และจากผลวิจัยระบุว่า ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานทั่วโลกในปี 2566 ที่ผ่านมาลดลง โดยเฉพาะในกลุ่ม พนักงานอายุน้อย (อายุต่ำกว่า 35 ปี) และไม่ใช่แค่ความเหงาที่ต้องเจอเท่านั้น แต่พนักงานทั่วโลกต้องรับมือกับความเศร้า และความโกรธก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
เมื่อความเหงากลายเป็นโรคประจำถิ่น การหาวิธีป้องกันจึงเป็นเรื่องสำคัญ และนี่คือ 5 วิธี ที่เราสามารถต่อสู้กับความเหงา โดย Dr. Annabelle Chow นักจิตวิทยาคลินิก ได้แก่
ก่อนอื่น เราควรสังเกตว่าเรารับรู้ถึงความเหงาอย่างไร โดยสิ่งสำคัญคือ ต้องยอมรับว่ามันเป็นความรู้สึกที่ธรรมดาของมนุษย์ ความเหงาเป็นประสบการณ์ทางอารมณ์ที่เป็นธรรมชาติ และทุกคนก็ประสบกับมัน ดังนั้น ความเหงาไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นวิธีที่เรารับรู้ถึงความเหงา ถ้าเรารับรู้มันในทางลบ การตอบสนองของเราต่อสิ่งนั้นจะกลายเป็นเชิงลบโดยธรรมชาติ แล้วปัญหาก็จะเพิ่มขึ้นเหมือนดินพอกหางหมู
ดังนั้น เราควรพยายาม ค้นหาต้นตอของความรู้สึก เช่น เราขาดปฏิสัมพันธ์ที่เพียงพอในระหว่างวันของเราหรือไม่? หรือแม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่เราไม่รู้สึกว่าถูกมองเห็น เข้าใจ หรือชื่นชม? การมีความเข้าใจนี้จะช่วยกำหนดขั้นตอนต่อไปได้
สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขคือ การเชื่อมโยงที่มีความหมาย เช่น การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หากไม่มีสิ่งนี้ ผู้คนจะรู้สึกเหงาโดยธรรมชาติ แม้ว่าพวกเขาจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายในโลกนี้ก็ตาม ดังนั้น หากรู้สึกว่าขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม แนะนำให้ พยายามพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับเพื่อนและเพื่อนร่วมงาน อาจเริ่มจากการมีส่วนร่วมในสำนักงาน เริ่มเข้าหาผู้คนด้วยความเปิดกว้าง และพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่คุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้คนได้
โดยการพัฒนาเพื่อนประเภทต่าง ๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การมีเพื่อนในงานปาร์ตี้ เพื่อนที่ทำงาน และเพื่อนที่จริงใจของคุณ และร่วมกันปลูกฝังความตระหนักรู้ว่าเพื่อนคนไหนที่จะติดต่อเมื่อไร โดยการพัฒนาความสัมพันธ์เหล่านี้ล่วงหน้าจะช่วยจัดการกับความเหงาเมื่อมันมาถึง
“ถ้าเราไม่ให้โอกาสคนอื่นเข้าใจเรา ถ้าคุณไม่โต้ตอบกับคนอื่น เราก็จะไม่ให้โอกาสตัวเองในการพัฒนาความสัมพันธ์จริง ๆ หากเราไม่พัฒนาความสัมพันธ์ เราก็ไม่มีอะไรจะต้องใช้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก”
อีกคำแนะนำง่าย ๆ คือ พาตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมที่คุณพบว่าตัวเองโดดเดี่ยว คือถ้าไม่หากิจวัตรใหม่ ๆ ก็อาจจะเริ่มจากการ ออกจากห้อง หากคุณถูกโดดเดี่ยวตลอดทั้งวัน การโทรหาครอบครัว การไปรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนฝูง หรือมีส่วนร่วมกับพวกเขาบนโซเชียลมีเดียสามารถช่วยได้
ถ้าหากต้องใช้เวลาทั้งสุดสัปดาห์บนโซฟาโดยไม่ได้ทำอะไรเลย และแค่เลื่อนดูแค่เรื่องเลวร้ายในโซเชียลฯ แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้สึกเหงา ดังนั้น การมีนิสัยและกิจวัตรที่ดีต่อสุขภาพจะช่วยดึงคุณออกจากสถานการณ์เหล่านั้นได้ เช่น ออกกำลังกาย เพราะจะช่วยเพิ่มกิจวัตรประจำวันที่สามารถช่วยขจัดเวลาว่างที่อาจส่งผลต่อความเหงาออกไปได้ รวมถึงเสพแต่สื่อที่เป็นบวก
สุดท้าย หลายคนมีความคิดแบบ คิดไปเอง เกี่ยวกับมุมมองที่ผู้คนมองพวกเขา ซึ่งอาจจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ได้ แต่แล้วพวกเขาก็ตอบสนองต่อสิ่งที่อยู่ในเวอร์ชั่นของพวกเขา ซึ่งวิธีแก้ไขคือ การท้าทายและปรับโครงสร้างความคิดของตัวเองแทนที่จะแบกรับภาระของการคาดเดา จงพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา
“ตัวอย่างเช่น หากฉันคิดว่าคุณไม่ชอบฉัน และนั่นอาจเป็นความจริงหรือไม่ก็ได้ แต่นั่นจะทำให้ฉันจะระมัดระวังมากขึ้น ปกป้องมากขึ้นอีกเล็กน้อย และผลที่ตามมาตามธรรมชาติของสิ่งนั้นก็คือ ความสัมพันธ์นั้นจะไม่สามารถไปต่อได้ เพราะมีกำแพงกั้น”
]]>เศรษฐกิจเปลี่ยนไป ธุรกิจ “โรงรับจำนำ” ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยเช่นกัน ล่าสุด “Easy Money” (อีซี่มันนี่) โรงรับจำนำเอกชนรายใหญ่ของไทย ประกาศจะพัฒนาไปเป็น “สถาบันสินเชื่อทางเลือก” โดดชูจุดเเข็งอยู่ที่ความรวดเร็ว สะดวก ได้เงินง่ายเเละดอกเบี้ยถูกกว่าสินเชื่อบัตรเครดิตทั่วไป
สิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด เจ้าของ “Easy Money” กล่าวว่า เรามองว่าคนไทยต้องการสินเชื่อตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs เเละสตาร์ทอัพ ที่มีไอเดียเเละมีศักยภาพสูง เเต่คนเหล่านี้บางทีไม่มีเครดิตกับสถาบันการเงิน ไปขอสินเชื่อต้องใช้เวลา เเต่หากเป็นสินเชื่อจากธุรกิจรับจำนำก็เเค่นำทรัพย์สินมีค่าที่สะสมไว้ มาฝากไว้ก่อนเเล้วพอหมุนเงินได้ก็มาไถ่ถอนออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นการเเก้ปัญหายามฉุกเฉินด้วยการพึ่งพาตนเอง
“กลุ่มลูกค้าของ Easy Money เเบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ พนักงานเงินเดือนเเละผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ซึ่งมีอัตราการเติบโตในปี 2562 อยู่ที่พนักงานเงินเดือน 75% SMEs 25% ส่วนปี 2561 สัดส่วนพนักงานเงินเดือน 77% เเละ SMEs 23%”
สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็น “พนักงานเงินเดือน” เป็นกลุ่มที่เน้นนำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ชอบเก็บออมทรัพย์สินในรูปแบบของเครื่องประดับเเละทองคำ โดยพฤติกรรมการไถ่ถอนทรัพย์จะเป็นไปตามฤดูกาล เช่นช่วงปลายเดือนธันวาคม ที่มีโบนัสออก ช่วงตรุษจีนเเละเทศกาลสงกรานต์ จะมีการมาไถ่ถอนมาก ขณะช่วงใกล้เปิดเทอมก็จะมีการนำมาจำนำมากเป็นพิเศษ เพื่อนำเงินไปใช้การในศึกษาของบุตรหลาน
ส่วนกลุ่มลูกค้า “SMEs” จะเเตกต่างกับพนักงานเงินเดือน เพราะต้องการนำเงินไปหมุนเวียนในธุรกิจ ต่อยอดการลงทุน เเละสต็อกสินค้า หรือใช้เสริมสภาพคล่องในช่วงที่รายรับรายจ่ายไม่สมดุลกัน
“ถ้ามีพ่อค้าเเม่ค้านำทรัพย์สินมาจำนำมากๆ เเสดงว่าช่วงนั้นเป็นโอกาสการค้าขายที่คึกคัก เศรษฐกิจดี จึงต้องการเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น พอมีรายได้เข้ามาก็รีบมาไถ่ถอน อันนี้จึงเป็นอีกปัจจัยที่เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจได้ว่าดีหรือซบเซา” สิทธิวิชญ์ระบุ
“ตัวเลขที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจซบเซาได้มากที่สุดคือ ตัวเลขทรัพย์หลุดหรือทรัพย์สินที่หลุดจำนำนั่นเอง เพราะเเสดงว่าประชาชนไม่มีรายได้เพียงพอที่จะมาไถ่ถอนหรือส่งต่อดอกเบี้ย จากสถิติของปี 2562 พบว่าตัวเลขทรัพย์หลุดใกล้เคียงกับปี 2561 ซึ่งลดลงเพียง 0.1% เเสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะทรงตัว”
โดยเขาอธิบายเพิ่มว่า อัตราทรัพย์หลุดของ Easy Money เฉลี่ยอยู่ที่ 5% (ปี 2562 คือ 4.9% ส่วนปี 2561 คือ 5%) หมายความว่าถ้ามีคนนำของมาจำนำ 100 คน จะมีทรัพย์หลุด 5 คน เป็นต้น
“ตลอด 15 ปีที่ผ่านมามีช่วงปีที่ธุรกิจโรงรับจำนำ Easy Money เจอปัญหาบ้าง เช่นปี 2555 ที่ราคาทองลงมาก ทำให้ลูกค้าหลายคนทิ้งตั๋วจำนำไป”
ผู้บริหาร Easy Money เปิดเผยว่า ทรัพย์สินที่คนไทยนำมาจำนำมากที่สุด ได้เเก่ ทองคำ (ราว 70-80%) รองลงมาคือ เพชรเเละเครื่องประดับ ตามมาด้วย นาฬิกา สินค้าเเบรนด์เนมเเละอุปกรณ์ไอที ตามลำดับ
“ความเปลี่ยนเเปลงของยุคนี้คือคนรุ่นใหม่มีการนำสินค้าเเบรนด์เนมมาจำนำ เราจะได้เห็น หมีกุชชี่ กระเป๋าเเอร์เมสหรือชาเเนลเยอะขึ้นมาก เเละหลังจากระเเสละครบุพเพสันนิวาสก็มีการนำของโบราณ เงินพดด้วงเเละธนบัตรเก่ามาจำนำเยอะขึ้น”
ขณะที่ยอดเงินเฉลี่ยของกลุ่มพนักงานเงินเดือนที่นำของมาจำนำคือ 20,000 บาทต่อคน เเละกลุ่ม SMEs อยู่ที่ 1 เเสนบาทต่อคน ในจำนวนนี้มีลูกค้าจากภาคกลางมากที่สุด
ทั้งนี้ ตามกฎหมายกำหนดให้ตั๋วจำนำมีอายุ 4 เดือนบวกระยะเวลาไถ่ถอนอีก 30 วัน (รวม 5 เดือน) โดยมีอัตราดอกเบี้ยเพดานอยู่ที่ 1.25% ต่อเดือน
“ช่วงที่ผ่านมาเรามีการเติบโตราว 20% ปีนี้จึงวางเป้าจะขยายสาขาให้ได้ 60 สาขา พัฒนาบริการ เเละก้าวขึ้นมาเป็นสถาบันสินเชื่อทางเลือกที่เข้าถึงง่าย น่าใช้เหมือนเดินไปธนาคารพาณิชย์ โดยจะยังคงเป็นร้านสเเตนอโลน เพราะห้างไปเปิดในห้างจะไม่ได้เวลาตามกฎหมายกำหนดที่ 8.00 – 18.00 น. อีกทั้งยังต้องมีพื้นที่จัดเก็บสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเเละอื่นๆ นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีให้ใช้งานสะดวก เเละจัดระบบการขายทรัพย์หลุดทางออนไลน์ให้เป็นระบบยิ่งขึ้น”
สำหรับ Easy Money ดำเนินกิจการมานานกว่า 15 ปี จากสาขาเเรกที่ “เมืองรังสิต” เมื่อปี 2548 ปัจจุบันมีอยู่ 50 สาขา มีร้าน Easy Money Shop 2 ร้าน ใน 28 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีการลงทุนประมาณ 40-50 ล้านบาทต่อสาขา
ทั้งนี้ Easy Money ยืนยันยังไม่พร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยขอเวลาศึกษารายละเอียดก่อน
“ความยากของธุรกิจโรงรับจำนำคือการประเมินความเสี่ยง ประเมินราคา ซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อใม่ให้เกิดความผิดพลาด เเม้คนอื่นจะมองว่าเป็น “เสือนอนกิน” มีความเสี่ยงน้อย เเต่ก็เคยมีคนนำของปลอม ของเก๊มาจำนำ โดยคนกลุ่มนี้มักจะมาช่วงเที่ยงหรือบ่าย เพราะใช้โอกาสที่คนเยอะ พนักงานยุ่ง ซึ่งจะเร่งรีบกว่าปกติ คนเหล่านี้จะคอยพูดเร่งพนักงานด้วย จึงต้องตั้งข้อสังเกตว่ามีความผิดปกติ”
ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจโรงรับจำนำ สิทธิวิชญ์ คาดว่าจะอยู่ที่ราวเเสนล้านบาท ซึ่งรวมไปถึงธุรกิจขายฝากที่ทำในร้านทองเเละร้านรับซื้อของเก่าต่างๆ ด้วย เติบโตราว 10% ต่อปี
“เเนวโน้มธุรกิจโรงจำนำปี 2563 ยังมีความท้าทายอยู่มาก โดยมองว่าเศรษฐกิจน่าจะยังทรงตัว”
]]>