จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจอย่างแพร่หลาย หนึ่งในอุตสาหกรรมที่เจอศึกหนักที่สุดก็คือ “โรงภาพยนตร์” ทั้งเจอมาตรการล็อกดาวน์ ประกอบกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เลื่อนฉาย ทำให้ผู้ประกอบการต้องการกลยุทธ์ใหม่เพื่อประคับประคองธุรกิจ
“เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ผู้นำธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ไม่น้อย เพราะต้องบอกว่าโรงภาพยนตร์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ปิด และรวมคนจำนวนมาก ทำให้เป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยง และอยู่ในมาตรการล็อกดาวน์ แม้จะช่วงที่คลายล็อกดาวน์แล้ว แต่ก็ยังจำกัดคนเข้าใช้บริการ ไม่สามารถสร้างรายได้ได้เต็มที่
เมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดการแพร่ระบาด ประเทศไทยมียอดจำหน่ายตั๋วหนังสูงที่สุดในประวัติการณ์ที่ 36.5 ล้านใบ เรียกว่าทิศทางของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่มาสะดุดเพราะโรคระบาด แม้ว่าในปี 2563 จะเจอกับวิกฤตร้ายแรง แต่เมเจอร์ก็ปรับกลยุทธ์จนสามารถกลับมาเติบโตได้ดังเดิม
หลังจากเริ่มมีมาตรการคลายล็อกดาวน์ในปี 2564 หลายธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดทำการตามปกติตามมาตรการควบคุมโรค พร้อมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยก็เริ่มคลี่คลาย ประชาชนได้กลับใช้ชีวิตได้ปกติมากขึ้น ร้านค้าต่างๆ ไม่ต้องจำกัดเวลาในการเปิด
ทำให้ได้เห็นบรรยากาศของศูนย์การค้าที่เนืองแน่นด้วยผู้คน ต่างออกมาช้อปปิ้ง ทานข้าว ดูหนังกันมากขึ้น เรียกว่าเป็นสัญญาณอันดีในการฟื้นเศรษฐกิจภายในประเทศกลับมาคึกคัก
ธุรกิจโรงภาพยนตร์ก็เริ่มกลับมามีสีสันมากขึ้นจากการที่ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย อีกทั้งหนังที่เข้าโรงภาพยนตร์ก็เต็มไปด้วยหนังฟอร์มยักษ์ ถูกกระตุ้นจากทั้งฝั่งผู้ผลิตหนังเองก็อั้นจากช่วงวิกฤตหนักๆ ต้องเลื่อนการฉาย ส่วนผู้บริโภคเองก็ต้องการเสพภาพยนตร์ ความบันเทิงจากโรงหนังอยู่
ในปี 2565 ถือว่าเป็นฟ้าใหม่ของเมเจอร์ในการ “เทิร์นอะราวด์” เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย ประชาชนเริ่มใช้ชีวิตร่วมกับโรคระบาดได้อย่างมีสติ หลายธุรกิจเริ่มฟื้นตัว กลับมามีผลกำไร ธุรกิจโรงภาพยนตร์เองก็เช่นกัน เริ่มเห็นสัญญาณในการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ลุ้นกลับมามีผลกำไรทุกไตรมาส เป็นการคัมแบ็กของจริง
ปัจจัยสำคัญมีทั้งธุรกิจหลักจากโรงภาพยนตร์ ที่จะได้เห็นหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลิวู้ดต่างตบเท้าเข้าโรงอย่างต่อเนื่อง เช่น The Batman, Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore, Doctor Strange 2, Top Gun : Maverick, Jurassic World : Dominion (8 มิย.), Minions The Rise Of Gru (30 มิย.), Thor : Love and Thunder (6 กค.), Black Panther :Wakanda Forever (10 พย.) และไฮไลท์สุดๆ กับการสิ้นสุดการรอคอยของ Avatar The Way Of Water (15 ธค.) เตรียมทวงบัลลังก์หนังทำเงินสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง พร้อมกับตลาดหนังไทยที่เตรียมเข้าโรงถึง 40 เรื่องเช่นกัน
ส่วนธุรกิจเสริมที่ทางเมเจอร์ไปลงทุนเพิ่มเติมทั้งการเข้าไปถือหุ้นใน บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ก็มีผลประกอบการที่ดีขึ้น เป็นอีกหนึ่งแรงเสริมให้กับเมเจอร์
ทางด้านบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ได้วิเคราะห์ว่า คาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2565 ของเมเจอร์จะเติบโตดีขึ้น เนื่องจากจะมีหนังฟอร์มยักษ์จากฝั่งฮอลลีวูดเข้าฉายจำนวนมากในช่วงหน้าร้อนของสหรัฐ ประกอบกับความกังวลเรื่อง COVID-19 เริ่มคลี่คลาย และผู้บริโภคออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น เชื่อว่าทั้งปีจะพลิกกลับมามีกำไร 677 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนปกติ 832 ล้านบาท
นอกจากประเทศไทยแล้ว ทิศทางของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์เริ่มมีสัญญาฟื้นทั่วโลก อย่างที่สหรัฐอเมริกาตลาดใหญ่ที่สุดของโลกก็เริ่มฟื้นตัว หลังยอดขายตั๋วหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่เข้าโรงในช่วงไตรมาสแรกเติบโตจากปี 2564 มากกว่า 3 เท่าตัว
ทางด้านสตูดิโอค่ายหนังก็เตรียมเข็นหนังฟอร์มยักษ์ออกมาตลอดทั้งปี ทางด้านผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ก็ลงทุนในการอัพเกรดโรงหนังให้ทันสมัยขึ้น พร้อมกับอัดงบการตลาด เพื่อดึงดูดผู้บริโภคออกมาดูหนังในโรงกันมากขึ้น
หนึ่งในกลไกสำคัญที่ทำให้ปีนี้ธุรกิจโรงหนังกลับมาสดใส หนีไม่พ้น “คอนเทนต์” หรือภาพยนตร์ที่จ่อคิวเข้าโรง จะเห็นได้ว่าปีนี้มีคิวหนังทั้งไทย และเทศจ่อเข้าคิวแบบเบียดเสียด ชนิดที่ว่าใครอ่อนแอก็แพ้ไป หนังไทยบางเรื่องต้องหลีกทางให้หนังฮอลลีวู้ดเข้าก่อนกันเลยทีเดียว
และที่ผ่านมาไม่นานนี้ เริ่มมีกระแส “หมอแปลกฟีเวอร์” โดยที่ภาพยนตร์ Doctor Strange In The Multiverse Of Madness หรือ Doctor Strange 2จากค่ายมาร์เวล สามารถทำรายได้รวมใน 2 สัปดาห์แรกไปกว่า 291.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (10,200 ล้านบาท) ในสหรัฐอเมริกา และทำรายได้รวมทั่วโลก อยู่ที่ 688 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (24,000 ล้านบาท)
ส่วนในประเทศไทยนั้น หมอแปลกภาค 2 ก็ได้ปลุกกระแสการดูหนังในโรงภาพยนตร์กลับมาคึกคักอีกครั้ง รายได้รวมทั่วประเทศกว่า 337.2 ล้านบาท จากการเข้าฉาย 19 วันสะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น และพร้อมที่จะเสพความบันเทิงในโรงภาพยนตร์มากขึ้นด้วย
แน่นอนเมื่อมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าโรง ย่อมนำพามาด้วยการฟื้นตัวของรายได้จากภาพยนตร์ที่เป็นรายได้หลักของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นอานิสงส์ทางอ้อมก็คือ “โฆษณาในโรงภาพยนตร์” ที่มีการเติบโตไม่แพ้กัน
ข้อมูลในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปี 2565 ในภาพรวมอุตสาหกรรม มีการใช้เม็ดเงินลงโฆษณาไปกับโรงภาพยนตร์ ประมาณ 1,736 ล้านบาท มีการเติบโตขึ้นถึง 43.71% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งถือว่าเป็นประเภทสื่อ ที่มีอัตราการฟื้นตัวและการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาสูงที่สุด
สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์สินค้าต่างๆ เริ่มกลับมาสนใจทำกิจกรรมทางการตลาด ร่วมกับโรงภาพยนตร์นั่นเอง มีความมั่นใจว่าผู้บริโภคหันกลับมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ ประกอบกับไลน์อัพหนังที่จะช่วยดันศักยภาพได้
นอกจากปัจจัยภายนอกที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว เมเจอร์เองก็ประกาศแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุน และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ แก่ผู้บริโภค ล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับ ไอแมกซ์ คอร์ปอเรชั่นหรือ IMAX นำเครื่องฉาย IMAX Laser ระบบทันสมัยที่สุดมาฉายในไทย นำร่อง 3 สาขา ได้แก่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ไอคอน ซีเนคอนิค และเปิดโรงภาพยนตร์ IMAX สาขาใหม่ที่เมกา ซีนีเพล็กซ์
สำหรับระบบฉาย IMAX Laserเป็นระบบการฉายภาพยนตร์ที่ล้ำสมัยที่สุด ผสมผสานการฉายภาพด้วยเลเซอร์ระดับ 4K ด้วยระบบออปติคัลใหม่ เลนส์ที่ออกแบบเอง และชุดเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ให้ภาพที่สว่างกว่าด้วยความละเอียดที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ชมสามารถมองเห็นภาพขนาดใหญ่ และได้ยินเสียงที่ชัดเจนเหมือนกันทุกที่นั่ง สร้างประสบการณ์การชมภาพยนตร์ระดับพรีเมียม
พร้อมกับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เปิดโรงภาพยนตร์ Screen X เพิ่มอีก 1 แห่งที่พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ในปี 2565 เมเจอร์มีแผนขยายโรงภาพยนตร์อีก 25-30 โรง จากปัจจุบันมีโรงภาพยนตร์ทั้งหมด 839 โรง ใน 170 สาขารวมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
นอกจากการลงทุนอัปเกรดเครื่องฉายสุดล้ำแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทางเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ยังเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องก็คือการขยายสาขา ล่าสุดได้เปิดสาขาใหม่ “จันทบุรี ซีนีเพล็กซ์” ที่เซ็นทรัล จันทบุรี เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 แบบสดๆ ร้อนๆ
พร้อมกับการรีโนเวตโฉมใหม่ของ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สุขุมวิท-เอกมัย” เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเดินหน้าทยอยอัปเกรดเครื่องฉายเป็นระบบ Laserplex ในโรงภาพยนตร์ปกติอีกด้วย รวมถึงการเป็นเจ้าภาพงาน CineAsia 2022 ในวันที่ 5 – 8 ธันวาคม 2565 ที่ Icon Siam
อีกหนึ่งธุรกิจที่ถือว่าเป็นตัวชูโรงไม่น้อย ก็คือ “ป๊อปคอร์น” โดยปกติแล้วธุรกิจโรงหนัง ต้องคู่กับเครื่องดื่ม และป๊อปคอร์น เป็นตัวสร้างรายได้เสริมให้เมเจอร์ไม่น้อย แต่เมื่อเจอมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก ถึงแม้ว่าจะคลายล็อกดาวน์ ก็ไม่สามารถทานอาหารในโรงหนังได้
ตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤต เมเจอร์เริ่มปรับตัวจากการขายป๊อปคอร์นที่ขายหน้าโรงหนัง แล้วใช้บริการเดลิเวอรี่ส่งตามบ้าน บริการ “Major Popcorn Delivery” รวมถึงการขายผ่าน ‘Major Mall’ ใน Shopee จนได้พัฒนาเป็นป๊อปคอร์นรูปแบบใหม่ๆ ทั้งแบบ Pop To Go ป๊อปคอร์นในถุงซีปล็อก, POP STAR ป๊อปคอร์นพรีเมียมบรรจุในกระป๋อง ขนาด 60 ออนซ์ และป๊อปคอร์น พรีเมียม POPSTAR 3 รูปแบบ คือ ป๊อปสตาร์ สแน็ค ป๊อปคอร์นแบบซอง, ป๊อปสตาร์ ไมโครเวฟ และ ป๊อปสตาร์พรีเมียม ทินแคน ป๊อปคอร์นบรรจุกระป๋อง
แรกเริ่มได้ขยายสู่ช่องทางอื่นๆ อย่างซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ เพื่อขยายช่องทางการขายสู่ผู้บริโภคมากขึ้น และที่น่าสนใจก็คือ เมเจอร์มีแผนที่จะนำป๊อปคอร์นเข้าจำหน่ายในเซเว่นฯ ภายในปีนี้ และเตรียมขยายไปยังโมเดิร์นเทรด และร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ในอนาคต
จะเห็นได้ว่าปีนี้น่าจะเป็นอีกปีหนึ่งที่ธุรกิจโรงหนังเริ่มเห็นแสงสว่าง มีแนวโน้มที่ดีขึ้น มีการประเมินว่าต้องกลับมามีกำไรจากทั้งธุรกิจหลักในการขายตั๋วหนัง พร้อมกับธุรกิจอื่นๆ ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้น ไม่แน่ว่าปีนี้อาจจะพลิกกลับมาเป็นปีทองของเมเจอร์อีกทีก็เป็นได้…
]]>