ตลาดที่อยู่อาศัย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 24 Oct 2025 13:05:58 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุป 4 ประเด็นสำคัญ ‘ตลาดที่อยู่อาศัย’ ที่ต้องจับตามอง https://positioningmag.com/1544051 Fri, 24 Oct 2025 05:50:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544051 ‘ตลาดที่อยู่อาศัย’ ยังอ่อนแอ คนเกือบครึ่งไม่มีแผนจะซื้อในอีก 5 ปี ถ้าจะซื้อ ‘มือสอง’ เป็นตัวเลือกที่สนใจ ส่วน ‘การเช่า’ ยังมีความต้องการในระดับสูง เพราะเงินในกระเป๋าไม่พอ

 

ผลสำรวจ SCB EIC Real estate survey 2568 สะท้อนสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในระยะต่อไปที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า จากผลกระทบของปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งส่งผลให้ปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคา และทำเลที่มีความสะดวก ยังคงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสูง รวมถึงทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง และตลาดการเช่าที่อยู่อาศัย ยังเป็นทางเลือกที่มีแนวโน้มได้รับความสนใจสูงอย่างต่อเนื่อง

 

4 ประเด็นสำคัญดังนี้

 

1.ภาพรวมกำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568-2569 ยังคง ‘อ่อนแอ’ และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในช่วง 5 ปีข้างหน้า

 

จากผลกระทบของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ความเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน และราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลาง-ล่างค่อนข้างมาก และเริ่มส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-บนมากขึ้น รวมถึงเหตุผลด้านการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว

 

โดยผลสำรวจ พบว่า สัดส่วนผู้ที่ไม่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายในช่วง 5 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 47% ของผู้ตอบแบบสอบถามโดยรวม ซึ่งยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องจากผลสำรวจในช่วง 2 ปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 50%

 

สำหรับผู้ที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายในช่วง 2 ปีข้างหน้า ยังคงมีสัดส่วนอยู่ในระดับต่ำที่ 27% เนื่องจากส่วนหนึ่งตัดสินใจชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป เพื่อรอให้แรงกดดันทางเศรษฐกิจคลี่คลาย หรือมีความพร้อมทางการเงินมากขึ้น

 

นอกจากนั้น แรงกดดันทางเศรษฐกิจยังส่งผลให้ผู้มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มลดงบประมาณในการซื้อลงอีกด้วย โดยสัดส่วนผู้ที่ระบุว่าจะลดงบประมาณการซื้อที่อยู่อาศัยลงจากที่ตั้งไว้เดิมอยู่ที่ 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย

กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังคงอ่อนแอดังกล่าว ทาง SCB EIC คาดว่า การโอนกรรมสิทธิ์ในตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568 และ 2569 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องที่ระดับราว -10% ถึง -15% YOY ในปี 2568 และ -1% ถึง -5%YOY ในปี 2569 ตามลำดับ และอาจยังไม่สามารถกลับมาสู่ระดับ Pre-COVID ได้ในช่วง 5 ปีข้างหน้า

 

2.‘ที่อยู่อาศัยมือสอง’ ยังคงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความสนใจสูง

 

จากปัจจัยด้านราคาที่ต่ำกว่ามือหนึ่งเป็นสำคัญ โดยผลสำรวจพบว่า 65% สนใจซื้อที่อยู่อาศัยมือสอง เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 63%

 

สำหรับราคาที่อยู่อาศัยมือสอ งยังมีแนวโน้มทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยมือหนึ่งยังคงมีการเพิ่มของราคาสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสามารถเข้าถึง และเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย    มือสองง่ายกว่ามือหนึ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มทาวน์เฮาส์ และคอนโด

 

3.ความต้องการเช่ายังคงอยู่ในระดับสูง

การเช่าซื้อมีแนวโน้มได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มที่งบประมาณไม่พอที่จะซื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ทำให้ยังไม่สามารถเปลี่ยนจากการเช่ามาเป็นการซื้อได้

 

โดยผลสำรวจ พบว่า 44% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เช่าที่อยู่อาศัยหรือมีความต้องการเช่าอยู่อาศัย ให้เหตุผลในการเช่าว่า งบประมาณไม่พอสำหรับการซื้อ รวมถึงยังมีกลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยหลังที่สอง เพื่อความสะดวกในการเดินทาง แต่ยังไม่ต้องการซื้อขาด เนื่องจากไม่ต้องการภาระหนี้ระยะยาวเพิ่มเติม วางแผนจะเช่าอยู่เพียงในระยะกลาง หรือต้องการจ่ายค่าเช่ารายเดือนต่ำกว่าค่างวดผ่อนชำระ เป็นต้น

 

ขณะที่การนำเสนอรูปแบบการเช่าซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโด ที่มีความต้องการเช่าและความต้องการซื้อสูง จากความสามารถในการตอบโจทย์ด้านทำเล มีแนวโน้มดึงดูดกลุ่มผู้ที่มีความต้องการเช่า โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำได้ดี

 

โดยผลสำรวจ พบว่า ราว 2 ใน 3 ของผู้ที่เช่าอาศัยอยู่หรือมีความต้องการเช่าอาศัย สนใจที่จะเปลี่ยนจากการเช่าคอนโด มาซื้อคอนโดในรูปแบบการเช่าซื้อแทนในช่วง 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากยังสามารถจ่ายค่าเช่าในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่จ่ายอยู่เดิม แต่เพิ่มโอกาสการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในอนาคต อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่เช่าที่อยู่อาศัย หรือมีความต้องการเช่า เนื่องจากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ยังคาดหวังว่าจะสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในระยะข้างหน้า แต่คาดว่าต้องใช้เวลาอีกนาน อย่างต่ำมากกว่า 5 ปี กว่าสถานการณ์ทางการเงินจะเริ่มคลี่คลายมากพอจนสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้

 

4.ปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคายังคงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุด ขณะที่ปัจจัยด้านทำเลยังคงมีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ยังคงส่งผลต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อ ทำให้ 39% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า    ยังให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคา หรือราคาที่เข้าถึงได้มากที่สุด ซึ่งครอบคลุมถึงที่อยู่อาศัยที่ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่ามีมูลค่าสูงกว่าที่จ่าย หรือสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย

 

เช่นเดียวกับปัจจัยด้านทำเลที่ยังคงได้รับความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความสะดวกต่อการเดินทาง ที่สามารถช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และด้านการอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจัยด้านทำเลมีแนวโน้มส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นในระยะต่อไป สะท้อนจากสัดส่วนผู้ที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านทำเลเป็นอันดับแรกยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า จากการสำรวจในช่วง 2 ปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 26%

]]>
1544051
อสังหาภูเก็ตฮอต ‘อิสราเอล-บังกลาเทศ’ หันซื้อลงทุนปล่อยเช่า แสนสิริเผย 5 ปี โหม 29 โครงการใหม่ 3.3 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1532363 Tue, 05 Aug 2025 05:15:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532363 ภูมิชาย มัธยมภพภิญโญ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการภาคใต้ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ “ภูเก็ต” เผชิญวิกฤต อาทิ สึนามิ โควิด แต่ก็พบ New    S-Curve ใหม่ตลอด ดังนั้นประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลกแม้มีความท้าทาย หากมองลึก ๆ ก็นับเป็นโอกาสเช่นกัน

ภูเก็ต คนทะลักเกาะกว่า 2 ล้านคน ราคาที่ดินดีด 700% ใน 20 ปี

ปัจจุบันภูเก็ต มีผู้อยู่อาศัยในเกาะเกิน 2 ล้านคน แบ่งเป็น ประชากรดั้งเดิม 4.6 แสนคน ประชากรแฝง (กลุ่มคนทำงานและนักท่องเที่ยวระยะยาวเกิน 1 เดือนขึ้นไป) 6-8 แสนคน และ นักท่องเที่ยวระยะสั้น 1.2-1.5 ล้านคน/ปี

ปัจจัยเหล่านี้ส่งเสริมตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ตให้เฟื่องฟู สะท้อนจากผู้เล่นในตลาดที่เข้ามาโหมตลาดภูเก็ตมากขึ้น ส่งผลให้ราคาที่ดินโอเวอร์ขึ้นไปถึง 700% ในรอบ 20 ปี

ภูมิชาย มัธยมภพภิญโญ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการภาคใต้ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน)
ภูมิชาย มัธยมภพภิญโญ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการภาคใต้ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน)

อย่างไรก็ดี ต่อจากนี้ไปอีก 2 ปี ตลาดอสังหาภูเก็ต จะกลายเป็นตลาดของผู้เล่นตัวจริง ที่ทำราคาได้เหมาะสมในทำเลที่ถูกต้อง เพราะภาพรวมจะเข้าสู่ภาวะจริงมากขึ้น ไม่ใช่เหมือนใน 2 ปีก่อนหน้านี้ ที่ทำโปรดักส์อะไรลงมา แล้วจะขายได้ทั้งหมด

อย่างบางทำเล เราเริ่มพบภาวะซัพพลายล้น เช่น บางเทา เชิงทะเล ที่มี 7-8 พันยูนิต ทำให้อัตราดูดซับช้าลง แม้จะยังมีดีมานด์ในตลาดก็ตาม

อิสราเอล บังกลาเทศ ยูเครน นักลงทุนหน้าใหม่ในภูเก็ต ส่วน LGBTQIA+ เลือกไทยเป็นบ้านเซฟโซน

ภูมิชาย กล่าวต่อไปว่า เราพบอินไซด์น่าสนใจว่า กลุ่มชาวต่างชาติย้ายมาปักหลักภูเก็ตมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Digital Nomad ที่เริ่มขยายครอบครัว ย้ายมาจากสิงคโปร์และฮ่องกง เนื่องจากค่าครองชีพในไทยถูกกว่า รวมถึงกลุ่ม retirement ที่ซื้อที่อยู่ในไทยเป็นบ้านหลังที่สอง

โดยช่วง 2-3 ปีนี้ แสนสิริพบ New Demands จากชาติใหม่ ๆ โดยเฉพาะ อิสราเอล เริ่มเข้ามาซื้อคอนโดเพื่อการลงทุนในภูเก็ต โดยปี 2568 นี้มีการซื้อจากแสนสิริราว ๆ 40-50 ยูนิต ในราคา 3-6 ล้านบาท จากปีก่อนมีมาซื้อประปรายไม่กี่ยูนิตเท่านั้น

“แรก ๆ เราคิดว่าเขาซื้ออสังหาจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะนักลงทุนอยู่ทั้งประเทศเขา และบางทีก็มาไทยบ้าง โดยคนกลุ่มนี้ซื้ออสังหาผ่านเอเจนต์และบางรายไม่เคยมาดูห้องตัวจริงด้วย แต่เขาก็ซื้อเพราะมั่นใจแสนสิริ ทีละ 1-2 ยูนิต”

ภูเก็ต ป่าตอง
ป่าตอง ภูเก็ต ภาพจาก Shutterstock

ขณะเดียวกัน ก็พบว่านักลงทุนจากหลายที่ทั่วโลก เริ่มกระจายพอร์ตการลงทุน อย่างชาวบังกลาเทศที่เป็นนักธุรกิจในอเมริกา จากเดิมเคยซื้ออสังหาเพื่อการลงทุนในดูไบ แต่เมื่อราคาอสังหาดูไบราคาเริ่มขึ้นสูง จนให้ยีลด์ได้ไม่ดีนัก จึงซื้อคอนโดในภูเก็ตแทน ซึ่งมีราคาเริ่มต้นเพียง 2-5 ล้านบาท/ยูนิต ต่างจากดูไบที่มีราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท/ยูนิต

นอกจากนี้ ก็มีชาติอื่น ๆ เข้ามาซื้อมากขึ้น อาทิ คาซัคสถาน ยูเครน อินเดีย

และที่น่าสนใจ คือ กลุ่ม LGBTQIAN+ ในต่างประเทศวางแผนตั้งถิ่นฐานหรือลงทุนที่ภูเก็ต เพราะประเทศไทยมีความชัดเจนเรื่องกฎหมายที่ให้ความคุ้มครอง และมีความเปิดกว้าง

ปล่อยเช่าคอนโดฮอต อัตราเข้าพัก 80%

สมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพ เพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า จากการทำบริการ Plus Concierge หาผู้เช่า และบริหารจัดการอสังหาให้นักลงทุน    พบว่า มีอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) 80% ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มผู้เช่ามี 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่

  • กลุ่มคนไทยที่ในทำงานภูเก็ต และกลุ่มต่างชาติ Digital Nomad นิยมโซนในเมือง
  • นักท่องเที่ยวระยะยาว มากกว่า 1-3 เดือนขึ้นไป นิยมโซนรอบเมือง เช่น โซนเชิงทะเล เป็นต้น
สมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
สมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

โดยยีลด์ค่าเช่าที่อยู่อาศัยในภูเก็ตมีระดับสูงเฉลี่ยประมาณ 1 ดิจิตปลาย ๆ ซึ่งหากเทียบกับอสังหาที่พลัสพร็อพเพอร์ตี้มีการปล่อยเช่าให้ลูกค้าจะคิดอัตราผลตอบแทน (Rental Yield) ได้ดังนี้

1.ดีคอนโด ภูเก็ต

  • ราคาทรัพย์ประมาณ 2 ล้านบาท
  • ค่าเช่า 12,000-15,000 บาท/เดือน
  • Yield: 7.2% – 9.0%

2.เดอะเบส ภูเก็ต

  • ราคาทรัพย์ 3 ล้านบาทกลาง ๆ
  • ค่าเช่า 18,000 – 20,000 บาท/เดือน
  • Yield: 6.17% – 6.86%

3.บ้านสราญสิริ ภูเก็ต

  • ราคาทรัพย์ 9 ล้านบาท
  • ค่าเช่า 75,000 – 80,000 บาท/เดือน
  • Yield: 10.0% – 10.67%

“จากความร้อนแรงของภูเก็ต ทำให้ราคาเช่าบางทีอาจเด้งขึ้นสูง เช่น พูลวิลล่าบางแห่ง ราคา 30 ล้านบาท สัญญา 1 ปี ปล่อยเช่า 2.5 แสนบาท/เดือน แต่หากรอปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น จะได้ค่าเช่า 8-9 แสนบาท/3 เดือน“

แสนสิริ จ่อเปิดเพิ่ม 29 โครงการ มูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท ใน 5 ปี

สำหรับปี 2568 แสนสิริ เปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 3 แห่งในภูเก็ต มูลค่ารวมราว 2,500-3,000 ล้านบาท ได้แก่

  • เดอะเบส เชิงทะเล ราคาเริ่มต้น 3.65 ล้านบาท/ยูนิต
  • เศรษฐศิริ เกาะแก้ว ราคา 13-20 ล้านบาท/ยูนิต
  • ดีคอนโด กระทู้ ราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท/ยูนิต

โดยตั้งเป้ายอดขายในภูเก็ตปีนี้ ประมาณ 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีโครงการแอคทีฟอยู่ 8 โครงการ เหลือประมาณ 200-300 ยูนิตเท่านั้น

แสนสิริ แผนลุยภูเก็ต 5 ปี ปี 2568-2572

ส่วนแผนระยะยาวในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2568 – 2572) เตรียมเปิดตัวรวม 29 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 33,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • แนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 12,000 ล้านบาท
  • คอนโดมิเนียม 13 โครงการ มูลค่า 21,000 ล้านบาท

จากปัจจุบันแสนสิริเปิดตัวโครงการในภูเก็ตไปมากกว่า 26 โครงการ

]]>
1532363
ตลาดที่อยู่อาศัย คาดซบถึงปี 70 หดตัวรวม 5 ปีติด อาการหนักกว่าช่วงโควิด! https://positioningmag.com/1530601 Sat, 19 Jul 2025 06:36:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530601 [อสังหาปี 68 หดตัวทุกเซกเมนต์]

ตลาดที่อยู่อาศัย เข้าสู่ช่วงขาลงลากยาว สะท้อนจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ระยะ 7 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม 2567 – เมษายน 2568 ของกลุ่มดีเวลลอปเปอร์ไทย หดตัวทุกเซกเมนต์ ดังนี้

บ้านเดี่ยว

  • ปี 2566 มีมูลค่าโอนฯ 74,811 ล้านบาท
  • ปี 2567 มีมูลค่าโอนฯ 73,392 ล้านบาท ลดลง 2% (YoY)
  • ปี 2568 มีมูลค่าโอนฯ 62,097 ล้านบาท ลดลง 15% (YoY)

บ้านแฝด

ปี 2566 มีมูลค่าโอนฯ 18,668 ล้านบาท

ปี 2567 มีมูลค่าโอนฯ 15,555 ล้านบาท ลดลง 17% (YoY)

ปี 2568 มีมูลค่าโอนฯ 13,609 ล้านบาท ลดลง 13% (YoY)

ทาวน์โฮม

  • ปี 2566 มีมูลค่าโอนฯ 44,044 ล้านบาท
  • ปี 2567 มีมูลค่าโอนฯ 33,984 ล้านบาท ลดลง 23% (YoY)
  • ปี 2568 มีมูลค่าโอนฯ 28,450 ล้านบาท ลดลง 16% (YoY)

คอนโดมิเนียม

  • ปี 2566 มีมูลค่าโอนฯ 104,674 ล้านบาท
  • ปี 2567 มีมูลค่าโอนฯ 86,263 ล้านบาท ลดลง 18% (YoY)
  • ปี 2568 มีมูลค่าโอนฯ 77,434 ล้านบาท ลดลง 10% (YoY)

‘ภวรัญชน์ อุดมศิริ’ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT กล่าวว่า จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า ที่อยู่อาศัยแต่ละกลุ่ม ติดลบ 2 ปีติด

ขณะที่แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัย ยังมีความท้าทายสูง จากภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัว โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมิน GDP ปี 2568 จะขยายตัวเพียง 2.3% ส่วนภาวะหนี้ครัวเรือนยังอยู่ระดับสูง

“หากไม่มีสัญญาณบวกแรง ๆ อุตสาหกรรมนี้คงเหนื่อยกันต่อเนื่อง”

‘ภวรัญชน์ อุดมศิริ’ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บมจ. เฟรเซอร์ส (FPT)
‘ภวรัญชน์ อุดมศิริ’ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บมจ. เฟรเซอร์ส (FPT)

[ตลาดติดลบ 5 ปี ลากยาวถึงปี 70]

ทั้งนี้ หากปัจจัยทางเศรษฐกิจยังไม่เปลี่ยนแปลง เราคาดการณ์ว่า “ตลาดที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวลงถึงปี 2570 หรือคิดเป็นการหดตัว 5 ปีต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา“

สะท้อนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย พื้นที่ กทม. และปริมณฑล โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก ได้แก่

ยุคก่อนโควิด

  • ปี 2562 มูลค่าโอนฯ 435,540 ล้านบาท

ยุคโควิดระบาดหนัก

  • ปี 2563 มูลค่าโอนฯ 452,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +3.84% YoY
  • ปี 2564 มูลค่าโอนฯ 410,503 ล้านบาท ลดลง -9.23% YoY
  • ปี 2565 มูลค่าโอนฯ 436,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +6.39% YoY

ยุคสถานการณ์โควิดคลี่คลาย

  • ปี 2566 มูลค่าโอนฯ 415,249 ล้านบาท ลดลง -4.92% YoY
  • ปี 2567 มูลค่าโอนฯ 377,351 ล้านบาท ลดลง -9.13% YoY
  • ปี 2568 (คาดการณ์) มูลค่าโอนฯ 366,681 ล้านบาท ลดลง -2.83% YoY
  • ปี 2569 (คาดการณ์) มูลค่าโอนฯ 356,313 ล้านบาท ลดลง -2.83% YoY
  • ปี 2570 (คาดการณ์) มูลค่าโอนฯ 346,239 ล้านบาท ลดลง -2.83% YoY

เทรนด์ 3 ปี จากนี้ไป ภาพรวมตลาดชะลอตัวต่อเนื่อง ลดลงเฉลี่ยปีละ 2.83% และมีแนวโน้มหดตัวจากอัตราการเกิดใหม่น้อยลง เมื่อต่อจากนี้ไปทุกปีตลาดจะหดตัวลง ใครชนะใจลูกค้าได้ ก็แย่งลูกค้าได้ ‘ถ้าแย่งได้เราจะไม่หดตัว’

เฟรเซอร์สโชคดีที่มีครบ 3 ธุรกิจ ทั้งที่อยู่อาศัย อสังหาเพื่ออุตสาหกรรม และคอมเมอร์เชียล ถึงที่อยู่อาศัยหดตัวลง แต่ยังมีพอร์ตรายได้ประจำจาก 2 ธุรกิจที่เหลือ ที่ยังไปได้ดี

เฟรเซอร์ส
บ้านแบรนด์ GOLDINA ของเฟรเซอร์สฯ

[ผู้ประกอบการเร่งลดต้นทุน ตรึงราคาขาย ดึงใจลูกค้า]

อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยลบที่กดดันตลาด และกำลังซื้อผู้บริโภคลดลง ทำให้ไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นได้ แม้ราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นในทุกปีก็ตาม

ทำให้บริษัทฯ ต้องเร่งลดต้นทุน ในส่วนที่ไม่จำเป็นออก เช่น วัสดุรูปลักษณ์และเกรดใกล้เคียงกัน อาจปรับมาใช้วัสดุที่ราคาคุ้มค่ามากกว่า ซึ่งสามารถลดต้นทุนก่อสร้างไปได้ 10% เพื่อตรึงราคาขายให้เท่าเดิม โดยออกสินค้าบ้านซีรีส์ใหม่ ราคาคุ้มค่า ซึ่งลูกค้าจะได้บ้านคุ้มค่าในราคาถูกลงราว 5%

โดยบ้านเฟสใหม่ต้องปรับ และตัดบางส่วนที่ไม่จำเป็นออก เช่น บ้านขนาดเริ่มต้น เราทำ 4 ห้องนอน อาจจะเยอะไป ก็ลดลงมาเริ่มต้น 2 ห้องนอน ส่วนความกว้างหน้าบ้านจาก 5.7 เมตร ก็ลดลงเหลือ 5.4 เมตร เป็นต้น นำร่องในกลุ่มบ้านระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปก่อน อย่างแบรนด์ เดอะแกรนด์ และ อัลพีน่า

“เราพบเทรนด์ลูกค้ารุ่นใหม่ อยากได้พื้นที่ใช้สอยพอดีกับความต้องการ ไม่อยากจ่ายเงินเยอะเผื่อส่วนที่ยังไม่ได้ใช้ ต่างจากลูกค้ายุคก่อนที่ซื้อบ้านและมองเผื่อในอนาคต”

ขณะเดียวกัน เราพบว่า กลุ่มผู้ซื้อบ้านแนวราบมีอายุลดลง 25-35 ปี จากแต่ก่อนผู้ซื้อบ้านจะมีอายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มที่เคยจะซื้อคอนโด แต่เปลี่ยนใจมาซื้อบ้าน จากความกังวลเรื่องตึกสูงกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว สอดรับกับการขยายรถไฟฟ้าออกรอบนอก หนุนการเดินทางสะดวกขึ้น ทำให้ลูกค้ามาซื้อบ้านมากขึ้น

เฟรเซอร์ส บ้าน
บ้านแบรนด์ GRANDIO ของเฟรเซอร์ส

สำหรับเฟรเซอร์ส ปี 2568 เตรียมเปิดโครงการใหม่ 8 โครงการ (บ้าน 7 โครงการ, คอนโด 1 โครงการ)

โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 4 โครงการ และในครึ่งปีหลังเตรียมเปิดตัวอีก 4 โครงการ

“ตอนนี้ 3 โครงการใหม่ของเรา คือ แกรนดิโอ ขอนแก่น-มิตรภาพ, แกรนดิโอ โคราช-เทอมินอล และ โกลดิน่า สุขุมวิท-แบริ่ง เพียง 2 วัน ทำยอดขายไปได้กว่า 1,000 ล้านบาท ส่วนปัจจุบัน บริษัทฯ มียอดขาย (พรีเซล) มูลค่า 20,000 ล้านบาท”

]]>
1530601
“แผ่นดินไหว-ภาษีทรัมป์” พ่นพิษ กดดันตลาดอสังหาปี 68 คาดเปิดตัวน้อยสุดรอบ 15 ปี https://positioningmag.com/1524700 Thu, 05 Jun 2025 12:50:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1524700 ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2568 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไม่ได้ดีกว่าที่ทุกคนคาดหวัง จากปีก่อนเราคิดว่าตลาดจะกระเตื้องขึ้นจากข่าวดีเรื่องอัตราดอกเบี้ยลดลง และการปลดล็อก LTV

แต่ก็มีข่าวร้ายเข้ามาด้วยเช่นกัน ทั้งแผ่นดินไหวเมียนมาที่กระทบตลาดคอนโดมิเนียมไฮไรส์ในไทย ซึ่งปัจจุบันกำลังซื้อเริ่มกลับมา 70% จากช่วงปกติ (คาดกลับมา 100% ในปี 2569) ประกอบกับทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าไทย ทำให้ลูกค้าที่ทำธุรกิจส่งออกชะลอหรือยกเลิกการโอนกรรมสิทธิ์บ้านออกไป

ศุภาลัย ไตรเตชะ
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)

“ไตรมาส 4 ปี 2567 เราคิดว่าแย่ที่สุดที่เคยเห็นมา แต่ไตรมาส 1 ปี 2568 แย่ยิ่งกว่า สะท้อนจากกำไรขั้นต้น (Gross Profit) ของกลุ่มอสังหาเฉลี่ย 28% ซึ่งปกติไม่เคยเห็นต่ำกว่า 30% และมีช่วงพีกสุดที่ 35%”

ขณะที่เรามองว่า “ภาษีทรัมป์” น่ากลัวกว่าแผ่นดินไหว เพราะเหตุการณ์แผ่นดินไหวคนชะลอโอนกรรมสิทธิ์ออกไป แต่ภาษีทรัมป์ผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับส่งออก เขาทิ้งเงินจองทันที และไม่โอนกรรมสิทธิ์ คนกลุ่มนี้ค่อนข้างมีเงินอยู่แล้ว

ขณะที่ การเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ ปี 2568 คาดว่าจะเปิดตัวเพียง 60,000-70,000 ยูนิต “น้อยสุดในรอบ 15 ปี” นับตั้งแต่ปี 2553 ที่มีการเปิดตัวราว 110,000 ยูนิต และเคยพีกสุดในปี 2556 ด้วยจำนวน 130,000 ยูนิต

“จากภาพรวมเศรษฐกิจ คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยคงไม่สามารถกลับไปเท่าจุดพีกที่เปิดตัวใหม่ 130,000 ยูนิต/ปี    ได้อีก แต่อาจจะกลับมาเปิดตัวใหม่ได้ราว 90,000-110,000 ยูนิต/ปี เมื่อเซนติเมนต์เศรษฐกิจและการจับจ่าย      ผู้บริโภคดีขึ้น“

ส่วนกลุ่มราคาที่ยังพอไปได้มากสุด คือ ที่อยู่อาศัยราคา 4-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ และต้องการที่อยู่อาศัยจริง ๆ โดยกลุ่มราคานี้มักไม่มีปัญหาการกู้ไม่ผ่านเหมือนกลุ่มระดับกลาง-ล่าง ที่มีปัญหาหนี้ และถ้าระดับราคาสูงกว่า 7 ล้านบาท ส่วนใหญ่มีบ้านกันอยู่แล้วจึงไม่ซื้อเพิ่มนัก

“ตอนนี้เรื่องกู้ไม่ผ่านไม่น่ากังวล เท่าเรื่องความเชื่อมั่น และภาระหนี้ครัวเรือนของลูกค้า การฟื้นความเชื่อมั่นต้องอาศัยทุกภาคส่วนร่วมทำด้วยกัน“

อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกของธุรกิจอสังหายังมีอยู่บ้าง ในด้านราคาวัสดุก่อสร้างลดลง อาทิ เหล็ก และราคาที่ดินลดลง 10-15% เอื้อต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ได้ต้นทุนที่ดีขึ้น

เบื้องต้น ปี 2568 บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท (จากปีก่อน 6,800 ล้านบาท) ซึ่งพยายามมองหาที่ดินราคาคุ้มค่าที่สุด โดยเปิดรับทุกพื้นที่ ปัจจุบันใช้งบประมาณส่วนนี้ไปแล้ว 3,000 ล้านบาท

ที่ดิน บ้าน
ที่มาภาพ Shutterstock

ไตรเตชะ ย้ำว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาชะลอตัวลง แต่บริษัทฯ เดินหน้าตามแผนเดิม ไม่ปรับเป้าใหม่ โดยวางเป้าปี 2568 ทำรายได้ 30,000 ล้านบาท และยอดขาย 32,000 ล้านบาท

โดยเปิดตัวโครงการใหม่รวม 36 โครงการ แบ่งเป็น

  • บ้าน จำนวน 28 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 28,000 ล้านบาท
  • คอนโดมิเนียม จำนวน 8 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 13,000 ล้านบาท

สำหรับคอนโดมิเนียม ช่วงครึ่งปีแรกเตรียมเปิดตัว 3 โครงการ นำร่องด้วย “ศุภาลัย เซนส์ แจ้งวัฒนะ-หลักสี่” อาคารโลว์ไรส์ 8 ชั้น 2 อาคาร บนพื้นที่ 2 ไร่ ราคาเริ่มต้น 1.44 – 4.09 ล้านบาท เฉลี่ย 55,000 บาท/ตร.ม.

ถือเป็นการบุกทำเล “แจ้งวัฒนะ-หลักสี่” ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์กลางเมืองใหม่ (New Urban Hub) ของโซนกรุงเทพตะวันตก ด้วยศักยภาพด้านเศรษฐกิจ จากแหล่งงานขนาดใหญ่ อาทิ ศูนย์ราชการ, อิมแพ็ค เมืองทองธานี, สนามบินดอนเมือง, กลุ่ม รพ.มงกุฏวัฒนะ และ รพ.เวชธานี

ศุภาลัย คอนโด แจ้งวัฒนะ
โครงการศุภาลัย เซนส์ แจ้งวัฒนะ-หลักสี่

คอนโดแจ้งวัฒนะราคาต่ำกว่า 70,000 บาท/ตร.ม. แทบไม่เหลือ ส่วนใหญ่ทำเลใกล้ศูนย์ราชการ ก็มีราคาสูงกว่า 67,000 บาท/ตร.ม.

เราเห็นช่องว่างด้านราคา โดยเราเขยิบที่ดินออกมาจากศูนย์ราชการ มาตรงใกล้ ๆ ไอทีสแควร์ ได้ราคาขายเหลือ 55,000 บาท/ตร.ม. แถมอยู่ใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย คือ สายสีแดง สถานีหลักสี่ 390 เมตร และสายสีชมพู สถานีโทรคมนาคมแห่งชาติ 490 เมตร

โดยเน้นจับกลุ่ม 50% เป็นข้าราชการ และที่เหลือ 40% เป็นพนักงานสนามบินและนักเรียน/นักศึกษา ส่วนอีก 10% เป็นบุคลากรการแพทย์

”ด้วยเราตั้งเป้าเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้ทำห้องกว่า 14 แบบ รองรับการใช้งานที่หลากหลายไลฟ์สไตล์ โดยโครงการนี้จะเริ่มสร้างปี 2569 ก่อนแล้วเสร็จในปี 2570“

]]>
1524700
“เซ็นทรัล” ลุยคอนโด-บ้านหรูกระบี่ครั้งแรก เจาะเศรษฐีท้องถิ่น https://positioningmag.com/1523728 Wed, 28 May 2025 12:56:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1523728 วัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) กล่าวว่า ธุรกิจที่อยู่อาศัย เป็นอีกหนึ่งน่านน้ำรายได้สำคัญเป็นอันดับ 2 ของบริษัทฯ รองจากธุรกิจหลักอย่างศูนย์การค้าเท่านั้น

ตลอด 10 ปีนี้ สร้างการเติบโตระดับ Double Digit (ตัวเลข 2 หลัก) และเตรียมขึ้นแท่น Top 10 แบรนด์อสังหาที่ทำรายได้ที่อยู่อาศัยสูงสุดของไทย

เบื้องต้น แผนการดำเนินงานธุรกิจที่อยู่อาศัย ระยะ 5 ปี CPN ได้ลงทุนรวม 12,000 ล้านบาท คิดเป็น 10% จากงบลงทุนใหญ่ของทั้งกลุ่ม CPN ที่อยู่ราว 120,000 ล้านบาท

โดยปี 2568 เตรียมเปิดโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต และกระบี่

เซ็นทรัล CPN
วัลยา จิราธิวัฒน์

โครงการไฮไลต์ คือ ทำเลกระบี่ ที่เตรียมเปิด 2 โครงการที่อยู่อาศัย เกาะไปกับศูนย์การค้าแห่งใหม่เซ็นทรัล กระบี่ ได้แก่

  • บ้านเดี่ยวแบรนด์ BAAN NINYA ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท/ยูนิต และรูปแบบพูลวิลล่า ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท/ยูนิต
  • คอนโดมิเนียมแบรนด์ PHYLL ราคาเฉลี่ย 1 แสนบาท/ตร.ม. ห้องขนาดเล็กสุดเริ่มต้น 4 ล้านบาท/ยูนิต

”ที่อยู่อาศัย 2 โครงการอยู่ใกล้กับเซ็นทรัล กระบี่ และนับเป็นมิกซ์ยูสแห่งที่ 3 ที่มีการนำ ‘บ้านแนวราบ’ เปิดตัวพร้อมศูนย์การค้า จากก่อนหน้านี้เคยทำโมเดลนี้ที่นครปฐม และพิษณุโลก”

คอนโด CPN กระบี่
โครงการ PHYLL กระบี่

ทั้งนี้ CPN จะเจาะกลุ่มลูกค้า Super Premium กำลังซื้อสูงในกระบี่ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  • กลุ่มคหบดี (ผู้มีฐานะ) / เศรษฐีท้องถิ่น ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือลงทุน
  • กลุ่มนักท่องเที่ยววัยเกษียณ ต้องการที่พักอาศัย ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกอย่างศูนย์การค้า และสามารถเดินทางไปชายหาดได้ใน 15-20 นาที
  • กลุ่ม Digital Nomad ผู้ทำงานที่ไหนก็ได้ทั่วโลก

“ตอนนี้กระบี่ขึ้นแท่นเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ทำให้งานในภาคบริการขยายตัวสูง ส่งผลให้มีคนหลั่งไหลเข้ามาทำงานในพื้นที่ หนุนดีมานด์ที่อยู่อาศัยในกระบี่”

ปัจจุบันบริษัทฯ ยังมีที่ดินในกระบี่มากกว่า 100 ไร่ สำหรับรองรับการพัฒนาในอนาคตได้อีก 7-8 ปี หากดีมานด์ขยายตัว

CPN เซ็นทรัล ผู้บริหาร
ร.อ.กรี เดชชัย

ร.อ.กรี เดชชัย President, Residential Business บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เปิดเผยว่า ปี 2568 บริษัทฯ วางเป้ายอดขาย 7,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมี Backlog ในมือรวม 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 2,000 ล้านบาท และในปี 2569 อีก 3,000 ล้านบาท

“ตอนนี้ยอมรับตลาดแนวราบการแข่งขันสูงมาก ผู้ประกอบการทยอยระบายสต๊อกกัน ทำให้มีการแข่งขันราคาสูง ส่วน CPN มีแนวราบน้อย ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมากกว่า”

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีคอนโดเป็นตัวชูโรง ด้วยกลยุทธ์ด้านทำเลที่อยู่ติดศูนย์การค้าจึงได้รับความนิยมสูง อาทิ ESCENT อุบลราชธานี ทำยอดขายได้กว่า 80% แม้เปิดมา 5 เดือน

ขณะที่คอนโดในภูเก็ตเตรียมเปิดโครงการ PHYLL Phuket 2 เพิ่ม หลังจากปิดการขายโครงการแรกหมด และโครงการทำยีลด์เช่าสูง 7-8% จากคอนโดห้องเริ่มต้น 28 ตร.ม.  ราคา 2.3 ล้านบาท ปล่อยเช่าได้ 20,000 บาท/เดือน

“ปีนี้ธุรกิจอสังหากลุ่มราคาที่พอไปได้ คือ 5-10 ล้านบาท และราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป“

]]>
1523728
อสังหาสต๊อกบวม 2.37 แสนหน่วย คาดใช้เวลาระบายของ 5.3 ปี https://positioningmag.com/1523186 Mon, 26 May 2025 07:21:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1523186 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัย กทม. และปริมณฑล ชะลอตัว 5 ไตรมาสติดต่อกัน สะท้อนจาก หน่วยเปิดตัวโครงการใหม่ ดังนี้

  • Q1/67 จำนวน 16,427 หน่วย (-23.7%)
  • Q2/67 จำนวน 17,423 หน่วย (-24%)
  • Q3/67 จำนวน 11,768 หน่วย (-43.1%)
  • Q4/67 จำนวน 17,153 หน่วย (-45.3%)
  • Q1/68 จำนวน 13,867 หน่วย (-15.6%)

ขณะที่ หน่วยขายได้ใหม่มีแนวโน้มลดลง โดยไตรมาส 1 ปี 2568 ขายได้ 11,314 หน่วย ลดลง 29.3% และมีมูลค่า 68,458 ล้านบาท ลดลง 25.6% เมื่อเทียบปีช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY)

หากจำแนกตามประเภทสินค้า พบว่า

  • คอนโดมิเนียม ขายได้ 5,783 หน่วย ลดลง 8.1% คิดเป็นมูลค่า 25,172 ล้านบาท ลดลง 13.3%
  • บ้านจัดสรร ขายได้ 5,531 หน่วย ลดลง 43% และมีมูลค่า 43,286 ล้านบาท ลดลง 31.2%

เมื่อขายได้ลดลง ทำให้ หน่วยเหลือขายรวมทุกสถานะ (Remaining supply) มีจำนวนเพิ่มขึ้น

โดยหน่วย Remaining supply ไตรมาส 1 ปี 2568 มีจำนวน 237,571 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.4% คิดเป็นมูลค่า 1.45 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.6% (YoY)

ส่งผลให้อัตราดูดซับต่อเดือนเหลือ 1.5% ใช้เวลาระบายสินค้านาน 64 เดือน (ราว 5.3 ปี) จากปีก่อนมีอัตราดูดซับต่อเดือน 2% ใช้เวลาระบายสต๊อก 40 เดือน (ราว 3.3 ปี)

เมื่อแบ่งตามประเภทสินค้า พบว่า

คอนโดมิเนียม

  • หน่วยเหลือขาย 91,697 หน่วย เพิ่มขึ้น 8.2%
  • มูลค่าเหลือขาย 440,235 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.1%
  • อัตราดูดซับต่อเดือน 2.0% (เดิม 2.3%)
  • จำนวนเดือนที่คาดว่าจะขายหมด 47 เดือน (เดิม 40 เดือน)

บ้านจัดสรร

  • หน่วยเหลือขาย 145,847 หน่วย เพิ่มขึ้น 13.5%
  • มูลค่าเหลือขาย 1,009,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.3%
  • อัตราดูดซับต่อเดือน 1.2% (เดิม 2.3%)
  • จำนวนเดือนที่คาดว่าจะขายหมด 80 เดือน (เดิม 40 เดือน)
]]>
1523186
คนไทยอยากซื้อบ้าน แต่เงินเก็บไม่พอ หนุนเทรนด์เช่าโต 12-25% https://positioningmag.com/1503571 Mon, 16 Dec 2024 07:37:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503571 ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) รายงานผลสำรวจความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ว่า ภาพรวมผู้บริโภคมีความต้องการซื้อบ้านสูง 50% ภายใน 1 ปีนี้ แต่หากเจาะลึกความพร้อมทางการเงิน พบว่า

  • กลุ่มมีเงินเก็บพอซื้อบ้าน มีเพียง 33%
  • กลุ่มเก็บเงินซื้อบ้านได้ครึ่งทาง 48%
  • กลุ่มไร้แผนเก็บเงินซื้อบ้าน 18%

“คนวางแผนซื้อบ้านไม่มีความพร้อม ส่วนกลุ่มผ่อนบ้านคอนโดก็เริ่มมีปัญหาการผ่อนชำระ ปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคจึงเลือกเก็บออมเงินเพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต”

สอดคล้องกับข้อมูลจากเครดิตบูโร ระบุ ไตรมาส 3 ปี 2567 หนี้ครัวเรือนไทยในฐานข้อมูลเครดิตบูโรมีมูลค่า 13.6 ล้านล้านบาท (จากหนี้ครัวเรือนทั้งระบบ 16.3 ล้านล้านบาท) เติบโต 0.5% (YoY) ในจำนวนนี้เป็นหนี้เสีย (NPL) มูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท ครองสัดส่วน 8.8% ของหนี้รวมทั้งหมด เพิ่มขึ้น 14.1% (YoY) สูงสุดในรอบ 12 ปี (นับแต่ไตรมาส 4 ปี 2555)

“ความต้องการซื้อ” ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ โต 10-19% บ้านหรูพุ่ง

1.คอนโด +19%

  • ระดับราคายอดฮิต 1-2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% (YoY)

2.บ้านเดี่ยว +10%

  • ระดับราคายอดฮิต 3-4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% (YoY)
  • ราคา 10-20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% (YoY)

3.ทาวน์เฮ้าส์ +10%

  • ระดับราคายอดฮิต 1-2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% (YoY)

“ความต้องการเช่า” ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ โต 12-25%

1.คอนโด +12%

  • ระดับราคาที่นิยม 7,5001-10,000 บาท/เดือน ลดลง 12% (YoY)

2.บ้านเดี่ยว +25%

  • ระดับราคายอดนิยม 12,501-15,000 บาท/เดือน เพิ่มขึ้น 8% (YoY)

3.ทาวน์เฮ้าส์ +10%

  • ระดับราคายอดนิยม 12,501-15,000 บาท/เดือน เพิ่มขึ้น 5% (YoY)

ตลาดเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังคงมีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน

  • คอนโด เพิ่มขึ้น 10% ระดับค่าเช่าที่คนสนใจมากสุด 7,501-10,000 บาท/เดือน ลดลง 18% (YoY)
  • บ้านเดี่ยว เพิ่มขึ้น 30% ระดับค่าเช่าสุดฮิต 100,001-200,000 บาท/เดือน เพิ่มขึ้น 38% (YoY)
  • ทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 23% ระดับค่าเช่าฮิตสุด 12,501-15,000 บาท/เดือน ลดลง 11% (YoY)

“การตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพยังเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ระดับค่าเช่าบ้านเดี่ยวปรับสูงขึ้น ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคระดับบนที่ไม่ต้องการย้ายถิ่นฐานถาวรหรือชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย (Expat)”

อสังหาปี 68 ฟื้นตัวแบบ K-Shaped

โดยสรุป อสังหากลุ่มบนขยายตัวได้ดี ส่วนกลุ่มกลาง-ล่างยังลำบาก เนื่องจากผู้บริโภคขาดสภาพคล่องการเงิน

สะท้อนจากข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 มีมูลค่า 419,812 ล้านบาท ลดลง 16.2% (YoY) ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) ในปีนี้ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 50%

ปัจจัยที่น่าจับตา ได้แก่

  • คนหาบ้านยังไม่หลุดพ้น “กับดักหนี้” อุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อบ้าน มาจาก หน้าที่การงานที่ไม่มั่นคง (56%) และประวัติหนี้เสียในเครดิตบูโร (41%)
  • การผิดนัดชำระหนี้บ้านมีอัตราเร่งตัว (อ้างอิง สศช.) ในไตรมาส 3 ปี 2567 มูลค่าหนี้เสียที่สูงถึง 23.2% จาก 18.2% (QoQ) และสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 4.34% จาก 3.98% (QoQ) “ส่วนใหญ่เป็นบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท“
  • ดีมานด์ที่อยู่อาศัย Upper Class ราคา 7-15 ล้านบาท ชะลอตัว สวนทางซัพพลายเพิ่มขึ้น 17-24%
]]>
1503571
“Areeya The Minimal Series” บ้านมินิมอล มัดใจ Gen Y ด้วยงานดีไซน์ที่ขายได้จริง https://positioningmag.com/1404966 Thu, 27 Oct 2022 11:00:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1404966

กระแส “มินิมอล” เทรนด์ที่กำลังมาแรง จุดประกายให้ “อารียา พรอพเพอร์ตี้” แบรนด์อสังหาฯ ที่อยู่ในตลาดมานานกว่า 22 ปี กล้าพลิกแบบบ้านแนวใหม่ให้เหมาะกับคน “Gen Y” และไม่ได้มีแค่ซีรีส์เดียวให้เลือก แต่มี โครงการสไตล์มินิมอลถึง 3 แบรนด์ คือ COMO Bianca, AREN และ NORA เพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของคนรุ่นใหม่ ทำให้คำว่ามินิมอลไม่ได้มีนิยามตายตัวเพียงแบบเดียว

กระแสรสนิยมแบบ “มินิมอล” ฮิตในไทยมาพักใหญ่แล้วโดยเฉพาะในกลุ่มคน “Gen Y” มองไปทางไหนก็จะเจอสินค้าและบริการที่ใช้สไตล์มินิมอลในการออกแบบ ตั้งแต่ของใช้ส่วนตัวสีขาวไร้ลวดลาย แฟชั่นการแต่งกายเรียบๆ คาเฟ่เก๋ๆ ที่ออกแบบด้วยสีขาวผสมงานไม้ ไปจนถึงโรงแรมบูทิคน่ารักๆ สีเบจ ตกแต่งแบบคลีนๆ เน้นความสบายตาสบายใจในการมาพักผ่อน

แต่เมื่อมองไปในตลาดที่อยู่อาศัย สินค้าที่ตรงกับความต้องการคน Gen Y อาจมีให้เลือกไม่มากนัก ทำให้ “อารียา พรอพเพอร์ตี้” เล็งเห็นโอกาสในการเติมเต็มช่องว่าง สร้างสรรค์ “บ้าน” ที่เข้าใจ Gen Y ทั้งการออกแบบและฟังก์ชันที่ใช่

อารียาฯ วางคอนเซ็ปต์โดยรวมของการออกแบบบ้าน “มินิมอล” ว่าไม่ใช่การตัดทุกอย่าง ลดทอนทุกองค์ประกอบ แต่ตัดเฉพาะสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เหลือเฉพาะสิ่งที่จำเป็นกับการอยู่อาศัยตามไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย นั่นทำให้บ้านมินิมอลของอารียาฯ ยังคงมีความเป็นบ้านที่อยู่ได้จริง

นอกจากนี้ อารียาฯ ยังเลือกที่จะตีความคำว่ามินิมอลให้แยกย่อยสำหรับไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันในแต่ละกลุ่มด้วย ทำให้บ้านมินิมอลของอารียาฯ ที่มีถึง 3 แบรนด์ ใน Portfolio ได้ถูกรวบรวมไว้ภายใต้ “Areeya The Minimal Series” โดยมี COMO Bianca, AREN และ NORA …เพราะมินิมอลมีได้หลายสไตล์ เหมาะกับกลุ่มคนแต่ละ Segment


Minimal Eco Living ที่ “COMO Bianca” (โคโม่ เบียงก้า)

ย้อนกลับไปปี 2563 โครงการ “COMO Bianca” คือแบรนด์แรกภายใต้ Areeya The Minimal Series ที่ออกสู่ตลาด โดยเลือกปักหมุดแห่งแรกในย่านบางนา แบรนด์นี้มาพร้อมกับบ้านสไตล์มินิมอลสีขาวผสมงานไม้สีอ่อน รวมถึงยังเน้นการใช้ไลฟ์สไตล์แบบ Eco-living เข้ามาดึงดูดคน Gen Y ที่รักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ

ด้วยกระแสตอบรับที่ดีและการได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปีนี้ ทางอารียาฯ ได้เปิดตัว COMO Bianca ll ซึ่งเป็นโปรดักส์ใหม่อย่าง ‘บ้านเดี่ยว’ ที่จะมาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตรงใจ ตอบรับ Eco Friendly ด้วย Zero Waste System ที่ทางโครงการได้ติดตั้งถังแยกขยะและเครื่อง Food Waste Composter ช่วยเปลี่ยนขยะจากเศษอาหารเป็นปุ๋ย ที่มีให้กับบ้านทุกหลัง และพื้นที่ส่วนกลางของ Clubhouse และ Glasshouse สำหรับปลูกผักออร์แกนิค รวมถึงพื้นที่ Pet Friendly Area ก็เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง เป็นโซนให้น้องหมาวิ่งเล่นกันได้เต็มที่

กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์นี้ เป็นกลุ่ม Growing Family ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพทำให้ชอบทำอาหารทานเอง ชอบอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ดูแลต้นไม้ ใส่ใจการดูแลสิ่งแวดล้อม


Modern Minimal ที่ “AREN” (เอเรน)

โครงการนี้ถือว่าเป็นแบรนด์สร้างชื่อที่ทำให้ผู้บริโภคคิดถึงอารียาฯ เมื่อเอ่ยคำว่า “บ้านมินิมอล” เพราะเป็นโครงการที่กล้า ‘ไปให้สุด’ กับการดีไซน์ในแบบมินิมอลสุดทาง โดยเริ่มออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อปลายปี 2564 ที่โซนบางนา

ทาวน์โฮมที่นี่ได้รับการออกแบบในโทนสีขาว เทา สเตนเลส กระจก แทบไม่มีงานไม้มาเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นทาวน์โฮม แต่มีพื้นที่ Private Courtyard เท่ๆ ทั้งหมดทำให้ได้อารมณ์มินิมอลแบบล้ำยุคที่ฉีกแนวไปจากแบรนด์ที่มีในท้องตลาดอย่างชัดเจน

เมื่องานดีไซน์บ้านให้ลุคแบบไปสุด กลุ่มที่แบรนด์ดึงดูดจึงเป็นคู่รัก Gen Y ที่ไม่มีลูก (Double Income No Kids) ที่ต้องการบ้านที่สะท้อนตัวตนได้อย่างชัดเจน มีพื้นที่กว้างพอที่ทั้งคู่จะมีอิสระในการจัดมุมบ้านที่เป็นตัวเอง โดยไลฟ์สไตล์ชอบการสังสรรค์กับเพื่อนๆ อาจจะจัดงานปาร์ตี้ที่บ้าน ออกทริป Camping ต่างจังหวัด ชอบดริปกาแฟ มีของสะสมต่างๆ เช่น แผ่นเสียง หนังสือ

แบรนด์ AREN กำลังจะขยายความเป็นมินิมอลแบบสุดทางด้วย Product ใหม่อย่าง AREN X โดยขยับขยายพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้นเป็นบ้านเดี่ยว แต่คอนเซ็ปต์ออกแบบยังคงไปสุดกับความเป็น Modern Minimal เพิ่มด้วย Private Pool สระว่ายน้ำส่วนตัวกลางบ้าน*, Private Courtyard พื้นที่สวนส่วนตัวกลางบ้าน*, Private Barcony บาร์ลับที่ใกล้แค่ก้าว* ซึ่งกำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้


Minimal Cozy ที่ “NORA” (โนระ)

ในปีนี้อารียาฯ ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ กับโครงการใหม่ “NORA” เปิดพร้อมกัน 2 ทำเลคือ บางนา และ กาญจนาภิเษก-ราชพฤกษ์ โดยสร้างสรรค์แบรนด์นี้มาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการมีบ้านหลังแรกสำหรับครอบครัว

NORA เป็นทาวน์โฮมที่ได้แรงบันดาลใจจาก “คาเฟ่สไตล์มินิมอล” ใช้โทนสีขาวและงานไม้สีเข้ม มี Oversized  Window seat ที่นั่งข้างกระจกขนาดใหญ่เพื่อรับแสงธรรมชาติ รวมถึงมีกลิ่นอายที่อยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นที่เรียบง่าย Homey และอบอุ่นเข้ามาผสมผสาน

กลุ่มเป้าหมายของ NORA คือกลุ่มที่กำลังสร้างครอบครัว (Starting Family) โดยพื้นที่แห่งนี้อาจเป็นบ้านหลังแรกของพวกเขา โดยเลือกย้ายมาอยู่ในบ้านแนวราบเพื่อเตรียมตัวมีลูกคนแรกหรือเพิ่งมีลูกคนแรก เป็นกลุ่มคนที่ต้องการความเรียบง่ายในการใช้ชีวิต ชอบการมีความสุขแบบง่ายๆ มีกิจกรรมที่ชอบ เช่น งานคราฟต์ ทำขนม ทำกิจกรรมกับครอบครัว


ไม่ใช่แค่ดีไซน์ต้องใช่ แต่การตลาดก็ต้องพูดภาษาเดียวกัน

งานดีไซน์ที่เห็นแล้วชอบทันทีคือกุญแจหลักในการมัดใจลูกค้า แต่กว่าที่ลูกค้าจะ ‘เห็น’ โปรดักส์ได้ การตลาดที่จะเข้าไปให้ถึงตัวและทำให้ลูกค้าชื่นชอบและมั่นใจในคุณภาพของ “แบรนด์” ก็สำคัญไม่แพ้กัน

ยกตัวอย่างเช่นแบรนด์ AREN ดังที่กล่าวว่าแบรนด์นี้เรียกเสียงฮือฮาในตลาดได้เป็นอย่างมาก เพราะมีการสร้างประสบการณ์ของแบรนด์ (Brand Experience) ผ่านการคอลแลบกับนักสร้างสรรค์ศิลปะในหลายแขนงที่ทำให้ลูกค้าเข้าใจ ‘ฟิลลิ่ง’ ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Nut Dao นักวาดภาพประกอบ, Pichai ช่างภาพวินมอเตอร์ไซค์ชื่อดัง, Hario Cafe แบรนด์อุปกรณ์กาแฟชื่อดังจากญี่ปุ่น หรือ DJYP Music Curator

เมื่อภาพของแบรนด์และโปรดักส์ถูกสื่อสารออกไปด้วยมุมมองที่ตรงกับตัวตน ทำให้เกิดกระแสผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะใน Twitter และ Facebook

แม้กระทั่งแบรนด์ล่าสุดอย่าง NORA ก็เลือกสื่อสารแบรนด์ผ่านมิวสิค มาร์เก็ตติ้ง โดยจับมือกับ “บอย-ตรัย ภูมิรัตน” ศิลปินเสียงเอกลักษณ์และเป็นคุณพ่อที่เข้าใจชีวิตครอบครัว ร่วมกับ “ตั้ม โมโนโทน” เป็นโปรดิวเซอร์ถ่ายทอดบทเพลงในชื่อ “ง่ายดาย” เพื่อสื่อถึงความสุข ความอบอุ่นง่ายๆ ในการสร้างครอบครัวแบบคน Gen Y


แบรนด์ NORA ยังมีการใช้แนวทางการตลาดแบบใหม่ที่ส่งเสริมจินตนาการของ ‘เด็กๆ’ ด้วย โดยโบรชัวร์ของโครงการที่ออกแบบมาในรูปแบบ ‘หนังสือนิทาน’ (นิทาน NORA Pop-up) ที่เล่าเรื่องผ่านตัวการ์ตูนครอบครัวที่มีความสุขที่สุด และพวกเขาอาศัยอยู่ในโครงการ NORA พร้อมกับ ‘โบรชัวร์ระบายสี’ (NORA x Mig Mig) กับการคอลแลบนักวาดภาพประกอบสไตล์มินิมอลอย่างคุณ Mig Mig มาวาดภาพประกอบไว้ให้เด็กๆ ได้ระบายสีในโบรชัวร์ ทำให้โบรชัวร์สามารถใช้ประโยชน์ได้มากกว่าแค่การบอกเล่าข้อมูลโครงการ

นอกจากนี้นับเป็นครั้งแรกของวงการบ้านในไทย สำหรับ 20 ครอบครัวแรกที่จอง และโอนฯ โครงการ NORA จะได้รับ ตัวต่อรูปทรงเดียวกับบ้าน (Mini Block Architecture) ที่จำลองมาจากบ้าน NORA ซึ่งผลิตมาเป็น Limited Edition ช่วยเพิ่มความสุขและความอบอุ่นให้กับสมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ผ่านกิจกรรมสนุกๆ ที่ได้ช่วยกันต่อ ช่วยกันสร้าง จนเกิดเป็นบ้านที่สมบูรณ์แบบ


Areeya The Minimal Series งานดีไซน์ที่ขายได้จริง

จากการตลาดที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ในแต่ละกลุ่มและทำให้เกิดการบอกปากต่อปาก นำมาสู่ยอดขายที่ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย โดย COMO Bianca โครงการแรกสามารถปิดยอดขาย 250 ล้านบาท ช่วง Pre-Sale เพียง 2 วัน และปัจจุบันได้เปิดขาย COMO Bianca II แล้ว ขณะที่ AREN ก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ Sold Out ภายใน 3 เดือน ด้วยแบรนด์ที่แข็งแรงนำไปสู่โครงการต่อยอดอย่าง AREN X ซึ่งกำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้

ส่วน NORA ซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่เพิ่งเปิดขายเมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา ก็สามารถสร้างยอดขายได้ 200 ล้านบาท หลัง Pre-sale เพียง 2 วัน

สรุปได้ว่าอารียาฯ ได้สร้างฐานความสำเร็จกับการเป็นผู้นำตลาดบ้านมินิมอลแล้ว จากความกล้าที่จะออกแบบงานดีไซน์ที่ฉีกจากตลาด ความเข้าใจในตัวตนและรสนิยมของลูกค้า พร้อมกับการตลาดที่สื่อสารแบรนด์ได้อย่างเหมาะสม ทำให้วันนี้เมื่อลูกค้าคิดถึงบ้าน “มินิมอล” ก็ต้องคิดถึง “อารียา” ขึ้นมาเป็นชื่อแรกๆ คน Gen Y ที่สนใจบ้านสไตล์มินิมอลจากอารียาฯ สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/3MeYU03

Line: @Areeyahome https://lin.ee/AlQu2wQ

โทร. 1797

#AreeyaTheMinimalSeries #Areeya #AreeyaProperty #COMOBianca #AREN #NORA #มินิมอล #อารียาพรอพเพอร์ตี้ #บ้านมินิมอล

 

]]>
1404966