ภาระหนี้สิน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 07 Nov 2025 13:14:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คนไทย ‘กล้าใช้ กล้ากู้’ เพื่อความสุข แม้รู้ดีเศรษฐกิจไม่ดี ต้องประหยัด https://positioningmag.com/1545855 Fri, 07 Nov 2025 06:13:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545855 สรุปผลสำรวจ ‘ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอาเซียน’ (ACSS) ประจำปี 2568 ที่ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย    ทำร่วมกับบริษัท Boston Consulting Group สะท้อนถึงพฤติกรรมการจับจ่ายและทัศนคติทางการเงินของผู้บริโภคไทยที่มีหลายประเด็นควรจับตามอง

 

แม้ไทย จะเป็นประเทศที่มี GDP ใหญ่เป็นอันดับ 2 แต่มีการเติบโตช้าสุดตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดภาพดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนและการไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง

 

ค่าครองชีพสูงปัจจัยที่คนไทยกังวลมากสุด

 

สำหรับความกังวลที่คนไทยกังวลมากสุดพบว่า ผู้บริโภค 61% กังวลเรื่อง ‘ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ, 57% กังวลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ-ภัยธรรมชาติ-มลพิษ และ 55% กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นสูงกว่า

 

โดยค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคชาวไทยเปลี่ยนไป

 

ผู้บริโภคทั่วไป (มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท/เดือน)

-48% ติดตามการใช้จ่ายอย่างใกล้ชิด

-45% มองหาส่วนลดในการซื้อ

 

ผู้บริโภคกำลังซื้อสูง (มีรายได้มากกว่า 200,000 บาท/เดือน)

-30% ลดการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย

-27% มองหาแหล่งรายได้เสริม

 

กล้ากู้ กล้ายืมเพื่อประสบการณ์

 

ความน่าสนใจ แม้รู้ต้องควบคุมการใช้เงิน แต่ 3 ใน 4 ของคนไทยมองการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์และไลฟ์สไตล์ เป็นสิ่ง ‘จำเป็น’ มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้มีรายได้สูง ซึ่งเมื่อเจาะลึกเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินของทั้งสองกลุ่มพบว่า

 

คนรุ่นใหม่ : 73.5% ชอบใช้เงินในตอนนี้มากกว่ากังวลเรื่องอนาคต, 72.5% ไม่กังวลถ้าต้องยืมเงินเพื่อใช้จ่าย, 79% รู้สึกว่า ความคาดหวังทางสังคมหรือแรงกดดันจากคนรอบข้างทำให้การออมเงินเป็นเรื่องยาก

 

ผู้มีรายได้สูง : 85% ชอบใช้เงินในตอนนี้มากกว่ากังวลเรื่องอนาคต, 82% ไม่กังวลถ้าต้องยืมเงินเพื่อใช้จ่าย, 80% รู้สึกว่าความคาดหวังทางสังคมหรือแรงกดดันจากคนรอบข้างทำให้การออมเงินเป็นเรื่องยาก

สินเชื่อส่วนบุคคล-บัตรเครดิต หนี้ที่คนไทยมีมากสุด

 

ในด้านหนี้สินผลสำรวจดังกล่าวระบุว่า 3 ใน 4 ของผู้บริโภคมีสินเชื่อเฉลี่ย 2.3 รายการ โดยหนี้สินเชื่อที่พบมากสุดของคนไทย ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล 39%, สินเชื่อบัตรเครดิต 38% รองลงมา สินเชื่อรถยนต์ 31% และสินเชื่อบ้าน 21%

 

ความน่าสนใจคือ ‘แนวโน้มการกู้ยืม’ ปีนี้ผู้คนจำนวนมากหันไปพึ่งพาครอบครัวและเพื่อนฝูง เพื่อขอความช่วยเหลือทางการเงิน มากกว่าจะกู้ยืมผ่านบัตรเครดิต    

 

เมื่อถึงเวลาชำระหนี้ 80% ของผู้กู้สามารถชำระเงินคืนได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ Gen Z มีแนวโน้มที่จะพลาดการชำระเงินบ่อยครั้ง

 

สำหรับสาเหตุของการพลาดชำระเงินมาจากขาดความเข้าใจด้านการเงินหรือทักษะการวางแผนด้านการเงิน และรูปแบบรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอ เช่น ทำงานแบบไม่มีรายได้ประจำแน่นอน

 

 

นอกจากนั้น การสำรวจพบว่า ผู้บริโภคที่มีรายได้สูงยิ่งเข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่งนั่นทำให้จำนวนรายการ      สินเชื่อของผู้มีกำลังซื้อสูงนั้นสูงกว่ากลุ่มทั่วไป โดยผู้มีกำลังซื้อสูงมีสินเชื่อเฉลี่ย 2.5 รายการ

 

 

ด้านแนวโน้มการกู้ยืม พบว่าการกู้ยืมจากบัตรเครดิตลดน้อยลงกว่าในปี 2567 ขณะที่การกู้ยืมจากเพื่อนและครอบครัวเพิ่มขึ้นแทน

 

ด้านการชำระหนี้ พบว่า ร้อยละ 80 ของผู้กู้สามารถชำระเงินคืนได้อย่างสม่ำเสมอ แต่กลุ่ม Gen Z มีแนวโน้มที่จะพลาดการชำระเงินบ่อยครั้งและต้องเสียค่าปรับ

การออมยังน้อย

 

ด้านความมั่นใจในการบริหารการเงินของตนเอง ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคไทย 87% มีความมั่นใจในการบริหารการเงินส่วนบุคคลของตนเอง แต่มีเพียง 39% ที่มั่นใจในสถานะการเงิน และคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และผู้มีกำลังซื้อสูง รู้สึกว่าความคาดหวังทางสังคมหรือแรงกดดันจากคนรอบข้างทำให้การออมเงินเป็นเรื่องยาก

 

นอกจากนี้ 66% ผู้บริโภคไทยพร้อมกู้ยืมเพื่อเป้าหมายทางการเงิน และ 25% ยอมกู้เพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่อยากดี สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติซื้อสิ่งที่อยากได้ก่อนสิ่งจำเป็น ซึ่งทำให้หนี้ครัวเรือนสะสมของไทยสูงถึง 86.8%

 

]]>
1545855
‘คนทำงาน’ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไร? เพื่อรับยุคเศรษฐกิจตกต่ำ และอะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน https://positioningmag.com/1520122 Thu, 01 May 2025 09:25:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1520122 ก่อนหน้านี้ทาง ‘สมาคมนักวางแผนการเงินไทย’ ได้เตือนให้คนไทยต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อรับมือกับยุคแห่งความไม่แน่นอน จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า แถมโดนภาษีทรัมป์มา กระหน่ำ ซึ่งกระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึง ‘ไทย’ ที่ปีนี้คาดการณ์ว่า จะโตไม่ถึง 2.0% และมูดีส์ ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยลงสู่มุมมอง ‘เชิงลบ’ จากเดิมที่มี ‘เสถียรภาพ’

 

คำถามคือ แล้วคนทำงานอย่างเรา ๆ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไร เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

 

เงินสำรองคืออะไร

 

เงินสำรองฉุกเฉิน คือ เงินที่สะสมไว้เพื่อใช้ในเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน ซึ่งเงินส่วนนี้ต้องมี ‘สภาพคล่องสูง-เบิกถอนได้ง่าย-เอามาใช้ได้อย่างรวดเร็ว’ ได้แก่ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือกองทุนรวมตลาดเงิน ฯลฯ

 

อย่างไรก็ตามเงินสำรองฉุกเฉินไม่จำเป็นต้องเป็น ‘เงิน’ เท่านั้น อาจเป็นทรัพย์สินในการลงทุนระดับความเสี่ยงต่ำๆ ประเภทกองทุนตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน ฯลฯ

 

ส่วนความสำคัญของเงินสำรองฉุกเฉินนั้น ถือเป็นหนึ่งในกองเงินที่สำคัญและมีประโยชน์มากสำหรับตัวเราเองและครอบครัว เนื่องจากจะช่วยให้คลี่คลายปัญหาความเดือดร้อนเรื่องเงินในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างไร้กังวล

 

นอกจากนี้แล้วยังช่วยควบคุมการใช้จ่ายไม่จำเป็นได้และวางแผนทางการเงินได้ดีขึ้น เช่น เมื่อต้องหักเงินบางส่วนไปสะสมเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน จะทำให้เราคิดและไตร่ตรองในการใช้เงินที่เหลืออยู่มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินไม่คาดฝัน ก็มีเงินใช้โดยไม่ต้องไปหยิบยืมคนอื่นหรือก่อหนี้เพิ่มเติมนั่นเอง

 

แล้วเงินสำรองฉุกเฉินต้องมีเท่าไรถึงจะพอ?

 

ทางกสิกรไทยแนะนำว่า นอกจากอาชีพแล้ว จำเป็นต้องนำค่าใช้จ่ายรายเดือนตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมาคิดประกอบด้วย  

 

กลุ่มอาชีพข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ : เป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงในหน้าที่การงานและมีโอกาสตกงานต่ำ ทำให้ในการสะสมเงินสำรองสำหรับคนกลุ่มนี้เงินเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายรายเดือนเผื่อในอนาคตสัก 2-4 เดือน ก็เพียงพอแล้ว

 

ตัวอย่างเช่น ได้เงินเดือน 40,000 บาท มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนรวม 20,000 บาท การเก็บเงินสำรองฉุกเฉินควรมี 40,000-80,000 บาท

 

กลุ่มอาชีพพนักงานเอกชน : กลุ่มที่มีเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง มีความมั่นคง แต่เพื่อป้องกันการตกงานในอนาคต หรือต้องเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จนอาจทำให้เกิดภาวะความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน จำเป็นต้องสะสมเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือนเป็นอย่างน้อย

 

ตัวอย่างเช่น หากมีรายได้ต่อเดือน 60,000 บาท แต่สัดส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท ต้องมีการเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอยู่ที่ 90,000-180,000 บาท

 

กลุ่มอาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนช์ : เป็นกลุ่มคนที่มีอัตราความเสี่ยงสูงที่สุด เนื่องจากมีความไม่มั่นคงในอาชีพการงานมากกว่าสองกลุ่มแรก และมีความไม่แน่นอนในรายได้ หากต้องการสะสมเงินสำรองฉุกเฉินจำเป็นจะต้องวางแผนสำรองเงินอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อป้องกันการหางานยาก และสถานการณ์ที่ยากเกินจะคาดเดาในอนาคต

 

ตัวอย่างเช่น กรณีมีรายได้ต่อเดือน 30,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนราว 15,000 บาท การเก็บเงินสำรองต้องอยู่ที่ 90,000-180,000 บาท เพื่อให้สามารถรองรับกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม จำนวนเดือนของการวางแผนสำรองเงินดังกล่าวอาจจะเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายแค่ตัวเราเองเท่านั้น ยังไม่รวมถึงคนในครอบครัวของเรา ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยไม่ว่าจะอาชีพไหน ควรต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน

 

นอกจากการเก็บเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินหรือเกิดเหตุไม่คาดฝันแล้ว บรรดาคนทำงาน ควรต้องกระชับพื้นที่การใช้จ่าย ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และพยายามอย่าก่อหนี้เพิ่มเติม รวมถึงควรเพิ่มทักษะต่าง ๆ เพื่อหารายได้เพิ่มเติม และกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ด้วย

]]>
1520122
อาชีพไหนมีภาระหนี้มากสุด และสาเหตุมาจากอะไร ? https://positioningmag.com/1515963 Tue, 25 Mar 2025 05:32:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1515963 ชีวิตนี้ใช้หนี้อย่างเดียว!! กระทรวงพาณิชย์เผยสำรวจภาระหนี้คนไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่ง ‘พนักงานของรัฐ’ เป็นอาชีพที่มีภาระหนี้มากสุด ตามด้วยเกษตรกร ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป มีภาระหนี้สูงถึง 81.25%

 

การสำรวจดังกล่าว เมื่อพิจารณากลุ่มอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้มากสุด ได้แก่ อันดับ 1 ‘พนักงานของรัฐ’ 68.18% ตามด้วย ‘เกษตรกร’ 57.16% และ ‘พนักงานเอกชน’ 53.15% ขณะที่ ‘นักศึกษาและผู้ไม่ได้ทำงาน’ และ ‘กลุ่มเกษียณอายุ’ มีสัดส่วนภาระหนี้น้อยที่สุดอยู่ที่ 20.51% และ 26.74%

 

เมื่อแบ่งตามกลุ่มรายได้ จะพบว่า กลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้นจะมีสัดส่วนของผู้ที่มีภาระหนี้มากขึ้น โดย

 

กลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป สัดส่วนอยู่ที่ 81.25%

รองลงมา กลุ่มรายได้ระหว่าง 50,001 – 100,000 บาท สัดส่วนอยู่ที่ 76.15%

กลุ่มรายได้ระหว่าง 40,001 – 50,000 บาท สัดส่วนอยู่ที่ 62.96%

 

ส่วนสาเหตุของการเกิดหนี้ ได้แก่

การซื้อและผ่อนอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย และ ยานพาหนะ 27.47

ภาระหนี้จากค่าใช้จ่ายประจำที่เพิ่มสูงขึ้น 25.56

ภาระหนี้เพื่อการลงทุน 11.94

 

ประเภทของหนี้สิน ภาระหนี้ในระบบมากสุด 79.89% รองลงมาด้วยการมีภาระหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ 13.53% และภาระหนี้นอกระบบ 6.58% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากผลการสำรวจในปี 2566 ที่ 7.19%

 

ผลสำรวจนี้ เมื่อมาพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ จะพบว่า ‘พนักงานของรัฐ’ เป็นผู้มีสัดส่วนภาระหนี้ในระบบมากสุด 90.37% รองลงมาคือ ‘เจ้าของกิจการ’ และ ‘นักศึกษา’

 

ขณะที่ ‘เกษตรกร’ เป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบมากที่สุด 22.20% และ ‘อาชีพรับจ้างอิสระ’ เป็นอาชีพที่มีสัดส่วนภาระหนี้นอกระบบมากสุด 15.59% ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มอาชีพที่ไม่มีรายได้ที่ชัดเจนและแน่นอน

 

และหากจำแนกตามกลุ่มรายได้ พบว่า กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบและภาระหนี้ในทั้งสองระบบมากที่สุด อาจสะท้อนถึงปัญหาภาระหนี้ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูงมากนัก

 

ที่มา: https://tpso.go.th/news/2503-0000000013

]]>
1515963