พิชัย  จิราธิวัฒน์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 26 Jul 2025 00:32:18 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “กลุ่มเซ็นทรัล” ผนึกพันธมิตร เอาจริงเรื่องขยะ! สร้างระบบ Zero Waste ครบวงจร ลด-แยก-จัดการขยะ https://positioningmag.com/1531332 Fri, 25 Jul 2025 05:32:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531332 กลุ่มเซ็นทรัล ในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกและบริการของไทย เดินหน้าสานต่อพันธกิจด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน คู่ค้า ลูกค้า และประชาชนทั่วไป ภายใต้แคมเปญ “Love the Earth : Zero Waste รักโลกต้องเริ่มเลย” โดยมุ่งพัฒนา “โมเดล Zero Waste แบบครบวงจร” ที่เชื่อมโยงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่มีประสิทธิภาพในการ ลด-แยก-จัดการขยะ และส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า พร้อมประกาศความเป็นผู้นำองค์กรค้าปลีกที่มีระบบจัดการขยะครบวงจร ผลักดันภาคธุรกิจเข้าสู่แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน และยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

โดย “โมเดล Zero Waste แบบครบวงจร” เริ่มต้นนำร่องที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นแห่งแรก โดยมุ่งเน้นการลดตั้งแต่ต้นทาง การสร้างศูนย์คัดแยกขยะระดับมาตรฐานสากล และร่วมมือกับหน่วยงานที่รับจัดการขยะ    เพื่อนำขยะไปจัดการอย่างถูกวิธีเพื่อลดการสร้างขยะสู่หลุมฝังกลบ

ในเฟสแรกนี้ มีร้านค้าภายในศูนย์เข้าร่วมแล้วมากกว่า 200 ร้านค้า ครอบคลุมหลากหลายหมวดหมู่ อาทิ แฟชั่น อาหาร และเครื่องดื่ม ที่ให้ความร่วมมือ โดยกลุ่มเซ็นทรัลจะมีการมอบ ตราสัญลักษณ์ “Love the Earth: Zero Waste” เพื่อเชิดชูร้านค้าที่ร่วมปฏิบัติตามแนวทางของโครงการอย่างจริงจัง  และในเฟสถัดไป กลุ่มเซ็นทรัลจะขยายผลโครงการสู่ศูนย์การค้าทั่วประเทศ

โดยในปี 2024 กลุ่มเซ็นทรัล สามารถลดการสร้างขยะสู่หลุ่มฝังกลบได้ถึง 43,600 ตัน และยังให้ความรู้และขยายโมเดลส่งเสริมการคัดแยกขยะไปสู่ 190 ชุมชนที่อยู่ภายใต้โครงการ “เซ็นทรัล ทำ” พร้อมตั้งเป้าหมายสำคัญในการลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบให้เหลือ 30% ภายในปี 2573 และเดินหน้าสู่การเป็นองค์กร Net Zero ในปี 2593 เพราะความยั่งยืนไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือภารกิจร่วมกันของทุกคนในสังคม กลุ่มเซ็นทรัลจึงขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น เพื่อร่วมสร้างระบบ Ecosystem ที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม

พิชัย  จิราธิวัฒน์  กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า “กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่คู่ค้า ลูกค้า และประชาชนทั่วไป การแยกขยะอย่างถูกวิธีถือเป็นส่วนสำคัญของการเดินทางไปสู่เป้าหมาย Zero Waste to Landfill ที่ได้วางไว้ หากทุกคนเห็นคุณค่าของการจัดการขยะอย่างถูกต้องและเข้ามามีส่วนร่วมในแคมเปญ “Love The Earth: Zero Waste” รักโลกต้องเริ่มเลย จะเป็นการสร้างกระแสการเปลี่ยนแปลงที่แผ่ขยายไปสู่ครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม “ในฐานะโมเดลต้นแบบ เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับร้านค้าทุกร้านในศูนย์การค้า อาทิ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ รีเทล จำกัด, บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด และพันธมิตรอื่น ๆ ที่ไม่เพียงยกระดับวิธีการทำงาน แต่ยังช่วยสร้างความตระหนักให้กับลูกค้า การที่ทุกคนมีจิตสำนึกร่วมกันลงมือทำนี้จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จ”

เป้าหมาย “Zero Waste” คือการเปลี่ยนแปลง ลงมือทำในทุกส่วน แนวคิดในการลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุด สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่าน 3 ขั้นตอน ลด แยก จัดการ ได้แก่

1. ‘ลด’ ตั้งแต่เลือก – ปฏิเสธการรับสิ่งของที่ไม่จำเป็น หรือก่อให้เกิดขยะและหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ลดการใช้วัสดุที่ไม่จำเป็น อาทิเช่น

  • โครงการ Say No To Plastic Bags ตั้งแต่ปี 2561 กลุ่มเซ็นทรัล ประกาศ “ปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติก”    Say No to Plastic Bag โดยทุกกลุ่มธุรกิจในเครือของบริษัทฯ ได้เข้าร่วมในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ซึ่งเป็นการช่วยลดการเกิดขยะ รวมทั้งเชิญชวนลูกค้าปฏิเสธถุงพลาสติก รวมถึงต่อยอดด้วยกิจกรรม Bring Your Own Bag เพื่อส่งเสริมการใช้ซ้ำ หันมาใช้ถุงผ้า เพื่อลดขยะ สร้างพฤติกรรมรักษ์โลกอย่างยั่งยืน ที่ได้มีการรณรงค์ในห้างทั่วประเทศ โดยในปี 2567 โครงการนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม มีสมาชิกเข้าร่วมกว่า 3 ล้านราย คิดเป็น 12 ล้านครั้งของการปฏิเสธถุง พร้อมมอบคะแนน The 1 รวมกว่า 130 ล้านคะแนน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของกลุ่มเซ็นทรัลในการส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้า
  • CRG Say No to Plastic – รักษ์โลก เลิกพลาสติก เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกในธุรกิจอาหาร บริษัทได้เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% ไม่มีสารตกค้าง และสามารถกำจัดได้โดยการฝังกลบภายในระยะเวลา 180 วัน ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกลงรวมทั้งสิ้น 16.5 ล้านชิ้น
  • โครงการจัดการอาหารส่วนเกิน (Surplus Food) บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด, โก โฮลเซลล์, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน), และบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด ได้ร่วมมือกับภาคี ได้แก่ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS)  และมูลนิธิ วีวี แชร์ (VV Share Foundation) จัดทำโครงการมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 กว่า 200 สาขา เพื่อลดการเกิดขยะอาหาร ด้วยส่งมอบอาหารส่วนเกินที่มีคุณภาพให้แก่ชุมชนขาดแคลนและกลุ่มเปราะบาง กว่า 807 ชุมชน ลดปริมาณขยะอาหารไปสู่หลุมฝังกลบน้ำหนักรวมกว่า 568 ตัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1,438 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • ไทวัสดุ ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ในการขนส่ง ศูนย์กระจายสินค้า ไทวัสดุ ของกลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์ ร่วมมือกับ บริษัท ไอสเทรด พัฒนาตาข่ายสำหรับคลุมสินค้า และ Extra Roll Cage เพื่อลดการใช้ฟิล์มห่อหุ้มพลาสติก และลดการใช้พาเลท โดยสามารถลดปริมาณการใช้ฟิล์มหุ้มได้ถึง 10.54 ตัน รวมทั้งลดพื้นที่ในการขนส่งได้จากเดิม 2 เท่า ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้ถึง 20.4 ล้านบาทต่อปี

2. ‘แยก’ ขยะที่ต้นทาง – คัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงการเปื้อนของขยะที่ยังสามารถนำกลับไปใช้ประโยชน์ได้ ทำให้ปริมาณขยะที่ต้องส่งไปกำจัดน้อยลง อาทิ

  • โครงการขวดเปล่าไม่สูญเปล่า ผ่านตู้ Better Bottle เป็นโครงการที่ตระหนักถึงปัญหาของขยะ โดยโครงการนี้ตั้งใจที่จะปลูกจิตสำนึกในการบริจาคขวดน้ำพลาสติก PET เพื่อนำขวดพลาสติกจากโครงการนี้ไปรีไซเคิล เพิ่มมูลค่าจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ ชุด PPE สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ผ้าห่ม และเสื้อกันหนาว ส่งต่อให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวพื้นที่ทุรกันดารอีกด้วย

  • ปลา P.O.P. ‘Plastic Only Please!’ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับการจัดการขยะพลาสติก โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราทั้ง 28 แห่ง ได้จัดสร้างรูปปั้นปลา P.O.P. เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้มีการแยกขยะพลาสติก โดยในปี 2567 มีขยะพลาสติกรวม 743.62 กิโลกรัม นำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลช่วยลดปริมาณขยะที่ส่งไปหลุมฝังกลบ
  • กิจกรรม ทิ้งดี โร้ดโชว์ กับ Recycle Day  เปลี่ยนขยะไร้ค่าให้มีมูลค่า โดยร่วมกับบริษัท Recycle Day ในการรณรงค์ และสร้างพฤติกรรมการคัดแยกขยะจากบ้าน และมาส่งมอบเพื่อแลกรับคะแนนและของรางวัล เน้นกลุ่มเป้าหมาย คือกลุ่มพนักงานจากผู้เช่าอาคารสำนักงาน ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ออฟฟิศเซส ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมีบริษัทฯ ในอาคารสำนักงาน ให้ความสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก พบว่ามีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 836 รายเพิ่มขึ้นจากปี 2566 35% รับขยะรีไซเคิลทั้งสิ้น 7,633.98 กิโลกรัม เทียบเท่าการลดก๊าซเรือนกระจก 27,055.33 กิโลกรัมคาร์บอนเทียบเท่า หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้  2,842 ต้น  และเพื่อตอบสนองมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม 6 Actions for ONE Planet จึงได้จัดแคมเปญ One Recycling Drop a Month โดยส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้พนักงานและบริษัทผู้เช่าได้มีส่วนร่วมในการแยกขยะรีไซเคิล เดือนละ 1 ครั้ง ทุกพุธ-พฤหัสบดี สุดท้ายของเดือน ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับคะแนน The 1 Point ผ่าน Application Central X ซึ่งในปี 2567 มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 2,245 คน คัดแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี จำนวน 49.689 ตัน ปี 2658 ถึงเดือนพฤษภาคม มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 2,820 คน คัดแยกขยะเพื่อนำไป  รีไซเคิลอย่างถูกวิธี จำนวน 39.94 ตัน

3. ‘จัดการ’ อย่างถูกวิธี – โดยมีการรวบรวมขยะที่แบ่งตามประเภทโดยใช้สัญลักษณ์ เช่น สีถุง เชือก ริบบิ้น เป็นต้น ในห้องพักขยะ เพื่อให้หน่วยงานที่เชี่ยวชาญรับไปกำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • การปรับปรุงห้องพักขยะ เพื่อให้การคัดแยกและรวบรวมขยะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย และเหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นขยะจากลูกค้า พนักงานออฟฟิศ ผู้ประกอบการร้านค้า หรือร้านอาหาร โดยมีการจัดการอย่างเคร่งครัดตามประเภทของขยะ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ได้ยกระดับห้องพักขยะให้เป็น ศูนย์การเรียนรู้ด้านการจัดการขยะ เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแก่ผู้เกี่ยว ข้อง

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ติดตั้ง Recycle Station ณ ชั้น B1 ซึ่งเป็นจุดรับขยะแยกประเภทแบบไดรฟ์ทรูที่มีระบบการจัดการอย่างถูกวิธี ด้วยความร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตร เพื่อให้ขยะทุกชิ้นถูกส่งต่อสู่ปลายทางที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสิ่งแวดล้อม  สนับสนุนให้ประชาชนคัดแยกขยะ นำมาส่งมอบ ณ จุดรับ        โดยเริ่มต้นกับสตาร์ทอัพ บริษัท Recycle Day สร้างแรงจูงใจให้เกิดการคัดแยกขยะให้ถูกประเภท สะสมคะแนนแลกของรางวัล เปิดรับขยะที่คัดแยกแล้วทั้งจากลูกค้าที่คัดแยกขยะจากที่บ้าน และขยะที่แยกจากร้านค้าในพื้นที่ เริ่มเปิดดำเนินการสาขาแรกปี 2564 จนถึงปัจจุบันได้จัดตั้งแล้ว 10 สาขาได้แก่ : เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ เซ็นทรัล  ศรีราชา เซ็นทรัล อยุธยา เซ็นทรัล ระยอง เซ็นทรัล ลาดพร้าว เซ็นทรัล เวสต์วิลล์ เซ็นทรัล นครสวรรค์ เซ็นทรัล สมุย เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล เชียงใหม่ โดยปี 2567 คัดแยกขยะรีไซเคิลทั้งหมด 801.31 ตัน คิดเป็นการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 3,471 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าหรือการปลูกต้นไม้ 365,368 ต้น มีสมาชิก 3,550 คน
  • นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมขยะกำพร้าสัญจร ตั้งจุดรับขยะกำพร้า หรือขยะเชื้อเพลิง (RDF) โดยเป็นพาร์ทเนอร์กับ N15 Technology ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงขยะ RDF โดย N15 Technology ผลิตเชื้อเพลิงขยะ RDF จากขยะชุมชนและขยะอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นอันตราย นำมาผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จนได้เป็นเชื้อเพลิงขยะ RDF ที่มีคุณภาพ โดยมีขนาด ค่าความชื้น ค่าความร้อน และคุณสมบัติอื่นๆ ที่พร้อมใช้งาน เพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าหลักของเราคือ กลุ่มโรงปูนซีเมนต์และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ จัดตั้งจุดรับขยะกำพร้าสัญจร ไตรมาสละครั้ง ปี 2567 รับขยะทั้งสิ้น 11,850 กิโลกรัม มีรถเข้าร่วมกิจกรรม 806 คัน ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา จัดโครงการ “ขยะซาเล้งเมินส่งขยะกำพร้ากลับบ้าน”    รับขยะกำพร้า (RDF) รวม 5,490 กิโลกรัม

  • ผลิตก๊าซชีวภาพจากขยะอินทรีย์ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ได้นำขยะอินทรีย์ประเภทเศษอาหารมาเลี้ยงเชื้อในเครื่องย่อยขยะอาหาร ที่สามารถเปลี่ยนขยะเศษอาหารให้เป็นก๊าซชีวภาพ โดยการนำพลังงานที่ได้ไปใช้ในห้องครัวของห้องอาหารพนักงาน โดยปัจจุบันมีการติดตั้ง 3 โรงแรม คือ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ มารีส รีสอร์ทจอมเทียน พัทยา โรงแรมเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย และโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์บีชรีสอร์ท ภูเก็ต สามารถผลิตก๊าซชีวภาพรวม 7,820.87 กิโลวัตต์ชั่วโมง และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 3,024 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนี้ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทและวิลล่า หัวหิน ได้มีการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลที่ผลิตจากเศษไม้ เพื่อนำมาใช้กับเตาอบพิซซ่า
]]>
1531332
‘เซ็นทรัล ทำ’ สานต่อภารกิจความยั่งยืน สร้างการเปลี่ยนแปลงจาก ‘พลังร่วมมือทำ’ https://positioningmag.com/1516001 Tue, 25 Mar 2025 10:45:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1516001 เพราะความยั่งยืน เป็นหนึ่งนโยบายที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ บวกกับความเชื่อมั่นที่ว่า ‘การเติบโตของธุรกิจ ต้องเดินไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล’ ทำให้ ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ได้ขับเคลื่อนนโยบายนี้ผ่านโครงการ ‘เซ็นทรัล ทำ’ ภายใต้แนวคิด ‘เซ็นทรัล ทำ ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ’ ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 8 ปี

 

โครงการดังกล่าว เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกัน (Creating Shared Values : CSVs) ให้ธุรกิจและสังคมเติบโตไปพร้อม ๆ กันอย่าง ‘ยั่งยืน’ ตาม 6 แนวทาง ประกอบด้วย

 

แนวทางที่ 1 Community – พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

แนวทางที่ 2 Inclusion – การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม

แนวทางที่ 3 Talent – พัฒนาศักยภาพที่เป็นเลิศของบุคลากร

แนวทางที่ 4 Circularity – ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

แนวทางที่ 5 Climate – การฟื้นฟูสภาพอากาศ

แนวทางที่ 6 Nature – การอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

 

ปัจจุบันเซ็นทรัล ทำ ได้ดำเนินงานใน 44 จังหวัด โดยปี 2567 ได้สร้างงานและสนับสนุนอาชีพให้แก่คนพิการกว่า 1,100 คน, สร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 1,700 ล้านบาท, ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในชุมชนมากกว่า 150,000 ราย, สนับสนุนและพัฒนาโรงเรียน 192 แห่ง, เพิ่มพื้นที่สีเขียวและฟื้นฟูป่ากว่า 19,385ไร่

 

ลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารกว่า 19,254 ตัน, ลดปริมาณขยะที่เข้าสู่หลุมฝังกลบกว่า 43,663 ตัน, ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 1,430 สถานที่, ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา 215 แห่ง และผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากถึง 207,176 เมกะวัตต์-ชั่วโมง

พิชัย  จิราธิวัฒน์  กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า ในปี 2568 เซ็นทรัล ทำยังเดินสานหน้าต่อภารกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยหลักคิดที่ว่า เน้น ‘คุณภาพ’  มากกว่า ‘ปริมาณ’ โดยพยายามสร้างให้แต่ละชุมชนที่เข้าไปให้กลายเป็น ‘ชุมชนแข็งแรง’ อย่างยั่งยืน มากกว่าจะเน้นเพิ่มจำนวนชุมชนหรือจำนวนจังหวัดให้มากขึ้น

 

สำคัญไปกว่านั้น ทุกที่ที่เซ็นทรัล ทำ เข้าไป ชาวบ้านต้องร่วมมือและลงมือทำไปด้วยกัน เพื่อให้พวกเขารู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ เกิดความภูมิใจ และพร้อมใจกันช่วยพัฒนาต่อได้ในระยะยาว ซึ่งแต่ละที่จะมีการตั้ง KPI วัดความสำเร็จจาก Pain Point ของแต่ละพื้นที่

 

“ก่อนเราจะเข้าไปทำโครงการที่ไหน เราจะลงไปสัมผัสในพื้นที่นั้นก่อนว่าเป็นอย่างไร มี Pain point อะไร โดยเราจะเริ่มจากจังหวัดที่มีธุรกิจของเซ็นทรัล เพราะเราต้องใช้คนในเซ็นทรัลเป็นคนทำ และดึงให้ทุกคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมสร้างการพัฒนาแบบยั่งยืน”

 

ความคืบหน้าในปี 2568 ของ 4 จังหวัดต้นแบบ

 

1.จังหวัดน่าน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ อ.นาน้อย ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ปลูกไม้ยืนต้น ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และพัฒนาผลผลิตเพื่อเตรียมเข้าสู่การจดทะเบียนเป็นสินค้า GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) เช่น ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า โกโก้ มะม่วงหิมพานต์ รวมถึงส่งต่อไปยังธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล เช่น ท็อปส์ ฯลฯ โดยในปี 2567 สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชน 10 ล้านบาท

 

ด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมสร้างฝาย แหล่งน้ำ ระบบกระจายน้ำ ช่วย 50 ครัวเรือนทำเกษตรอินทรีย์ ลดภัยแล้ง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 2,800 ไร่ ส่วนด้านการศึกษา พัฒนาโรงเรียนชุมชนบ้านอ้อยครบวงจร สนับสนุนห้องเรียน ICAP ทักษะ EF, STEM, ห้องสมุด จัดตั้งห้องทักษะอาชีพ สนับสนุนห้องกีฬาปันจักสีลัต และคอมพิวเตอร์ ฯลฯ

 

2.จังหวัดอยุธยา ความสำเร็จของเกษตรกรบ้านหมู่ใหญ่ใน หรือ ‘กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา’ ต.คู้สลอด อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ผลิตเมล่อนภายใต้ชื่อ Smile Melon” สามารถเปิดช่องทางการขายในตลาดไปยังประเทศสิงคโปร์ และยังคงมียอดการสั่งต่อเนื่องมาถึงปี 2568 รวมยอดที่ส่งออกไปสิงคโปร์ 25.2 ตัน รายได้รวม 2 ล้านบาท

ด้านสิ่งแวดล้อม เน้นยกระดับการจัดการของเสียทางการเกษตร โดยฟาร์มเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนานำเมล่อนที่เน่าเสียมาเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงไก่ โดยมีแผนขยายโครงการไปยังชุมชนเกษตรและโรงเรียน รวมถึงเพิ่มการใช้ประโยชน์จากของเสียทางการเกษตร เช่น ฟางข้าวและผักตบชวา ฯลฯ

 

นอกจากนี้ได้พัฒนาโรงเรียนวัดหนองไม้ซุง สนับสนุนฐานเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ทักษะกีฬาเทเบิลเทนนิส และความเป็นอยู่ของนักเรียน พร้อมขยายเครือข่ายคนพิการเข้าสู่โครงการส่งเสริมอาชีพ โดยมีเป้าหมายปี 2568 ต้องการขยายเครือข่ายคนพิการที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพให้มากขึ้น

 

3.จังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา อ.แม่ออน ได้พัฒนา ‘พื้นที่วิถียั่งยืนแม่ทา’ ตั้งแต่ปี 2560 สร้างเกษตรอินทรีย์ต้นแบบและผลักดันคนรุ่นใหม่สู่บทบาทเกษตรกรรุ่นใหม่ พร้อมสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคารอบรมห้องคัดแยกเมล็ดพันธุ์ อาคารคัดบรรจุผักมาตรฐาน อย. ตลอดจนรถขนส่งห้องเย็น ฯลฯ

 

นอกจากนี้ได้ดำเนินการจัดการขยะ ณ ตลาดจริงใจ แปรรูปขยะอินทรีย์ 7.52 ตัน เป็นปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ รีไซเคิลวัสดุ 8.74 ตัน เตรียมเปิดศูนย์การเรียนรู้ด้านการจัดการขย ปี 2568 และพร้อมขยาย “กาแฟสร้างป่า” ที่แม่แจ่ม ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,570 ไร่ ในปี 2568 จะเริ่มดำเนินโครงการความริเริ่มไม่เผา Zero Burning Initiatives ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อต่อสู้กับมลพิษ PM2.5 ในเชียงใหม่ เป็นต้น

 

4.จังหวัดชัยภูมิ วิสาหกิจชุมชนปลูกพืชเศรษฐกิจบ้านเทพพนา อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เป็น 1 ใน 7 ของผู้ปลูกอะโวคาโด พันธุ์แฮสส์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นสายพันธุ์คุณภาพระดับโลกสู่เกษตรอัจฉริยะแบบยั่งยืน และเพาะเห็ดเรืองแสง  สิรินรัศมี เพื่อแก้ปัญหาโรคพืชในการปลูกอะโวคาโด ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้แก่สมาชิกวิสาหกิจชุมชน 40 ล้านบาท และขยายผลเครือข่ายผู้ปลูกอะโวคาโดเป็น 1,000 ราย

 

นอกจากนี้ ได้พัฒนาต่อยอดด้านการท่องเที่ยวชุมชนเชิงเกษตรอินทรีย์ ร่วมกับสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด โดยสร้างศูนย์การเรียนรู้ 2 อาคาร สามารถรองรับผู้เข้าอบรมและนักท่องเที่ยวรวมทั้งหมด 14,000 คน โครงการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวและส่งเสริมนวัตกรรมเกษตรยั่งยืน ครอบคลุม 5,000 ไร่ ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาดินเสื่อมโทรมและรายได้ไม่มั่นคง โดยส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง เช่น อะโวคาโด, แมคคาเดเมีย, ทุเรียน และกาแฟโรบัสต้า เป็นต้น

“หัวใจสำคัญของเซ็นทรัล ทำ คือได้ขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า และสะท้อนถึงแนวคิดการเติบโตของธุรกิจต้องเดินไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น ชุมชน คู่ค้า ลูกค้า หรือพนักงาน นำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน” พิชัยทิ้งท้าย

]]>
1516001
เอไอเอส x กลุ่มเซ็นทรัล สานภารกิจความยั่งยืน ปั้นโมเดลการจัดการขยะแบบครบวงจร https://positioningmag.com/1454593 Wed, 06 Dec 2023 08:46:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454593 เอไอเอส ร่วมกับ กลุ่มเซ็นทรัล เดินหน้าสานพันธกิจ ยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อม สร้างโมเดลด้านการจัดการขยะทุกประเภทให้ถูกวิธีด้วยการร่วมมือกันของ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ เร่งการเปลี่ยนแปลงผ่านการสร้างความร่วมมือส่งเสริมทุกภาคส่วนให้เกิดการจัดการขยะแบบ 100 % เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการผลักดันด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นรูปธรรมที่เริ่มต้นได้ง่ายๆ จากตัวเรา

ทั้งนี้การยกทีมผู้บริหารลงพื้นที่ ณ หมู่บ้านคามิคัตสึ (Kamikatsu) เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ที่เกาะชินโชกุประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการซึมซับแนวคิด Zero Waste และกระบวนการจัดการขยะที่ทรงประสิทธิภาพและต่อเนื่องอย่างการแยกขยะมากถึง 45 ประเภท ผ่านหลักการพื้นฐานที่ทุกคนทำได้โดยการลดขยะ (Reduce) การใช้ซ้ำ (Reuse) และการรีไซเคิล (Recycle) จนกลายเป็นเมืองต้นแบบปลอดขยะระดับโลกพร้อมนำมาต่อยอดการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในการสร้างโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า

“นโยบายหลักของเรา นอกจากสร้างมาตรฐานของสินค้า บริการ นวัตกรรม และการดูแลลูกค้าอย่างเป็นเลิศแล้ว ยังมีภารกิจในการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม สนับสนุนสู่ Sustainable Nation โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ใน 2 แกนหลัก คือ 1) ลดผลกระทบผ่านกระบวนการดำเนินธุรกิจ 2) ลดและรีไซเคิลของเสียจากการดำเนินธุรกิจและส่งเสริมให้คนไทยร่วมกำจัด E-Waste อย่างถูกวิธี เพราะการมาถึงของ Digital ส่งผลให้เกิดขยะ E-Waste มากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาระดับโลก เช่นกรณีมูลค่าขยะ E-Waste ที่ถูกเผาทำลายมีมากถึง 57,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กลับมีการจัดเก็บอย่างถูกวิธีและรีไซเคิลได้เพียง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น จะเห็นได้ว่า ปริมาณที่สูญหายในระหว่างทางนั้นมีอยู่มหาศาลและสามารถส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมหากกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง”

“จึงเป็นที่มาของการขับเคลื่อนภารกิจคนไทยไร้ e-waste ในปี 2562 เพื่อสร้างความตระหนักถึงปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้ร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลตั้งแต่ปี 2563 รณรงค์และเป็นช่องทางรับทิ้ง E-Waste ได้สะดวกกับประชาชนยิ่งขึ้น ผ่านศูนย์การค้าในกลุ่มเซ็นทรัลที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ 37 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงร้าน Power Buy ผู้นำธุรกิจค้าปลีกศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าไอที มือถือ แกดเจ็ต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ครบวงจร รวม 40 สาขาทั่วประเทศ และผ่าน Application E-Waste Plus ที่เพิ่มเติมเข้ามา อันเป็นการร่วมเสริมพลังกับ 190 องค์กร ขับเคลื่อน HUB of e-waste ศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะแห่งแรกของไทย ที่มีทั้งความรู้ เครือข่ายที่มาช่วยกันแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ การขยายจุดรับทิ้งให้ครอบคลุม การบริการด้านการขนส่ง และการรีไซเคิลสู่กระบวนการ Zero e-waste to landfill ได้ในท้ายที่สุด”

พิชัย  จิราธิวัฒน์  กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า

การจัดการปัญหาขยะอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากตัวเราเองที่ต้องทำทุกวันและต่อเนื่องจนเป็นนิสัย และเราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะสำเร็จได้ต้องร่วมมือกันทำจากทุกภาคส่วน จึงเป็นที่มาของการผนึกกำลังกันระหว่าง กลุ่มเซ็นทรัล และ เอไอเอส ซึ่งเป็นพันธมิตรกันมาอย่างยาวนาน การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการสานต่อจากโครงการ การทิ้งขยะ E-Waste อย่างถูกวิธี ซึ่งทางกลุ่มเซ็นทรัลมุ่งมั่นสานต่อเจตนารมณ์ที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านโครงการ “เซ็นทรัล ทำ – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ” โครงการเพื่อความยั่งยืนดำเนินการโดยกลุ่มเซ็นทรัลผ่าน 6 แนวทางการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน

  1. ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน สร้างอาชีพ และบรรเทาสาธารณภัย (Community & Social Contribution)
  2. ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาส อย่างเท่าเทียม (Inclusion) การศึกษา (Education)
  3. พัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital Development)
  4. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและการบริหารจัดการขยะมูลฝอย (Circular Economy & Waste Management)
  5. ลดการสูญเสียอาหารในกระบวนการผลิตและลดปริมาณขยะอาหาร (Food Loss & Food Waste Reduction)
  6. ฟื้นฟูสภาพอากาศ ลดมลภาวะ และผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียน (Climate Action)ทำให้เรามีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจขององค์กร และขับเคลื่อนการลดการสร้างขยะให้เป็นศูนย์ผ่านแคมเปญ Journey to Zero เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 เพื่อสร้างคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุมทุกมิติ เป็นรีเทลแห่งแรกของไทยที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์ต้นแบบในด้านการจัดการขยะทั่วประเทศ เราพร้อมที่จะเร่งปรับและเปลี่ยนเพื่อโลกสีเขียวอย่างยั่งยืน

การเดินหน้าภารกิจศึกษาแนวคิด และกระบวนการจัดการขยะในครั้งนี้ ทั้ง 2 บริษัทเห็นพ้องตรงกันว่า เราจะร่วมมือกันทำ ร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน เพราะเรามีเป้าหมายเดียวกัน ที่อยากเห็นประเทศไทยมีโมเดลต้นแบบในการ คัด แยก ทิ้งขยะ ได้อย่างถูกที่และถูกวิธีและยังเป็นการลดการฝังกลบขยะที่จะก่อให้เกิดปัญหาอีกมากมาย พร้อมสร้างพฤติกรรมการใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นถัดไป

กรณีศึกษา Kamikatsu Zero Waste เมืองคามิคัตสึ

คามิคัตสึ เป็นเมืองในจังหวัดโทคุชิมะ ที่ตั้งอยู่บนเกาะชิโกกุทางตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น มีประชากรเพียง 1,401  คน หรือ 734 ครัวเรือน (ตัวเลข ณ วันที่ 1 ต.ค. 2023) โดยมีสัดส่วนเป็นผู้สูงอายุ เป็น 52.25%

เมืองคามิคัตสึ มีพื้นที่ขนาด 109.63 ตารางกิโลเมตร (พื้นที่ป่าไม้ 88% และ 80% เป็นป่าปลูก) มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 100-700 เมตร

โดยที่เมืองคามิคัตสึ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องปลอดขยะ และการจัดการขยะอันดับต้นๆ ของโลก และเป็นต้นแบบการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน จนกลายเป็นหนึ่งในสถานที่เรียนรู้ของคนที่รักสิ่งแวดล้อม เริ่มทำโครงการ Zero Waste ตั้งแต่ปี 2003 มีการแยกขยะอย่างจริงจัง ส่งไปรีไซเคิล หรือรียูสได้

ในปี 2020 สามารถทำให้ขยะเป็นศูนย์ได้ราว 80% โดยมีกระบวนการเอาไปรียูส รีไซเคิล ส่วนอีก 19% ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ต้องนำไปฝังกลบ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหนังยางรัดแกง รองเท้า ของที่แยกชิ้นส่วนไม่ได้ และขยะอันตราย เช่น ผ้าอ้อม หน้ากากอนามัย ทิชชู และขยะปนเปื้อนต่างๆ

Zero waste หรือขยะเป็นศูนย์ หมายถึง การกำจัดของเสียและขยะ แต่สำหรับเมืองคามิคัตสึไม่เพียงหมายถึงการจัดการขยะเท่านั้น แต่ยังหมายถึงวิธีคิดที่จะไม่สร้างขยะตั้งแต่เริ่มแรก

ประวัติศาสตร์ของ เมืองคามิคัตสึ

1974       โรงบำบัดดินส่วนเกินฮิบิกาทานิถูกใช้เป็นโรงบำบัดขยะชั่วคราว

1991       มีการให้เงินอุดหนุนสำหรับซื้อถังหมักปุ๋ยจากเศษอาหาร (โดยคนในชุมชนจ่ายเพียง 3,100 เยน) จนถึงปี 1999

1994       จัดทำแผนเมืองรีไซเคิลคามิคัตสึ

1995       มีการอุดหนุนการซื้อเครื่องกำจัดขยะไฟฟ้า (Gomi nice) สำหรับครัวเรือน (โดยคนในชุมชนจ่ายเพียง 10,000 เยน)

1996       ปิดโรงบำบัดขยะฮิบิกาทานิบางส่วน (ยกเลิกในส่วนการฝังกลบขยะที่เผาไม่ได้และขยะขนาดใหญ่)

1997       เปิดสถานีกำจัดขยะฮิบิกาทานิ และเริ่มการคัดแยกขยะออกเป็น 9 ประเภท

1998       ปิดเตาเผาขยะขนาดเล็ก 2 แห่ง และปิดสถานที่เผาขยะฮิบิกาทานิ (เผาขยะกลางแจ้ง)

2001       ปิดเตาเผาขยะขนาดเล็ก เริ่มจัดระบบการคัดแยกเป็น 33 หมวดหมู่ (หลังจากปีนี้ไม่นานก็ได้เพิ่มเป็น 35 หมวดหมู่) ที่สถานีกำจัดขยะฮิบิกาทานิซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน

2003       ออกปฏิญญาขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste)

2005       เปิดตัวองค์กรไม่แสวงหากำไร (NPO) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ขยะเป็นศูนย์ ชื่อ Zero Waste Academy

2006       เปิดศูนย์ส่งเสริมการซื้อสินค้าใช้ซ้ำ Kurukuru Shop

2007       เปิดร้านรีเมค Kurukuru Kobo แหล่งรวบรวมสินค้ารีไซเคิล

2008       เริ่มมีการให้เช่าอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารที่ใช้แล้วนำไปใช้ซ้ำ

2013       เริ่มแคมเปญสะสมคะแนน Chiritsumo (เป็นคะแนนที่ได้จากจากการคัดแยกกระดาษต่างๆ ฯลฯ และดัดแปลงเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน)

2016       เปลี่ยนจำนวนหมวดหมู่การคัดแยกขยะอย่างเป็นทางการ จาก 34 ประเภทเป็น 13 ประเภท และ 45 หมวดหมู่สามารถทำยอดรีไซเคิลขยะได้ในอัตราสูงกว่า 80% เป็นครั้งแรก

2017       ริเริ่มการให้การรับรองขยะเป็นศูนย์เริ่มการทดสอบการขายขยะตามน้ำหนักเริ่มนำเสนอเซ็ตผ้าอ้อมที่ทำจากผ้า

2018       เริ่มรณรงค์งดใช้ถุงพลาสติก

2020       ก่อสร้างศูนย์ Kamikatsu-cho Zero Waste Center เพื่อช่วยกำจัดขยะเมืองคามิคัตสึให้เป็นศูนย์เสร็จสมบูรณ์

ปฏิญญาขยะเป็นศูนย์ของเมืองคามิคัตสึ

17 ปีหลังจากออกปฏิญญา Zero Waste ในปี 2003 คนในชุมชนทุกคนได้ร่วมกันลดขยะในเมืองคามิคัตสึและได้พิสูจน์ตนเองด้วยสถิติรีไซเคิลขยะได้ในอัตรามากกว่า 80% ซึ่งความท้าทายในการร่วมกันกำจัดขยะของหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากคนทั่วโลก และได้ปูทางเมืองแห่งนี้ไปสู่สังคมที่ยั่งยืนโดยเมืองคามิคัตสึมีเป้าหมายในการพัฒนาเมืองให้มีความงามทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เป็นสถานที่ที่ทำให้ทุกคนมีความสุข และสามารถเติมเต็มความฝันของพวกเขาได้ และในฐานะผู้บุกเบิกเรื่องขยะเป็นศูนย์ เมืองคามิคัตสึก็ได้ประกาศนโยบายขยะเป็นศูนย์อีกครั้ง ผ่านเป้าหมายหลัก “การคิดถึงอนาคตของสิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลาน ภายใต้ความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล และส่งเสริมผู้อื่นให้ร่วมลงมือ” โดยตั้งเป้าบรรลุเป้าหมายภายในปี 2030

เมืองคามิคัตสึดำเนินโครงการริเริ่มการรีไซเคิลอย่างทั่วถึงเพื่อบรรลุสังคมขยะเป็นศูนย์ โดยสื่อสารปรัชญาและความคิดริเริ่มขยะเป็นศูนย์ มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มเปอร์เซ็นต์คนที่มีความคิดไปในแนวเดียวกันในสังคม

]]>
1454593