉพาะ ซึ่งเมนูของที่นี่จะไม่มีบริการเดลิเวอรี่

The Pizza Company Signature มีการปรับเมนูอาหารใหม่ทั้งหมดให้เป็นเมนูพรีเมียม จะไม่ได้มีแต่เมนูพิซซ่าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการรวมตัวของทั้ง Pizza-Meat-Cheese เพิ่มไลน์อาหารกลุ่มสเต๊ก สลัด และพาสต้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยใช้วัตถุดิบพรีเมียม

ไฮไลต์เด่นของที่นี่จึงเป็นการนำเอาพิซซ่ามาทำให้พิเศษยิ่งขึ้น ด้วยการใช้แป้งสูตรพิเศษ ที่ได้นำตำนานพิซซ่าชนิดแรกในประวัติศาสตร์โลกอย่างนาโปลีพิซซ่า (Napoli Pizza) จะมีแป้งที่หอม บาง เนื้อนุ่มหนึบ ขอบมีฟองอากาศ หรือ Bubble Crust และมีหน้าใหม่ให้เลือก 17 หน้า

“โมเดลนี้พัฒนามานานแล้ว ตอนแรกจะเปิดตังแต่ช่วงสิงหาคม แต่ก็ยังติดเรื่อง COVID-19 จึงเลื่อนมาเปิดในเดือนธันวาคม โมเดลใหม่นี้จะไม่ใช่แค่พิซซ่า แต่จะมีพิซซ่า ชีส สเต๊ก รวมถึงมีเบียร์ และไวน์ด้วย ถ้าทดลองตลาดแล้วเวิร์ก จะขยายต่อไปโดยเน้นจับกลุ่มลูกค้าในเมือง”

The Pizza Company Signature เป็นการรีโนเวตสาขาเดิมที่ศูนย์การค้าซีคอน ศรีนครินทร์ มีการปรับโฉมใหม่ ปรับสไตล์การแต่งร้านให้ทันสมัยขึ้นเป็นแนวเอิร์ธโทน ทำให้วัยรุ่นอยากเข้ามานั่งทานมากขึ้น น่าถ่ายรูปมากขึ้น

ที่เลือกสาขาซีคอน ศรีนครินทร์เป็นสาขานำร่องก่อนนั้น ภาณุศักดิ์ได้ให้เหตุผลว่า เพราะสาขานี้มีความพร้อมในการปิดรีโนเวตได้ อีกทั้งในโซนนี้ยังมีทราฟฟิกเยอะ มีกลุ่มครอบครัว โรงเรียน มหาวิทยาลัย และติดอันดับในท็อป 30 สาขาที่ขายดีของแบรนด์ด้วย

พลิกมุม จัดเมนูเฉพาะทานในร้าน

การเปิดทั้ง The Pizza Company Signature และชิค-อะ-บูม เป็นการดีไซน์มาเพื่อให้ตอบโจทย์การนั่งทานในร้านโดยเฉพาะ ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในตลาดร้านอาหารในยุคนี้ เพราะหลังจากที่เจอกับวิกฤต COVID-19 ที่ทำให้ร้านอาหารไม่สามารถขายได้ตามปกติสุขแล้ว หลายแบรนด์ยังกระจายความเสี่ยงด้วยการเน้นที่เดลิเวอรี่มากขึ้น หรือเปิดโมเดลใหม่ที่อยู่นอกศูนย์การค้า

แต่ The Pizza Company กลับเปิดร้านที่เน้นการนั่งทานในร้านมากขึ้น?

กิตติเชษฐ์ สถิตย์นพชัย ผู้ช่วยรองประธานบริหาร กลุ่มการตลาด เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ให้เหตุผลว่า

“จริงๆ ในส่วนของเดลิเวอรี่ก็มีแผนหนึ่ง นั่งทานที่ร้านก็มีแผนหนึ่ง มันช่วยเสริมกัน อย่างไรแล้วการมานั่งทานที่ร้านมันกระตุ้นการใช้เวลาอยู่ที่ร้าน มียอดการใช้จ่ายสูงกว่าเดลิเวอรี่ ลูกค้าสามารถกินได้หลากหลาย มีโอกาสทานอย่างอื่นมากขึ้น เพิ่มของหวานก็ได้ เห็นโต๊ะนู้นกินอันนี้ก็อยากกินบ้าง”

ปัจจุบันยอดการใช้จ่ายเมื่อทานในร้านเฉลี่ยอยู่ที่ 600 บาท/บิล หรือ 200 บาท/คน ส่วนใหญ่มา 3-4 คน ส่วนช่องทางเดลิเวอรี่จะมียอดการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 500 บาท/บิล ส่วนใหญ่จะสั่งแต่เมนูที่อยากกินเท่านั้น

ตอนนี้สัดส่วนยอดขายมาจากการทานที่ร้านลดลงเหลือ 20% เดลิเวอรี่ 50% และซื้อกลับบ้าน 30% จากก่อนหน้านี้สัดส่วนเท่าๆ กัน

ร้านอาหารยุคนี้ต้องมี “แอลกอฮอล์”

อีกหนึ่งความพิเศษของร้าน The Pizza Company Signature ก็คือ มีจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งไวน์ และเบียร์ โดยจำหน่ายตามเวลาที่กำหนด และมีการตรวจอายุของลูกค้าก่อนจำหน่ายด้วย

เบียร์จะมีจำหน่าย 2 ยี่ห้อ ได้แก่ ชาละวัน และโฮการ์เด้น เป็นรูปแบบแก้ว ส่วนไวน์จะจำหน่ายทั้งแบบแก้วและแบบขวด

กลายเป็นเทรนด์ของเชนร้านอาหารใหญ่ๆ ที่จะต้องมีเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในร้านไปแล้ว ก่อนหน้านี้ KFC ก็มีจำหน่ายเบียร์ในร้านเช่นกัน ในประเด็นนี้ กิตติเชษฐ์ บอกว่า คนรุ่นใหม่ หรือวัยรุ่นชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ร้านจะเป็นต้องเอาเข้ามาเสริมมากขึ้น ลูกค้าจะได้ใช้เวลาในร้านมากขึ้นด้วย

นอกจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ในร้านนี้ยังมีขนมหวานเป็นขนมไทย เช่น ลอดช่องวัดเจษ, ไอศกรีมกะทิ และทับทิมกรอบ ทางแบรนด์ได้ทำการสำรวจมาแล้ว พบกว่าคนไทยชอบทานขนมไทย ถงแม้จะเป็นร้านอาหารฝรั่งก็ชอบทานขนมไทย จึงได้เลือกเอาขนมไทยเข้ามาในร้านนี้

ปัจจุบัน The Pizza Company มีสาขาทั้งหมด 420 สาขา ยอดขาย 8,000 ล้านบาท ในปีนี้ที่เจอกับปัจจัยหลายๆ อย่าง คาดว่าจะติดลบ 10% การเปิดโมเดลใหม่ และแบรนด์ใหม่มีการตั้งเป้าว่าปีหน้าจะกลับมาเติบโต 15% และถ้าโมเดลนี้ได้รับการตอบรับดีจะขยายต่อเน้นโซนในเมือง เพราะมองว่าลูกค้ายังต้องการอะไรใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

]]>
1368533