บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 20 Mar 2019 07:54:10 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัวระบบปฏิบัติการสุดล้ำ “Building+” เชื่อมไอโอที พร้อมปล่อยแอปพลิเคชั่นใหม่ “Living PLUS” https://positioningmag.com/1220810 Wed, 20 Mar 2019 06:21:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1220810 พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เดินหน้าเทคโนโลยีอัพเกรดงานจัดการอาคารสำนักงานและโครงการที่พักอาศัย เปิดตัวระบบปฏิบัติการสุดล้ำ “Building+” ที่ผสานทุกการทำงานเชื่อมระบบ IoT พร้อมปล่อยแอปพลิเคชั่นใหม่ “Living PLUS” เชื่อมโยงผู้ใช้งานและผู้ให้บริการอย่างไร้รอยต่อ มุ่งเป้ายกระดับมาตรฐานงานบริการเหนือระดับ รองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงสู่ยุค 5G

นายชาญ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า พลัสฯ เดินหน้ายกระดับกระบวนการทำงานให้สอดรับกับเทคโนโลยีใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัจจุบันที่กำลังเข้าสู่ยุค 5G ที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน ทางฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรมของพลัสฯ จึงได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและเพื่อให้ผู้รับบริการสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยล่าสุดได้ออกแบบระบบปฏิบัติการใหม่ “Building+” (บิ้วดิ้งพลัส) มาตรฐานการทำงานเอกสิทธิ์เฉพาะพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ผสานการให้บริการในทุกขั้นตอนเชื่อมต่อกับระบบ Internet of Things (IoT) เพื่อการทำงานแบบไร้รอยต่อ ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉมการให้บริการและดูแลอาคารครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม Facility Management ครอบคลุมขั้นตอนการทำงานแบบครบวงจร ประกอบด้วยการทำงาน 4 ขั้นตอน ได้แก่

1. PlusServe ระบบฐานข้อมูลที่จัดเก็บรายละเอียดของลูกค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการโดยเฉพาะ เป็นจุดตั้งต้นในการออกแบบงานบริการที่ตอบโจทย์

2. Plus SOP ระบบมาตรฐานการควบคุมการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้การนำส่งบริการถึงลูกค้าตามความต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งเป็นการส่งมอบงานที่เป็นไปอย่างมีคุณภาพและได้ตามมาตรฐานของพลัสฯ

3. Plus QC ระบบการตรวจสอบงานวิศวกรรมอาคารทั้งหมด ที่มีการนำเทคโนโลยีอาคารมาเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ เครื่องจักร แบบเรียลไทม์ ที่เชื่อมระบบในทุกโครงการเข้าสู่ศูนย์ปฏิบัติการจากส่วนกลาง เพื่อป้องกันก่อนการเกิดเหตุ สุดท้ายคือ

4. Plus Notify ระบบแจ้งผลการปฏิบัติงานที่คำนึงถึงลูกค้าและทีมงานของพลัสฯ โดยเริ่มตั้งแต่การส่งรายงานสรุปผลการปฏิบัติงานให้แก่ลูกค้า และรวมถึงการนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ประกอบการประเมินผลการทำงานของทีมพลัสฯ

โดยทั้งหมดนี้ไม่เพียงช่วยให้การบริหารจัดการอาคารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ลูกค้า ผู้อยู่อาศัย ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในขั้นตอนของ Plus QC ที่สามารถตรวจสอบการทำงานของระบบวิศวกรรมในอาคาร กรณีเกิดเหตุขัดข้องหรือระบบไม่ทำงาน ทีมผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ปฏิบัติการจากส่วนกลางจะทราบและสามารถประสานแก้ไขได้ทันท่วงที และยังสามารถตรวจสอบระยะการใช้งานของอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งหากระบบตรวจพบว่าอุปกรณ์มีความเสี่ยงที่จะชำรุด ทางศูนย์ควบคุมจะติดต่อไปยังโครงการให้เข้าตรวจสอบอุปกรณ์ดังกล่าวก่อนที่จะเกิดเหตุขัดข้อง (Preventive Maintenance)

โดยเทคโนโลยีและระบบ IoT ดังกล่าว จะยังมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการอาคารสำนักงานและโครงการที่พักอาศัยให้สอดรับกับยุค 5G ซึ่งจะทำให้สามารถให้บริการได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น กรณีหากเกิดเหตุท่อประปาที่ฝังอยู่ในผนังอาคารเกิดแตกหรือรอยรั่ว หากเป็นสมัยก่อนอาจจะเกิดการเจาะผนังอาคารไม่ตรงกับจุดที่เสียหายจริง และทำให้ต้องเจาะใหม่จนกว่าจะพบจุดเสียหาย แต่เทคโนโลยีในอนาคตสามารถทำได้ถึงขั้นสแกนหาจุดที่เกิดเหตุได้อย่างตรงจุด ลดขั้นตอนในการทำงาน แก้ไขปัญหาด้วยระยะเวลาที่รวดเร็ว รบกวนผู้อยู่อาศัยน้อยที่สุด ซึ่งพลัสฯ เชื่อว่าเทรนด์ต่อจากนี้เทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่องานบริหารอาคารและความต้องการใช้พื้นที่ของบริษัทนำไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

พร้อมกันนี้ได้มีการปล่อยแอปพลิเคชั่นใหม่อย่าง “Living PLUS” ที่รวมทุกเรื่องการอยู่อาศัยไว้ในแอปพลิเคชั่นเดียว เป็นแอปพลิเคชั่นพิเศษสำหรับลูกบ้านในโครงการทั่วไปที่พลัสฯ บริหาร เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ดูแลโครงการและลูกบ้าน ทั้งในการแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ข่าวสารในโครงการ การแจ้งเตือนต่างๆ อีกทั้งยังเป็นที่รวบรวมเบอร์โทรฉุกเฉินจากแต่ละหน่วยงานไว้ในที่เดียว รวมถึงยังสามารถเป็นช่องทางสื่อสารแบบเรียลไทม์ระหว่างนิติบุคคลและลูกบ้านได้ถึง 2 ภาษา โดยลูกบ้านสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Living PLUS ได้ทั้งระบบปฏิบัติการแบบแอนดรอยและไอโอเอส

“อาคารชั้นนำในปัจจุบันทั้งอาคารพักอาศัยและอาคารสำนักงาน จะเป็นอาคารที่มีระบบวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้การศึกษาหาความรู้ในสิ่งใหม่ๆ ประกอบกับทักษะความเป็นมืออาชีพและความชำนาญในการบริหารจัดการอาคารที่สามารถจัดการระบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2562 พลัสฯ พร้อมเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อนำมาเสริมความแข็งแกร่งด้านการดูแลทรัพยากรอาคารและบริหารจัดการโครงการต่างๆ ซึ่งพลัสฯ เชื่อว่าระบบปฏิบัติการ Building+ จะสามารถยกระดับมาตรฐานการทำงานให้เหนือขึ้นไปอีกขั้น เพื่อส่งมอบการบริการได้อย่างตอบโจทย์ความต้องการในยุค 5G” นายชาญ กล่าว

]]>
1220810
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เสริมแกร่งขยายศูนย์ "พลัส เอเจนซี่" รับการเติบโตอสังหาฯ หัวหิน https://positioningmag.com/55820 Mon, 29 Oct 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55820

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศเดินหน้าสานต่อผู้นำบริการที่ปรึกษาด้าน “ซื้อ ขาย เช่า” อสังหาริมทรัพย์ล่าสุดปรับลุค   “พลัส เอเจนซี่”  หัวหินขยายพื้นที่เป็น 2 เท่าติดริมถนนกลางเมืองหัวหินเยื้องตลาดฉัตรไชย เตรียมความพร้อมของทีมเพื่อมอบบริการที่มากกว่า ฃและเจาะลึกเรื่องเมืองหัวหินหวังสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า ย้ำแบรนด์รอยัลตี้ โดยปัจจุบันมีรายการอสังหาฯ ในความดูแลรวมกว่า 1,000 รายการ รวมมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท

นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่หัวหิน มีอัตราเติบโตสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาถึง 400% นับเป็นการเติบโตที่มีศักยภาพ โดยปัจจุบันมีจำนวนอสังหาริมทรัพย์รอการขายรวม 13,765 หน่วยสามารถแบ่งตามประเภทคือ คอนโดมิเนียม 95% และบ้านเดี่ยว 5% ในขณะที่มีกำลังดูดซับมากถึง 60% ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 30% แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุดังกล่าว พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จึงมีนโยบายในการขยายศูนย์บริการ “พลัส    เอเจนซี่” ริมถนนสายหลักในเมืองหัวหินให้สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มอย่างมีศักยภาพ โดยใช้งบประมาณในครั้งนี้กว่า 3 ล้านบาท

“เราต้องการเป็นมากกว่าผู้ดูแลเรื่องซื้อขายเช่าอสังหาริมทรัพย์” นางสาวสมสกุล กล่าว “ปัจจุบันเราได้เตรียมทีมเพื่อพร้อมมอบบริการที่เจาะลึก โดยเน้นให้ทีมงานรู้ลึกเกี่ยวกับหัวหินและพื้นที่ใกล้เคียง เพราะต้องการสร้างทีมให้เป็นที่ปรึกษาที่เปี่ยมศักยภาพ และสามารถสร้างความไว้วางใจในสายตาของกลุ่มเป้าหมายในรูปแบบบริการครบวงจรหรือ One stop service โดยการขยายพื้นที่ร้านเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับกลุ่มลูกค้าที่จะหนาแน่นอีกครั้งตั้งแต่ช่วงปลายปีไปถึงฤดูร้อนปี 56”

ทั้งนี้ การปรับขยาย “พลัส เอเจนซี่” ได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนโทนสีและคาแรกเตอร์หลักของแบรนด์อย่างกลมกลืน โดยได้ปรับรูปแบบภายในให้มีมุมเพื่อพร้อมรับรองผู้มาเยือนด้วยบริการที่ครบครัน อาทิ บริเวณ  Stock Display ที่ให้ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย,  ทีมงานที่พร้อมด้วยประสบการณ์    ในพื้นที่ ซึ่งทำให้เรื่องการดำเนินการซื้อสินทรัพย์เป็นเรื่องที่ง่ายดายและปลอดภัย  และยังมีที่นังพร้อม Notebook ไว้บริการลูกค้าหากต้องการข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม  หรือบริการ WIFI สำหรับลูกค้าที่เข้ามาสอบถามหรือต้องการนั่งเล่น Notebook หรือ iPad  รวมถึงโซน Galley ที่จะมีข้อมูลของโครงการที่ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ขายให้ เช่น โครงการของแสนสิริ เพราะออฟฟิศนี้จะเป็นจุดที่ให้ข้อมูลของโครงการแสนสิริได้ด้วยอีกช่องทางหนึ่ง โดยพร้อมเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

]]>
55820
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ “ธุรกิจอสังหาฯ” ส่งสัญญาณบวก พร้อมกลับสู่สภาวะปกติ https://positioningmag.com/55669 Wed, 05 Sep 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55669

พลัส ลงสนามสำรวจภาพรวมอสังหาฯ หลังน้ำลด พบโครงการส่วนใหญ่กลับสู่ภาวะปกติ บ้านเดี่ยวยังคงครองแชมป์ยอดขาย ผู้ประกอบการงัดกลยุทธ์กู้คืนความเชื่อมั่น ผู้บริโภคยังคงยึดติดทำเลไม่หวั่นน้ำท่วม เชื่ออสังหาฯ โดยรวมจะเติบโตขึ้น 10 -15 % เช่นเดียวกับ การปรับราคาที่ค่อยๆ ขยับสูงขึ้นอีก 10 – 15 % โดยประมาณ

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า อัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในช่วงครึ่งปีแรก 2555 มีทิศทางที่ดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลง เงินบาทอ่อนค่าลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้ดัชนีความต้องการบ้านหลังใหม่เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 78.6 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปลายปี 2554 เพิ่มขึ้น 5.50 ทั้งนี้ ค่าดัชนีปัจจุบันเริ่มมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์อุทกภัยจากปีก่อนเริ่มคลี่คลาย แสดงถึงความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลและผู้ประกอบการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง และเมื่อพิจารณาถึงดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง พบว่ามีอัตราเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงกว่าปีที่ผ่านมาจากค่าดัชนี 120.4 เป็น 124.6 หรือเพิ่มขึ้น 4.20 หรือคิดเป็น 10 – 15% จากการปรับค่าแรงและความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างเป็นจำนวนมากในการซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือน และเส้นทางคมนาคม ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย โดยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน เนื่องจากผู้บริโภคมองหาเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ มาทดแทนเฟอร์นิเจอร์ที่ชำรุดหลังเหตุการณ์อุทกภัย รวมทั้งปัจจุบันก็มีผู้ประกอบการได้พยายามมองหาทางเลือกใหม่ๆ ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่กังวลเกี่ยวกับน้ำท่วมด้วยเช่นกัน และจากภาพรวมดังกล่าวจึงสามารถสรุปได้ว่า ภาพเศรษฐกิจโดยรวมในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวได้ดีขึ้น  อย่างไรก็ตามยังคาดว่าจะต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาน้ำมัน ราคาวัสดุก่อสร้าง และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นไปอีกระยะหนึ่ง

“หากเจาะลึกลงมาที่ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ ในช่วงหลังเหตุการณ์อุทกภัย พบว่า อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทในพื้นที่น้ำท่วมไม่ได้ซบเซาไปอย่างที่หลายฝ่ายวิตก ตรงกันข้ามกลับมีอัตราการเติบโตเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้  โดยเฉพาะอสังหาฯ แนวราบ ซึ่งในปีนี้ตลาดอสังหาฯ โดยรวม ฟื้นตัวขึ้นประมาณ 10 – 15 เปอร์เซ็นต์ หลังได้รับผลกระทบจาก เหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา  ทั้งนี้เกิดจาก 4 ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเติบโตในภาคอสังหาฯ คือ ปัจจัยที่ 1 ปริมาณความต้องการบ้านที่ชะลอตัวจากช่วงปลายปีที่ผ่านมา ประการที่ 2 ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศนโยบาย เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำคงที่นาน 5 ปีเพื่อช่วยผู้ประสบอุทกภัย (Soft-loan) ประการที่ 3 ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าหรือบ้านพักตากอากาศสูงขึ้นเพื่อใช้เป็นบ้านหลังที่สอง หากเกิดเหตุการณ์อุทกภัยเกิดขึ้นอีก และปัจจัยประการสุดท้ายคือ นโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาล” นายอนุกูลกล่าวถึงภาพรวมอสังหาฯ หลังอุทกภัยและปัจจัย ส่งผลทางบวก

ทั้งนี้ ตลาดอสังหาฯ แนวราบในพื้นที่น้ำท่วมโดยส่วนใหญ่ ได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติตั้งแต่เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากบรรดาผู้ประกอบการต่างสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยระบบป้องกันน้ำท่วม รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่น ประกันภัยเพื่อเสริมความมั่นใจแก่ลูกค้า จึงทำให้ลูกค้าคลายความกังวล โดยบางพื้นที่ถือว่าฟื้นตัว 100% แล้ว ส่วนบางพื้นที่ เช่น ย่านบางบัวทองตลาดฟื้นตัวแล้ว 70-80% ของยอดขายปกติ อาจเป็นเพราะกำลังซื้อส่วนหนึ่ง รอให้ผ่านช่วงหน้าฝน เพื่อพิจารณาว่าจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมอีกหรือไม่ 

เหตุการณ์อุทกภัยที่ผ่านมาเป็นเพียงปัจจัยลบชั่วคราว ไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพราะประชาชนส่วนใหญ่ ยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจำนวนมาก โดยบ้านเดี่ยวยังคงได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ที่ 47% รองลงมาคือ คอนโดมิเนียม 42% และทาวน์เฮาส์ 11% จะเห็นได้ว่ามหาอุทกภัยกระทบความรู้สึกของคนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่กลับไม่กระทบต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่ยังคงต้องการบ้านเดี่ยวสูงสุด แม้โครงการดังกล่าวจะตั้งอยู่ในย่านที่ประสบอุทกภัยก็ตาม ซึ่งเหตุผลในการตัดสินใจซื้อส่วนใหญ่จะมองที่ทำเลเป็นอันดับ 1 คือ 35% ราคาที่เหมาะสม 22% และรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ตรงกับความต้องการ 20% สำหรับทำเลที่เลือกส่วนใหญ่จะยังเป็นทำเลที่ตนเองคุ้นเคย โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอุทกภัย ทั้งนี้ พบว่าโซนชั้นกลางและตะวันออก เช่น ลาดพร้าว บางนา และบางเขน ยังมีความต้องการซื้อสูงสุด คือ 40% รองลงมา คือ โซนชั้นใน เช่น พญาไท ห้วยขวาง จตุจักร ฯลฯ ประมาณ 33% ส่วนโซนชั้นนอกที่รวมโซนตะวันตก และโซนทิศเหนือ มีความต้องการรวมกันประมาณ 14%  ขณะที่ความต้องการ ที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดมีจำนวน 2% ในขณะที่โซนตะวันตกที่ถือเป็นหนึ่งในเขตชั้นนอก แม้จะประสบปัญหาอุทกภัย เมื่อปีที่ผ่านมา แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยก็ยังมีอยู่ ซึ่งเชื่อมั่นว่ากระแสความต้องการจะกลับสู่สภาวะปกติ ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โดยปัจจัยสนับสนุนต่อการเติบโตของตลาดแนวราบในพื้นที่ทางทิศตะวันตก สิ่งที่น่าสนใจคือ ทำเลบริเวณบางแค ถนนราชพฤกษ์, กัลปพฤกษ์ และเพชรเกษม นอกจากเป็นทำเลแหล่งอำนวยความสะดวก รองรับการคมนาคม เข้าสู่ใจกลางเมืองได้หลายเส้นทางและมีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสแล้ว ยังเป็นเส้นทางสายตะวันตกเชื่อมไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังมีการลงทุนเมกะโปรเจกต์ด้วย ส่วนภาพรวมในต่างจังหวัดนั้น คาดว่าจะมีปริมาณความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะกระแสบ้านหลังที่ 2 และบ้านพักตากอากาศ ตลอดจนกลุ่มผู้ที่ต้องการกลับสู่ภูมิลำเนาเดิมและคนที่ต้องไปทำงานในระยะยาว” นายอนุกูล กล่าว 

หากวิเคราะห์ถึงภาพรวมพฤติกรรมผู้บริโภคหลังเหตุการณ์อุทกภัย พบว่า ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนักเนื่องจากกระแสความต้องการส่วนใหญ่ยังอยู่ในแนวราบ ซึ่งถือเป็นความต้องการที่แท้จริงของตลาด “กลุ่มความต้องการที่อยู่อาศัยในแนวราบเกือบ 100% เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ไม่ได้เน้นที่การลงทุนแต่อย่างใด ดังนั้นพฤติกรรมในการเลือกซื้อคงไม่แตกต่างจากเดิม เว้นเพียงเรื่องระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อที่นานขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ส่วนการซื้อคอนโดมิเนียมก็คงมีการตัดสินใจซื้อที่เร็วกว่าหากมีอยู่ในทำเลที่ดี ใกล้รถไฟฟ้า เหมาะสม ทั้งการอยู่อาศัยหรือลงทุนด้วยการปล่อยเช่า เหตุการณ์อุทกภัยทำให้ผู้บริโภคนอกจากการพิจารณา เรื่องทำเล ราคา และรูปแบบโครงการแล้ว คนยังใส่ใจในชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น โดยจะพิจารณาจากในช่วงอุทกภัยว่า ผู้ประกอบการรายใดที่ดูแลลูกบ้านดี ก็จะเชื่อมั่นซื้อในโครงการของผู้ประกอบการรายนั้นๆ แทนที่จะเลือกซื้อโครงการจากผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่เสนอขายในราคาที่ถูกกว่าดังเช่นในอดีต  ซึ่งจะสะท้อนความพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจผ่านกระแส Social Network ดังที่ปรากฎ ณ ปัจจุบัน” นายอนุกูลกล่าววิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค

“สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนคือ “การตื่นตัวรับมืออุทกภัยของเหล่าผู้ประกอบการ”  ผู้ประกอบการ ที่มีโครงการตั้งอยู่ในเขตที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจะมีการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ ลูกบ้านและผู้บริโภคที่กำลังมองหาบ้านมากขึ้น โดยทำในรูปแบบต่างๆ คือ

1.) ป้องกัน โดยการถมโครงการให้สูงขึ้น  ยกถนนสูงรอบโครงการเพื่อเป็นเขื่อนกันน้ำ ก่อกำแพงให้สูงขึ้น ยกปลั๊กไฟขึ้นสูง  พร้อมยาแนวอุดรูรั่วรอบโครงการ  

2.) แก้ไข โดยการขุดบ่อพักน้ำ ระบบสูบระบายน้ำ เพื่อให้น้ำออกจากโครงการได้เร็วที่สุด 

3.) เยียวยา จัดซื้อประกันอุทกภัยเป็นหนึ่งในกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อมอบเงินชดเชยแก่ลูกค้าในทุกหลัง โดยในขณะนี้มีวงเงินประกัน ที่ทางบริษัทอสังหาฯ มอบให้ตั้งแต่ 1 แสน – 9 แสนบาท เป็นต้น ด้านภาพรวมการผุดโครงการใหม่นั้น ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายรายได้มีการขยายการพัฒนาโครงการข้ามาในเมืองในรูปแบบคอนโดมิเนียมและขยายการพัฒนาไปยังจังหวัดที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน หากมองถึงการปรับตัวด้านราคาที่อยู่อาศัย เชื่อว่าจะมีการขยับราคาขายสูงขึ้นกว่าที่ผ่านมาประมาณ 10 – 15% จากราคาที่ดินที่สูงขึ้น การปรับราคาวัสดุและปัญหาค่าแรง แต่อย่างไรก็ตาม การขึ้นราคาที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากนัก” นายอนุกูลกล่าวสรุป

]]>
55669
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ฝีมือปิดการขายคอนโดแอดเดอร่า แจ้งวัฒนะ https://positioningmag.com/55346 Fri, 29 Jun 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55346

นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ (ที่ 2 จากซ้าย) พร้อมด้วยนายวโรดม ชนินทรานันท์ ผู้จัดการฝ่ายขาย (ซ้าย) สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ฉลองความสำเร็จร่วมกับ นางอัชนีย์ โรจนมงคล ประธานกรรมการ (ขวา) และนายพิสิฐ โรจนมงคล กรรมการ (ที่ 2 จากขวา) บริษัท สมุยทาวเออร์ จำกัด ในการปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมแอดเดอร่า แจ้งวัฒนะ มูลค่า 333 ล้านบาท ได้สำเร็จ 100% ซึ่งนับเป็นความสำเร็จล่าสุดด้านธุรกิจที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขายของ พลัส ในฐานะผู้นำธุรกิจที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าผู้ประกอบการทุกระดับ ณ ปัจจุบัน

]]>
55346
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ปี 55 เป็นปีทองของตลาดคอนโดหลังคนแห่ซื้ออย่างคึกคัก https://positioningmag.com/55179 Tue, 14 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55179

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยบทวิเคราะห์ภาพรวมตลาด ซื้อ-ขาย-เช่า อสังหาริมทรัพย์ในปี 55 เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังความตื่นตระหนกในช่วงอุทกภัยช็อคตลาดไปชั่วขณะ 

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับมุมมองภาพรวมของธุรกิจ ซื้อ-ขาย-เช่า อสังหาริมทรัพย์เมืองไทยในปี 2555 ว่า ตลาดโดยรวมยังมีแนวโน้มเติบโตแต่ยังมีกระแสความวิตกกังวล ในเรื่องอุทกภัยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นภาครัฐจึงต้องชัดเจนในแผนการบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนนำเสนอแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องจูงใจ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็น แรงหนุนในธุรกิจโดยรวมเติบโตเช่นกัน 

“จากการสำรวจล่าสุด พบว่า ตลาดเพื่อเช่าคาดว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง อุปทานโดยรวมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น อย่างน้อย 3% จากปีที่ผ่านมา ส่วนอัตราการเข้าพักคาดว่ายังทรงตัวได้ดี ด้านราคาค่าเช่าคาดว่าจะขยับขึ้น โดยเฉลี่ยรวม 3-7% ส่วนปีนี้ตลาดคอนโดมิเนียมคาดว่าจะเป็นที่สนใจของอุปสงค์มากขึ้นด้วยปัญหาอุทกภัย ทำให้ผู้บริโภคเกิดความหวั่นวิตกต่อการดำเนินชีวิต อาจมีส่วนผลักดันให้อุปสงค์ดูดซับได้ดีขึ้นอย่างน้อย 4% ด้านผู้ประกอบการคาดว่าจะเริ่มทะยอยเสนอขายโครงการใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 มากขึ้นหลังจาก รอดูสถานการณ์เมื่อปีที่ผ่านมา ยูนิตเสนอขายใหม่มีโอกาสเติบโตมากกว่า 50% เมื่อเทียบจากครึ่งปีหลัง 2554 โดยยังเน้นกลุ่มลูกค้าระดับล่างถึงกลางเป็นหลัก ห้องชุดราคาต่ำกว่า 70,000 บาทต่อตารางเมตร ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดอย่างน้อย 60% ของทั้งตลาด และอุปสงค์ยังตอบรับได้ดี ราคาขายเฉลี่ยรวม ต่อตารางเมตรในปี 2555 อาจขยับขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับตลาดแนวราบปีนี้ คาดว่า อุปทานยังทรงตัว เพราะผลกระทบจากอุทกภัย อย่างไรก็ตามผู้บริโภคที่มีความต้องการบ้านและทาวน์เฮาส์คาดว่ายังผลักดัน ให้เกิดอุปสงค์ในตลาดให้เติบโตได้อย่างน้อย 3-4% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐที่เข้ามาช่วยสนับสนุน กำลังซื้อของผู้บริโภคด้วย” นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กล่าว 

เมื่อวิเคราะห์ถึงภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมโดยรวมในปี 2555 พบว่า “กลุ่มราคาคอนโดมิเนียมที่ เติบโตได้ดียังเป็นกลุ่มราคาต่ำกว่า 70,000 บาทตอตารางเมตรหรือราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทเพราะเป็นราคา ที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มนี้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เพราะแต่ละโครงการ มีจำนวนยูนิตเสนอขายสูง ส่วนแบ่งการตลาดของยูนิตเสนอขายในแต่ละรอบการสำรวจไม่ต่ำกว่า 60% ของยอดเสนอขายทั้งหมด ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และเล็กต่างเพิ่มการลงทุนในโครงการระดับนี้มากขึ้น  ส่วนแบ่งการเสนอขายของผู้ประกอบการรายใหญ่และเล็กอยู่ที่ 55:45 และมีแนวโน้มที่อุปสงค์จะเติบโตได้ดีขึ้น เพราะต้องการลดความเสี่ยงในการซื้ออสังหาริมทรัพย์แนวราบที่อาจประสบภัยน้ำท่วมได้” นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กล่าวเสริม 

ปัจจัยที่น่าจับตาในปี 2555 อีกหนึ่งประการก็คือการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมผู้บริโภค “จากสถานการณ์แวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มแสวงหาความสะดวกรวดเร็ว มากขึ้นจึงทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมเติบโตขึ้นอย่างเฉียบพลันโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีและจำนวนโครงการเสนอขายใหม่เติบโตสูงขึ้นมาโดยตลอด เพราะความต้องการของผู้บริโภคมีมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ อุทกภัยที่ผ่านมาคาดว่าจะทำให้อุปสงค์ในตลาดคอนโดมิเนียมเติบโตได้ดีขึ้นด้วย ทำเลที่น่าสนใจและคาดว่า จะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่น่าจับตามองในอนาคตคือบริเวณ รัชดาภิเษก – พระราม 9  สุขุมวิทชั้นในคาดว่า จะเป็นศูนย์กลางธุรกิจสำคัญอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วย  ส่วนโครงการแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ คาดว่าจะถูกลดความสนใจลงไป แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ตลาดทรุดลง เพียงแต่อยู่ในสถานะ ชะลอตัวเพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยผู้ประกอบการเริ่มให้ความสำคัญกับผู้ซื้อผู้มีรายได้น้อยมากขึ้น ด้วยผลของ นโยบายจากภาครัฐในปีที่ผ่านมาเรื่องบ้าน BOI และด้วยปริมาณอุปสงค์ของคนกลุ่มนี้มีอยู่สูงจึงทำให้ตลาด อสังหาริมทรัพย์เริ่มเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น โดยกระจายกำลังการผลิตไปในทุกระดับราคา ซึ่งคาดว่าแนวโน้ม กลุ่มคอนโดมิเนียมราคาต่ำจะยังได้รับการตอบรับที่ดี บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ จะเริ่มลงทุนพัฒนาโครงการ ระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากขึ้นเพื่อดึงอุปสงค์จากตลาดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เมื่อผ่าน ช่วงเวลานี้ไปอุปสงค์และอุปทานจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ ซึ่งพฤติกรรมหลักของผู้บริโภคยังเน้นทำเลที่เดิม ที่เคยพักอาศัย ดังนั้นจึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อุปสงค์ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่มีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะนิยม ซื้อบ้านหลังที่สองมากขึ้น  เช่น การจับจองอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะ ชะอำ หัวหิน พัทยา เขาใหญ่ เป็นต้น   ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายรายเข้ามาเพิ่มอุปทานในตลาดมากขึ้นด้วย” นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ นำเสนอวิสัยทัศน์

“สินทรัพย์ที่น่าจับตามองในปี 2555 ยังเป็นตลาดคอนโดมิเนียมเพราะเหมาะกับการเป็นที่พักอาศัยและเพื่อ การลงทุน โดยเฉพาะสถานการณ์จากอุทกภัยมีส่วนทำให้ผู้บริโภคแสวงหาที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยล้วนเป็น ปัจจัยผลักดันให้เกิดอุปสงค์มากขึ้น การซื้อเพื่อลงทุนแม้จะลดลงไปในปีที่ผ่านมาบ้าง แต่คาดว่าจะกลับมา เติบโตอีกครั้งเนื่องจากทำเลที่ดีเริ่มหายากขึ้น โครงการที่เหมาะสมต่อการพักอาศัยจะเหลือน้อยลง ดังนั้น ตลาดคอนโดใหม่ที่อยู่ในทำเลที่ดีอาจได้รับอานิสงค์ให้ขายไวกว่ากำหนด และตลาดมือสองจะขายได้ดี ในราคาที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามการซื้อเพื่อการลงทุนคงไม่เติบโตสูงมากเท่ากับอดีตที่ผ่านมา เพราะผู้บริโภค จะเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นข้อมูลข่าวสารมีส่วนสำคัญต่อภาวะการตัดสินใจซื้อ นโยบาย ภาครัฐและภาวะเศรษฐกิจจะทำให้ผู้บริโภคกลั่นกรองต่อการลงทุนมากขึ้น ดังนั้นในปีนี้คอนโดมิเนียมเป็น ตลาดในกระแสที่น่าจับตามองมากที่สุด” นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ คาดการณ์

 ด้านการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่เกิดขึ้นใหม่และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น มีส่วนทำให้เกิด การพัฒนาโครงการตามแนวก่อสร้างมากยิ่งขึ้น “การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนมีส่วนสำคัญทำให้เกิด การพัฒนาโครงการใหม่ในย่านชานเมือง เช่น นนทบุรี บางซื่อ สุขุมวิทรอบนอก ธนบุรี ฯลฯ มากขึ้น แต่สัดส่วนการพัฒนาโครงการที่ใกล้บริเวณ BTS MRT ในระยะไม่เกิน 550 เมตร มีเพียง 20% จากยอดรวม การเสนอขายทั้งหมดในพื้นที่นั้นๆ และมีสัดส่วนการเติบโตของยูนิตเสนอขายในพื้นที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า ส่วนต่อขยายโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่า 40% จากครึ่งปีแรก 2554 ซึ่งการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม มีส่วนสำคัญให้เกิดกระแสความสนใจของผู้บริโภค  และมีส่วนทำให้อุปทานเติบโตเข้ามารองรับกำลังซื้อของ ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางในพื้นที่นั้นๆ เพราะอุปสงค์ต้องการที่พักใกล้ที่ทำงาน ใกล้ที่พักอาศัยเดิม และอุปสงค์ย้ายถิ่น แต่จะสร้างให้เกิดความสัมพันธ์เชิงลบต่อสินทรัพย์ในเมือง เช่น คอนโดมิเนียมในเมือง คงไม่อาจกล่าวได้ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ต่างกันชัดเจน อย่างน้อยราคาขายต่างกันไม่ต่ำกว่า 40% อีกทั้งกลุ่มผู้ซื้อยังมีพฤติกรรมที่ต่างกัน กล่าวคือ ย่านชานเมืองผู้ซื้อมักเป็นกลุ่มคนที่ทำงาน หรือคนที่ ต้องการที่พักอาศัยแท้จริง ต่างจากกลุ่มผู้ซื้อสินทรัพย์ในเมืองที่เน้นเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนเป็นหลัก ดังนั้นการเกิดโครงการใหม่ในพื้นที่ย่านชานเมือง ไม่มีผลกระทบกับอุปสงค์ในเมืองแต่อย่างใด และไม่ใช่ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การซื้อเพื่อการลงทุนลดลงด้วย” นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กล่าวสรุป

]]>
55179
พลัส เผยกลุ่ม Gen Y มีความต้องการซื้อคอนโดราคาไม่เกิน 2 ล้านสูงสุด https://positioningmag.com/54642 Mon, 05 Sep 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54642

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยผลวิจัยความต้องการที่อยู่อาศัยในอนาคตของ Generation Y ในกรุงเทพฯ พบทำเลกรุงเทพฯ ชั้นในและกรุงเทพฯ ตะวันตกได้รับความนิยมสูงสุด เพราะชื่นชอบทำเลและความสะดวกสบายในการคมนาคม ชี้อายุ ทำเลและประเภทของที่อยู่อาศัยปัจจุบันมีผลอย่างมากต่อการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต พร้อมเชื่อความต้องการที่อยู่อาศัยไม่เกิน 2 ล้านในเขตที่ใกล้แหล่งธุรกิจและชุมชนจะเป็น real demand ในตลาดได้ในอนาคตอันใกล้

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า จากการวิจัยกลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 19 – 30 ปี ที่ถือเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Generation Y) จำนวน 400 คน ที่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ หรือปริมณฑล เพื่อศึกษาพฤติกรรมการอยู่อาศัยและความต้องการที่อยู่อาศัยในอนาคตของคนรุ่นใหม่ พบว่า ทำเลที่กลุ่ม Gen Y สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต ได้แก่ กรุงเทพฯ ชั้นใน ร้อยละ 23.5, กรุงเทพฯ ตะวันตก ร้อยละ 23.5 และกรุงเทพฯ ตอนบน ร้อยละ 21.3 ซึ่งเหตุผลในการตัดสินซื้อ คือ ทำเลน่าสนใจและมีความชื่นชอบศักยภาพของทำเลนั้นๆ ส่วนการคมนาคมสะดวกเป็นปัจจัยรองลงมา นอกจากนั้น ทำเลที่ใกล้แหล่งธุรกิจและใกล้ที่ทำงาน รวมทั้งใกล้ที่พักอาศัยเดิมของครอบครัวก็ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเช่นกัน

“อายุยังเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มตัวอย่างแตกต่างกัน เพราะกลุ่มคนอายุน้อยกว่า (อายุระหว่าง 19 – 26 ปี) จะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมมากกว่าคนอายุระหว่าง 27 – 30 ปี เพราะคนที่อายุน้อยหรือเพิ่งเริ่มต้นทำงานต้องการความสะดวก รวดเร็วและมีความคล่องตัวในการใช้ชีวิตสูง ส่วนทำเลที่อยู่ปัจจุบันก็เป็นอีกปัจจัยที่กลุ่มตัวอย่างคำนึงเวลาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเช่นกัน เพราะคนที่เคยชินกับการอยู่อาศัยในเมืองหรือกรุงเทพฯ ชั้นในจะมีการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียมสูงกว่าคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อื่นๆ ของกรุงเทพฯ ซึ่งเหตุผลประการหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความเคยชินกับสภาพแวดล้อม ตลอดจนความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตและคมนาคมที่ได้รับในปัจจุบัน นอกจากนั้น คนที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมหรือหอพัก อพาร์ตเมนต์ ยังมีแนวโน้มที่จะซื้อคอนโดมิเนียมในอนาคตมากกว่าคนที่อยู่บ้านหรือทาวน์เฮาส์อีกด้วย”

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า ในอนาคตคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโดยเฉพาะกับ Generation Y ที่มีอายุน้อย (19-26 ปี) แม้ว่าจะมีการกลัวว่าจะเป็น demand แฝงในตลาดคอนโดฯ ระดับนี้ เนื่องจากท้ายที่สุดคนกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับการซื้อบ้านเดี่ยวหรือบ้านแฝดซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม จากความต้องการซื้อมีสัญญาณบางอย่างสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการคอนโดของคนในกลุ่ม Generation Y มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้น จากในอดีตบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์เป็นความต้องการสูงสุด แต่ปัจจุบันปรับมาเป็นบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ คาดว่าเป็นผลจากระยะไม่กี่ปีมานี้ที่ supply คอนโดฯ มีจำนวนมากขึ้น คนทุนน้อยหรือมีความต้องการความคล่องตัวจะหันมาพักอาศัยในคอนโดฯ เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ วัฒนธรรมเหล่านี้อาจแทรกซึมจนเกิดเป็น real demand ใหม่ ในระบบตลาดได้ในที่สุด

“จากผลการวิจัย ทำให้เราได้มองเห็นว่า ปัจจุบันแม้คอนโดมิเนียมยังไปได้ดีกับคน Generation Y ที่พักอาศัยในโซนกรุงเทพฯ ชั้นใน เช่น สาทร พญาไท สุขุมวิท ฯลฯ และอาจจะเป็นที่ต้องการน้อยในโซนกรุงเทพฯ ตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตก แต่อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ที่มีย่านธุรกิจ แหล่งงานหรือแหล่งชุมชนหนาแน่น เช่น บริเวณใกล้ศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะ รามคำแหง รามอินทรา หรือปิ่นเกล้า ก็ยังเป็นพื้นที่ที่คอนโดมิเนียมได้รับความสนใจจากคนกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน เนื่องจากต้องการตอบสนองไลฟ์ไตล์การใช้ชีวิตที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทางไปยังสถานที่ทำงาน ดังนั้น หากมีโครงการคอนโดมิเนียมที่ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทขึ้นในบริเวณดังกล่าวก็น่าจะได้รับการตอบรับจากกลุ่ม Gen Y เป็นอย่างดี แต่ก็ต้องเป็นโครงการที่มีคุณภาพด้านงานก่อสร้าง การบริการหลังการขายและระบบรักษาความปลอดภัย” นายอนุกูล กล่าวสรุป

]]>
54642
แอดเดอร่า คอนโดมิเนียม แจ้งวัฒนะ วางใจ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารการตลาดและการขายแบบครบวงจร https://positioningmag.com/54561 Wed, 10 Aug 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54561

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ (ที่ 2 จากซ้าย) พร้อมด้วย นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ (ซ้าย) สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ร่วมมอบดอกไม้แสดงความยินดีแก่ นางอัชนีย์ โรจนมงคล ประธานกรรมการ บริษัท สมุยทาวเออร์ จำกัด เนื่องในโอกาสฉลองเปิดตัว โครงการ แอดเดอร่า คอนโดมิเนียม แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการ 333 ล้านบาท รวม 176 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท หนึ่งในโครงการล่าสุดที่ไว้วางใจให้ทีมงาน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วางกลยุทธ์ด้านบริหารการตลาดและการขายอย่างครบวงจร เมื่อเร็วๆ นี้ ณ บริเวณสำนักงานขายโครงการ แจ้งวัฒนะ 23 เยื้องเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ

]]>
54561
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชูบริการผู้ช่วยส่วนตัวสมบูรณ์แบบ รุกตลาดหัวหิน https://positioningmag.com/54458 Fri, 20 May 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54458

นางสาวพรรณวดี โพธิหน่อทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(ขวา) นำทีมพนักงานมืออาชีพเดินหน้าให้บริการผู้ช่วยส่วนตัวที่พร้อมจัดการธุระแทนลูกค้าและบริหารจัดการที่พักต่างอากาศแบบครบวงจร ภายใต้ชื่อ “พลัส คอนเซียจ (Plus Concierge)” และ “วิลล่า แมเนจเม้นต์ (Villa Management)” ในเขตพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมตอกย้ำความเชื่อมั่นของลูกค้าในการเป็นผู้นำด้านบริการอสังหาริมทรัพย์ของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ในหัวหิน ด้วยคุณภาพการบริการมาตรฐานเดียวกับโรงแรมชั้นนำและความใส่ใจในการให้บริการแบบไทย ทั้งนี้ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ คาดว่ากระแสตอบรับในการใช้บริการจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีนี้

]]>
54458
พลัส เอเจนซี่ รุกตลาด“ดิจิตอล มาร์เก็ตติ้ง” ปรับโฉม www.plus.co.th https://positioningmag.com/54277 Mon, 18 Apr 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54277

พลัส เอเจนซี่ โชว์วิสัยทัศน์ผู้นำธุรกิจโบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์เมืองไทย รุกการตลาดแบบดิจิตอล มาร์เก็ตติ้ง นำร่องปรับโฉม www.plus.co.th รองรับทุกความต้องการซื้อ-ขาย-เช่าได้เพียงปลายนิ้วในโลกอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยผ่านเว็บไซต์ถึง 3 ภาษา ไทย-อังกฤษ-ญี่ปุ่น พร้อมดัน Plus on Mobile ตอบสนองการใช้งานผ่าน Smart Phone เพื่อให้สามารถใช้งานได้ทุกเวลา เพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายสูงสุด คาดปี 54 สามารถเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บประมาณ 50%

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้นำธุรกิจตัวแทนซื้อ-ขาย-เช่าอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทยเปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติมีพฤติกรรมการหาข้อมูลผ่านเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากสถิติผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยที่ NECTEC ได้สำรวจไว้ในปี 2552 พบว่ามีจำนวน 20 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็น 25 ล้านคนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา รวมทั้งจากผลการสำรวจดังกล่าวทำให้ พลัส เอเจนซี่ พัฒนากลยุทธ์ด้าน Digital – Marketing โดยการปรับโฉม www.plus.co.th สู่การเป็นเว็บไซต์ 3 ภาษา ประกอบด้วย ไทย-อังกฤษ-ญี่ปุ่น พร้อมเพิ่มช่องทางการใช้งานในรูปแบบ Plus on Mobile เพื่อความสะดวกในการค้นหาบ้านและคอนโดฯ ผ่านช่องทางโทรศัพท์มือถือ Smart Phone โดยพร้อมเปิดให้บริการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถขยายโอกาสในการสร้างแบรนด์และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านเครื่องมือดังกล่าวได้อย่างมีศักยภาพมากขึ้น

“ปัจจุบันสถิติการหาข้อมูลเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตมีเพิ่มขึ้นกว่าในอดีต โดยเฉลี่ยปีละประมาณ 20% ในปีนี้ พลัส เอเจนซี่จะรุกพัฒนาด้านเว็บไซต์ใหม่และเว็บไซต์ที่เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะลูกค้าญี่ปุ่นที่มีอัตราการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี โดยปัจจุบัน พลัส เอเจนซี่ มีลูกค้าชาวญี่ปุ่นซึ่งใช้บริการเช่าที่พักอาศัยในประเทศไทยอยู่ประมาณ 40% จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติทั้งหมดที่มี สำหรับเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นได้อย่างสูงสุด คาดว่าจะเปิดตัวได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งเมื่อรวมกับการเพิ่มบริการค้นหาบ้านและคอนโดฯ ผ่านช่องทาง Plus on Mobile ที่สามารถเปิดใช้บริการได้แล้วในขณะนี้ คาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าที่เข้ามาค้นหาบ้านและคอนโดฯ ผ่าน www.plus.co.th เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 50%” นายอนุกูล กล่าว

ทั้งนี้ www.plus.co.th ได้ปรับปรุงรูปแบบและเนื้อหาภายใน เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายในปัจจุบัน โดยภายใน ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับบริการของ พลัส เอเจนซี่ อาทิ ขอบข่ายการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร, ข้อมูล Stock ของอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทพร้อมรายละเอียดที่จำเป็นเบื้องต้นเพื่อประกอบการตัดสินใจรวมถึงการพัฒนารูปแบบให้มีระบบ Search Engine ที่ง่ายต่อการใช้งานยิ่งขึ้น รวมทั้งการใช้บริการแบบเชื่อมต่อ Google Map เพื่อการค้นหาทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัย ที่ง่ายขึ้นเพียงปลายนิ้วสัมผัสและระบบสถานี BTS และ MRT ที่ใกล้เคียง เพื่อความสะดวกในการเดินทางอีกด้วย

นอกจากนี้ www.plus.co.th ยังพัฒนาเป็นศูนย์กลางสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อ-ขาย-เช่า อสังหาริมทรัพย์ที่สามารถใช้เป็นเป็นแหล่งรวมการซื้อ ขาย ปล่อยเช่า หรือหาข้อมูลที่เกี่ยวกับการบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงตัวเลขต่างๆ เกี่ยวกับสถิติการซื้อขายที่ดินรวมถึงส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญในการนำเสนอข้อมูลภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเจาะลึก เพื่อไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวในวงการอสังหาริมทรัพย์แก่ลูกค้าที่กำลังมองหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้ออีกด้วย

]]>
54277
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยปี 53 รายได้บริหารทรัพยากรอาคารเติบโต 10% https://positioningmag.com/53940 Mon, 31 Jan 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=53940

พลัส ผู้นำด้านธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคารของไทย เผยปี 53 กวาดรายได้รวมประมาณ 100 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวม 360 ล้านบาทในส่วนอาคารที่รับบริหารโดยบริษัท ที่ปรึกษาซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาคารเพื่อการพาณิชย์ หลังพิสูจน์ให้ตลาดเห็นศักยภาพ ด้วยบทบาท ‘ตัวจริงในสนาม’ มากว่า 15 ปี มั่นใจปี 54 ธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคารยังคึกคักหลังสำรวจพบ อาคารในเขต กทม. ประมาณ 70% ยังบริหารอาคารเอง พร้อมเตรียมทีมนำเสนอบริการคุณภาพ คาดปี 54 สามารถสร้างรายได้เพิ่มกว่า 10% ดังเช่นปีที่ผ่านมา

นายชาญ ศิริรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและฝ่ายวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2553 ที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคาร โดยมีรายได้รวมประมาณ 100 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 10% ส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น กว่า 40% จากการใช้กลยุทธ์ธุรกิจรุกตลาดบริหารทรัพยากรอาคารอย่างจริงจังรวมถึงความสำเร็จ จากประสบการณ์ที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 15 ปี

“พลัส นับเป็นบริษัทด้านบริหารทรัพยากรอาคารรายแรกของไทย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 Version 2008 ตลอดจนความพร้อมของบุคลากร ที่เราได้พัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ อาทิ สถาบันปัญญาภิวัตน์ รวมทั้งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อจัดฝึกอบรมและปฏิบัติการต่างๆ ในการเตรียมพร้อมบุคลากรรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต อาทิ งานสัมมนา ในหัวข้อ “Facility Crisis Management” (กลยุทธ์บริหารอาคารฝ่าพายุวิกฤติ) ในปีที่ผ่านมา ซึ่งได้เชิญบุคลากรอันเป็นที่ยอมรับในแวดวงธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคาร มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และ แนวทางการทำงาน เพื่อพัฒนาเชิงความรู้ นอกจากนี้ การไม่หยุดยั้งทางความคิด ที่จะสร้างมาตรฐานการให้บริการ ก็เป็นหัวใจหลัก ที่ส่งผลให้ พลัส ก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน” นายชาญกล่าว

นอกจากนี้ พลัสยังสร้างบรรทัดฐานการควบคุมคุณภาพงานบริการ ผ่าน Service Quality Guideline หรือคู่มือการควบคุมงานบริการภายในอาคาร ที่รวบรวมทั้งคู่มืองานทำความสะอาด งานรักษาความปลอดภัย งานดูแลสวนและภูมิทัศน์ เป็นต้น เพื่อให้งานบริการภายในอาคารมีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับตรงกัน ทั้งยังได้สร้างสรรค์ ทีม Quality Control เพื่อเพิ่มศักยภาพการออกแบบบริการใหม่ได้อย่างรวดเร็วและตรงตาม ความต้องการของตลาด โดยนำระบบ BOS (Building Operation System) ที่คงมาตรฐานเรื่องความครบถ้วนของฐานข้อมูลอาคาร มาช่วยประมวลผลและพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานในแต่ละจุดเพื่อป้องกัน การผิดพลาดในการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นการคิดค้นและพัฒนากระบวนการอย่างมืออาชีพจนเป็นที่ยอมรับ ของตลาด ณ ปัจจุบัน

นอกเหนือจากความพร้อมด้านบุคลากรและเทคโนโลยีรวมถึงเพื่อเป็นการเพิ่มระดับความพึงพอใจของลูกค้าและสร้างโอกาสในการขยายตลาดผ่านการบอกต่อหรือแนะนำจากลูกค้าเก่า (Word of mouth) พลัส ยังได้สร้างสรรค์ทีม CRM และพัฒนาระบบ Call Center อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างบริษัทกับลูกค้า ในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที และดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยจะคอยสอบถามถึงความพึงพอใจของลูกค้า และมีการออกแบบการประเมินผลความพึงพอใจในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาหรือต้นเหตุของปัญหา และแก้ไขปัญหาได้ฉับไวและตรงจุด
สำหรับทิศทางตลอดจนแนวโน้มตลาดบริหารทรัพยากรอาคารในปี 2554 นั้น นายชาญ กล่าวเสริมว่า ภาพรวมทิศทางเศรษฐกิจ จากคาดการณ์ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เกี่ยวกับการขยายตัวของจีดีพีที่ 4.5% ในปีนี้ ซึ่งหากเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีดังกล่าว ก็จะส่งผลให้เกิดความต้องการใช้พื้นที่สำนักงานจากบริษัทเกิดใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเป็นเงาตามตัว ทั้งนี้ ปัจจุบันอาคารสำนักงานส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ยของอาคารมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ซึ่งอยู่ในภาวะที่ต้องการการดูแลและปรับปรุง เพื่อคงอัตราค่าเช่าในระดับสร้างกำไรที่คุ้มค่าภายใต้บรรยากาศการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นทุกปี ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าใช้จ่าย ที่สำคัญในอาคาร เช่น ค่าไฟฟ้าและอาคารที่มีสภาพใหม่ จะส่งผลให้เกิดความต้องการใช้บริการ บริหารทรัพยากรอาคาร โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญเพิ่มมากขึ้น เพื่อคงศักยภาพอาคารและเตรียมพร้อมในการแข่งขัน รองรับความต้องการของตลาดอาคารสำนักงานอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

“ปี 2554 นี้ พลัส ยังคงมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการเป็น บริษัทผู้ให้บริการด้านธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคารคุณภาพในมาตรฐานระดับสากล ที่เน้นการทำงานเชิงรุก ภายใต้ศักยภาพของทีมงานมืออาชีพกว่า 300 คน ครอบคลุมทั้งด้านงานบริหารอาคารและงานบริหารงานวิศวกรรมอาคาร ซึ่งเราเชื่อว่าจะสามารถเจาะเข้าสู่ตลาด Blue Ocean หรือ ตลาดอาคารสำนักงานที่บริหารจัดการเอง (In-sourcing) และอาคารเพื่อการศึกษา ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 70% ของจำนวนอาคารทั้งหมด รวมมูลค่าประมาณ 840 ล้านบาทได้ในไม่ช้า ส่งผลให้ประมาณการรายได้ของบริษัทในปี 54 จะมีอัตราเติบโตประมาณ 10% นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นสานต่อการพัฒนาบุคลากรมืออาชีพด้านธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคาร โดยยังคงร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายความรู้ความเข้าใจที่มีต่องานบริหารอาคารให้มากขึ้นเพื่อผลักดันให้สังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารทรัพยากรอาคารที่ได้มาตรฐานอันจะส่งผลถึงความปลอดภัย รวมถึงการใช้ทรัพยากรพลังงานที่คุ้มค่าต่อไป” นายชาญ กล่าวสรุป

]]>
53940