ทักษะคนทำงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 29 Nov 2025 14:10:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปภาพรวม ‘การจ้างงาน’ ในไทย ปี 69 เป็นอย่างไร https://positioningmag.com/1549347 Sat, 29 Nov 2025 10:40:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549347 ‘บริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ ได้ทำการสำรวจพนักงานและองค์กรกว่า 900 แห่งในไทย ระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค. 68 เพื่อนำเสนอภาพรวมของตลาดแรงงาน ทักษะที่เป็นที่ต้องการ และ แนวโน้มเงินเดือน ในปี 69 ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจ ดังต่อไปนี้

 

ภาพรวมตลาดการจ้างงานในไทย ปี 2569

 

ฝั่งนายจ้าง

 

-กว่า 33% ขององค์กรมีแผนจ้างงานเพิ่ม 5–10%

-40% จะรักษาระดับการจ้างงานเท่าเดิม

-40% จ้างงานเพิ่มขึ้น

-12% มีแผนลดการจ้างงาน

-67% ขององค์กร ระบุว่า ‘ขาดผู้สมัครที่มีทักษะและประสบการณ์ตรงตามความต้องการ’ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการสรรหาบุคลากรที่ได้คุณภาพ

-97% มีแผนปรับเพิ่มเงินเดือน

 

สำหรับทักษะด้าน Soft Skills ที่นายจ้างให้ความสำคัญสูงสุด ได้แก่

1.ทักษะการแก้ปัญหาและการคิดวิเคราะห์ (58%)

2.การสื่อสารและและการทำงานร่วมกัน (57%)

3.ความฉลาดทางอารมณ์ ความเห็นอกเห็นใจ และการมีทัศนคติที่ดี (52%)

 

ฝั่งพนักงาน

 

-60% กังวลไล่ตามความสามารถของ AI ไม่ทัน เนื่องจากขาดการฝึกอบรม

-กว่า 60% การได้รับค่าตอบแทน/สวัสดิการไม่ตรงความคาดหวัง คือปัญหาใหญ่ในการหางาน

-กว่า 93% คาดว่าจะได้รับการขึ้นเงินเดือน

 

ปัจจัยที่ผู้สมัครให้ความสำคัญในการเลือกองค์กร ได้แก่

1.ค่าตอบแทนที่ดึงดูด (60%)

2.ความยืดหยุ่นในการทำงาน (44%)

3.ความมั่นคงในอาชีพ (37%)

 

‘ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ของบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส เล่าว่า ความกังวลต่อสภาวะตลาดที่ผันผวนและคาดการณ์ได้ยาก ทำให้หลายองค์กรชะลอการจ้างงานออกไป โดยเมื่อมีความจำเป็นต้องจ้างจะมุ่งเน้นไปยัง ‘ผู้บริหารระดับสูง’ มากกว่า ‘ผู้บริหารระดับกลาง’ เพราะต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์ สามารถปรับตัวได้เร็ว เพื่อนำองค์กรฝ่าความไม่แน่นอนไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้

 

ขณะที่ ‘ผู้สมัคร’ ที่มีทักษะพร้อมใช้งานทันที สามารถเรียกค่าตอบแทนได้สูงขึ้น เนื่องจากการแข่งขันกันดึงดูดบุคลากรคุณภาพ โดยผู้ย้ายงานที่มีทักษะเฉพาะทางซึ่งเป็นที่ต้องการและสามารถเริ่มงานได้ทันที มีแนวโน้มได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 15–20%

 

พนักงานใหม่ กว่า 35% ขององค์กรคาดว่าจะปรับเงินเดือนให้พนักงานใหม่ 1–5% และอีกกว่า 21% วางแผนปรับเพิ่มถึง 11–15% เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพเข้าสู่องค์กร

 

แนวโน้มการปรับเงินเดือนแบ่งตามรายเซ็กเมนต์ สำหรับผู้ที่จะเปลี่ยนงาน

 

1.การขายและการตลาด B2B และ FMCG ปรับขึ้น 15-25%

2.การขายและการตลาด-เภสัชกรรมและสุขภาพ ปรับขึ้น 20-25%

3.การขายและการตลาด-ค้าปลีก ปรับขึ้นประมาณ 20%

4.การขายและการตลาด-ดิจิทัล ปรับขึ้นประมาณ 20%

5.ทรัพยากรบุคคล ปรับขึ้น 15-25%

6.วิศวกรรมและซัพพลายเชน ปรับขึ้น 10-15%

7.บัญชีและการเงิน ปรับขึ้น 15-20%

8.กฎหมาย ปรับขึ้น 15-30%

9.การเงินและการธนาคาร ปรับขึ้น 15-20%

10.เทคโนโลยีสารสนเทศ ปรับขึ้น 15-25%

]]>
1549347
แนะ ‘เดอะแบก’ เร่งวางแผนการเงิน รับมือเศรษฐกิจไม่ดี-เสี่ยงตกงาน-เกษียณตอนอายุ 45 ปี https://positioningmag.com/1542578 Sat, 11 Oct 2025 08:32:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542578 ในยุคที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจการเงินของโลกผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บวกกับเศรษฐกิจเติบโตต่ำ ล้วนส่งผลกระทบต่อ ‘คนทำงาน’ เงินเดือนไม่ขึ้น-โบนัสไม่มี-โอทีไม่ได้ แถมเสี่ยงตกงาน และหลายองค์กรเริ่มเปิดให้พนักงานสมัครใจเกษียณได้ตั้งแต่อายุ 45 ปี สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณว่า คนไทยอาจต้องเผชิญกับ ‘ชีวิตการทำงานที่สั้นลง’ (20–25 ปี) แต่ ‘ชีวิตหลังเกษียณยาวนานขึ้น’ (35–40 ปี)

 

สิ่งที่เกิดขึ้น ถือเป็นปัจจัยสั่นคลอนต่อฐานะการเงินของคนไทย โดยเฉพาะ ‘คนชั้นกลาง’ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ‘เดอะแบก’ ที่มีภาระรับผิดชอบดูแลทั้งพ่อแม่และครอบครัวตนเอง ส่งผลให้จาก ‘กลุ่มที่เคยมั่นคง’ อาจกลายเป็น ‘กลุ่มเปราะบาง’ หากขาดการวางแผนการเงินที่ดี เพราะรายได้หดหายไป มีความเสี่ยงจากหลายๆ ปัจจัย ขณะที่ยังมีภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายครอบครัวอยู่

 

ในงานเสวนา ‘วันวางแผนการเงินโลก World Financial Planning Day 2025’ สมาคมนักวางแผนการเงิน ได้แชร์ถึงทางรอดและวิธีสร้างความมั่นคงทางการเงินเพื่อให้รับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นไว้น่าสนใจ

 

การเงินดี ไม่ใช่แค่ตัวเลขในสมุด

 

‘วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ’ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทยคนแรก กล่าวว่า สําหรับนักวางแผนการเงิน คําว่า ‘การเงินดี ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวเลขในสมุด แต่คือสะพานที่พาเราไปถึงเป้าหมายของชีวิต คือ เกราะป้องกันที่ช่วยให้เรายืนหยัดท่ามกลางพายุ และเป็นพลังที่ทําให้เรามีอิสระในการเลือกอนาคตที่เราอยากเป็น

 

สถานการณ์ในโลกปัจจุบันที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วแบบไม่มีใครคาดเดาได้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น การจัดการชีวิต วางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงจึงสําคัญมาก โดยวิกฤตการณ์การเงินโลก และการระบาดของโควิด-19 มีหลักฐานประจักษ์ชัดว่า คนที่มีการวางแผนการเงินที่ดี ชีวิตจะมีความมั่นคงกว่า สามารถผ่านช่วงเวลายากลําบากหรือเหตุไม่คาดฝันในชีวิตได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้วางแผน

 

อย่างไรก็ตาม จากการสํารวจของ Financial Planning Standards Board พบว่า มีคนเพียง 20% เท่านั้น      ที่มั่นใจว่ามีแผนการเงินที่ดี สามารถรับมือกับอนาคตได้เป็นอย่างดี ส่วนอีก 80% ยังไม่มั่นใจ หรือยัง ‘ไม่มีแผน’    จะรับมือกับเรื่องการเงินในชีวิตได้

 

ทางรอดที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือ ให้เร่ง ‘ลงทุนในตัวเอง’ ด้วยการพัฒนาตัวเองทั้ง ความรู้ความสามารถและทักษะใหม่ๆ ที่ทันสมัยรับมือ อาทิ ทักษะด้าน AI เพื่อรับมือและให้อยู่รอดได้ในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ควบคู่ไปกับต้องรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีวินัย เช่น ‘ใช้น้อยกว่าที่หาได้-เก็บออมให้เป็น-ลงทุนอย่างมีเป้าหมายและหลักการ’ แต่ต้องไม่เป็นทาสของเงินหรือวัตถุ เพราะคุณค่าที่แท้จริงมิได้อยู่ที่สิ่งที่เราครอบครอง แต่อยู่ที่สิ่งที่เราเป็น

 

แนะการวางแผนการเงินรับมือเหตุไม่คาดคิด

 

ด้านนายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ‘วิโรจน์ ตั้งเจริญ’ ได้แชร์ถึงงานวิจัยระดับโลกจาก FPSB พบว่า

 

79% ของผู้ที่วางแผนการเงินเชื่อว่าช่วยทำให้ฝันในชีวิตเป็นจริงได้

73% ของผู้ที่วางแผนการเงินรู้สึกว่ารับมือปัญหาสุขภาพได้ดีกว่า

51% มองการวางแผนการเงินส่งผลดีต่อชีวิตครอบครัว

51% บอกว่าช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น

 

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย แนะนำการรับมือการวางแผนเกษียณให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ไม่คาดคิดใน 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ‘คนทั่วไป’ และ ‘กลุ่มคนที่ถูกให้ออกจากงาน’ ทั้งที่อายุต่ำกว่า 55 ปี และกลุ่มอายุสูงกว่า 55 ปี

 

กลุ่มคนทั่วไป : นอกเหนือจากเงินฉุกเฉิน 6-12 เดือน ต้องวางแผนภาษี ลดความเสี่ยงในชีวิต และวางแผนเกษียณควบคู่กันไปด้วย

 

สำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะใช้หลัก 4 Magic no. คือ จากรายได้ 100% แบ่งใช้จ่ายดังนี้ 40% นำไปใช้หนี้, 30% ใช้จ่ายทั่วไป, 20% ออมเพื่อ ตัวเอง และ 10% ทำประกันเพื่อลดความเสี่ยง

 

นอกจากนี้ต้องไม่เป็นหนี้เกินความจำเป็น และท่องไว้ ‘ออมก่อนใช้’ สุดท้ายใช้หลัก 3 รู้

1) รู้เป้าหมายชีวิต ลงทุนเพื่ออะไร

2) รู้จักตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน

3) รู้จักเครื่องมือในการลงทุน

 

กลุ่มคนที่ถูกให้ออกจากงาน : ต้องเริ่มจากตรวจสอบสินทรัพย์เพียงพอหรือยัง เมื่อเทียบกับเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณ (ได้แก่ สินทรัพย์ต่างๆ, เงินฝาก, PVD, RMF, ภาษี และเงินชดเชยต่างๆ ที่ได้จากตอนออกจากงาน)

 

นอกจากนี้ ต้องตรวจสอบภาระหนี้สินที่มีอยู่ ว่ามีหนี้อะไรบ้าง เพื่อนำมาวางแผนเคลียร์หนี้ โดยต้องเคลียร์หนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยสูงก่อน

 

รวมถึงประมาณการรายได้กับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละเดือนว่ามีรายรับจากอะไร (เช่น ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, เงินปันผล เป็นต้น) และมีค่าใช้จ่ายเท่าไร หากค่าใช้จ่ายมากกว่ารายรับ ต้องพิจารณาว่าตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไหนออกได้บ้าง หรือต้องหารายได้เสริม จากความถนัดของตัวเอง หรือต้อง Upskill / Reskill เพิ่ม โดยลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้แบบนี้วนไป จนกว่าจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด

 

กรณีที่ 1  คนที่ถูกให้ออกจากงาน ที่อายุต่ำกว่า 55 ปี ต้องทำดังนี้

 

o   ตรวจสอบประกันสุขภาพว่ามีเพียงพอ

o   ตรวจสอบสิทธิประกันสังคมที่พึงได้

o   ควรคงเงิน PVD และ RMF ไว้ก่อน!!

o   พิจารณาว่าจะหางานใหม่หรือพอแค่นี้

 

กรณีที่ 2 คนที่ถูกให้ออกจากงาน อายุ 55 ปีขึ้นไป

 

o   การจัดสรรเงินเกษียณ และเงินชดเชยที่ได้ จะบริหารเงินก้อนนี้ยังไง?

o   สิทธิรักษาพยาบาล มีอะไรติดตัวบ้าง

o   ตรวจสอบสิทธิที่พึงได้จากภาครัฐ เช่น เงินบำนาญจากประกันสังคม, เบี้ยเงินชรา เป็นต้น

o   เปรียบเทียบ สิทธิบัตรทอง หรือ ประกันสังคม แบบไหนดีและเหมาะสมกับตัวเองกว่ากัน

o   พิจารณาว่า Early Retire หรือทำงานต่อ ถ้าจะทำงานต่อต้อง Reskill ด้านไหนเพิ่มบ้าง

]]>
1542578
‘ทักษะสำคัญ’ ที่ต้องมี เพื่อให้อยู่รอดในโลกของการทำงาน ปี 2030 https://positioningmag.com/1538804 Mon, 22 Sep 2025 03:26:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1538804 ปัจจุบันเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญใน ‘โลกของการทำงาน’ ซึ่งส่งผลให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ ต้องปรับตัวให้ทัน โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมในเรื่องของ ‘ทักษะสำคัญ’ ที่องค์กรต้องการ

 

จากรายงาน Future of Jobs Report 2025 ของ World Economic Forum (WEF) ได้เผยให้เห็นว่า ในปี 2030 ความรู้และทักษะที่มีอยู่ในปัจจุบันจะไม่เพียงพอ พร้อมกับฉายภาพให้เห็นถึงทักษะที่จะมีบทบาทในอนาคต ทั้งทักษะที่องค์กรต้องการ และทักษะที่ความสำคัญกำลังจะลดน้อยลง โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

1.กลุ่มทักษะดาวรุ่งพุ่งแรง (Rising Skills) – เป็นกลุ่มทักษะที่มีความจำเป็นมากในยุคปัจจุบัน และจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นไปอีกในปี 2030 ได้แก่

📌 ความยืดหยุ่น การปรับตัว และความคล่องตัว (Resilience, Flexibility, and Agility)

📌 ภาวะผู้นำและการมีอิทธิพลต่อสังคม (Leadership and Social Influence)

📌 AI และ Big Data

📌 ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking)

📌 ความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี (Technological Literacy)

📌 ความใฝ่รู้และการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Curiosity and Lifelong Learning)

📌 การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking)

 

2.กลุ่มทักษะดาวรุ่งน่าจับตา (Emerging Skills) – กลุ่มทักษะที่ปัจจุบันอาจถูกมองว่า ยังไม่จำเป็นมากนัก แต่ในอนาคตจะจำเป็นมาก ๆ ได้แก่

 📌 เครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Networks and Cybersecurity)

📌 การดูแลสิ่งแวดล้อม (Environmental Stewardship)

📌 การออกแบบและประสบการณ์ผู้ใช้ (Design and User Experience)

 

3.กลุ่มทักษะทรงตัว (Steady Skills) – เป็น ‘ทักษะพื้นฐาน’ ที่ยังคงมีความสำคัญในหลายตำแหน่งงาน แต่ไม่ได้ถูกคาดการณ์ว่า จะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอนาคต ได้แก่

 📌 การบริการลูกค้า (Service Orientation and Customer Service)

📌 ความเห็นอกเห็นใจและการรับฟังอย่างตั้งใจ (Empathy and Active Listening)

📌 การจัดการทรัพยากรและการดำเนินงาน (Resource Management and Operations)

📌 ความน่าเชื่อถือและความใส่ใจในรายละเอียด (Dependability and Attention to Detail)

 

4.กลุ่มทักษะที่ลดความสำคัญลง (Out-of-Focus Skills) – เป็นกลุ่มทักษะที่นายจ้างมองว่ามีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ลดน้อยลง ได้แก่

 📌 ความคล่องแคล่ว ความทนทาน และความแม่นยำของกล้ามเนื้อมัดเล็ก (Manual Dexterity, Endurance, and Precision)

📌 การอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์ (Reading, Writing, and Mathematics)

📌 ความสามารถในการประมวลผลทางประสาทสัมผัส (Sensory-Processing Abilities)

📌 ความเป็นพลเมืองโลก (Global Citizenship)

 

จากภาพดังกล่าว คนทำงานที่จะความอยู่รอดขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับเปลี่ยนทักษะ และการหยุดไม่พัฒนา ต้องมีการ Upskill สร้างทักษะใหม่ ๆ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี การเป็นผู้นำตนเอง และความฉลาดทางอารมณ์

นอกจากนี้ ความสามารถแบบข้ามสายงาน (Cross-functional) จะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เช่น นักการตลาดที่เข้าใจการวิเคราะห์ข้อมูล ฯลฯ รวมถึงต้อง ‘ปรับตัวให้เร็ว’ และทันกับการเปลี่ยนแปลงให้ทัน

 

ที่มา

 

https://www.weforum.org/publications/the-future-of-jobs-report-2025/in-full/3-skills-outlook/?fbclid=IwY2xjawM67hFleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFuZmg2MzhzWnp3R2g3YjJ6AR63sYykDXjOQUR5KjOcKjd-XPizFBfipstZpqbieOI_nPmVty8SRW2-MSPz8g_aem_Rddw9r4A7liLY0KjUsL0Gg#3-skills-outlook

https://www.skillreporter.com/editorial/world-economic-forum-future-of-jobs-2025-core-skills-of-2030/?fbclid=IwY2xjawM67ipleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFuZmg2MzhzWnp3R2g3YjJ6AR7grNs1091hi_ZD8FNTCutNKvDm0aDQv4hQkjI9Gi1maopMlBH3y3stnFMiSg_aem_wu8CcWYfnD8hZoUku3AHug

]]>
1538804
ผลวิจัยชี้หัวหน้า HR เกือบ 90% เลี่ยงรับบัณฑิตจบใหม่ทำงาน https://positioningmag.com/1510624 Wed, 12 Feb 2025 05:22:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1510624 มีใบปริญญาก็ใช่ว่าจะได้งาน เพราะผลวิจัยชี้ว่า แม้จะเจอปัญหาขาดแคลนคน แต่หัวหน้า HR เกือบ 90% เลี่ยงรับบัณฑิตจบใหม่ทำงาน และขอเลือกใช้ AI แทน

 

ก่อนหน้านี้เรามักจะถูกปลูกฝังต้องเรียนให้จบ เพื่อจะมีใบปริญญาเป็นใบเบิกทางสำหรับการมีงานทำ แต่ผลวิจัยล่าสุดของ Hult International Business School และ Workplace Intelligence บริษัทวิจัยอิสระพบว่า แม้บริษัทถึง 98% กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนแรงงาน แต่บรรดานายจ้างกลับเลือกจะใช้หุ่นยนต์หรือ AI มากกว่าจะจ้างงานบัณฑิตจบใหม่

การศึกษาดังกล่าว เป็นการสำรวจหัวหน้างาน HR จำนวน 800 คน และบัณฑิตจบใหม่ อายุ 22-27 ปี จำนวน 800 คน ซึ่งอยู่ในตำแหน่งงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับธุรกิจ เช่น การเงิน การบัญชี การตลาด การขาย การบริการจัดการ การปฏิบัติการ โลจิสติกส์ ฯลฯ โดย

หัวหน้า HR ถึง 98% เผยว่า องค์กรของพวกเขากำลังเผชิญความยากลำบากในการหาแรงงานที่มีความสามารถ แต่ 89% ขององค์กรเหล่านี้ก็หลีกเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่

 

สำหรับเหตุผลที่หัวหน้า HR เลี่ยงที่จะรับบัณฑิตจบใหม่เข้าทำงาน เพราะ

 

อันดับ 1 ขาดประสบการณ์ในโลกของการทำงานจริง (60%)

อันดับ 2 ขาดทัศนคติแบบสากล (57%)

อันดับ 3 ขาดทักษะการทำงานเป็นทีม (55%)

อันดับ 4 ขาดทักษะการทำงานที่เหมาะสม (51%)

อันดับ 5 ขาดมารยาททางธุรกิจและการทำงาน (50%)

 

นอกจากนี้ 3 ใน 10 ของหัวหน้า HR เลือกให้ตำแหน่งงานนั้น ‘ว่าง’ ดีกว่าจะจ้างบัณฑิตจบใหม่เข้ามาทำงาน โดย 37% เลือกจะใช้หุ่นยนต์ ไม่ก็ AI เข้ามาทำงานแทน และ 45% เลือกจะจ้างฟรีแลนซ์

 

ขณะที่บัณฑิตจบใหม่ที่หางานได้สำเร็จ บอกว่า จากการได้เข้าทำงาน ทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่มีค่า โดย

77% ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในระยะเวลาครึ่งปีมากกว่าที่ได้รับจากการเรียนปริญญาตรี 4 ปี เสียอีก 

87% นายจ้างสอนทักษะอาชีพได้ดีกว่าในรั้วมหาวิทยาลัย

55% บอกมหาวิทยาลัยไม่ได้เตรียมพร้อมพวกเขาสำหรับงานที่พวกเขากำลังทำอยู่เลย

 

ภาพเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า หลักสูตรแบบเดิม ๆ ในมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ อาจไม่ได้สอนในสิ่งจำเป็นที่เอื้อต่อความสำเร็จและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการทำงานในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงมีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น

.

อ้างอิง

.

https://www.entrepreneur.com/business-news/employers-would-rather-hire-ai-robots-than-recent-grads/485878

]]>
1510624