ตลาดกล้องถ่ายรูป – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 28 Aug 2024 13:22:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อีเวนต์-ท่องเที่ยวฟื้น ดันตลาด ‘กล้อง’ โตตาม ‘แคนนอน’ พร้อมส่ง 2 รุ่นเรือธงใหม่ หวังเพิ่มแชร์เป็น 40% https://positioningmag.com/1487812 Wed, 28 Aug 2024 13:15:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487812 นับตั้งแต่ตลาด กล้องถ่ายภาพ ที่หดตัวหนักสุดในช่วงที่ COVID-19 ระบาด แต่หลังจากการระบาดคลี่คลาย ตลาดก็เริ่มกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง โดยผู้นำในตลาดอย่าง CANON ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ พร้อมออกสินค้าใหม่ราคาหลักแสนลุยตลาดช่วงโค้งสุดท้ายถึง 2 รุ่น

กล้องฟื้นตามตลาดอีเวนต์

เนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์อิมเมจจิ้งอินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด คาดการณ์ว่า ภาพรวมตลาดกล้องปี 2024 ในด้านจำนวนยูนิตจะเติบโต +15% รวม 90,000 ตัว ในแง่ของมูลค่าคาดว่าจะเติบโต +25% แตะ 3,000 ล้านบาท โดยปัจจัยหลัก ๆ คือ การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี ที่ถูกแทนที่โดยกล้อง Mirrorless ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของตลาดทั้งหมด หรือประมาณ 60,000 ตัว ขณะที่กล้องคอมแพคมีสัดส่วนอยู่ที่ 5% ส่วนกล้อง DSLR เหลือสัดส่วนเพียง 5%

อีกปัจจัยที่สร้างการเติบโตให้ตลาดคือ การกลับมาของ งานอีเวนต์ ต่าง ๆ ทำให้กลุ่ม มืออาชีพ เริ่มอัปเกรดกล้องเพื่อใช้ต่อยอดในการทำงาน รวมถึงการเติบโตของเหล่า ครีเอเตอร์ และ ภาคการท่องเที่ยว ที่ให้มีการเติบโตในกลุ่มของลูกค้าใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน

“ตอนนี้กล้อง Mirrorless กำลังมาแทนที่ DSLR เพราะดีกว่าทั้งคุณภาพ น้ำหนัก ความสะดวก เพราะเป็นตัวที่ยังพัฒนาเทคโนโลยีไปได้ในอนาคต ส่วนคอมแพคยูนิตทรง แต่มูลค่ายังไปได้ เพราะตลาดครีเอเตอร์”

ฮิโรชิ โยโกตะ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร และ นางสาวเนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์อิมเมจจิ้งอินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด

วางเป้าเพิ่มแชร์เป็น 40%

ปัจจุบัน ตลาดกล้องผู้เล่นหลักในตลาดประมาณ 4 แบรนด์ โดย 2 ใน 4 แบรนด์ยอดตกเล็กน้อย ขณะที่แคนนอนยังสามารถเติบโตได้ 10% ในปีที่ผ่านมา และยังคงครองตำแหน่ง เบอร์ 1 ในตลาดด้วยส่วนแบ่ง 35% โดยปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 40% โดยได้เปิดตัวกล้อง 2 รุ่น ล่าสุด ได้แก่ EOS R1 และ EOS R5 Mark II เพื่อจับกลุ่มช่างภาพมืออาชีพ 

“ตอนนี้การแข่งขันจะเน้นไปที่ตลาด Mirrorless Full Frame เริ่มเห็นว่าลูกค้าจะเริ่มขยับไปใช้รุ่นที่ดีกว่า โดยตอนนี้รุ่นที่ขายดีที่สุดของเราคือ R6 Mark II ราคา 82,000 บาท”

แคนนอนมั่นใจโตได้ทุกกลุ่ม

ที่ผ่านมา การเติบโตของแคนนอนมาจากทุกเซกเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ (Beginer) กลุ่มมืออาชีพ และกลุ่มที่ ย้ายค่าย โดย เนตรนรินทร์ มองว่า มาจากแคนนอนมีกลุ่มสินค้าทั้งหมด 14 รุ่น สามารถตอบสนองทุกกลุ่มลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงมืออาชีพ และด้วยฟีเจอร์ของกล้องใหม่ ๆ ที่ออกมาตอบโจทย์การใช้งาน ทำให้ได้กลุ่มลูกค้าที่ย้ายค่ายมาด้วย รวมถึงพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง

“ความยากของตลาดกล้องคือ ความลอยัลตี้สูง เพราะต้องใช้แต่ Ecosystem ของแบรนด์นั้น ๆ ดังนั้น ถ้าเราทำให้เขาเปลี่ยนแบรนด์ได้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ซึ่งเราเชื่อว่าที่เขาย้ายเพราะคุณภาพสินค้า บางคนอาจติดเรื่องราคา แต่เรามองว่ามันเป็นเรื่องที่แก้ได้”

ย้ำ ไม่ขายแข่งกับดีลเลอร์

เนตรนรินทร์ ย้ำว่า แคนนอนไม่ขายของแข่งกับดีลเลอร์ ดังนั้น ช่องทางการขายของแบรนด์จะมาจากพาร์ทเนอร์ดีลเลอร์เป็นหลัก และการให้โปรโมชั่นจะเท่ากันทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของแต่ละร้านเอง 

“เราต้องทำให้พาร์ทเนอร์ขายของดีขึ้น ไม่ได้ไปขายแข่ง อย่างช่องทางออนไลน์เขาก็ขายกันเอง แต่จะไปขายถูกกว่าราคาหน้าร้านหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละร้านจะบริหารจัดการอย่างไร แต่เราเห็นว่าหลายร้านทำยอดได้ดีมากเมื่อถึงช่วงแคมเปญอีคอมเมิร์ซ”

กำลังซื้อหดไม่กระทบ

เนตรนรินทร์ ทิ้งท้ายว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่ตลาดกล้องยังเติบโตได้ เพราะต้องยอมรับว่าบางคน ใช้กล้องประกอบอาชีพ ดังนั้น งานอีเวนต์ที่กลับมาคึกคัก การท่องเที่ยวที่ฟื้นกลับมา หรือการเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้กล้องจึงถูกซื้อไปใช้งาน ขณะเดียวกันแคนนอนเองก็ทำการตลาดผ่านการท่องเที่ยว โดยร่วมกับททท. นอกจากนี้ ยังได้เป็นสปอนเซอร์ให้กับทีม Bangkok United ในไทยลีก

“อย่างกล้อง  EOS R1 ตัว Flagship ราคา 235,900 บาท ก็มียอดจองเกิน 100 ตัว ส่วน EOS R5 Mark II ราคา 147,900 บาท ก็มียอดจองเกิน 200 ตัว แสดงให้เห็นว่ากำลังซื้อไม่มีผลกับสินค้ากลุ่มนี้”

สำหรับกล้อง EOS R1 ราคา 235,900 บาท เป็นกล้องเรือธงระดับมาสเตอร์สำหรับมืออาชีพ โดยมีจุดเด่นทั้งความเร็วและฟีเจอร์ครบครัน ทั้งความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่อง ความเร็วในการโฟกัส รวมถึงความเร็วในการถ่ายโอนไฟล์ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับมืออาชีพที่เน้นเรื่องความรวดเร็วในการทำงานเป็นหลัก เช่น การถ่ายการแข่งขันกีฬา ชีวิตสัตว์ป่า รวมถึงงานข่าว

ส่วน EOS R5 Mark II ราคา 147,900 บาท กล้องมิเรอร์เลสไฮบริด ที่มีความโด่นเด่นในเรื่องความละเอียด แบบ High Resolution ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว พร้อมฟังก์ชันด้านวิดีโอ เพื่อให้เป็นที่สุดของ VDO performance รองรับกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการผลงานคุณภาพสูง โดยเฉพาะกลุ่มงานเวดดิ้ง งานผลิตวิดีโอเชิงพาณิชย์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ ไปจนถึงช่างภาพอาชีพทุกสาย

]]>
1487812
ถอดสูตรมัดใจลูกค้าในแบบ ‘Leica’ ที่ไม่ใช่แค่ของ ‘สะสม’ แต่ต้องเป็น ‘ไลฟ์สไตล์’ https://positioningmag.com/1323179 Fri, 12 Mar 2021 07:32:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323179 ในปีที่ผ่านมาตลาด ‘กล้องถ่ายภาพ’ เป็นอีกตลาดที่โดนพิษของ COVID-19 เล่นงานอย่างหนัก โดยฉุดตลาดดิ่งถึง -43% เนื่องจาก ตลาดกล้องเป็นตลาดที่ต้องอาศัยอุตสาหกรรม ‘ท่องเที่ยว’ และ ‘งานอีเวนต์’ แต่ลองไปดูฝั่งแบรนด์กล้องลักชัวรีอย่าง ‘Leica (ไลก้า)’ กันบ้าง ว่า COVID-19 ส่งผลกระทบอะไรกับแบรนด์ได้บ้าง

COVID-19 ดันดีมานด์ แต่ซัพพลายไม่เอื้อ

หลายคนคงจะคุ้นชื่อของแบรนด์ ‘Leica (ไลก้า)’ กล้องถ่ายภาพระดับไฮเอนด์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีอย่างแน่นอน เพราะด้วยนวัตกรรมด้านการถ่ายภาพที่โดดเด่น และการผลิตที่ทำด้วยมือทุกขั้นตอนทำให้ไลก้ากลายเป็นสินค้าระดับลักชัวรีที่มีราคาสูงตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านบาทเลยทีเดียว โดยในประเทศไทยนั้น บริษัท เอลิส ไพรเวต จำกัด ถือเป็นตัวแทนรายเดียว ซึ่งเริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 2016

ในปี 2017 ไลก้าประเทศไทยทำรายได้ 147 ล้านบาท จากนั้นก็สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปี 2018 ทำรายได้ 152 ล้านบาท ปี 2019 มีรายได้ 167 ล้านบาท แต่มาในปี 2020 ที่เจอพิษ COVID-19 ทำให้รายได้ลดเหลือ 138 ล้านบาท

ดนัย สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอลิส ไพรเวต จำกัด

อย่างไรก็ตาม ดนัย สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอลิส ไพรเวต จำกัด ได้ระบุถึงสาเหตุที่รายได้ลดลงว่า ไม่ใช่เพราะคนไม่ซื้อ แต่เพราะของไม่พอขาย เนื่องจากประเทศผู้ผลิต ทั้ง โปรตุเกส และ เยอรมนี มีมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงจำกัดเวลาทำงาน ทำให้ซัพพลายมีจำกัด ลูกค้าเองต้องรอสินค้านาน 4-5 เดือน อีกทั้ง ยังไม่มีสินค้า ‘Limited Edition’ เข้ามากระตุ้นยอดขาย จากปกติต้องมีปีละประมาณ 1-2 รุ่น

COVID-19 ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดลักชัวรี เรายังเห็นดีมานด์ยังมีเต็ม 100% แต่ของไม่พอขาย อย่างช่วงล็อกดาวน์ทำให้คนมีเวลามากขึ้น ก็หางานอดิเรกใหม่และเริ่มจับจ่ายมากขึ้นโดยเฉพาะปลายไตรมาส 2 แต่เพราะซัพพลายไม่พร้อม ยอดเลยตก กลายเป็นว่าวันนี้เรากลัวว่าลูกค้าจะเดินมาซื้อ เพราะเราไม่มีสินค้าให้”

เปลี่ยนจากของสะสมให้ใช้งานจริง

ในช่วง 5 ปีก่อน กล้องไลก้ามักจะถูกซื้อไป ‘สะสม’ มากกว่าใช้งานจริง เนื่องจากราคาขึ้นตลอดอย่างน้อย 3-5% ทุกปี ส่วนสินค้าลิมิเต็ดที่ราคาจะสูงกว่าสินค้าทั่วไปประมาณ 10% แต่สามารถนำมาทำกำไรได้สูงกว่ามาก ดังนั้น โจทย์ของไลก้าในไทยคือ ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมให้นำไปใช้งานไม่ใช่เเค่สะสม เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ต่ำกว่า 45 ปี โดยเริ่มจากเปิด ไลก้า บูติค ที่ เกษรพลาซ่า ซึ่งจะเน้นให้คำแนะนำมากกว่า ‘ขาย’ นอกจากนี้ ยังทำกิจกรรมเวิร์กช็อป เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้านำกล้องมาใช้งาน โดยเมื่อรู้สึกว่า ‘สนุก’ ก็จะเกิดเป็นไลฟ์สไตล์

5 ปีก่อน เพอร์เซปชั่นของลูกค้าไลก้ามักซื้อมาสะสม ซื้อมาไม่ใช้ แต่เราเปลี่ยนให้เขารู้สึกสนุกกันมัน โดยเดินหน้าสร้างคอมมูนิตี้ มีการสร้างเวิร์กช็อป สร้างอคาเดมีสอนถ่ายภาพ มี kol เข้ามาแชร์ และร้านเราต้องไม่ใช่ร้านหรูที่หยิ่งใส่ แต่อยากให้ลองให้จับ ซึ่งตอนนี้ Instagram เพจไลก้าจากที่มีผู้ติดตาม 100 คน แต่ตอนนี้มีกว่า 40,000 คน”

ปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าเดิมอายุ 40 ปีขึ้นไปก็ยังคงอยู่ แต่ได้ฐานกลุ่มลูกค้าเจนเนอเรชั่นใหม่ อายุตั้งแต่ 18 ปี ถึง 30 ปี โดยฐานลูกค้าในปี 2020 นั้น กลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไปมีสัดส่วน 38%, อายุ 31-40 ปี 47%, อายุ 23-30 ปี 14% และต่ำกว่า 22 ปี 1% โดยลูกค้ากว่า 50% ถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก ขณะที่จำนวนเลนส์เฉลี่ยที่ 5-6 ตัวต่อคน

Gen Y เป็นฐานลูกค้าที่กว้างที่สุดเพราะเขาต้องการครีเอตคอนเทนต์ตัวเองบนโซเชียลมีเดีย และแม้วันนี้จะไม่มีเงินซื้อ แต่ถ้าวันหนึ่งมีเงินเป้าหมายสูงสุดก็คือ ไลก้า”

ไม่เน้นขยายสาขาเยอะ เพราะของไม่พอ

แต่เพราะหน้าร้านเดิมไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้บริษัทตัดสินใจเปิดไลก้า บูติคแห่งใหม่ที่ ‘เอ็มโพเรียม’ เพื่อกระจายการบริการ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทไม่ได้วางแผนว่าจะขยายสาขาจำนวนมากเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ แต่จะเปิดเพื่อเน้นให้บริการและสร้างประสบการณ์มากกว่า เพราะมองว่าแค่มีสินค้าให้พอขายยังยาก ดังนั้น ถ้าขยายเพิ่มอีกสาขาแล้วต้องหารสินค้ากันอาจไม่เป็นผลดีนัก

“ที่เราเลือกเอ็มโพเรียมเพราะอยู่ใกล้แหล่งพักอาศัยของคอร์คัสตอมเมอร์ อีกทั้งยังไม่วุ่นวายมาก ซึ่งเราอยากให้ลูกค้ามาใช้เวลาที่ร้านมาพูดคุยแลกเปลี่ยนนาน ๆ ไม่ต้องรีบร้อนกลับ ซึ่งตอนนี้แบรนด์ลักชัวรีเปลี่ยนความคิดหมด ไม่เน้นเปิดเยอะเพื่อเข้าถึงคน แต่เปิดน้อยเน้นให้ประสบการณ์ลูกค้าเต็มที่”

ในส่วนของช่องทางออนไลน์ปัจจุบันขายผ่าน ‘Line Official: @leicath’ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการให้ข้อมูลมากกว่า เพราะลูกค้าบางคนแค่มาสอบถามราคา แต่สุดท้ายก็จะไปหน้าร้านเพื่อลองจับลองใช้ก่อน ส่วนการเปิดเว็บไซต์ของไลก้าก็มีแผนจะทำแต่ก็จะเน้นการให้ข้อมูลมากกว่าขาย เพราะสินค้าราคาสูง ดังนั้นอาจจะเน้นซื้อขายอุปกรณ์เสริมมากกว่า

มั่นใจโต 30% เพราะดีมานด์อั้น

แม้ยอดขายในปี 2020 จะลดลง แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าในปี 2021 จะสามารถเติบโตได้ 30% ทำรายได้รวม 180 ล้านบาท เนื่องจากดีมานด์ที่อั้นตั้งแต่ปี 2020 รวมถึงซัพพลายที่เริ่มฟื้นตัว อีกทั้งลูกค้าไปต่างประเทศไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องซื้อที่ประเทศไทย ซึ่งน่าจะทดแทนส่วนของ ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติ’ ที่มีสัดส่วนประมาณ 20% ของลูกค้าทั้งหมด

“ยอมรับว่าลูกค้าไลก้า 40% ซื้อจากต่างประเทศ แต่ที่ซื้อเพราะไม่ใช่ว่าราคาถูกกว่า เพราะเราปรับราคาทุกไตรมาสเพื่อให้เท่ากันทุกประเทศ แต่อาจเป็นสิทธิด้านภาษีที่อาจจะแลกคืนได้ ราคาก็อาจจะลดลงมาราว 10% แต่ตอนนี้เดินทางไปไหนไม่ได้ ก็ต้องซื้อที่ไทย”

ทั้งนี้ จากรายได้ 180 ล้านบาทคาดว่าสัดส่วนยอดขาย 80% จะเป็นสินค้าธรรมดา โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นกล้อง 50% เลนส์ 40% และ 10% เป็นอุปกรณ์เสริม โดยรุ่นขายดี ได้แก่ Leica Q2 ราคา 178,200 บาท, Leica M10R ราคา 280,000 บาท และ Leica SL2 ราคา 213,900 บาท

ส่วนยอดขายอีก 20% เป็นสินค้าลิมิเต็ด โดยสินค้าลิมิเต็ดตัวตัวแรกของปีคือ ‘Leica Q2 Special Edition Daniel Craig x Greg Williams’ ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 750 ตัวในโลก ราคา 221,400 บาท ซึ่งในไทยคาดว่าจะได้มาประมาณ 22 ตัว จากที่สั่งไป 90 ตัว ซึ่งถือว่าได้มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะไทยถือเป็นเบอร์ 1 ที่มียอดขายสูงสุดในภูมิภาค

“แม้ภาพรวมตลาดกล้องทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากพิษ COVID-19 แต่สำหรับไลก้า เราไม่ได้มองใครเป็นคู่แข่งเลย เพราะเราไม่ได้อยู่ในตลาดแมส ไม่ได้แข่งกันในเรื่องของสเปก หรือฟังก์ชัน แต่เป็นนิชมาร์เก็ตของกลุ่มคนที่มีความชอบ และมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง”

ภาพจาก Facebook Leica

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สุดของไลก้าคือ cycle ของลูกค้าใหม่ที่ไม่ใช่ฮาร์ดคอร์แฟนที่จะหายไป ดังนั้น ต้องทำตลาดทุก ๆ 3 ปี และโจทย์สำคัญของเราตลอดมาคือ ไม่ต้องการซื้อไปเพื่อวางไว้เฉย ๆ อยากให้คนซื้อไปแล้วได้ถ่าย เราต้องกระตุ้นให้คนซื้อไปแล้วใช้ สนุกกับการถ่ายรูปไม่ใช่แค่ซื้อไปเก็บ

]]>
1323179