ตลาดสุกี้ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 25 Nov 2025 06:59:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘โบนัส สุกี้’ – ‘ลัคกี้ สุกี้’ เปิดเกมรุกเขย่าบัลลังก์ผู้นำบุฟเฟ่ต์สุกี้ https://positioningmag.com/1547545 Tue, 18 Nov 2025 11:09:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1547545 แม้ภาพรวมตลาดธุรกิจร้านอาหารจะดูซบเซา จากความท้าทายในเรื่องภาวะเศรษฐกิจ สภาพการแข่งขันที่ดุเดือด และต้นทุนพุ่งสูงขึ้น ทว่า ‘ตลาดสุกี้’ ที่ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาทกลับมีความร้อนแรง โดยเฉพาะเซ็กเม้นต์ Budget Buffet ราคาต่ำกว่า 300 บาทลงมา

ล่าสุด ‘ศึกบุฟเฟ่ต์สุกี้’ ระลอกใหม่ปะทุ โดยพี่ใหญ่ MK ประกาศส่ง ‘โบนัส สุกี้’ ลุยตลาดสุกี้ Budget Buffet เต็มกำลัง ซึ่งจากนี้จะขยาย 1-2 สาขาทุกสัปดาห์ และตั้งเป้าว่า ในปี 2569 มีสาขามากกว่า 70 สาขา สร้างรายได้กว่า 3,600 ล้านบาท เพื่อให้โบนัส สุกี้ เป็นแบรนด์สุกี้บุฟเฟ่ต์ที่มีการเติบโตเร็วสุดในตลาด และขึ้นเป็นผู้นำในอนาคต

การบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ทาง MK จะใช้ศักยภาพของกรุ๊ปทั้งหมดที่มี อาทิ เครือข่ายร้านอาหารกว่า 600 สาขาในเครือ, ซัพพลายเออร์มากกว่า 1,000 ราย, คลังสินค้าและครัวกลางรองรับได้ 1,000 สาขา, ระบบโลจิสติกส์พร้อมรถขนส่งกว่า 500 คัน ส่งของได้ทุกวันทั่วไทย ที่ขาดไม่ได้ คือ ‘ราคาเข้าถึงง่าย’ มาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ

‘ทานตะวัน และ ธีร์ ธีระโกเมน’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า MK ให้ความสนใจและศึกษาตลาดบุฟเฟ่ต์มานานพอสมควร เนื่องจากมีการเติบโตน่าสนใจ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คือ ต้องการมากกว่าแค่ความคุ้มค่า

นั่นจึงเป็นที่มาของ ‘โบนัส สุกี้’ แบรนด์ใหม่ในเซ็กเม้นท์ Budget Buffet ที่จะมาเสริมพอร์ตสุกี้ของ MK ให้แข็งแรงมากขึ้น ซึ่งนอกจากความคุ้มค่าแล้ว ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความหลากหลาย และประสบการณ์ที่ดีในมื้ออาหาร

สำหรับโบนัส สุกี้ จะเน้นสร้างความแตกต่างและขับเคลื่อนการเติบโต ภายใต้กลยุทธ์ 6 Extra Bonus ประกอบด้วย

Product : การมีเมนูมากกว่า 60 รายการ และมีมากกว่าแค่สุกี้ ทั้งติ่มซำ ของทานเล่น น้ำจิ้ม และเมนูซิกเนเจอร์ เช่น หมูนุ่มหมักไข่โบนัส โรลปูอัดโบนัส พร้อมไฮไลต์เครื่องดื่มสลัชชีชาไทย

Price : ราคาเข้าถึงง่าย 219 บาท ทานได้ 2 ชั่วโมง 15 นาที และจะมีการทำโปรโมชันต่อเนื่องทุกเดือน

People : จะใช้ศักยภาพของเอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ปในเรื่องการเทรนนิ่งพนักงาน เพื่อให้บริการและส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้ามาเป็นจุดแข็ง รวมถึงจะจ้างงานคนในท้องถิ่นตามการขยายตัวของแบรนด์

Promotion Bonus : ให้โบนัสลูกค้ากับเมนูพิเศษที่แจกฟรีทุกโต๊ะ วันละสองรอบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ชั่วโมงโบนัส’

Place : ร้านมีขนาดใหญ่ประมาณ 500 ตร.ม. บาร์อลังการ และสะอาด โดยเริ่มต้นจะโฟกัสเปิดในทำเลทั้งหัวเมืองใหญ่และเมืองรองที่เป็นพื้นที่ชุมชนหนาแน่นและมีศักยภาพในการเติบโต

Process : ความพร้อมทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน มาตรฐาน MK Group ระบบการจัดการที่สาขา จัดเก็บสินค้าอย่างมีระบบ สดใหม่ สามารถเสิร์ฟได้รวดเร็ว ระบบหลังบ้านที่รองรับการขยายได้แบบไม่สะดุด

ทั้งสองเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปี และจุดแข็งที่มีทั้งหมด จะทำให้โบนัสสุกี้เติบโตเร็วแบบก้าวกระโดด เป็นแบรนด์สุกี้บุฟเฟ่ต์ที่มีการเติบโตเร็วสุดในตลาด และคาดหวังจะเป็นผู้นำของตลาดนี้ในอนาคต

ทำไมทั้งคู่ถึงเชื่อมั่นแบบนั้น?

ส่วนหนึ่งเห็นจากการเปิดมา 4 เดือนแรก มีลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำแล้วกว่า 25% และทานซ้ำสูงสุด 37 ครั้งภายใน 4 เดือน ขณะที่ผลสำรวจความพึงพอใจลูกค้าพบว่า กว่า 95% ประทับใจ ทั้งการบริการ พนักงาน และความคุ้มค่า

สำหรับแผนขยายสาขา ในปี 2568 จะเปิดให้ครบ 16 สาขา และในปี 2569 จะขยายมากกว่า 70 สาขา มียอดขายรวมกว่า 3,600 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มเป็น 100 สาขาทั่วประเทศในปี 2570

พอใจผลประกอบการไม่หวั่นกำไรลด

แม้การทำศึกบุฟเฟ่ต์ที่มี ‘สงครามราคา’ เป็นตัวขับเคลื่อนหลักจะฉุดให้กำไรไตรมาส 3 ปี 2568 ของ MK ลดลง แต่ทางธีร์บอกว่า รู้สึกพอใจกับผลประกอบการดังกล่าว โดยเฉพาะการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้น 5%

พร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่ทำให้กำไรลดลง โดยเขาบอกว่า หลัก ๆ มาจากสภาพเศรษฐกิจ และ Fixed cost ต้นทุนพุ่งสูงขึ้น เช่น ค่าแรง ค่าเช่าพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งจากนี้ต้องมาดูว่า จะหาวิธีควบคุมและบริหารจัดการให้ดีขึ้นได้อย่างไร

สำหรับการประเมินภาพปีหน้า ธีร์มองว่า การแข่งขันจะสูงขึ้น และสงครามราคาเหมือนในปีนี้ก็จะยังมีให้เห็น ส่วนการมีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นผู้เล่นรายเดิมในตลาด ทั้งคู่มองเชิงบวก คือ เมื่อมีผู้เล่นใหม่เข้ามา ผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดยิ่งเติบโตมากขึ้น

“ถ้าถามว่า มองการแข่งขันตอนนี้อย่างไร เรามองการแข่งขันมีทุกยุค สำหรับผมการแข่งขันเป็นสิ่งสวยงาม เป็นความสนุก และแต่ละรายมีทางของตัวเอง เราเองก็จะชนะด้วยข้อดีและจุดเด่นของเราที่จะนำมาซึ่งความสามารถในการแข่งขันของเรา นอกจากโบนัส สุกี้แล้ว ทาง MK ยังจะสานต่อบุฟเฟ่ต์คุ้มคุ้ม 299 บาท ส่วนรูปแบบจะเป็นอย่างไร ขอรอดูผลตอบรับเมื่อจบปี 2568 อีกครั้ง”

ลัคกี้ สุกี้ ผนึกกำลัง CRG ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสุกี้

ด้านบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของแบรนด์ ‘ลัคกี้ สุกี้’ และ ‘ลัคกี้ บาร์บีคิว’ หลังจาก CRG เข้ามาร่วมทุน 40% ก็เตรียมเร่งสปีดในการขยายสาขาเต็มกำลัง

‘ณัฐ วงศ์พานิช’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า การร่วมทุนกับมิราเคิล แพลนเนท คือ การจับมือกันของสององค์กรที่มีความแข็งแกร่ง เพื่อนำศักยภาพที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่ายมาผนึกกัน ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฯ เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจร้านสุกี้ในรูปแบบบุฟเฟต์มีโอกาสขยายได้อีกมาก และเชื่อมั่นในศักยภาพของแบรนด์ ลัคกี้ สุกี้ และ ลัคกี้ บาร์บีคิว ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือครั้งนี้ จะนำความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารจัดการด้านธุรกิจอาหาร เทคโนโลยี และเครือข่ายพันธมิตรทางการค้าในปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนให้มิราเคิล แพลนเนท มีการเติบโตทั้งด้านผลการดำเนินงาน และการขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคงและรวดเร็ว ตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับแผนการขยายธุรกิจ จะมีขยายสาขาเพิ่มทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ปีละ 20 – 25 สาขา เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะสามารถขยายสาขาได้ต่อเนื่อง และมีจำนวนสาขา 100 – 120 สาขาทั่วประเทศ

ขณะที่ ‘รสรินทร์ ติยะวราพรรณ’ กรรมการบริหาร มิราเคิล แพลนเนท เผยถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจกับ CRG ว่า มาจากความเชื่อมั่นในศักยภาพ และความเป็นมืออาชีพขององค์กร ที่มีความเข้าใจเชิงลึกในธุรกิจร้านอาหาร ทั้งด้านการวางกลยุทธ์ การมองภาพระยะยาว และระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งพิสูจน์ได้จากผลงานและความสำเร็จที่ CRG สร้างร่วมกับพันธมิตรหลายรายมาแล้ว

“สิ่งที่เรามองหาไม่ใช่เพียงการขยายสาขา แต่คือการสร้างรากฐานธุรกิจที่แข็งแรง และมาตรฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวในระยะยาว ซึ่ง CRG และ มิราเคิล แพลนเนท มีเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับธุรกิจอาหารไทยให้แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าให้ ลัคกี้ สุกี้ ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสุกี้ และบาร์บีคิวของไทยภายในไม่กี่ปีข้างหน้า”

ตี๋น้อยเตรียมจัดโปรฯฉ่ำ-เปิดสาขาต่อเนื่อง

ขณะที่ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ผู้นำและผู้บุกเบิกตลาดบุฟเฟ่ต์สุกี้ แม้การประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 จะทำกำไรไป 221 ล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบการเติบโตกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ยังเดินหน้าทำตามแผนธุรกิจเดิม โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ไว้ 9,000 ล้านบาท

การสร้างรายได้ให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ‘เฟิร์น-นัทธมน พิศาลกิจวนิช’ ซีอีโอ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย หลัก ๆ มาจาก ‘การขยายสาขาใหม่’ ซึ่งปัจจุบันสุกี้ตี๋น้อยมี 86 สาขา และ Teenoi BBQ 4 สาขา

ขณะที่ในปี 2569 ตั้งเป้าจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 32 สาขา เป็นจำนวนสูงที่สุดเท่าที่ทำมา พร้อมกับประกาศจัดโปรฯ ต่อแบบฉ่ำ ๆ ไม่หยุดพัก ส่วนรูปแบบจะออกมาเป็นอย่างไรขอให้ติดตาม

ความเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายหลักแถมเป็นรายใหญ่ทั้งสามรายแบบไม่มีใครยอมใคร สะท้อนให้เห็นว่า พร้อมสู้กับศึกครั้งนี้ จึงทำให้น่าจับตามองเป็นอย่างมากว่า ศึกบุฟเฟ่ต์สุกี้จะไปจบลงตรงไหน?   

]]>
1547545
จากผู้เล่นหน้าใหม่ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ทำอย่างไร ผ่านไป 3 ปี ถึงมีรายได้แตะ 2,000 ล้าน https://positioningmag.com/1537006 Sun, 07 Sep 2025 10:00:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537006 เมื่อ 3 ปีก่อน ‘ลัคกี้ สุกี้’ (Lucky Suki) คือหน้าใหม่ที่ได้เห็นโอกาสเติบโตของ ‘ตลาดสุกี้’ จึงตัดสินใจกระโดดเข้ามาในธุรกิจนี้แม้การแข่งขันจะรุนแรง และมี ‘รายใหญ่’ ที่แข็งแกร่งครองตลาดอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันลัคกี้ สุกี้ได้กลายเป็น ‘ผู้ท้าชิง’ รายสำคัญที่เติบโตรวดเร็ว โดยสิ้นปี 2568 จะทำรายได้แตะ  2,000 ล้านบาท  

 

อะไรคือ Key Success ที่ทำให้แบรนด์อายุ 3 ปีแบรนด์นี้เดินทางมาถึงวันนี้ได้

 

“การที่เราโตอย่างที่เห็น หลายคนบอกว่าเพราะความโชคดีหรือเปล่า ส่วนหนึ่งอาจใช่ อีกส่วนเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพราะตอนเราเข้ามายังมีร้านสเกลใหญ่ที่เป็นบุฟเฟต์ไม่เยอะ แต่ถ้าไม่มีความขยันบวกความตั้งใจ เราจะไม่มีวันนี้” เป็นคำตอบของ ‘รสรินทร์ ติยะวราพรรณ’ หนึ่งในผู้ก่อตั้งลัคกี้ สุกี้

 

ความขยันและตั้งใจที่รสรินทร์พูดถึง คือ เริ่มตั้งแต่การทำการบ้านและศึกษาข้อมูลเชิงลึกของตลาดสุกี้ ไปจนถึงการวางหมากสร้าง Branding ให้แตกต่าง และมีอิมแพค โดยเมื่อตัดสินใจใช้ชื่อ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ก็เลือกใช้คำว่า ‘โชคดี’ มาสร้างความชัดเจนให้กับแบรนด์ ผ่านการดีไซน์ร้าน เช่น ใช้สีแดงสัญลักษณ์ของความโชคดี, ที่โต๊ะจะมีคำว่า ‘เลขที่ออก’ ซึ่งเป็นความโชคดีที่เกี่ยวข้องกับคนไทย ฯลฯ รวมไปถึงการจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ  

 

สิ่งสำคัญ คือ การโฟกัสกับจุดแข็งของ ‘ตัวเอง’ และพัฒนาให้แข็งแกร่งมากขึ้น เพราะเป็นปัจจัยสำคัญให้สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในธุรกิจ ไม่ว่าการแข่งขันจะเป็นอย่างไร คู่แข่งจะใหญ่หรือแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม

อย่างการทำมาร์เก็ตติ้งนับตั้งแต่วันแรกของการเริ่มต้นธุรกิจมาถึงตอนนี้ที่ ‘สงครามราคา’ เดือด ลัคกี้ สุกี้ยังยึดเส้นทางเดิม นั่นคือ การเน้นสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ามีความคุ้มค่าและรู้สึกพึงพอใจมากที่สุด ด้วยกลยุทธ์ Value for money โดยความคุ้มค่าในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ‘ราคาถูก’ แต่หมายถึงสิ่งที่ลูกค้าได้รับต้องคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป

 

เช่น ช่วงแรกที่เกิดสงครามราคาในตลาดสุกี้ แทนที่จะ ‘ลดราคา’ มาแข่ง รสรินทร์เลือกจัดโปรฯ เสิร์ฟกุ้งแก้วและเป็ดย่างฟรี ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 15% สะท้อนให้เห็นว่า ลูกค้าไม่ได้หวังแค่ของถูก แต่พร้อมจ่ายเพิ่ม ถ้าได้ของที่คุ้มค่า เธอจึงมั่นใจเส้นทางที่เดินมาถูกต้องแล้ว

 

“สงครามราคาไม่ดีในระยะยาวและเรามั่นใจในเส้นทางของตัวเอง แต่เราพร้อมลงมาสู้สงครามราคานะ ไม่ได้กลัวกับสิ่งที่เป็นอยู่ และมองว่า การแข่งขันแบบนี้ จะทำให้ตลาดสุกี้โดยรวมโตจาก 25,000 หมื่นล้าน ไปเป็น 30,000 ล้านได้ไม่ยากในปีนี้”

 

คุณภาพคือหัวใจสำคัญ

 

ปัจจุบันลัคกี้ สุกี้ อยู่ในตลาดมา 3 ปี ตอนนี้มีสาขา 34 แห่ง แบ่งเป็นลัคกี้ สุกี้ 25 แห่ง อีก 9 แห่ง เป็นลัคกี้ บาร์บีคิว และปีนี้มีแผนขยายสาขาต่อเนื่องทุกเดือน รวมแล้วจะครบ 40 แห่งภายในสิ้นปี ส่วนรายได้ในปี 2568 จะปิดที่ 2,000 ล้านบาท

 

‘วิรัตน์ โรจยารุณ’ อีกหนึ่งผู้ก่อตั้งลัคกี้ สุกี้ เล่าว่า ปกติขนาดร้านของลัคกี้ สุกี้จะอยู่ประมาณ 500 ตร.ม.ต่อสาขา ซึ่งปีนี้สาขาจะอยู่ในรัศมี 300 กม.จากกรุงเทพฯ เพื่อให้สามารถควบคุมการบริหารจัดการในภาพรวมได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพ การขนส่ง และมาตรฐานต่างๆ     

ส่วนปีหน้าจะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยการเลือกโลเคชั่น ต้องมีจำนวนลูกค้าหนาแน่นเพียงพอ เพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละจุดที่ไปเปิดมีลูกค้าจริง ๆ และต้องมีระบบอำนวยความสะดวกรองรับทั้งที่จอดรถ ความปลอดภัย เพราะร้านให้เปิดบริการ 10.30 – 02.00 น.

 

การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ ถือเป็นอีก Key success ที่ทำให้ลัคกี้ สุกี้ เติบโตได้อย่างที่เห็น โดยไม่ได้มองเรื่องกด ‘ต้นทุน’ ให้ต่ำสุด เพราะหากซื้อวัตถุดิบถูกเกินไป คุณภาพจะตก ลูกค้าอาจจะไม่กลับมาใช้บริการอีก ดังนั้นการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพในราคาที่ควบคุมคอร์สได้ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปจึงสำคัญ

 

“การเปิดสาขามากขึ้น คุณขยายได้ แต่หากควบคุมคุณภาพไม่ได้ นั่นจะทำให้เกิดปัญหา เราจะทำตัวเองเป็นลูกค้าและลงไปเลือกเอง เพื่อให้รู้ว่า ลูกค้าอยากได้อะไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร”

 

สิ้นปีมีเซอร์ไพรส์

 

สำหรับสงครามราคาในตลาดสุกี้ จะเห็นเป็นระยะๆ และการแข่งขันจะยังไม่จบ ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละรายจะมีกลยุทธ์ใดมาช่วงชิงจังหวะ เพื่อดึงดูดและสร้างความพึงใจให้กับลูกค้ามาใช้บริการได้มากกว่ากันเนื่องจากการทำบุฟเฟต์เหมือนการบริหาร 2 มิติ ได้แก่

 

มิติแรก : ทำให้ลูกค้ารู้สึก ‘ชนะ’ มาแล้วคุ้ม ทานแล้วร้านขาดทุน และกลับมาใช้บริการใหม่

มิติที่ 2 : การบริหารคอร์สให้ผู้ประกอบการพอมีกำไร

 

ส่วนคำถามที่ว่า อยากขึ้นไปเขย่าบัลลังก์เบอร์ 1 ของเจ้าตลาดหรือไม่?

 

รสรินทร์บอกว่า คนทำธุรกิจ ‘ทุกคนอยากเป็นเบอร์ 1’ แต่ตอนนี้ลัคกี้ สุกี้ ยังเป็นแบรนด์ใหม่อายุ 3 ปี อาจต้องใช้เวลาในการผสมผสานว่า สิ่งไหนที่ทำแล้วดี อะไรต้องปรับปรุง ดังนั้น จึงอยากโฟกัสทำในสิ่งที่ต้องทำให้มากที่สุด เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งและพร้อมแข่งขัน โดยสิ้นปีนี้จะได้เห็นเซอร์ไพรส์จากลัคกี้ สุกี้อย่างแน่นอน  

 

“แบรนด์เรายังใหม่ มีอะไรให้ทำอีกเยอะ ถ้าเปรียบเป็นลูก ตอนนี้ลูกเราอายุเพิ่ง 3 ขวบเอง แม่อย่างเรายังอยากดูแลโอบอุ้มต่อไป อย่างตอนนี้มีผู้สนใจเข้ามาลงร่วมทุนเยอะมาก เราต้องดูใจให้นานและดูหลายๆ อย่างด้วย ไม่รีบร้อนอะไร”  

]]>
1537006
ทำไม ‘สุกี้ช้างเผือก’ (กล้า)เลือก ‘บรรทัดทอง’ เป็นสาขาแรกในกรุงเทพฯ https://positioningmag.com/1533294 Mon, 11 Aug 2025 07:11:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1533294 ‘สุกี้ช้างเผือก’ ร้านดังจากเชียงใหม่อายุ 33 ปี กำลังจะเปิดสาขาแรกในกรุงเทพฯ ณ ‘ย่านบรรทัดทอง’ ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างมากว่า ทำไมร้านแห่งนี้ถึงตัดสินใจเลือกย่านดังกล่าวเพื่อเปิดเกมรุกตลาดกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ทั้ง ๆ ที่บรรทัดทองคือ ‘ย่านปราบเซียน’ และกำลังอยู่ในช่วง ‘ขาลง’

 

“มีหลายคนถามเรื่องนี้เหมือนกันว่า ทำไมเลือกโลเคชั่นนี้ เพราะกำลังอยู่ในช่วงซบเซา และถามว่า กังวลไหม คำตอบก็กังวลบ้าง แต่ด้วยโจทย์ที่วางไว้ในการบุกตลาดกรุงเทพฯ ในรูปแบบสตรีทฟู้ดส์ เราก็ยังไม่เห็นที่ไหนเหมาะสมเท่ากับบรรทัดทอง” ‘ณัฐสุวรรณ อิ่มใจบุญ’ ทายาทรุ่น 2 สุกี้ช้างเผือกบอกกับ Positioning

 

การตัดสินใจเลือกบรรทัดทอง เป็นหมุดหมายแรกของการเปิดสาขาสุกี้ช้างเผือกในกรุงเทพฯ ณัฐสุวรรณบอกว่า ใช้เวลาศึกษาพื้นที่นานกว่า 1-2 ปี เหตุผลนอกจากจะเป็นย่านที่สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ของร้านแล้ว บรรทัดทองยังเป็นย่านที่มีความครบทั้งที่จอดรถ ใกล้สถานศึกษา และภายในย่านมีร้านอาหารหลากหลาย ซึ่งเป็นแม่เหล็กและตัวเลือกในการดึงลูกค้าได้เป็นอย่างดี

 

สำหรับการวางราคาขาย ณ สาขาบรรทัดทอง จะเป็นราคาปกติของร้าน คือ เริ่มต้นที่ 80-90 บาท ส่วนกลุ่มเป้าหมายจะเน้นคนไทยเป็นหลัก รองลงมาเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

 

“เรามั่นใจในเรื่องคุณภาพ และรสชาติของเราที่มีเอกลักษณ์ในเรื่องวุ้นเส้นเหนียวนุ่ม ผักกรอบ มีกลิ่นหอมกระทะ และน้ำจิ้มเฉพาะตัว บวกกับราคาเข้าถึงได้ เราจึงมั่นใจจะไปได้ ซึ่งขณะนี้สาขาดังกล่าวอยู่ระหว่างการตกแต่งและรับสมัครพนักงาน ถ้าพร้อมเปิดให้บริการเมื่อไรจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้ง”

 

สำหรับสุกี้ช้างเผือก เป็นร้านดังจากเชียงใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 2535 โดยมีคุณพ่อคุณแม่ของณัฐสุวรรณ      เป็นผู้บุกเบิก เริ่มต้นจากร้านรถเข็นริมทางหลังโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ก่อนจะย้ายมาเปิดที่ประตูช้างเผือก และเป็นที่มาของชื่อสุกี้ช้างเผือกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

 

ตอนนี้สาขาทั้งหมดอยู่ในเชียงใหม่มีด้วยกัน 6 แห่ง ได้แก่ สาขาประตูช้างเผือก, หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สี่แยกสนามบิน, กรีนปาร์คฯ , โรงพยาบาลกรุงเทพ และกาดฝรั่งแม่ริม

]]>
1533294
Mo-Mo-Paradise ชู ‘ความคุ้มค่า+คุณภาพ’ สู้ศึกตลาดชาบู-สุกี้เดือด https://positioningmag.com/1532302 Mon, 04 Aug 2025 09:16:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532302 ขณะที่เราได้เห็นการสาด ‘สงครามราคา’ ในธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะตลาดสุกี้และชาบูอย่างดุเดือด แต่ทาง Mo-Mo-Paradise ได้ประกาศชัดว่า ไม่สนใจลงไปเล่นในสงครามนี้ และขอโตตามเส้นทางของตัวเอง นั่นคือ ใช้ ‘ความคุ้มค่า+คุณภาพ’ สไตล์ญี่ปุ่นแท้ เป็นจุดแข็งเพื่อสร้าง Brand Love มัดใจลูกค้า

 

“เราอยากให้ลูกค้ามา Mo-Mo-Paradise เพราะรักในแบบที่เราเป็น ไม่ใช่มาเพราะมีการอัดโปรฯ แรง ๆ หรือลดราคา”

 

เป็นคำตอบของ ‘สุรเวช เตลาน’ ซีอีโอ บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด ผู้บริหาร Mo-Mo-Paradise ในไทย เมื่อถูกถามว่า ทางแบรนด์จะมีโปรโมชั่นเด็ดอะไรออกมาสำหรับเพิ่มยอดขายและดึงกำลังซื้อผู้บริโภคในยุคที่เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างหนัก

 

สำหรับการให้ลูกค้ารักในแบบที่ Mo-Mo-Paradise เป็น ก็คือ จะชู ‘ความคุ้มค่า’ และ ‘คุณภาพ’ ตามแบบฉบับชาบูสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ มาเป็นทั้งจุดขายและจุดแข็ง ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นสิ่งที่สุรเวชใช้สร้างธุรกิจนับตั้งแต่นำแบรนด์นี้เข้ามาในไทยเมื่อ 18 ปีก่อน

 

ขณะที่การขยายสาขา ในปีนี้ยังไม่มีแผนขยายสาขาใหม่ แต่จะหันมาเน้นสร้างการเติบโตของยอดขายในร้านเดิม (Same store sale growth) ให้มากขึ้นแทน ผ่านการปรับปรุงคุณภาพการบริการ นำเทคโนโลยี อาทิ ระบบ POS, ERP, AI ฯลฯ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ควบคู่ไปกับการมีเงินทุนสำรองและกระแสเงินสดที่เหมาะสม

 

“18 ปี เรามี 30 สาขา ถือว่าน้อยนะเมื่อเทียบกับจำนวนปีที่ทำธุรกิจ ทว่าอย่างที่บอกเราอยากโตในแบบของเรา อย่างก่อนหน้านี้ช่วงที่ร้านชาบูแข่งกันเดือด ๆ จะเห็นหลายแบรนด์นำสินค้าอื่นเข้ามาเพิ่ม โดยเฉพาะซูชิและปลาแซลมอน แต่เราไม่ทำ เนื่องจากไม่ใช่ตัวตนและทางของแบรนด์เรา ซึ่งเราไม่เคยเขว้ ทำให้เราเดินได้อย่างแข็งแรงมาถึงทุกวันนี้”

 

เศรษฐกิจมีลงก็มีขึ้นได้

 

ส่วนสภาพเศรษฐกิจ สุรเวชบอกว่า มีขึ้นก็มีลง เมื่อลงก็มีโอกาสขึ้น โดยตั้งแต่เขาทำธุรกิจมานาน 18 ปี ไม่เคยมีปีไหนที่คนบอกว่า ‘เศรษฐกิจดี’ ที่สำคัญวิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก แม้ดูจะลากยาวและมีความท้าทายเป็นอย่างมากก็ตาม

 

ขณะที่ ‘สงครามราคา’ เราจะเห็นการเล่นกลยุทธ์นี้ไปอีกสักระยะ แต่คงไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ เพราะแต่ละแบรนด์รู้ดีว่า ในระยะยาวกลยุทธ์ดังกล่าสไม่ได้ส่งผลดีต่อธุรกิจ ทั้งกระทบภาพลักษณ์และมีผลในเรื่องรายได้อย่างแน่นอน

 

สำหรับการดำเนินงานของ Mo-Mo-Paradise ช่วง 6 เดือนแรก ของปี 2568 ยังเห็นการเติบโต ซึ่งทั้งปี 2568  ทางบริษัทฯวางเป้ายอดขายไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำไป 1,700 ล้านบาท มาจากแบรนด์ Mo-Mo-Paradise เป็นหลัก

 

ส่วนอีก 3 แบรนด์ในเครือ ได้แก่ Nabezo Premium ร้านชาบูและสุกี้ยากี้ระดับพรีเมียม, Gyukatsu Kyoto Katsugyu ร้านเนื้อทอดสไตล์ญี่ปุ่น และ Guljak Topokki & Chicken ร้านต๊อกบกกีและไก่ทอดเกาหลี ที่ตอนนี้มีสาขารวม 8 แห่ง คาดว่า จะสร้างยอดขายให้ราว 100 ล้านบาท

]]>
1532302
ร้านสุกี้หนีตาย แตกไลน์สินค้าบุกเชล์ฟค้าปลีก เพิ่มรายได้ https://positioningmag.com/1517510 Sat, 05 Apr 2025 03:36:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1517510
สมรภูมิ ตลาดสุกี้ มูลค่า 23,000-25,000 ล้านบาท (อ้างอิงศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ยังคงเผชิญความท้าทายด้านการแข่งขันดุเดือดอย่างต่อเนื่อง
จากในอดีตมี “เอ็มเค” ครองตลาดใหญ่สุด โดยเฉพาะในตลาดกลุ่มกลาง-บน (ราคาเฉลี่ย 400+ บาท/คน) สะท้อนจากรายได้ “หลักหมื่นล้านบาท” และกำไร “หลักพันล้านบาท”
แต่นับตั้งแต่ปี 2562-2564 มีแบรนด์สุกี้หน้าใหม่ถือกำเนิดขึ้น อาทิ ฮอตพอตแมน สุกี้ตี๋น้อย ลัคกี้สุกี้ โดยแบรนด์ใหม่เลือกตีตลาดแมสที่ยังมีช่องว่างทางการตลาดที่เอ็มเคยังไม่เจาะ
และถือว่ามาได้ “ถูกจังหวะ” เพราะช่วงยุคโควิดต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน กำลังซื้อคนไทยลดลง ทำให้หาร้านอาหารราคาเข้าถึงง่าย โดยมองว่า “บุฟเฟต์” เป็นอาหารที่คุ้มค่า เพราะรับประทานได้ไม่จำกัด ทำให้จุดพลุแบรนด์สุกี้ตี๋น้อย ตามด้วยลัคกี้สุกี้ให้ติดตลาดมากขึ้น
สุกี้ตี๋น้อย
สุกี้ตี๋น้อย
สะท้อนจากผลประกอบการของสุกี้ตี๋น้อยที่ขยายตัวสูง ดังนี้
  • ปี 2562 มีรายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท (ปีฐาน)
  • ปี 2563 รายได้ 1,223 ล้านบาท เติบโต 145% กำไร 140.3 ล้านบาท เติบโต 835%
  • ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท เติบโต 28% กำไร 148 ล้านบาท เติบโต 5.5%
  • ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท เติบโต 152% กำไร 591.5 ล้านบาท เติบโต 299%
  • ปี 2566 รายได้ 5,262.4 ล้านบาท เติบโต 32% กำไร 907.1 ล้านบาท เติบโต 53%
  • ปี 2567 รายได้ (ยังไม่ประกาศ) กำไรสุทธิ 1,169 ล้านบาท (อ้างอิงส่วนแบ่งกำไร JMART) เติบโต 28.9%
สวทางกับผลประกอบการของ เอ็มเค ที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าช่วงก่อนโควิด ดังนี้
  • ปี 2562 รายได้ 17,739 ล้านบาท โต 3% และกำไรสุทธิ 2,604 ล้านบาท โต 1%
  • ปี 2563 รายได้ 13,622 ล้านบาท ลดลง 23% และกำไรสุทธิ 907 ล้านบาท ลดลง 65%
  • ปี 2564 รายได้ 11,368 ล้านบาท ลดลง 17% และกำไรสุทธิ 131 ล้านบาท ลดลง 86%
  • ปี 2565 รายได้ 15,938 ล้านบาท โต 40% และกำไรสุทธิ 1,439 ล้านบาท โต 999%
  • ปี 2566 รายได้ 16,974 ล้านบาท โต 6% และกำไรสุทธิ 1,682 ล้านบาท โต 17%
  • ปี 2567 รายได้ 15,809 ล้านบาท ลดลง 7% และกำไรสุทธิ 1,442 ล้านบาท ลดลง 14%

จากการแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้สุกี้แบรนด์เริ่มมองหาน่านน้ำรายได้ใหม่

โดย “เอ็มเค” ได้เจาะตลาดค้าปลีก ผ่านการส่ง “ชุดบะหมี่หยกลูกชิ้นรวมมิตร“ ราคา 69 บาท/ชุด วางขายในร้านสะดวกซื้อเซเว่น และน้ำจิ้มสุกี้ น้ำจิ้มบ๊วย ราคา 65-119 บาท ขายในร้านสะดวกซื้อ และโมเดิร์นเทรด อาทิ บิ๊กซี แม็คโคร โลตัส
ล่าสุด “สุกี้ตี๋น้อย” ได้ส่งชุดผักสุกี้เข้าจำหน่าย ราคา 139 บาท ประเดิมวางขายในแม็คโครและโลตัสทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมีการเปิดขายทางออนไลน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แพ็กเก็ตสินค้าสุกี้ตี๋น้อยและเอ็มเค ที่จัดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ/โมเดิร์นเทร
“แม้ปัจจุบันสุกี้ตี๋น้อยจะยังโตต่อเนื่อง แต่ถ้าเจาะลึกกำไรสุทธิต่อสาขาจะเห็นว่าลดลง โดยปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1,169 ล้านบาท จาก 78 สาขา เท่ากับทำกำไร 14.9 ล้านบาท/สาขา จากปี 2566 ทำกำไรสุทธิ 913 ล้านบาท จาก 55 สาขา เท่ากับทำกำไร 16.6 ล้านบาท/สาขา“
ประกอบกับผู้เล่นสุกี้ตลาดแมสหน้าใหม่ก็เข้ามาชิงมาร์เก็ตแชร์ อย่าง ลัคกี้สุกี้ ก็ทำผลงานได้ดี สะท้อนจากผลประกอบการ 3 ปี ดังนี้
  • ปี 2565 รายได้ 79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.6 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 409 ล้านบาท เติบโต 413% กำไรสุทธิ 46 ล้านบาท เติบโต 1,635%
  • ปี 2567 รายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 148% กำไรสุทธิ N/A
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้แบรนด์สุกี้เริ่มวางจำหน่ายสินค้าตนเองบนเชลฟ์ค้าปลีกมากขึ้น และเทรนด์นี้คาดจะขยายตัว แม้จะไม่สร้างรายได้สูงเท่าหน้าร้าน แต่ก็เป็นช่องทางการเคลื่อนตัวหาผู้บริโภค พร้อมกับสร้างโอกาสใหม่ให้ธุรกิจในยุคที่ตลาดสุกี้หม้อร้อนเข้าสู่ภาวะเรดโอเชี่ยน!
]]>
1517510
MK จะทวงบังลังก์ผู้นำตลาดสุกี้อย่างไร ? เมื่อ ‘ความท้าทาย’ รอบด้าน – ‘คู่แข่ง’ ก็แกร่งขึ้น https://positioningmag.com/1513498 Tue, 04 Mar 2025 11:14:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1513498 หลังจาก MK ส่งสัญญานถึงการขยับตัวครั้งใหญ่ตลอดปีนี้ เพื่อพลิกสถานการณ์ให้กลับมาเติบโต และทวงบังลังก์ผู้นำในตลาดสุกี้ ด้วยการ ‘กดปุ่มสตาร์ทแรก’ เปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจมาเป็น MongKol จนเป็นกระแสไวรัลที่ผู้คนให้สนใจ พร้อมกับปล่อยแคมเปญการตลาดที่ไม่เคยทำมาก่อน และแต่งตั้ง ‘ทานตะวัน – ธีร์ ธีระโกเมน’ สองผู้บริหารรุ่นใหม่ทายาทของ ‘ฤทธิ์ ธีระโกเมน’ ผู้ก่อตั้ง MK มานั่งในตำแหน่ง ‘กรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม’ 

 

แต่ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ, ราคาต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้น รวมไปถึงการแข่งขันที่ดุเดือดและการมีคู่แข่ง ซึ่งนับวันจะแข็งแกร่งมากขึ้นทั้ง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ และน้องใหม่มาแรงอย่าง ‘ลัคกี้ สุกี้’ 

 

จึงน่าจับตามองว่า  MK ที่อยู่ในตลาดมานาน 39 ปี จะสามารถพลิกเกมและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างไร ? 

 

โดยเฉพาะเมื่อดูจากผลประกอบการปี 2567 ของ  ‘บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)’ หรือ MK GROUP ซึ่ง MK ทำรายได้หลักให้กับเครือถึง 72% พบว่า รายได้และกำไรของ MK GROUP ยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยทำรายได้รวมไป 15,418 ล้านบาท ลดลง 7.5 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 1,442  ล้านบาท ลดลง 14.3%  

 

สวนทางกับผลประกอบการของ ‘บริษัท บีเอ็นเอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด’ เจ้าของธุรกิจ สุกี้ตี๋น้อย ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด โดย

 

ปี 2563 มีรายได้ 1,223 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท

ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท

ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท

ปี 2566 รายได้ 5,244 ล้านบาท กำไร 913 ล้านบาท

 

ส่วนปี  2567 มีกำไร 1,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งผลประกอบการดังกล่าวมาจากการที่  สุกี้ตี๋น้อยมีสาขารวม 78 สาขา, ตี๋น้อย บาร์บีคิว 1 สาขา และตี๋น้อย เอ็กซ์เพรส  1 สาขา

ขณะที่พี่ใหญ่อย่าง MK มีสาขาทั้งหมดถึง 432 สาขา  

 

ถึงเวลายักษ์ใหญ่(ต้อง)ขยับ

 

MK เองไม่ได้นิ่งนอนใจในการรักษาความเป็นเจ้าตลาด และก่อนหน้านี้พยายามแก้เกมในหลากหลายกลยุทธ์ ทั้งเปิดตัวโปรดักต์ที่เป็นตัวสร้างชื่อให้กับตัวเองออกมาจำหน่ายในรูปแบบใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

 

อย่างเช่น ชุดสุกี้เอ็มเคในรูปแบบแพ็ก, น้ำจิ้มสุกี้เอ็มเคแบบขวด และชุดบะหมี่หยก ลูกชิ้นรวมมิตร มาวางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อและร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งไม่เพียงจะเพิ่มโอกาสในการขาย แต่ยังเป็นช่องทางในการนำแบรนด์ MK เข้าถึง ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ นอกเหนือจาก ‘กลุ่มครอบครัว’ ที่เป็นลูกค้ากลุ่มหลักของแบรนด์

 

ในเดือนสิงหาคม 2567 ยังได้กระโดดลงไปแข่งขันในตลาดร้านบุฟเฟ่ต์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์มา 39 ปี ภายใต้ชื่อ MK BUFFET มีให้เลือก 3 ราคาได้แก่ ระดับมาตรฐาน ราคา 499 บาท, Premium Buffet ราคา 699 บาท และ Deluxe Buffet ราคา 899 บาท (ไม่รวมเครื่องดื่มและขนมหวาน) ประเดิมเปิดสาขาแรกที่ ‘เซ็นทรัล เวสต์เกต’ และในอนาคตมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มเติม 

 

ตั้งผู้บริหารคนรุ่นใหม่สู้ศึก

 

นอกจากนี้ เมื่อธุรกิจเคลื่อนตัวเข้าสู่โลกของคนรุ่นใหม่ ในเดือนธันวาคม 2567 ทาง MK ก็ได้แต่งตั้งสองผู้บริหารคนรุ่นใหม่ผู้เป็นทายาทของ ‘ฤทธิ์ ธีระโกเมน’ ผู้ก่อตั้ง MK นั่นคือ ‘ทานตะวัน และ ธีร์ ธีระโกเมน’ มานั่งในตำแหน่ง ‘กรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม’ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ขณะที่ฤทธิ์ จะทำหน้าที่คอยให้คำปรึกษา 

 

แน่นอนเป้าหมายของการแต่งตั้งสองผู้บริหารครั้งนี้ ต้องการให้ทั้งคู่มาสร้างการเปลี่ยนแปลงและพลิกสถานการณ์ของ MK ซึ่งเราได้เห็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองไปแล้ว นั่นคือ การเปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจของ MK มาเป็น MongKol ที่สร้างความฮือฮาจนเป็นกระแสไวรัลไปทั่วบ้านทั่วเมือง 

 

ตามด้วยการปล่อยแคมเปญการตลาดที่ไม่เคยทำมาก่อน อย่าง ‘หมู มาราธอน’ โดยแคมเปญนี้พุ่งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้า GEN Y – GEN Z ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและตอบโจทย์ความต้องการ ให้สามารถกินได้ไม่อั้นในเวลา 90 นาที กับ 4 คอนโดหมู (หมูนุ่ม หมูนุ่มโรยงา สันคอหมูสไลซ์ และ คุโรบูตะสเปเชียลสไลซ์) 

 

หรือจะเป็นการครีเอตเมนู ‘สุกี้ชามเดี่ยว’ ที่ให้ลูกค้าเลือกได้ตั้งแต่เนื้อสัตว์ เส้นซุป ในราคาเริ่มต้นที่ 129 บาท เริ่มวันที่ 6 กุมพาพันธ์ – 31 มีนาคม 2568 

 

การเดินกลยุทธ์แบบใหม่ของ MK ทาง ‘ทานตะวัน ธีระโกเมน’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ให้เหตุผลว่า มาจากการแข่งขันที่รุนแรงมากของตลาดสุกี้ในปัจจุบัน จนกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้แบรนด์ต้องปรับตัวขึ้นมาสู้ศึกนี้แบบเต็มกำลัง โดยเริ่มจากเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดใหม่ ๆ ที่ทำให้แบรนด์สนุกยิ่งขึ้น และเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น

 

แผนปี 68 เน้นความคุ้มค่าและคงคุณภาพ 

 

สำหรับปี 2568 ทาง MK GROUP มีการปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ ที่มีความคุ้มค่าและคงคุณภาพ เพื่อเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ให้มากขึ้น และดึงดูดความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภค ขณะที่ธุรกิจรีเทลมีการเตรียมแผนการขยายช่องทางทั่วโลก และมองหาโอกาสในการเติบโตจากการลงทุนในธุรกิจใหม่

 

อย่างล่าสุดได้มีการเปิดตัว ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ ร้านแฮมเบิร์กเจ้าดังจากประเทศญี่ปุ่น นำเข้ามาเปิดในไทยเป็นสาขาแรก ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งคาดว่า มีโอกาสเติบโตและขยายได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับเปิดโอกาสในการมองหาการลงทุนใหม่ๆ เพื่อเข้ามาเสริมพอร์ตธุรกิจให้แข็งแรงขึ้นอีก

 

เมื่อโฟกัสมาที่ MK Restaurants นอกจากขยายร้านอย่างต่อเนื่อง จากเดิมมีสาขาทั้งหมด 432 สาขา, MK Live 4 สาขา, MK Gold 5 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ MK Restaurants ในต่างประเทศ คือ ญี่ปุ่น 24 สาขา, เวียดนาม 4 สาขา, ลาว 3 สาขา 

 

ในปีนี้ ยังมีแผนนำ ‘น้ำจิ้มสุกี้’ ไปวางขายให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น รวมถึงมีช่องทางการวางจำหน่ายไปทั่วโลก ทั้งโซนเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง

 

ผู้บริโภคอยากให้ปรับ ‘ราคาลง’

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อลองเช็คเสียงและคอมเมนต์ของผู้บริโภคแล้ว จะเห็นได้ว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการให้ MK มีการปรับ ‘ราคา’ ลง เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่ง มากกว่าสร้างการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ

 

โดยปัจจุบันราคาบุฟเฟ่ต์ของคู่แข่งรายสำคัญทั้งสุกี้ตี๋น้อย และน้องใหม่มาแรงอย่าง ลัคกี้ สุกี้ อยู่ที่หัวละ 219 บาท สามารถทานได้ในเวลา 1 ชั่วโมง 45 นาที หากรวมเครื่องดื่มรีฟิล บวกกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แล้ว จะมีราคาสุทธิอยู่ที่ 276 บาทต่อคน 

 

ราคาดังกล่าว เมื่อเทียบกับราคาบุฟเฟ่ต์ของ MK ถือว่า ห่างกันพอสมควร แม้หลายคนจะบอกว่า ของคุณภาพต่างกันก็ตาม

 

ทว่าประเด็นเรื่องราคาอาจเป็นหนึ่งโจทย์สำคัญที่ยักษ์ใหญ่อย่าง MK ต้องนำไปคิด เพื่อจะพลิกสถานการณ์ให้กลับมาเติบโต และทวงบังลังก์ผู้นำในตลาดสุกี้กลับมาให้ได้

]]>
1513498
ทายาทรุ่น 2 MK ประกาศปลุกกระแสแบรนด์ต่อเนื่อง https://positioningmag.com/1509467 Wed, 05 Feb 2025 05:12:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1509467 หลังจาก MK ปลุกกระแสตั้งแต่ต้นปี ด้วยการเปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจมาเป็น MongKol ทำให้แบรนด์ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างและกลับมามีชีวิตชีวาบนโลกโซเชียลอีกครั้ง ล่าสุดทางทายาทรุ่น 2 ของ MK GROUP ‘ทานตะวัน ธีระโกเมน’ ก็ออกมาประกาศแล้วว่า จะเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ในการปลุกกระแสให้ MK แรงต่อเนื่อง

 

‘ทานตะวัน ธีระโกเมน’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากของตลาดสุกี้ในปัจจุบัน กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้แบรนด์ต้องปรับตัวขึ้นมาสู้ศึกนี้แบบเต็มกำลัง โดยเริ่มเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดใหม่ ๆ ที่ทำให้แบรนด์สนุกยิ่งขึ้น และเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น

 

สำหรับแคมเปญแรกที่ได้ประเดิมไปของ MK Restaurants ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ถือเป็นการสร้างแปลกใหม่แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งการเปลี่ยนป้าย MK Restaurants เป็น MongKol Restaurants ในรอบ 39 ปี กับ 4 สาขา ขณะเดียวกันก็เสิร์ฟความมงคลสร้าง Engagement กระหน่ำโซเชียล และ หมี่หยกยืนยาว 99 ซม. อีกแคมเปญสุดปังที่สร้างยอดขายเติบโตกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ตามด้วยการเขย่าวงการธุรกิจค้าปลีก กับ ‘ชุดบะหมี่หยก ลูกชิ้นรวมมิตร’ ราคา 69 บาท เพิ่มช่องทางการขายใน 7 – Eleven และตบท้ายด้วยคอนเทนต์น้ำจิ้มสุกี้ สร้างไวรัล ป่วนทุกวงการ ทั้งหมดนี้สามารถปลุกกระแสของแบรนด์และได้รับการตอบรับในทิศทางที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคบนโลกโซเชียล อีกทั้งยังดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง

 

ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อไม่นานมานี้ MK Restaurants เพิ่งประกาศเปิดตัวแคมเปญใหม่ กับ ‘หมู มาราธอน’ ซึ่งพุ่งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้า GEN Y – GEN Z ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและตอบโจทย์ความต้องการ โดยสามารถกินได้ไม่อั้นในเวลา 90 นาที กับ 4 คอนโดหมู (หมูนุ่ม หมูนุ่มโรยงา สันคอหมูสไลซ์ และ คุโรบูตะสเปเชียลสไลซ์) สั่งชุดหมูเริ่มต้น 385 บาท จำนวน 1 ชุด ต่อ 1 โต๊ะ บวกเพิ่มแค่ 159 บาท ต่อ 1 คน ได้สิทธิ์ทาน หมูสันคอสไลซ์, คุโรบูตะสเปเชียลสไลซ์, หมูนุ่ม และหมูนุ่มโรยงา ได้แบบไม่อั้น! เริ่มตั้งแต่ 3 – 11 ก.พ. 2568 ที่ MK Restaurants ทุกสาขา

 

ทานตะวันทิ้งท้ายว่า อย่างไรก็ตามอยากให้ทุกคนรอติดตามว่าปีนี้ แบรนด์ MK Restaurants และแบรนด์อื่นในเครือของ MK GROUP จะทำแคมเปญอะไรอีก รับประกันว่าจะสนุกขึ้นและหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนแคมเปญที่ผ่านมาเช่นกัน

]]>
1509467
เส้นทางพันล้าน “ลัคกี้สุกี้” น้องใหม่วงการที่โตเร็วกว่า “สุกี้ตี๋น้อย” https://positioningmag.com/1508439 Tue, 28 Jan 2025 06:36:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508439 หากกล่าวถึง สุกี้ราคาเข้าถึงง่าย ชื่อของ “สุกี้ตี๋น้อย” คงติดอันดับแรก ๆ ที่ผู้คนนึกถึง แต่ตอนนี้บัลลังก์สุกี้ตลาดแมสคงสั่นสะเทือนมิใช่น้อย เมื่อ “ลัคกี้สุกี้” แบรนด์น้องใหม่ อายุ 3 ปี เข้ามาชิงตลาด

ลัคกี้สุกี้ น้องใหม่ที่โตเร็วพอ ๆ กับ สุกี้ตี๋น้อย

สิ่งที่น่าสนใจ คือ ลัคกี้สุกี้ เริ่มต้นธุรกิจเพียง 3 ปี แต่ทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาท มีการเติบโตทั้งรายได้และกำไรค่อนข้างเร็วพอ ๆ กับสุกี้ตี๋น้อย

ผลประกอบการลัคกี้สุกี้ (นับตั้งแต่เริ่มมีการรายงานรายได้-กำไร)

  • ปี 2565 รายได้ 79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.6 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 409 ล้านบาท เติบโต 413% กำไรสุทธิ 46 ล้านบาท เติบโต 1,635%
  • ปี 2567 รายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 148% กำไรสุทธิ N/A
ลัคกี้สุกี้ สาขาแม็คโครจรัญฯ
ลัคกี้สุกี้ สาขาแม็คโครจรัญฯ

ผลประกอบการสุกี้ตี๋น้อย (นับตั้งแต่เริ่มมีการรายงานรายได้-กำไร)

  • ปี 2562 รายได้ 499 ล้านบาท กำไรสุทธิ 15 ล้านบาท
  • ปี 2563 รายได้ 1,223 ล้านบาท เติบโต 144% กำไรสุทธิ 140 ล้านบาท เติบโต 808%
  • ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท เติบโต 28% กำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เติบโต 5.49%
  • ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท เติบโต 152% กำไรสุทธิ 591 ล้านบาท เติบโต 299%
  • ปี 2566 รายได้ 5,262 ล้านบาท เติบโต 32% กำไรสุทธิ 907 ล้านบาท เติบโต 53%

และ ช่วง 9 เดือนแรก ปี 2567 สามารถทำกำไรได้ราว ๆ 890 ล้านบาท (อ้างอิงส่วนแบ่งกำไรของ JMART ที่ถือหุ้น 30% ใน บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของ สุกี้ตี๋น้อย)

“หากคิดอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ของทั้ง 2 แบรนด์ ลัคกี้สุกี้อยู่ที่ 280.5% ต่อปี ส่วนของตี๋น้อยอยู่ที่ 89% ต่อปี นั่นแปลว่าการเติบโตของลัคกี้สุกี้สูงเทียบเคียงกับเจ้าตลาดอย่างสุกี้ตี๋น้อยได้เลย”

**การคำนวณใช้สูตร AAGR โดยของลัคกี้สุกี้ไม่นับปี 2565 ส่วนของสุกี้ตี๋น้อย ไม่นับปี 2562 ซึ่งเป็นปีฐาน เนื่องจาก ไม่มีข้อมูลตัวเลขการเติบโตเปรียบเทียบ

เส้นทางเติบโต “ความเหมือนในความต่าง”

สำหรับ ลัคกี้สุกี้ และ สุกี้ตี๋น้อย มีจุดร่วมคล้ายกันหลายประการ ตั้งแต่การนำทัพด้วยผู้บริหารหญิงคนรุ่นใหม่ คือ

  • คุณแอน รสรินทร์ ติยะวราพรรณ (ลัคกี้สุกี้) มีประสบการณ์การทำร้านกาแฟเจ้าดัง “Rolling Roasters”
  • คุณเฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจ (สุกี้ตี๋น้อย) สั่งสมประสบการณ์การทำธุรกิจสวนอาหาร “เรือนปั้นหยา” จากครอบครัว
(ซ้าย) คุณแอน รสรินทร์ ติยะวราพรรณ ผู้บริหารลัคกี้สุกี้ และ (ขวา) คุณเฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจ ผู้บริหารสุกี้ตี๋น้อย
(ซ้าย) คุณแอน รสรินทร์ ติยะวราพรรณ ผู้บริหารลัคกี้สุกี้ และ (ขวา) คุณเฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจ ผู้บริหารสุกี้ตี๋น้อย

ขณะที่เส้นทางการสร้างแบรนด์ก็วาง Positioning ของลัคกี้สุกี้ และสุกี้ตี๋น้อย มีทั้งความเหมือนและความต่าง อาทิ

1.รูปแบบบุฟเฟ่ต์ ที่วางกลยุทธ์ด้านราคาคุ้มค่า

ทั้ง 2 แบรนด์ ตั้งราคาเท่ากัน เริ่มต้น 219 บาท/คน (ไม่รวมรีฟิลน้ำ และ VAT 7%) ด้วย “ราคาเข้าถึงง่าย” แต่มีเมนูหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคเปิดใจทดลองทานได้ง่าย จนทำให้มีลูกค้าต่อคิวยาวเหยียด และประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นไม่นาน

2.เวลาเปิดยาวยันดึก

เวลาเปิด-ปิด เป็นหนึ่งปัจจัยสร้างความได้เปรียบของ 2 แบรนด์นี้ จากเดิมสุกี้ในตำนานร้านดัง ๆ มักเปิดในศูนย์การค้ามีเวลาเข้าใช้บริการอย่างจำกัด ตั้งแต่ 10.00-22.00 น.

ร้านสุกี้ตี๋น้อย (ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก สุกี้ตี๋น้อย)
ร้านสุกี้ตี๋น้อย (ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก สุกี้ตี๋น้อย)

แต่สุกี้ตี๋น้อย เป็นเจ้าแรก ๆ ที่ทำร้านรูปแบบกินโต้รุ่ง เปิดเวลา 11.00-05.00 น. ด้วยข้อได้เปรียบจากการเป็นสาขา Stand Alone

ส่วน ลัคกี้สุกี้ ก็เปิดประมาณ 10.30 – 02.00 น. แม้จะเปิดสาขาตามโมเดิร์นเทรดและคอมมูนิตี้มอลล์ แต่ก็เลือกสถานที่ที่ยืดหยุ่นด้านเวลาที่สามารถเปิดยันดึกได้ จึงเป็นจุดแข็งของแบรนด์ฯ

สิ่งที่อาจบอกได้ว่า 2 แบรนด์นี้แตกต่างกัน คือ โมเดลร้านค้า ที่ “สุกี้ตี๋น้อย” เน้นพื้นที่ Stand Alone มีที่จอดรถจำนวนมาก ใกล้แหล่งชุมชนหรือสถานศึกษา ส่วน “ลัคกี้สุกี้” มองตัวเองเป็นแบรนด์น้องใหม่ การเริ่มต้นเปิดไปกับห้าง/คอมมูนิตี้มอลล์ อาจจะเหมาะกว่า เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นแบรนด์มากขึ้น และค่อย ๆ สร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 ลัคกี้สุกี้ วางงบประมาณ 300 ล้านบาท ขยายสาขาเพิ่มทั้งลัคกี้สุกี้และลัคกี้บาร์บีคิว จำนวน 16-20 สาขา ตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาท เติบโต 100% (YoY)

น่าสนใจว่า การเข้ามาท้าชิงของแบรนด์หน้าใหม่อย่าง “ลัคกี้สุกี้” ครั้งนี้ คงสร้างความร้อนแรงให้กับตลาดสุกี้ในไทย ที่มีมูลค่า 23,000-25,000 ล้านบาท ด้วยกำลังซื้อที่มีจำกัด และการแข่งขันของตลาดสุกี้ที่เป็นเรดโอเชี่ยนในขณะนี้…

]]>
1508439
“ลัคกี้สุกี้” แบรนด์สุกี้น้องใหม่รายที่ 3 ในตลาด ทำรายได้เกิน 1,000 ล้านบาท ปี 68 ขอโตต่ออีก 100% https://positioningmag.com/1508270 Mon, 27 Jan 2025 10:29:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508270 หากกล่าวถึงร้านสุกี้รายใหญ่ในไทย ที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ หลัก 1 พันล้านบาท หลายคนคงนึกถึงแบรนด์ 2 แบรนด์สุกี้เจ้าตลาดอย่าง “เอ็มเค” และ “สุกี้ตี๋น้อย”

ทว่าตอนนี้ กลับมีแบรนด์สุกี้ม้ามืด คือ “ลัคกี้สุกี้” ที่เปิดตัวแค่ 3 ปี มีเพียง 15 สาขา (ลัคกี้บาร์บีคิวอีก 6 สาขา) แต่ทำรายได้เติบโตอย่างรวดเร็ว

  • ปี 2565 รายได้ 79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.6 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 409 ล้านบาท เติบโต 413% กำไรสุทธิ 46 ล้านบาท เติบโต 1,635%
  • ปี 2567 รายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 148%

“ถ้าเทียบจากจุดเริ่มต้น รายได้ลัคกี้สุกี้ 3 ปี เติบโตระดับ 1,168%“

(จากซ้ายไปขวา) 1.วิรัตน์ โรจยารุณ กรรมการบริหาร, 2.รุ่งทิวา วิพัฒนานันทกุล กรรมการบริหาร, 3.รสรินทร์ ติยะวราพรรณ กรรมการบริหาร และ 4.อิทธิพล ติยะวราพรรณ กรรมการบริหาร

ปี 68 สปีด 20 สาขา

วิรัตน์ โรจยารุณ กรรมการบริหาร บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหาร ลัคกี้สุกี้ เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดสุกี้ มูลค่า 23,000 – 25,000 ล้านบาท มีการแข่งขันดุเดือดจากเจ้าตลาด และผู้เล่นหน้าใหม่ทยอยเข้ามาจำนวนมาก ทั้งรูปแบบบุฟเฟต์ และ a la carte

แต่แบรนด์ลัคกี้สุกี้ เติบโตต่อเนื่อง โดยปีล่าสุดมีรายได้ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) จากการขยายสาขาอย่างก้าวกระโดดใน 3 ปีที่ผ่านมา

  • ปี 2565 เปิดตัว 2 สาขา
  • ปี 2566 เปิดตัว 4 สาขา
  • ปี 2567 เปิดตัว 14 สาขา (ลัคกี้สุกี้ 11 สาขา และลัคกี้บาร์บีคิว 5 สาขา)

เบื้องต้น ปีนี้ตั้งงบลงทุน 300 ล้านบาท เปิดเกมรุกขยายสาขา 16-20 สาขาเพิ่ม จากแบรนด์ลัคกี้สุกี้สัดส่วน 60% และลัคกี้บาร์บีคิวสัดส่วน 40% ขนาดพื้นที่ 500-600 ตร.ม./แห่ง เน้นทำเลเกาะไปตามมอลล์หรือห้าง ทั้ง กทม. และต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ เช่น สระบุรี และภาคตะวันออก เป็นต้น ทำให้สิ้นปี 2568 คาดมีจำนวนสาขา 36-40 แห่ง

ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคมองหาสิ่งที่คุ้มค่า และยั้งคิดก่อนใช้จ่าย

ประกอบกับ คนไทยมองว่าบุฟเฟต์คุ้มค่าเงิน โดยลัคกี้สุกี้ประมาณ 219 บาท/คน และลัคกี้บาร์บีคิว 299 บาท/คน (ไม่รวมเครื่องดื่มรีฟิลและ VAT) ราคาเข้าถึงง่าย ทำให้มีความถี่ในการรับทาน 2-3 ครั้ง/เดือน

ลัคกี้สุกี้สาขา แม็คโครจรัญ

กล้าทลายกรอบสุกี้ ดันแบรนด์ติดตลาด

วิรัตน์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ทำให้แบรนด์ลัคกี้สุกี้ติดตลาด และประสบความสำเร็จภายใน 3 ปี แม้ผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 4 คน ไม่ได้มาจากธุรกิจร้านอาหาร เพราะ เรากล้าทลายกรอบเดิมของร้านสุกี้ เราเป็นรายแรกที่นำสเลอปี้เข้ามาบริการในร้านสุกี้ และนำของทอดมาในร้านสุกี้ จากปกติจะมีเพียงหม้อไฟ และวัตถุดิบเกี่ยวกับสุกี้เท่านั้น

ส่งผลให้แบรนด์ติดตลาดมีการบอกปากต่อปาก จนปัจจุบันมีลูกค้าประจำ ที่เป็นเมมเบอร์ถึง 200,000 ราย เติบโต 100% (YoY)

โดยปี 2568 บริษัทฯ วางเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาท เติบโต 100% จากปีก่อน (YoY) และแผนระยะยาว 3-5 ปี เตรียมนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

“ที่ผ่านมา เราไม่มีกรอบ ทำได้ทุกอย่างที่อยากทำ ความโชคดี คือ ในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ เราแทงถูกมากกว่าแทงผิด เราไม่ได้ตัดสินใจบนโต๊ะ แต่ลงไปแก้ปัญหาเองหมด สเต็ปถัดไป ตั้งใจรักษาลูกค้าเก่าและขยายฐานลูกค้าใหม่ เราเชื่อว่าความพยายามไม่หมด ความสำเร็จก็ไม่หมด”

]]>
1508270