ตลาดอีวี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 06 Jan 2025 09:53:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 นักวิเคราะห์ฟันธง! ยอดขาย ‘รถอีวี’ ในจีนจะแซง ‘รถสันดาป’ ในปีนี้ ส่วนยอดขายทั่วโลกคาดโต 30% ทะลุ 15 ล้านคัน https://positioningmag.com/1505383 Mon, 06 Jan 2025 06:28:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505383 ดูเหมือนปี 2024 ตลาด รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะยังเติบโต โดยได้ จีน เป็นตลาดที่ขับเคลื่อนการเติบโต และดูเหมือนแนวโน้มดังกล่าวจะลากยาวมาถึงปี 2025 นี้ ในขณะที่ตลาดฝั่งตะวันตกกำลังเผชิญความท้าทายจากเงินสนับสนุนจากภาครัฐที่ลดลง

คาดปี 2025 ตลาดโต 30% โดยมีจีนเป็นผู้นำ

จากข้อมูลของ S&P Global Mobility เปิดเผยว่า ยอดขาย รถยนต์ไฟฟ้า ทั่วโลกในปี 2024 จะอยู่ที่ 11.6 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วนราว 13.2% ของยอดขายรถยนต์นั่งทั่วโลก และคาดว่าปี 2025 สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 16.7% โดยมียอดขาย 15.1 ล้านคัน เติบโตจากปี 2024 ราว +30% แสดงให้เห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะยังคงเป็นภาคการเติบโตที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ 

สำหรับตลาดที่จะเป็นคาดว่าจะเป็นผู้นำในการเติบโตยังคงเป็น จีน เนื่องจากตลาดยังคงได้การสนับสนุนจากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุน การยกเว้นภาษี และราคาแบตเตอรี่ที่ถูก โดยคาดการณ์ว่าในปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้าคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดเกือบ 30% ของยอดขายรถยนต์ในประเทศ

อย่างไรก็ตาม จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้อัตราการเติบโตจะชะลอลงเหลือ 20% แต่แม้จะมีการชะลอตัวบ้าง แต่ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าก็กำลังจะแซงหน้ารถยนต์สันดาป (ICE) เป็นครั้งแรกในปี 2025 ซึ่งขยับไปใกล้กับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 50% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ภายในปี 2035

ไม่ใช่แค่ตลาดที่โตโดดเด่น แต่ค่ายรถยนต์สัญชาติจีนอย่าง บีวายดี (BYD) ก็มีปีที่ยอดเยี่ยม โดยได้ส่งมอบรถยนต์ 4.25 ล้านคัน เติบโต +41% เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยแบ่งเป็น รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) 1.76 ล้านคัน เติบโต +12% ส่วน รถปลั๊กอินไฮบริดอยู่ที่ 2.49 ล้านคัน เติบโตก้าวกระโดด +73%

Photo : Shutterstock

ด้านของตลาด สหรัฐอเมริกา คาดว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น +36% ส่งผลให้สัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯ อยู่ที่ 11.2% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่สัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าเกิน 10% อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องจับตาดูตลาดสหรัฐฯ กันต่อไป

เนื่องจากอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนล่าสุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เช่น แผนการยกเลิกเครดิตภาษียานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลกลาง และกำหนดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน 30% 

ด้านการเติบโตของตลาด ยุโรป แม้จะมีความท้าทาย เช่น ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในเยอรมนีลดลง เนื่องจากการลดเงินอุดหนุน แต่ตลาดก็ยังคงเติบโตต่อไป โดยเฉพาะใ ยุโรปตะวันตกและยุโรปกลาง ที่คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น +43% และจะครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 20% แม้ว่าประเทศต่าง ๆ เช่น ฝรั่งเศสและสเปนจะลดเงินอุดหนุนลง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปยังคงได้รับแรงหนุนอย่างต่อเนื่อง

ภาพจาก Unsplash

จับตา เทสลา หลังยอดขายลดลงในรอบ 10 ปี

ด้าน เทสลา (Tesla) บริษัทผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกที่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ กลับมียอดขายลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่ -1.1% โดยตลาดหลักเพียงแห่งเดียวที่เทสลาเติบโตก็คือ จีน โดยยอดขายเพิ่มขึ้น +8.8% เมื่อเทียบกับปี 2023 เป็น 657,000 คัน คิดเป็นสัดส่วน 36.7% ของยอดขายทั่วโลก 

แม้จีนจะเป็นตลาดหลักตลาดเดียวของเทสลาที่เติบโต แต่ก็ยังคงถือเป็นตลาดที่ใหญ่เป็น อันดับสองรองจากสหรัฐฯ ที่มียอดขายเกือบ 675,000 คัน แต่จากการเติบโตดังกล่าว นักวิเคราะห์คาดว่าในปี 2025 ยอดขายของเทสลาในจีนกำลังจะแซงสหรัฐฯ

เนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นมีส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดขายของเทสลาในตลาดสหรัฐฯ ไม่เติบโต โดยเฉพาะจากค่าย General Motors (GM) ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับสอง ด้วยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 114,000 คัน

ภาพจาก Shutterstock

ไม่ใช่แค่ตลาดสหรัฐฯ ที่เทสลาต้องเผชิญกับความท้าทาย เพราะตลาด ยุโรป ก็อยู่ในช่วงขาลง เพราะนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลที่ลดลง ประกอบกับการหลั่งไหลเข้ามาของ รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนและเกาหลี ทำให้ยอดขายของเทสลาช่วง 11 เดือนแรกในยุโรป ลดลง -13.7% และมีโอกาสที่ยอดขายจะ ต่ำกว่าปี 2023 มาก

ดังนั้น สิ่งที่อาจพลิกกระแสของเทสลาได้ก็คือการเปิดตัวรถที่มีราคาถูกลง ซึ่งมีข่าวลือว่าจะออกมาในช่วงกลางปีนี้ และมีราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ

คงต้องรอดูว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลกจะเป็นไปตามที่ S&P คาดการณ์หรือไม่ เพราะการเติบโตขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น นโยบายจากภาครัฐของแต่ละประเทศ ปัญหาเรื่องความสามารถในการซื้อรถ ไปจนถึงช่องว่างด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จรถ แต่ต้องยอมรับว่าตอนนี้ รถยนต์ไฟฟ้าจะยังคงเป็นภาคการเติบโตที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์

]]>
1505383
‘Tesla’ กลับมายึดแชมป์เบอร์ 1 รถอีวีอีกครั้ง หลังถูก ‘BYD’ แซงช่วง Q4/2023 https://positioningmag.com/1468778 Wed, 03 Apr 2024 02:06:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468778 หลังจากที่ เทสล่า (Tesla) ยึดตำแหน่งเบอร์ 1 ในตลาด รถอีวี มายาวนานติดต่อกันถึง 9 ปี แต่ในช่วง Q4/2023 ที่ผ่านมาก็ถูกแย่งตำแหน่งโดย บีวายดี (BYD) อย่างไรก็ตาม Tesla ไม่ยอมเป็นเบอร์ 2 นาน โดย Q1/2024 นี้ก็สามารถกลับมาเป็นเบอร์ 1 ได้อีกครั้ง 

BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีน รายงานยอดขายในไตรมาสแรกปี 2024 อยู่ที่ 300,114 คัน ลดลง 43% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2023 ที่มียอดขายสูงถึง 526,409 คัน ส่งผลให้ BYD ต้องส่งคืนตำแหน่ง เบอร์ 1 ในตลาดรถอีวีให้กับ Tesla แชมป์เก่า หลังจากที่เคยแย่งตำแหน่งมาได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2023

อย่างไรก็ตาม แม้ Tesla จะกลับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในตลาดอีกครั้งด้วยยอดขาย 386,810 คัน แต่ถือว่ายอดขายลดลง 20.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2023 และลดลง 8.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2023 นอกจากนี้ อัตราการผลิตยังลดลงประมาณ 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หุ้นของบริษัทลดลง -29% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2022 และลดลงเป็นรายไตรมาสสูงสุดเป็นอันดับสามนับตั้งแต่การเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทในปี 2010 หุ้นเทสลาปิดลดลงประมาณ 5% ในวันอังคารที่ 166.63 ดอลลาร์ต่อหุ้น

การที่ยอดขายของ BYD และ Tesla ที่ลดลงเป็นผลมาจากความต้องการโดยรวมที่ลดลงและการชะลอตัวของตลาดจีน อย่างไรก็ตาม การที่ Tesla กลับมาครองตำแหน่งเบอร์ 1 ได้อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของแบรนด์ระดับโลกของบริษัทจะไม่ถูกล้มได้ง่าย ๆ โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองบริษัทคาดว่าการเติบโตของยอดขายรถอีวีในจีนในปีนี้จะชะลอตัวลง

สำหรับยอดขายรวมรถยนต์ทุกประเภทของ BYD ในช่วงไตรมาสแรกอยู่ที่ 626,263 คัน เติบโต 13.4% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 แต่ถือว่า ลดลง 33.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2024 ที่ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 944,779 คัน 

แม้ว่ายอดขายจะลดลงเมื่อเทียบกับระดับสูงสุด แต่ BYD ได้ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีที่ 3.6 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 20% จากยอดขายปีที่แล้ว

Source

]]>
1468778
Tesla มีหนาว! ‘Nio’ ได้เงินลงทุนอัดฉีดเพิ่มอีก 2.2 พันล้านเหรียญ จากกองทุน CYVN Holdings ของ UAE https://positioningmag.com/1456363 Tue, 19 Dec 2023 08:42:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456363 การแข่งขันในตลาด รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี น่าจะยิ่งดุเดือดขึ้น เพราะล่าสุด Nio ค่ายรถอีวีที่มียอดขายติด Top 5 ของจีน ได้เงินทุนเพิ่มเติมจากกองทุนใน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเสริมสายป่านให้ยาวยิ่งขึ้น

Nio ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีน (EV) ได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก 2.2 พันล้านดอลลาร์ จาก CYVN Holdings กองทุนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทมีสายป่านที่ยาวขึ้น เพื่อใช้ในการแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ย้อนไปในไปในช่วงเดือนกรกฎาคม กลุ่มทุนดังกล่าวได้ลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ใน Nio ทำให้ตอนนี้ CYVN Holdings บริษัทถือหุ้นจำนวน 20% ใน Nio ทำให้ CYVN จะสามารถเสนอชื่อกรรมการสองคนให้เป็นคณะกรรมการของ Nio ได้ 

“ด้วยงบลงทุนที่เราได้รับ จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งแบรนด์ เพิ่มความสามารถในการขายและการบริการ รวมถึงการลงทุนระยะยาวในเทคโนโลยีหลักต่อสู้กับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น” William Bin Li ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nio กล่าว

Nio ก่อตั้งในปี 2014 โดยหลายคนมองว่าเป็นคู่แข่งของ BYD และ Tesla ในการแข่งขันแสนดุเดือดของจีน โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา Nio มียอดขายสูงเป็นอันดับ 5 ของตลาด แต่ในช่วงสงครามราคาปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มโดย Tesla ทำให้ Nio เองก็ต้องดัมพ์ราคาลงมาเพื่อแข่งขันเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่า Nio จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนครั้งใหม่นี้ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทค่อนข้างขยายตัวค่อนน้อย เพราะต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน เช่น เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายโครงสร้างพื้นฐานในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ และสร้างโชว์รูมทั่วประเทศจีน ยิ่งไปกว่านั้น Nio กำลังพยายามที่จะก้าวไปสู่ระดับโลก นั่นต้องใช้เงินทุนมากกว่ายอดขายที่จะสามารถรองรับได้

สำหรับสงครามราคา เริ่มต้นจาก Tesla ที่ลดราคารถในตลาดจีนครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2022 ซึ่งจีนถือเป็นตลาดอีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยหลังจากที่สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่งอย่าง BYD บริษัทได้ลดราคารถยนต์ที่ผลิตในจีนหลายครั้งในปีนี้ต่อเนื่อง 

จากการลดราคา ส่งผลให้ Tesla รายงานผลกำไรที่ลดลงในไตรมาสสาม ซึ่งนักวิเคราะห์อ้างว่าเป็นการลดราคาที่ส่งผลต่ออัตรากำไร แม้ว่าบริษัทจะยืนยันว่าประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนของรถแต่ละคันแล้วก็ตาม

Source

]]>
1456363