ดิ ไอคอน กรุ๊ป – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 18 Oct 2024 17:54:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ขึ้นป้ายบิลบอร์ดฉ่ำ ๆ แบบ ‘ดิ ไอคอน’ ต้องใช้เงินเท่าไหร่ พร้อมประเมินอุตสาหกรรมโฆษณา กระทบไหมเมื่อไม่มีดิ ไอคอน https://positioningmag.com/1494984 Fri, 18 Oct 2024 12:39:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494984 นาทีนี้ไม่มีประเด็นอะไรร้อนแรงเกิน ดิ ไอคอน กรุ๊ป (The iCon Group) จากธุรกิจขายตรงที่หมิ่นเหม่จะเข้าข่ายการเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยอาศัยการสร้างภาพลักษณ์ให้น่าเชื่อถือผ่านเหล่า บอส และหนึ่งในสื่อที่เห็นกันมากที่สุดก็คือ ป้ายบิลบอร์ด ในกรุงเทพฯ ที่ล้มตัวไปไหนก็เจอ ว่าแต่อยากปูพรมสื่อนอกบ้านขนาดนี้ ต้องใช้เงินขนาดไหน ไปหาคำตอบกัน

ใช้เงินอย่างน้อย 30-50 ล้าน/แคมเปญ

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI GROUP) เปิดเผยว่า หากดูจากการใช้สื่อของ ดิ ไอคอน กรุ๊ป จะเห็นว่ามีการใช้สื่อหลัก ๆ คือ โซเชียลมีเดีย และ  สื่อนอกบ้าน (Out of home) อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโซเชียลฯ อาจประเมินได้ยากว่าใช้เม็ดเงินมากน้อยแค่ไหน เพราะอาจไม่ได้มีการจ้างอินฟลูเอนเซอร์จริง ๆ แต่เป็นการโปรโมตผ่าน บอส หรือ แม่ข่าย 

ดังนั้น เม็ดเงินที่จับต้องได้ในการใช้สื่อก็คือ สื่อนอกบ้าน ซึ่งปัจจุบันผู้เล่นหลัก ๆ ในตลาดมีไม่กี่ราย อาทิ VGI, Plan B และ Bangkok Metro Networks (BMN) และการซื้อจะเป็น แพ็กเกจเหมา โดยจะอยู่ที่ 30-50 ล้านบาทต่อแคมเปญ ซึ่งกินเวลาประมาณ 3-6 เดือน และโดยปกติจะซื้อประมาณปีละ 2 ครั้ง นอกจากการซื้อกับบริษัทที่จัดการป้ายโฆษณาแล้ว อาจมีการซื้อแยก เช่น ตึกบางตึกที่ไม่ได้อยู่ในมือบริษัท

“ตลาด Out of home คาดว่าปีนี้จะเติบโต 10% คิดเป็นมูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาทเท่าเดิม เพราะยังเป็นสื่อที่หลายแบรนด์ยังต้องสร้างอแวร์เนส ต้องสร้างอิมเมจ และการขายขึ้นป้ายบิลบอร์ดมันอิมแพ็กมากกว่าใช้ออนไลน์อย่างเดียว”

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI GROUP)

กรณีดิ ไอคอน ไม่กระทบเม็ดเงินโฆษณา

ในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมขายตรง ใช้เงินในงบโฆษณาไม่รวมออนไลน์คิดเป็นมูลค่า 5,595 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6% ซึ่งถือว่าไม่ใหญ่มากไม่ติด Top 10 ของอุตสาหกรรมโฆษณาที่ใช้งบมากที่สุด

ดังนั้น ด้วยสัดส่วนดังกล่าวจึงมองว่า กรณีของ ดิ ไอคอน กรุ๊ป จะ ไม่กระทบเม็ดเงินโฆษณา เพราะการใช้สื่อหลักก็คือ Out of home ดังนั้น อาจจะกระทบในเชิงผลประกอบการของบริษัทนั้น ๆ ซึ่งเทียบไม่ได้กับเม็ดเงินในตลาดโฆษณา รวมถึงไม่กระทบต่อเม็ดเงินในอุตสาหกรรมขายตรง แต่อาจ เป็นบวก ด้วย แต่บริษัทขายตรงต้องออกมาอธิบายว่าตัวเองเป็นบริษัทขายตรงที่ถูกกฎหมายอย่างไร

“แม้ดิ ไอคอน ไม่ได้เกิดเหตุหรือมีการโฆษณาต่อเนื่อง ก็ไม่ใช่เป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดเป็นบวกขึ้น ดังนั้น การที่มีเคสดังกล่าวจึงไม่ได้ส่งผลต่อภาพใหญ่อุตสาหกรรมเลย และเท่าที่ดูจากลูกค้าที่ทำธุรกิจขายตรงในมือ ก็ไม่ได้มีกระแสลบ เพราะเป็นธุรกิจขายตรงน้ำดี เน้นที่ตัวสินค้า”

เอเจนซี่ไม่กระทบ แต่อินฟลูฯ ต้องคิดเยอะ

โดยพื้นฐาน เอเจนซี่โฆษณาจะรับงานจากบริษัทที่ทำธุรกิจถูกต้อง และในกรณีของดิ ไอคอน กรุ๊ป น่าจะไม่ได้ทำงานกับเอเจนซี่ เพราะเน้นใช้สื่อเดียว ไม่ได้มีการวางแผนการตลาด ดังนั้น ส่วนที่กระทบจะเป็น ดาราและอินฟลูฯ ที่อาจไม่รู้เท่าทันในธุรกิจ ซึ่งจากนี้ก็จะมีความระมัดระวังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือออกอีเวนต์ เพราะกรณีนี้มีดาราหลายคนแค่ออกอีเวนต์ก็มีความเสี่ยง เพราะโดยปกติการออกอีเวนต์จะมีสคริปเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พูด ดังนั้น ต่อไปดาราก็จะมีความกังวลในการรับงานมากขึ้นว่าจะส่งผลกระทบไหม

“เคสนี้เป็นเคสเฉพาะตัวจริง ๆ เพราะบริษัทดูมีความน่าเชื่อถือ ได้รางวัลจากสถาบันต่าง ๆ มีดาราหลายคนเป็นพรีเซ็นเตอร์ มองว่าเป็นแค่หนึ่งในธุรกิจทั่วไป ถ้าเป็นในอดีต อาจมีเอเจนซี่หลงเชื่อได้”

ดาราเซเลปที่เข้ามาร่วมงานกับดิ ไอคอน กรุ๊ป ในระดับมีชื่อตำแหน่งให้

ยืนยันอุตสาหกรรมโฆษณาบวกแน่นอน

แม้ภาพรวมปีนี้จะมีปัจจัยลบเยอะ โดยเฉพาะสภาพเศรษฐกิจที่ถือว่าแย่ แต่ถือว่าอุตสาหกรรมค่อย ๆ ฟื้นมาจากหลังโควิด ดังนั้น ประเมินว่าภาพรวมทั้งปีอาจเติบโตได้ +3.3% อย่างไรก็ตาม ช่วงโค้งสุดท้าย เริ่มเห็นความร้อนแรงของตลาด อีคอมเมิร์ซ ที่อาจจะดันให้เม็ดเงินสื่อดิจิทัลเติบโตขึ้นอีก +8% ซึ่งอาจดันให้ทั้งอุตสาหกรรมเติบโตเป็น +5% 

ส่วนสื่อทีวี โดยปกติช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่คึกคักอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้อาจจะกระเตื้องแค่เล็กน้อย อาจจะซบเซาน้อยลง เพราะคนหันมาเสพสื่อมากขึ้น โดยเฉพาะ ข่าว ดังนั้น จะคล้ายกับช่วงเลือกตั้ง แต่ส่งผลไม่เยอะ และสุดท้ายมีแค่บางรายการที่เรียกกระแสได้ เช่น โหนกระแส

“ภาพรวมบวกแน่นอน แต่บวกน้อยกว่าที่คาดไว้ เพราะจากหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อ ภาวะเศรษฐกิจ เงินดิจิทัลก็ไม่ได้มาครบลูป หรือค่าครองชีพที่ยังแพง ประกอบกับปัญหาอื่น ๆ เช่น น้ำท่วม แต่ก็ทำให้ตลาดบวกที่ 3-5% เพราะได้อีคอมเมิร์ซมาดัน”

]]>
1494984
เจ็บกันมาเท่าไหร่แล้วกับการลงทุน “หวังรวยเร็ว” นึกว่าทำธุรกิจแต่สุดท้ายกลายเป็น “แชร์ลูกโซ่” https://positioningmag.com/1494175 Fri, 11 Oct 2024 15:25:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494175 ข่าวคดี “แชร์ลูกโซ่” วงแตกในประเทศไทยมีมาให้เห็นเป็นระยะๆ ตั้งแต่วงแรกที่เป็นคดีดังระดับตำนานอย่าง “แชร์แม่ชม้อย” เมื่อปี 2528 กลายเป็นต้นแบบให้มิจฉาชีพคิดไอเดียตั้งวงสารพัดรูปแบบเพื่อดึงดูดใจผู้คนที่ “หวังรวยเร็ว” รูปแบบมีการพัฒนาเปลี่ยนไปให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาตั้งแต่ลงทุนทำธุรกิจ ออมเงิน เทรดเดอร์ ขายตรง ฯลฯ แต่ใจกลางของการหลอกลวงเหล่านี้ยังคงเหมือนเดิมคือ “ลุกช้าเสียรอบวง”

ต้นตำรับ “แชร์ลูกโซ่” วงใหญ่แตกเป็นครั้งแรกในเมืองไทยเกิดขึ้นเมื่อปี 2528 ในนาม “แชร์แม่ชม้อย” เพราะต้นคิดคนแรกชื่อ “ชม้อย ทิพย์โส” ผู้ทำงานอยู่ในวงการธุรกิจเชื้อเพลิง

แม่ชม้อยใช้ภาพลักษณ์จากการทำงานตั้งบริษัทค้าน้ำมันขึ้นมา และเริ่มชักชวนให้คนมาลงทุนเพื่อ “ซื้อรถน้ำมัน” มาใช้ในธุรกิจ และจะให้ผลตอบแทนการลงทุน 6.5% ต่อเดือน เท่ากับผลตอบแทนสูงถึง 78% ต่อปี!

เมื่อคนกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาลงทุนได้ผลตอบแทนกลับคืนจริง ข่าวก็แพร่สะพัดออกไปว่ามีบริษัทที่ให้ผลตอบแทนร่วมลงทุนดีเลิศ จนมีคนมากมายตามเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง ประกอบกับแม่ชม้อยมีการให้ผลตอบแทนพิเศษถ้าสามารถชวนนักลงทุนรายใหม่เข้ามาได้ จึงทำให้วงแชร์ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งถึงจุดที่นักลงทุนหน้าใหม่เริ่มน้อยลง ความจึงแตกออกมาว่าที่ผ่านมาแม่ชม้อยไม่ได้ทำธุรกิจอันใด เพียงแต่นำเงินของนักลงทุนหน้าใหม่มาวนจ่ายให้คนที่เข้ามาลงทุนก่อน เมื่อไม่มีหน้าใหม่เข้ามาเพิ่มมากพอ แชร์ลูกโซ่วงนี้จึงขาดสะบั้น ไม่มีผลตอบแทนกลับคืนให้ได้ตามสัญญา รวมแล้ววงแชร์แม่ชม้อยคิดเป็นมูลค่าความเสียหายถึง 4,000 ล้านบาท และแม่ชม้อยก็ถูกจับไปตามระเบียบ

เห็นได้ว่านี่คือแพทเทิร์นตั้งต้นของการสร้างแชร์ลูกโซ่ ใจกลางของการทำธุรกิจฉ้อโกงเช่นนี้คือ

  1. สร้างภาพลักษณ์ให้น่าเชื่อถือว่ามีการทำธุรกิจจริงหรือลงทุนจริง
  2. ขายความฝันว่าจะรวยเร็ว เพราะให้ผลตอบแทนสูงมากและเร็วกว่าปกติ
  3. มีการนำเงินมาต่อเงิน จากผู้เข้ามาใหม่จ่ายให้กับผู้ที่เข้ามาก่อน
  4. ให้ผลตอบแทนในการชักชวนคนเข้ามาร่วมในวงสำเร็จ

ที่เหลือก็คือฉากหน้าว่าจะใช้สินค้า บริการ รูปแบบการชักจูงแบบใดที่จะทำให้เหยื่อหลงเชื่อ ซึ่งขอรวบรวมกลเม็ดแชร์ลูกโซ่ที่เคยเกิดขึ้นในไทยเท่าที่ค้นได้ ดังนี้

  1. ร่วมลงทุนในธุรกิจเฉพาะทาง
    – แชร์แม่ชม้อย หลอกลงทุนธุรกิจค้าน้ำมัน
    – แชร์เสมาฟ้าคราม หลอกลงทุนพัฒนาหมู่บ้านจัดสรร
  2. เทรดหุ้น เทรดเงิน เทรดคริปโต ออมเงินรับปันผล
    – แชร์ชาร์เตอร์ หลอกลงทุนเก็งกำไรเงินตราต่างประเทศ
    – FOREX 3D หลอกลงทุนเทรดเงินตราต่างประเทศ
    – แชร์แม่มณี ออมเงินรับปันผลสูง
  3. ซื้อสินค้า/บริการล่วงหน้า
    – แชร์บลิสเซอร์ หลอกซื้อบัตรสมาชิกเข้าพักโรงแรมในเครือ​ (ไม่ใช่โรงแรมของบริษัท แต่เช่ามาเพื่อหลอกลวงโดยเฉพาะ)
    – แชร์ฌาปนกิจ หลอกสมัครสมาชิกรับเงินค่าทำศพเมื่อเสียชีวิต (แต่ไม่ได้เงินจริง)
  4. ปลอมเป็นธุรกิจขายตรง
    – แชร์ยูฟัน สร้างเครือข่ายคล้ายขายตรง แต่ไม่เน้นการขาย
    – แชร์เวลธ์เอฟเวอร์ รับสมัครสมาชิกขายตรงแลกผลตอบแทนทัวร์ญี่ปุ่น (ถูกทิ้งคาสนามบิน)

 

“แชร์ลูกโซ่” หรือ “ขายตรง”

ด่านแรกที่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่จะต้องทำให้ได้คือการสร้าง “ภาพลักษณ์” ที่น่าเชื่อถือว่าเป็นธุรกิจของจริง มาร่วมลงทุนหรือทำธุรกิจด้วยกันแล้วจะรวยไปด้วยกันแน่นอน

ทำให้กลเม็ดการปลอมธุรกิจที่มีความซับซ้อนและเส้นแบ่งเลือนลางที่สุดมักจะเป็นการปลอมเป็นธุรกิจ “ขายตรง” เนื่องจากมีต้นแบบเป็นธุรกิจขายตรงตัวจริงที่แชร์ลูกโซ่จะพยายามลอกเลียนให้เหมือนมากที่สุด เช่น สั่งผลิตสินค้าจริงมาเพื่อส่งให้ตัวแทนขาย มีระบบอัพไลน์ดาวน์ไลน์ในองค์กร

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลจาก “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” เคยออกแจ้งเตือนประชาชนไว้แล้วว่า วิธีการจับสังเกตว่าบริษัทนั้นน่าจะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่มากกว่าขายตรง ให้สังเกตดังนี้

  • คิดค่าสมัครสมาชิกในราคาสูง
  • บังคับ กดดัน หรือกระตุ้นให้ซื้อสินค้าในจำนวนมากเกินควรที่จะนำไปขายต่อได้จริง
  • โฆษณาสรรพคุณสินค้าของบริษัทเกินจริง แต่สินค้าจริงกลับไม่ได้มาตรฐานตามอ้าง
  • โฆษณาผลตอบแทนที่จะได้รับสูงผิดปกติ
  • ขายความฝันว่าจะรวยไว ไม่ต้องทำงานหนัก
  • เน้นให้หาสมาชิกตัวแทนขาย (ดาวน์ไลน์) มากกว่าการขายสินค้าให้ได้ โดยเมื่อหาดาวน์ไลน์มาได้แล้วจะได้รับผลตอบแทนทันที
  • ไม่สามารถคืนสินค้าได้หากสมาชิกต้องการลาออก

เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทที่ทำธุรกิจขายตรงตัวจริงแล้ว มักจะมีข้อห้ามที่เข้มงวดไม่ให้มีการซื้อสินค้าไปกักตุนเกินความจำเป็นเพราะเกรงจะถูกตรวจสอบว่าหมิ่นเหม่เป็นธุรกิจแบบปิรามิดหรือแชร์ลูกโซ่ รวมถึงการชักชวนดาวน์ไลน์มาร่วมเป็นตัวแทนขาย หากไม่สามารถฝึกอบรมให้ดาวน์ไลน์สามารถขายสินค้าเพิ่มได้ อัพไลน์ก็จะไม่ได้ยอดขายและเพิ่มเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งได้แต่อย่างใด

ทั้งนี้ วิธีการเบื้องต้นหากต้องการตรวจสอบว่าเป็นธุรกิจขายตรงตัวจริงหรือไม่ ให้ตรวจสอบว่าบริษัทนั้นได้รับ “ใบอนุญาต” จาก “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค” (สคบ.) หรือยัง อย่างไรก็ตาม บริษัทแชร์ลูกโซ่ก็มักจะโฆษณาว่าตนเองไม่ใช่ธุรกิจขายตรงเพื่อหลบเลี่ยงว่าตนไม่ได้หลอกลวงประชาชน

“ขายตรง” กับค่านิยม Passive Income

ประเทศไทยอยู่คู่กับธุรกิจเครือข่าย (MLM) มาช้านาน หรือเราเรียกกันง่ายๆ ว่าธุรกิจขายตรง แต่เดิมมักจะมีภาพลักษณ์ไม่ค่อยดีเหมือนธุรกิจประกัน เพราะอะไรที่เป็นการชวนเสียเงินไม่ว่าจะขายตรง, ขายประกัน หรือแม้กระทั่งซองกฐิน ซองผ้าป่า คนไทยล้วนแต่โบกมือบ๊ายบายทั้งสิ้น

แต่ในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าคนไทยเปิดใจให้กับธุรกิจขายตรงมากขึ้น เพราะต้องการมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเงินเดือน หรือรายได้ประจำ หรือต้องการ Passive Income นั่นเอง ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ได้คอมมิชชันตามขั้นบันได ยิ่งมีลูกทีมมาก ย่อมได้รับผลตอบแทนมาก พร้อมกับการตลาดที่จูงใจด้วยทริปเที่ยวต่างประเทศสุดหรู มีรายได้ สามารถใช้ชีวิตดีๆ หลายคนถึงกับทำเป็นอาชีพประจำเลยก็มี

ธุรกิจขายตรงในไทยมีแบรนด์ใหญ่ๆ ที่เป็นที่รู้จัก 3 แบรนด์ ได้แก่ แอมเวย์, กิฟฟารีน และซูเลียน เห็นทีว่าแอมเวย์จะเป็นแบรนด์ใหญ่ในตลาดมากที่สุด ยุคหนึ่งที่ใครไม่รู้จักเครื่องกรองน้ำ เครื่องฟอกอากาศถือว่าเชย

แต่ก่อนแอมเวย์ก็เน้นทำการตลาดด้วยฮีโร่โปรดักส์อย่างเครื่องกรองน้ำ เครื่องฟอกอากาศ น้ำยาทำความสะอาด และยาสีฟัน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้จับจุดคนไทยได้อย่างดีด้วยโซลูชัน “ลดน้ำหนัก” อย่าง “บอดี้คีย์” หรือเรียกว่าเป็นอาหารเสริมแทนมื้ออาหาร เพราะคนไทยมีปัญหาเรื่องการลดน้ำหนัก อยากได้ตัวช่วยในการดูแลรูปร่าง

บอดี้คีย์ประสบความสำเร็จมากถึงขนาดที่ว่า ประเทศไทยมียอดขายอันดับ 1 ของโลก แอมเวย์ ประเทศอื่นยังต้องมาขอดูงานว่าทำได้อย่างไร ซึ่งนักธุรกิจแอมเวย์ได้เปลี่ยนตัวเองเป็น Content Creator ด้วยการแทนตัวเองว่าเป็น “นักโภชนาการ” “นักปั้นหุ่น” “นักลีนหุ่น” ใช้สื่อโซเชียลมีเดียของตัวเองเป็นช่องทางการขายเพื่อหาลูกค้าใหม่ๆ ด้วยการลงคอนเทนต์เกี่ยวกับสุขภาพ หรือการลดน้ำหนัก ลงภาพการลดน้ำหนักของตัวเองเป็นภาพ Before และ After พร้อมบอกว่ามีเคล็ดลับการลดน้ำหนักแบบไม่ต้องออกกำลังกาย (ซึ่งคนไทยไม่ชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว) จึงถูกจริตเข้าไปใหญ่

กลายเป็นว่ากลยุทธ์นี้ได้ผล เพราะเป็นการขายแบบเนียนๆ ใช้ในเรื่องของการเห็นผลจริงในการจูงใจ เป็นกลยุทธ์สไตล์ Thailand Only จนแบรนด์ดังที่กำลังเป็นกระแสอย่าง “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ก็ต้องเลียนแบบ ในการให้บอสต่างๆ ลีนร่างกายกลายเป็น “ร่างทอง” พร้อมกับขายสินค้าทดแทนมื้ออาหารเช่นเดียวกัน

 

มาใหม่ล้ำสุดๆ “ดิ ไอคอน กรุ๊ป”

ธุรกิจล่าสุดที่กำลังเป็นที่โจษจันว่าจะกลายร่างเป็น “แชร์ลูกโซ่” หรือไม่นั้นคือ “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ซึ่งเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 มีการรายงานข่าวว่า พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพิน รองโฆษก ตร. แจ้งว่ามีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความแล้ว 161 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 62 ล้านบาท และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเร่งออกหมายจับผู้บริหารภายใน 48 ชั่วโมงในความผิดที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงและการฟอกเงิน

ลักษณะของ “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” นั้นมีหลายประการที่หมิ่นเหม่จะเข้าข่ายการเป็นแชร์ลูกโซ่ แต่มีการวิวัฒนาการไปอีกขั้นในการสร้างภาพลักษณ์ให้น่าเชื่อถือ ถือเป็นจุดที่แตกต่างจนทำให้มีสมาชิกกว่า 3 แสนรายเข้าร่วมลงทุน

เริ่มจาก “บอสพอล-วรัทย์พล วรัตน์วรกุล” ผู้ก่อตั้ง ดิ ไอคอน กรุ๊ป สร้างโปรไฟล์ของตนเองจากการไปให้สัมภาษณ์ในรายการทอล์กโชว์ชื่อดัง จนทำให้มีชื่อเป็นนักธุรกิจพันล้านที่รวยได้จากการขายของออนไลน์ และตั้งธุรกิจดิ ไอคอน กรุ๊ปมาเพื่อเป็นธุรกิจขายออนไลน์

ดาราเซเลบที่เข้ามาร่วมงานกับดิ ไอคอน กรุ๊ป ในระดับมีชื่อตำแหน่งให้

ตามด้วยการเปิดตัว “ดารา” ระดับแถวหน้าวงการว่าไม่ใช่แค่พรีเซ็นเตอร์แต่เป็นถึงระดับผู้บริหาร ได้แก่ “บอสกันต์-กันต์ กันตถาวร” พิธีกรชื่อดัง “บอสแซม-ยุรนันท์ ภมรมนตรี” นักแสดงรุ่นใหญ่ และ “บอสมิน-พีชญา วัฒนามนตรี” นักแสดงสาว ซึ่งทำให้ดิ ไอคอน กรุ๊ปได้รับความสนใจ และประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้นเพราะมองว่าดาราเซเลบเหล่านี้มาเป็นผู้บริหารในบริษัท มีหน้าตาขึ้นบิลบอร์ดขนาดใหญ่ทั่วกรุงเทพฯ ขึ้นเวทีกล่าวสนับสนุนองค์กรเป็นมั่นเหมาะ

ในด้านกลยุทธ์การดึงผู้เข้าร่วม จากการสืบค้นในอินเทอร์เน็ตพบว่า ดิ ไอคอน กรุ๊ป จะเน้นโฆษณา “เปิดคอร์สสอนขายของออนไลน์” ในราคาที่ถูกมาก เช่น 59 บาท หรือ 97 บาท ในส่วนนี้มีการเรียนการสอนจริง ทั้งการสร้างเว็บไซต์ เปิดเพจ ปักตะกร้าใน TikTok ยิงแอดโฆษณาใน Facebook

แต่ในที่สุดเมื่อใกล้จบคอร์สจะเริ่มแนะนำให้สมัครสมาชิกและสั่งสต็อกสินค้าของดิ ไอคอน กรุ๊ป ซึ่งหลักๆ จะมีสินค้าประเภทกาแฟ คอลลาเจน ครีม เซรั่ม วิตามินซี ยาสีฟัน เป็นต้น

ป้ายโฆษณาของดิ ไอคอน กรุ๊ป

ราคาการสมัครสมาชิกและซื้อสินค้าเพื่อนำไปขายต่อจะมีตั้งแต่ราคา 2,500 บาท ไปจนถึง 250,000 บาท แต่ผู้เสียหายส่วนใหญ่กล่าวตรงกันว่า แม่ทีมจะหว่านล้อมให้สมัครและซื้อสินค้าในราคา 250,000 บาท เพื่อจะได้ของแถมต่างๆ เช่น ทริปเที่ยวต่างประเทศ และการลงทุนสูงก็จะเติบโตได้เร็วกว่า จากนั้นให้หาดาวน์ไลน์มาเข้าคอร์สอบรมเพิ่ม หากมีดาวน์ไลน์เปิดบิลเพิ่มก็จะได้ค่านายหน้า

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายฝันก็ค่อยๆ สลายไป เมื่อสินค้าที่สั่งสต็อกมาในราคาหลักแสนนั้น ผู้เสียหายเล่าว่าแม้จะใช้วิชาความรู้การขายออนไลน์ที่ได้มาก็ยังขายไม่ได้ เพราะสินค้าไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ได้มีดีมานด์สูงอย่างที่โฆษณากล่าวอ้างไว้ว่าสามารถขายได้หลักล้านชิ้น เมื่อขายไม่ออกก็จะต้องยอมรับสภาพขาดทุน กรณีคนที่กู้หนี้ยืมสินมาหรือใช้เงินก้อนสุดท้ายของชีวิตลงทุนก็จะตกอยู่ในสถานการณ์สาหัสจนกระทำอัตวินิบาตกรรมดังที่เห็นกันในหน้าสื่อต่างๆ

กรณีของดิ ไอคอน กรุ๊ปนั้นยังอยู่ระหว่างตำรวจพิจารณาการออกหมายจับ แต่จะเห็นได้ว่าธุรกิจมีความหมิ่นเหม่ในการหว่านล้อมให้สต็อกสินค้าเป็นมูลค่าสูงเกินกว่าที่จะขายได้จริงซึ่งอาจจะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ได้ ที่น่าสนใจมากคือการว่าจ้างเซเลบดาราแถวหน้ามาแสดงตนเป็นผู้บริหารจนทำให้ประชาชนเชื่อถือสูง รวมถึงการวางจุดขายเป็นธุรกิจที่สอนการขายของออนไลน์ในราคาถูกเพื่อดึงให้คนสมัครเข้ามาได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดเป็นเทรนด์วิวัฒนาการใหม่ของธุรกิจประเภทนี้ที่ต้องจับตามอง

 

ที่มา: สารนิพนธ์ จอมพล ลี้ภัย ม.ธุรกิจบัณฑิตย์, เดลินิวส์, กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ไทยพีบีเอส, ประชาชาติธุรกิจ, ลงทุนแมน, ไทยรัฐ, WorkpointToday, Giffarine, Facebook @Theiconprince

]]>
1494175
เปิด 9 อาณาจักร “บอสพอล” เจ้าของ The iCON GROUP รวยหมื่นล้านใน 5 ปี https://positioningmag.com/1493707 Thu, 10 Oct 2024 06:51:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493707 จากกรณีกลายเป็นที่สนใจของชาวเน็ต หลังหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ดารานักแสดง ผู้ประกาศข่าว และพิธีกรชื่อดังออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก หนุ่ม กรรชัย เพียงสั้นๆ ระบุว่า “เหล่าแม่ข่ายของบริษัทธุรกิจเครือข่ายดังเริ่มมีการข่มขู่ไปทั่ว กลัวโดนเปิดแผล มีการระดมคนติดแฮชแท็ก เซฟบอส เซฟบริษัทตัวเอง ไม่เซฟผู้เสียหายบ้างเหรอ?” อันเนื่องมาจากมีคนระดมติดแฮชแท็ก #Saveบอส จนติดเทรนด์

ต่อมา นายไกรภพ จันทร์ดี หรือ กบ ไมโคร นักร้องร็อกเกอร์รุ่นใหญ่ ออกมาแฉพฤติกรรมธุรกิจเครือข่ายแห่งหนึ่งที่เจ้าตัวร่วมลงทุนเพื่อหารายได้อีกทางแต่สุดท้ายสูญเงินหลายแสนบาท อีกทั้งพบข้อเท็จจริงสุดเศร้า ว่ามีผู้สูงวัยที่หลงเชื่อใช้เงินก้อนสุดท้ายของชีวิตมาลงทุนจนสิ้นเนื้อประดาตัว รวมถึงเจ้าตัวพยายามเรียกร้องกลับพบข้อกฎหมายที่ทางบริษัททำไว้รัดกุมจนคิดว่าเอาผิดเขาไม่ได้

หลายคนจับจ้องไปที่ “บอสพอล” หรือ วรัทย์พล วรัตน์วรกุล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง ผู้ก่อตั้งและเจ้าของอาณาจักร “ดิไอคอนกรุ๊ป” (The iCON GROUP)

จาการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า นายวรัทย์พล วรัตน์วรกุล เป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นในบริษัทอย่างน้อย 9 แห่ง เลิกกิจการไปแล้ว 1 แห่ง ได้แก่

1. บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด

จดทะเบียนเมื่อ 1 มิ.ย. 2561 ทุนปัจจุบัน 50 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/42-46 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทำธุรกิจการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เป็นกรรมการรายเดียว

รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย. 2567 “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” ถือหุ้นใหญ่ 74.9998%, จินดา แซ่ก๊อก ถือหุ้น 21% และ ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 4.0002%

สำหรับงบการเงิน ปี 2566 มีสินทรัพย์รวม 2,402,677,947 บาท หนี้สินรวม 1,554,377,393 บาท มีรายได้รวม 1,891,032,251 บาท รายจ่ายรวม 1,862,137,799 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 3,346 บาท เสียภาษีเงินได้ 9,113,250 บาท กำไรสุทธิ 19,777,855 บาท

หากนับรวมรายได้ ย้อนหลัง 5 ปี (ปีงบ 2562-2566) พบว่ามีรายได้รวมกัน 10,613,171,865 บาท (ราว 1 หมื่นล้านบาท) ในปี 2562 มีรายได้รวม 322,679,743 บาท กำไรสุทธิ 5,947,795 บาท

  • ปี 2563 รายได้รวม 378,119,566 บาท กำไรสุทธิ 9,044,857 บาท
  • ปี 2564 รายได้รวม 4,950,055,693 บาท กำไรสุทธิ 813,444,976 บาท
  • ปีงบ 2565 รายได้รวม 3,071,284,612 บาท กำไรสุทธิ 188,084,851 บาท
  • ปี 2566 รายได้รวม 1,891,032,251 บาท กำไรสุทธิ 19,777,855 บาท

2. บริษัท ดิ ไอคอน เวลเนส จำกัด

จดทะเบียนวันที่ 3 ส.ค. 2565 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/45-46 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทำธุรกิจ คลินิกโรคเฉพาะทาง โดย “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เป็นกรรมการรายเดียว

โดยรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด เมื่อ 30 เม.ย. 2567 บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 99.98%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือ 0.01% และ จินดา แซ่ก๊อก ถือ 0.01% ซึ่งงบการเงินปี 2565 มีสินทรัพย์รวม 236,339 บาท หนี้สินรวม 13,000 บาท รายได้รวม 339 บาท รายจ่ายรวม 27,000 บาท ขาดทุนสุทธิ 26,660 บาท

3. บริษัท ดิไอคอนการบัญชี จำกัด

จดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2565 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/43 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ การทำบัญชี การตรวจสอบบัญชี การให้คำปรึกษาด้านภาษี มี วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร วิสูตร อภิญโญวิเชียร เป็นกรรมการ

รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย. 2567 บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 50%, วิสูตร อภิญโญวิเชียร ถือหุ้น 49%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 1% โดยงบการเงิน ปี 2565 มีสินทรัพย์รวม 968,097 บาท หนี้สินรวม 631,696 บาท รายได้รวม 617,448 บาท รายจ่ายรวม 1,243,903 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 1,964 บาท ขาดทุนสุทธิ 628,419 บาท

4. บริษัท นิรมิตร โกลบอล จำกัด

จดทะเบียนเมื่อ 15 ก.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/42-44 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ ขายสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เป็นกรรมการรายเดียว

รายชื่อผู้ถือหุ้น เมื่อ 30 เม.ย. 2567 “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” ถือหุ้นใหญ่ 94.99%, จินดา แซ่ก๊อก ถือหุ้น 5%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 0.01%

5. บริษัท เดอะไอคอน แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด

จดทะเบียนเมื่อ 14 ต.ค. 2554 แจ้งเลิกกิจการ 15 พ.ย. 2564 ตั้งอยู่ที่ 158/23 ถนนกัลปพฤกษ์ แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ เป็นนายหน้าตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เครื่องมือเครื่องใช้เสริมความงาม อาหารเสริม ทุกประเภท “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เป็นกรรมการ

6. บริษัท เฟรนด์ชิป ฟูลฟิลเม้นท์ จำกัด

จดทะเบียนเมื่อ 15 พ.ค. 2562 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/43 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทำธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้าทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ โดยมีนายวรัตน์พล วรัทย์วร กุล, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร และ จิระวัฒน์ แสงภักดี เป็นกรรมการ

รายชื่อผู้ถือหุ้นเมื่อ 30 เม.ย. 2567 บริษัท ดิไอคอนริช จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 34%, บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้น 33%, บริษัท เซิร์ฟริช จำกัด ถือหุ้น 33%

7. บริษัท ดิไอคอนริช จำกัด

ทุน 1 ล้านบาท ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร เป็นกรรมการและถือหุ้นใหญ่สุด 99.98% ทำธุรกิจนายหน้าจากการขายสินค้า แจ้งรายได้ปี 66 กว่า 88.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21.1 ล้านบาท

8. บริษัท เซิร์ฟริช จำกัด

ทุน 1 ล้านบาท จิระวัฒน์ แสงภักดี (ถือหุ้น 45%) วัชรา งามจัตุรัส (ถือหุ้น 45%) พรรทิพา งามจัตุรัส (ถือหุ้น 10%) เป็นกรรมการ ทำธุรกิจออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ ติดตั้งระบบเครือข่าย และให้เช่าพื้นที่เซิร์ฟแวร์

แจ้งรายได้ปี 66 กว่า 33.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.7 ล้านบาท โดยงบการเงินล่าสุดปี 2566 มีสินทรัพย์รวม 7,976,108 บาท หนี้สินรวม 2,156,548 บาท รายได้รวม 20,073,858 บาท รายจ่ายรวม 15,088,783 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 5,796 บาท เสียภาษีเงินได้ 997,117 บาท กำไรสุทธิ 3,982,160 บาท

9. บริษัท ไอคอน ซูวีเนียร์ จำกัด

จดทะเบียนเมื่อ 6 ส.ค. 2567 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/43 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบาง เขน กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ การขายปลีกสินค้าอื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่นบนแผงลอยและตลาด วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เป็นกรรมการรายเดียว

รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด 29 .. 2567 วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ถือหุ้นใหญ่ 99%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 1% ยังไม่พบข้อมูลงบการเงิน

]]>
1493707